เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๓ มี.ค. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เห็นไหม เราจะภาวนากัน เราจะทำกัน เราประพฤติปฏิบัติเราต้องรู้ตัวเองก่อน อย่างเช่นเราเอาขนมเอาของไปเก็บไว้ในกุฏิ มันเป็นอาบัติทุกกฎ มันเป็นอันโตวุฏฐะ สามปักกะ หลวงตาพูดบ่อย มันอยู่ในบุพพสิกขา เอาของเก็บเองก็ดี อาหารเอาไว้ในที่อยู่อาศัยเป็นอาบัติทุกกฎ ฉะนั้นคนอื่นทำไม่ได้ แต่สำหรับเราทำ เอาไปเก็บไว้ เราเก็บไว้เพราะอะไร เพราะว่าเรามันเหมือนกับทุกอย่างรับผิดชอบคนเดียว เวลาเด็กมา เวลาอะไรมา เราเอาแจกได้ทันที แต่เราไม่ได้เก็บไว้เพื่อเราเอง

การเอาของไปเก็บไว้ในกุฏิมันทำให้มดขึ้น ทำให้หนูมา ทำให้ทุกอย่างมันเสียหายหมด เห็นไหม พระพุทธเจ้าถึงห้าม ห้ามเอาของไปเก็บไว้ในที่อยู่ของตัว เรื่องอาหารเอาเข้าไว้ในที่อยู่ ไม่ได้ ต้องสร้างกุฏิเอาไว้หรือสร้างเป็นเรือนว่างเอาไว้เป็นกลางแล้วรักษาไว้ที่ตรงนั้น อันโตวุฏฐะ สามปักกะ ทำไม่ได้ ภาษาบาลี เอาเก็บเองก็ดี เอาไว้ในที่อยู่อาศัยเป็นอาบัติทุกกฏ เป็นอาบัติหมด แต่นี่คำว่าอาบัติก็คืออาบัติ ต้องเป็นอาบัติ

แต่ของเรา เราถือว่าเป็นอาบัติมันเป็นวินัย แต่ทำ ทำคือว่าสิ่งที่เราทำประโยชน์ เราเอามาทำประโยชน์ของเรา ถ้าเราได้ประโยชน์ของเรา เรารับผิดชอบของเรา ไม่ใช่ว่าเที่ยวแต่สอนคนอื่นนะ แล้วตัวเองผิดก็ไม่ยอมรับว่าตัวเองผิดนะ ผิดมันผิดอะไร ผิดอันนี้มันเป็นความผิด แต่เอาประโยชน์ ถ้าเราจะเอาไปเก็บไว้ที่อื่นแล้วถึงเวลาต้องการแล้วเราก็เรียกหาๆ มันก็ยุ่งกันไปหมดเห็นไหม เวลาสิ่งก่อสร้างมันยุ่งกันไปหมด สิ่งนี้ยุ่ง มันต้องรู้ก่อน มันต้องสะอาดที่เราก่อน เราทำอะไรก็ต้องรู้ถูกรู้ผิด เราสะอาดหรือเราไม่สะอาด

แต่นี่ที่เราทำอย่างนี้ เห็นไหม ดูสิ อย่างเช่นคุยกับโยม เวลาคุยกับโยมเห็นไหม อนิยต ๒ ภิกษุจะอยู่กับสีกา อยู่กับผู้หญิงโดยไม่มีบุคคลที่ ๓ ไม่ได้ มีบุคคลที่เชื่อถือได้มาบอกว่าเป็นอาบัติอะไรต้องเชื่อตามนั้นหมดเลย แต่ขณะที่เรามาอยู่ที่โพธารามอยู่คนเดียว เห็นไหม เมื่อก่อนอยู่คนเดียว ไอ้...มันจะเข้ามาประสานงาน มันจะเอาไอ้...เข้ามา เอาเข้ามาจนคนที่เขามาเป็นพยานบอกว่า “ไปเถอะ ไปเถอะ เบื่อเต็มที” ไปลากเขามาตลอดไง มันก็เลยแบบว่าถือสิทธิกันไปเลยว่าเวลาเข้ามาหาเรา ธรรมดาจะเข้าหาเรามันต้องมีบุคคลที่ ๓ ใช่ไหม มีผู้ชายเข้ามาด้วย แต่พวกนี้เข้ามาถ้ามันเป็นอาบัติเราต้องยอมรับว่ามันเป็นอาบัติ แต่ในการทำงานในการขับเคลื่อนไป มันมีบางอย่างที่มันมีความจำเป็น มันมีความจำเป็น มันหาไม่ได้ว่าอย่างนั้นเถอะ

