เทศน์เช้า วันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เวลาพระออกปฏิบัติ เวลาพระออกปฏิบัติ เห็นไหม มันมีน้ำมีเนื้อไง คิดดู ความเป็นจริง ข้อเท็จจริง การประชาสัมพันธ์ถ้ามันมีเนื้อหาสาระข้อเท็จจริงด้วย มันก็เป็นการประชาสัมพันธ์ที่มันมีเนื้อหาสาระ ถ้าการประชาสัมพันธ์มันไม่มีข้อเท็จจริง ประชาสัมพันธ์ไปเฉยๆ นั่นแหละ แล้วเข้าไปแล้วมันว่างเปล่า พอว่างเปล่าเสร็จ การประชาสัมพันธ์คนก็เชื่อไป เห็นไหม
นี่ก็เหมือนกัน เราเป็นพระเป็นเจ้ากัน เราก็ไปคว้าน้ำเหลว คว้าน้ำเหลว แต่ถ้ามันออกไปอย่างนี้มันสะดุ้งนะ มันเอาชีวิตเข้าเสี่ยงนะ ดูสิ เห็นไหม เวลาอยู่ในป่า ช้างมันยืนอยู่บนตรงทางจงกรมเหมือนภูเขาลูกหนึ่งไปยืนอยู่ตรงนั้น แล้วอย่างนี้พวกเสือเทพ ช้างเทพต่างๆ มันมาช่วยเหลือกันนะ การช่วยเหลือกันนั้น คนดีผีคุ้ม เราว่าคนดีผีคุ้มนะ คนดีจะช่วยเหลือเจือจานกัน ความเจือจานๆ ในสิ่งที่เป็นคุณธรรมนะ คิดดูสิ เราเดินจงกรมอยู่ แล้วมาอาศัยมาช่วยเหลือให้จิตมันสงบ ให้จิตมันสงบให้เกิดปัญญา เกิดความสงบนะ
อริยทรัพย์ ทรัพย์จากภายใน มาให้อริยทรัพย์นะ มาให้ทรัพย์สมบัติจากภายในนะ ไม่ใช่ให้ทรัพย์จากภายนอก ทรัพย์จากภายนอก เห็นไหม กู้