อย่างเช่น เช่นเราพระบวชใหม่แล้วเราจะออกธุดงค์ ออกธุดงค์ใช่ไหม ตามวินัยต้อง ๕ พรรษาขึ้น ถ้ายังไม่ ๕ พรรษาขึ้นยังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่เราธุดงค์ตั้งแต่พรรษาที่ ๑ เลย เพราะอะไร? เพราะเราไม่รู้เรื่อง ออกพรรษาปุ๊บเราไปแล้ว เราออกพม่าเลย เราไปปิล็อกข้ามพม่าไปเลย แล้วสุดท้ายแล้วนะ พระก็ติ คนนู้นก็ติ คนนี้ก็ติ แล้วเราก็ค้นคว้าเอง เรามาค้นคว้าในบุพพสิกขา เราพรรษาเดียวออกไปธุดงค์ เข้าไปธุดงค์ถ้าเกิดเราเข้าไปภาวนาที่ไหนดี ภาวนาที่ไหนจิตเป็นสมาธิดี ปัญญามันเกิดดี แต่มันผิดวินัย เพราะว่าเราไม่ถือนิสัยใคร ให้อธิษฐานเอาว่าเราขอถือนิสัย หรือว่าถ้าเราเป็นอาบัติแล้ว สมมุติเราเป็นอาบัติ พรากของเขียวเป็นอาบัติปาจิตตีย์นี่เวลาภาวนามันจะไม่ลง ถ้ามีภิกษุองค์ใดองค์หนึ่งมีพรรษามากเดินผ่านมาเราจะขอนิสัยทันที เราจะปลงอาบัติทันทีเห็นไหม เพราะอะไร เพราะพระพุทธเจ้าเน้น เน้นเรื่องผล เรื่องธรรมไง

ธรรมและวินัย วินัยเป็นข้อห้าม แต่เน้นเรื่องธรรมคือเรื่องสัจจะความจริง เรื่องความถูกต้อง ถ้าภาวนาดี ถ้าจิตสงบ ถ้าผู้ที่มีปัญญาให้ภาวนาเท่านั้นเถิด เพราะการภาวนานี่แสนยาก ให้ภาวนาอยู่ได้ ประสาว่าผิดได้ ผิด ผิดตามกฎหมาย แต่เรารู้ เราสำนึก เราสำนึกอยู่เห็นไหม คำว่าสำนึกอยู่ เราไม่ใช่ผิดเพราะหน้าด้าน เพราะตะแบง เพราะหาทางออก เพราะอยากดัง เพราะอยากใหญ่ เพราะอยากอยู่คนเดียว เพราะไม่อยากให้ใครมาจับผิด แต่เพราะการภาวนาที่นี่มันดี จิตมันสงบจริงๆ แล้วปัญญามันก็เกิดจริงๆ แล้วเราจะจากที่นี่ไปก็เสียดายมาก ถึงบอกว่าให้อยู่ได้ ให้อยู่ได้แล้วให้อธิษฐานเอา ให้ตั้งใจเอาว่าถ้ามีภิกษุองค์ใดพรรษาเกิน ๕ มา เราจะขอนิสัยทันที เราจะปลงอาบัติทันทีเห็นไหม

แล้วเราทำมา เวลาเราพูดว่าเราออกธุดงค์ตั้งแต่พรรษา ๑ ใครก็งงนะว่า เอ๊ะ พรรษา ๑ ไปได้อย่างไร? ออกพรรษาแล้วเก็บของได้ไปแล้ว คิดในใจเลยนะ จะไม่หันหน้ากลับมาเลยนะ เพราะไปเจอพระที่รังแกๆ เวลาออกจากวัดนั้นไปนะ พูดเลยนะ คิดในใจนะแม้แต่ปัสสาวะจะไม่หันหน้ามาทางนี้อีกเลย ไปสุดๆ เลย ไปอย่างเดียวเลย ไปสุดๆ เลย นี่พูดถึงการประพฤติปฏิบัติ การถือศีล ศีลถ้าเรามีปัญญาเราจะเข้าใจ เราจะบอกว่าการมาปฏิบัติมันต้องมีความสะอาดนี้มาก่อน

แล้วนี่เห็นไหม ถ้าคนมันไม่เป็น เมื่อวานเขามาน่าสงสารมาก เพราะไอ้...มันฝากมา ฝากลูกน้องมา บวชพรรษา ๑ บวชกันแล้วก็ร่วมกันไป ร่วมกันชักจูงกันไป ไปนั่งภาวนาในป่าช้า พอนั่งภาวนาในป่าช้าบังเอิญจิตมันลง พอจิตมันลง มันลงปั๊บมันมีเป็นดวงแก้วเข้ามา จากดวงแก้วเข้ามาดวงแก้วระเบิด พอระเบิดจากดวงแก้วมันเป็นเสือกระโดดใส่ ตกใจมากเลย พอตกใจมากก็วิ่งออกมาเลย พอวิ่งออกมาประมาณได้ ๓-๔ วัน บ้าไป ๓ ปี แล้วญาติพี่น้องก็พยายามฟื้น เอามาฟื้น เอามาฟื้น พยายามตั้งสติมา แล้วเมื่อวานพามาหาเรา เวลาคนมาบอกเป็นอย่างนั้น จิตสงบแล้วมันจะมีดวงแก้วเข้ามาถึงหน้าตัวเอง ดวงแก้วนี้ระเบิด พอระเบิดเลยกลายเป็นเสือโคร่ง เสือโคร่งกระโดดใส่ นี่เขาเล่านะ นี่พูดถึงญาติพี่น้องเขาจับเขาได้แค่นี้ เราถามเจ้าตัวว่า “มันเป็นอะไร? มันทำอย่างไร?”

เมื่อวานเขาจะมาให้เราแก้ไง เราก็ถามว่า “มันเป็นอย่างไร”

บอกว่า นั่งภาวนาไปปั๊บมันก็มีดวงแก้วเข้ามาแล้วมันระเบิด แต่พอระเบิดแล้วไม่รู้ว่าเป็นตัวอะไรกระโดดเข้าใส่ แล้วตกใจมาก พอตกใจมากหลุดไป ๓ ปี ฟื้นมาตอนนี้เลยกลายเป็นบุคคลที่มีความรู้สึกอยู่ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ คือสติไม่สมบูรณ์ แต่ก็ดีขึ้น แต่ก็พูดได้ ทำงานได้ แต่ปัญญาจะไม่ทัน เราบอกนี่ชีวิตเป็นอย่างนี้

เราบอกว่า “ถ้าอย่างนี้แล้วนะ พยายามกลับมา กลับมาตั้งสติ”

ถามว่า “จะกลับมาภาวนาอีกได้ไหม?” ...ไม่กล้า ไม่กล้าอีกเลย ไม่กล้าหลับตาเลยล่ะ

เราบอกว่า “ถ้าจะฟื้นต้องฟื้นสติขึ้นมาก่อน แล้วก็ย้อนกลับมา”

ประสบการณ์ของเรานะ นั่งพรรษาแรกเลย บวชใหม่ๆ นี่แล้วทำดีมาก มันเป็นเหมือนกับรถยนต์ ไฟรถยนต์เห็นไหม พุ่งเข้าใส่เราเลย พุ่งเข้ามาเลย พุ่งเข้ามาเลยนะ แต่ของเราพุ่งเข้ามาเราก็มีสติพร้อมเห็นไหม เราบอกว่า “จิตเราสงบ”

ไอ้อย่างนี้นะมันไม่มีทุกคนนะ เวลาจิตคนสงบเฉยๆ ก็มี สงบตกจากที่สูงก็มี สงบแบบพิสดารก็มี มันอยู่ที่จริตนิสัย อยู่ที่อำนาจวาสนาของจิตแต่ละดวง ไม่เหมือนกันหรอก เราบอก ถ้าจิตเราสงบปั๊บ ถ้าเห็นดวงแก้ว เห็นอะไรอยู่ข้างนอก มันจะคล้ายๆ อย่างนี้ เพราะจิตมันสงบ เหมือนเรา ตาเราเห็นภาพ จิตสงบปั๊บจิตมันเห็น เห็นนิมิต เห็นอะไรก็แล้วแต่ เห็นนิมิตน่ะเห็นข้างนอก อันนี้ส่งออก ถ้าตามอันนี้ไปจะไม่มีวันจบหรอก เพราะหลวงตาท่านเคยบอก ท่านเคยตามแสงนี้ไป ท่านบอก

“ตามไปเถอะ ไม่มีวันที่สิ้นสุด”

แต่ถ้าของเราทำนะ ถ้าจิตสงบปั๊บถ้าเห็น ถ้ามันพุ่งเข้ามาใส่ คือว่าเราควบคุมไม่ได้ มันเหมือนกับเราถูกรางวัลที่ ๑ เหมือนเด็กได้เงินทองมาแล้วใช้เงินไม่เป็นจะทำให้คนนั้นเสียหมดเลย นี่มันพุ่งเข้ามา ถ้ารู้สึกมีเงินมันก็ยังดี แต่ถ้าเด็กแย่มากเลยเงินนี้ทำให้คนเสีย บ้า คนเราช็อกได้เลย สมมุติถูกรางวัลที่ ๑ ปั๊บเราช็อกตายไปเลย

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตมันเข้ามาปั๊บทำให้เสียหายไปเลย แต่ถ้ามันไม่ถึงกระนั้นนะ เรารักษามัน เราดี เราเห็นมันมา เราก็ว่าเราเป็นผู้วิเศษไง ฉะนั้นถ้าจิตมันเห็นปั๊บ จิตเห็น เห็นสิ่งที่รู้จิตเป็นผู้รู้ เห็นสิ่งที่ถูกรู้แล้วจะกลายเป็นประโยชน์ เราตั้งสติให้ดีแล้วรำพึง ดึงมันเข้ามา ดึงเข้ามา เราดึงมาต้องมีสิ่งใดไปดึง แต่ถ้าจิตเราสงบปั๊บเรารำพึง ความคิดไง รำพึง รำพึงให้ดวงแก้วหรือให้สิ่งที่เป็นสว่างขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ถ้ามีกำลังนะดึงแล้วมันจะเข้ามาๆ ถ้าเราไม่มีกำลังดึงมันจะไม่เข้า มันจะขืน ถ้าดึงเข้ามาๆ นะ ถ้ามีกำลังพอนะดึงเข้ามาเรื่อยๆ ดึงเข้ามาเรื่อยๆ จนดวงแก้วจากสิ่งที่เป็นความสว่างกับจิตมันเข้ามาเป็นอันเดียวกัน พออันเดียวกันปั๊บมันจะสว่างจากจิตออกไป พั่บ!

อภิญญา ๖ แสงตกที่ไหนรู้ที่นั่น เสียงที่ไหนรู้ที่นั่น แต่อภิญญาไม่ใช่อริยสัจ แล้วเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ แล้วถ้าทำเป็นนะ ถ้าทำไม่เป็นนะ นี่พูดถึงข้อเท็จจริงและวิธีการเป็นอย่างนี้ แต่ แต่ยังทำไม่ได้หรอก ทำไม่ได้เพราะอะไร? เพราะเดี๋ยวนี้กึ่งพุทธกาล ถ้าสมัยพุทธกาลมันจะมีคนที่มีอำนาจวาสนา คือว่าประสาเรานะเรามีกำลัง จิตเราดี แต่คราวนี้จิตพวกเรากึ่งๆ ก้ำๆ ไง จะว่าดีก็ชั่ว จะว่าชั่วก็คนดี จะว่าเป็นคนดีก็คนชั่ว คือว่ามันดิบๆ สุกๆ ไง พวกเรานี่ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ มันถึงทำอะไรไม่ค่อยได้กัน พูดถึงสัจจะความจริงเป็นอย่างนี้ นี่พูดถึงเราพยายามแก้เขา เขาฝากมา

แล้วย้อนกลับมาโยมผู้เฒ่านั้นน่ะ เขาบอกว่า “แล้วของเขาน่ะจิตมันสงบ โอ้โฮ สุขมาก สุขมากๆ เลยนะ พุทโธ พุทโธ พุทโธ แล้วมันสุขมาก บางทีมันแวบหาย”

แวบหายตกภวังค์ อย่าให้แวบไม่ได้เลย ถ้าแวบปั๊บมันจะตกภวังค์ เหมือนสะพาน ถ้าคอสะพานถ้าจิตเราพุทโธ พุทโธ พุทโธไปถึงสะพาน ถ้าสะพานมันถมไม่ดีมันจะตกคอสะพาน ฉะนั้นเราจะต้องถมๆ คือสติเราจะต้องให้ดีมาก พุทโธ พุทโธไปนี่ ต้องให้จิตเราพุทโธ พุทโธ อย่าให้ตกคอสะพาน ให้ขึ้นสะพาน เขาบอกข้ามสะพานไป เข้าสมาธิไปเลย แล้วเข้าสมาธิไปเลยมันสุขมาก แต่บางทีมันตกเห็นไหม แล้วตกนี่คืออะไร? ตกนี่คือภวังค์ นี่พรหมรูปฟัก ถ้าเป็นสมาธิมันก็มิจฉาสมาธิ ฉะนั้นให้ตั้งสติให้ดี แต่แกก็สงบได้ บอก “โอ้โฮ คิดถึงคำหลวงพ่อมากเลยว่าเราต้องรู้เองสิ เราต้องรู้เองสิ” เขาเป็นอภิธรรมมาตลอดเห็นไหม ตั้งแต่หนุ่มจนแก่ แล้วหนุ่มจนแก่ปฏิบัติกับเขามานี่ พอถึงเวลาก็ต้องไปส่งอารมณ์ ส่งอารมณ์

บอกว่า “มันไร้สาระ อะไรวะต้องไปส่งอารมณ์ มึงมีตังค์แล้วมาถามทำไมว่ามีตังค์ มีความสุขต้องมาถามเราเหรอ ก็สุขก็สุขที่ใจ”

เขาบอกว่า เขาซึ้งมาก เพราะทฤษฎีที่เขาสอนมานี่หลอกทั้งนั้นแล้วพอจิตของเขาไปเป็น บอกว่า เพราะหลวงพ่อบอกว่าต้องรู้เอง ธรรมะนี่สันทิฏฐิโก รู้เอง เห็นเอง จะต้องเป็นสมบัติของเรา มันเป็นสมบัติของเราแล้วมันมีความสุขมาก บอก “โอ้โฮ สุขมาก” สิ่งที่ทำๆ มาชั่วชีวิตเลยนะ ไร้สาระ หลอกกันมาตั้งแต่หนุ่มจนแก่ แล้วพอแก่ขึ้นมาพอทำได้ขึ้นมาถึงซึ้งใจมาก จะคิดอะไร จะคิดถึงหลวงพ่อ คิดถึงหลวงพ่อเลยล่ะ

แล้วทำอย่างไรต่อไป?

พยายามพุทโธเรื่อยๆ นะ พยายามทำพุทโธเรื่อยๆ เพราะอะไร? เพราะจิตนี่ สมาธินั้นเป็นอนิจจัง สรรพสิ่งนี้เป็นอนิจจัง เพราะมันเกิดแล้วมันก็แปรปรวน พอมันแปรปรวนเราก็ต้องกำหนดพุทโธบ่อยๆ บ่อยๆ จนจิตมันมีกำลังของมัน แล้วเวลาออกเห็นไหม เวลาออกถ้าจิตสงบเข้ามา พุทโธ พุทโธ พุทโธ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ

อัปปนาสมาธิมันปล่อยขันธ์หมดเลย มันปล่อยขันธ์นี้หมดเลย จิตมันสักแต่ว่าจิตเลย มันจะสงบมาก ทำอะไรไม่ได้ พอมันคลาย คำว่าถอนคือว่าความซาบซ่ามันออกมา มันถอนออกมาคือความรับรู้ จิตละเอียดเข้าไปมันปล่อยหมด มันเข้าไปละเอียดตัวมันเอง แล้วมันรับรู้ รับรู้อารมณ์ออกมา ถ้ารับรู้ออกมา พอรับรู้อารมณ์สิ่งรับรู้รำพึงไปที่กาย เวทนา จิต ธรรม ถ้ารำพึงไปที่กาย เวทนา จิต ธรรม เห็นกาย เวทนา จิต ธรรม โดยฐานที่เป็นสมาธิ วิปัสสนาจะเกิดตรงนี้

แล้วถ้าจิตมันไม่ได้ทำอย่างไร? ถ้าจิตมันไม่ได้นี่ พอเราออกมาแล้วเราก็ใช้ปัญญาได้คือฝึกฝนไง ปัญญาที่เราฝึกฝนเห็นไหม คนที่ทำงานเป็นมันต้องฝึกงานมาทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าจิตสงบแล้วจะมาเห็นกายเลยนี่มันก็ส้มหล่นเหมือนกันนะ มันเป็นของที่มันเป็นคุณวิเศษ มันเป็นของที่มหัศจรรย์ มันเป็นอริยสัจ มันเป็นสัจจะความจริงที่มันจะเกิดขึ้น เกิดขึ้นด้วยอำนาจวาสนา เพราะอะไร? นี่คืออริยสัจ นี่จะทำให้พ้นจากทุกข์

แล้วเราก็ย้อนกลับไป ย้อนกลับไปที่ว่าเราสร้างอะไรกันมา อำนาจวาสนาของเรา เราสร้างมาได้แค่ไหน? เรามีศรัทธามีความเชื่อเราอยากทำ แต่ศรัทธาความเชื่อเห็นไหม มานั่งอยู่นี่ ดูสิ ในกระเป๋าคนไม่เหมือนกันนะ ในกระเป๋าคนมีมากมีน้อยไม่เหมือนกัน คำว่าในกระเป๋านั้นคือเงิน แต่อำนาจวาสนาคือบารมี คือจิต จิตที่มันสร้างมาไง ถ้าจิตที่มันสร้างมาจิตใจมันจะเข้มแข็ง จิตใจมันจะเป็นจิตใจสาธารณะ จิตใจสาธารณะคือจิตใจที่มันไม่เห็นแก่ตัวไง

เห็นแก่ตัวคือเห็นแก่กิเลส ใครคิดถึงตัวเองก่อนคือคิดถึงกิเลสเพราะกิเลสมันอยู่ที่ตัว แต่ถ้าจิตใจมันเป็นสาธารณะ จิตใจที่มันมีการทำงานออกไป จิตใจอย่างนั้นเห็นไหม มันถึงเป็นอริยสัจไง นี่ไงธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ อันนี้ธรรมะสาธารณะนะ แต่เวลาธรรมมันเกิดขึ้นมา ธรรมะเป็นธรรมชาติของพระพุทธเจ้า แต่เราฝึกฝนน้อมขึ้นมาจนเป็นธรรมะของเรา จิตมันเกิดขึ้นมาเห็นไหม มันการกระทำของเรา นี่มรรคญาณไง นี่ก็เหมือนกับว่าเราตักอาหาร สำรับตั้งอยู่นี่อาหารเราตักใส่ปาก เราได้กินลงไป เราได้ลงท้องเรา เราก็เป็นความอิ่มของเรา

นี่ก็เหมือนกัน อริยสัจมันเกิดกับใครมันก็เป็นสมบัติของคนนั้น มันก็แก้กิเลสของคนนั้นเห็นไหม อย่างนี้ธรรมะมันถึงว่าธรรมะเอาออกมาได้อย่างไร? เอาออกมาโชว์กันได้อย่างไร? แต่มันออกมาด้วยการสอนนี่ไง ออกมาด้วยวิธีการไง ออกมาด้วยการบอกกล่าว แต่ตัวจริงๆ มันคือความรู้สึกตัวนั้น คือตัวใจแล้วมันย้อนกลับมา แล้วใจมันมีวุฒิภาวะต่างๆ กันมา เราถึงต้องเสือกคลานกันไป เราจะต้องทำของเราไป เราพยายามทำของเราไป ทำของเราไปนะ แล้วถ้าสัจจะความจริงขึ้นมานี่สันทิฏฐิโก

สันทิฏฐิโกหมายถึงว่ามันประสบเอง รู้เอง แล้วไม่ต้องมีใครบอก แล้วสอนง่าย เออ เอ๊อะ เอ๊อะ ...มันรู้กันหมดไง ไอ้รู้อยู่คนเดียว บ้าอยู่คนเดียวนะ ไอ้อย่างนั้นชี้นะ เออ เออ เออ ก็ต่างคนต่างเห็น เห็นไหม มันเห็นเหมือนกัน รู้เหมือนกัน มันจะซึ้งใจมาก แต่ถ้าเราฝึกไปนี่มันสมบัติภายใน นี่อริยทรัพย์ เราทำบุญกุศลนะ แม้มันเป็นอามิส มันเป็นบุญกุศล มันก็ต้องยังไปตามกรรม แต่อันนี้มันอยู่กับเรา เราจะขยับเขยื้อนมันเป็นของเรา เป็นของเราทั้งหมดเลยแล้วก็ทำได้ เขาทำได้เราก็ต้องทำได้

เขาเอามาให้ดู ถ้าพูดไปจากทั่วไปเพราะบ้ามา ๓ ปีนะ พ่อแม่พี่น้องจะทุกข์ขนาดไหน แล้วเขาเอาเข้ามาหาย แล้วทีนี้พอเขาเองเขาได้ประสบเขาถึงอยากจะดีขึ้นไง เขาอยากจะดีขึ้น เราก็บอกว่าไม่มีปัญหาหรอก หลับตาเถิด หลับตาแล้วตั้งสติ ตั้งสติ มีปัญหาเราแก้เอง

ที่ไปปฏิบัติกัน อยู่ดีๆ ก็ชักชวนกันเข้าไปในป่าช้า แล้วพอเจออะไรเข้าก็ตกใจ ถ้าตกใจตอนนั้นนะ มีคนปลอบนะ มีคนฟื้นมานะ มันก็ไม่เป็นอะไร พอมันตกใจเองแล้วมันก็ไป เพราะตกใจ คนตกใจมันก็ไป แล้วพอไปมันก็ยิ่งซ้ำเติมตัวเองไง ความคิดความอ่านมันก็เหยียบย่ำซ้ำเติมตัวเองไปเลย แล้วพยายามฟื้นกลับมา

แต่ถ้ามีครูมีอาจารย์นะ มันเรื่องธรรมดา บอกของเราอย่างที่ว่านี่มันเคลื่อนเข้าใส่เราเลย พุ่งเข้ามาเลยนะ เหมือนรถวิ่ง นั่งอยู่อย่างนี้รถวิ่งมาชนเราเลย ผงะเหมือนกัน เพราะตอนนั้นมันยังใหม่ ตอนใหม่ๆ มันจะมีอะไรลึกลับมหัศจรรย์มากพอสมควรเลย แต่ แต่เราเก็บไว้ ถ้าเขามาพูดปั๊บเราจะตอบได้หมด เพราะ เพราะเราก็เป็นมาแล้ว เราเคยเป็นเคยมา เราเคยประสบการณ์อย่างนี้ เราเคยประสบมาหมด แล้วเวลาพูดไปเห็นไหม เอ๊ เด็กๆ พูดอะไรขนาด (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)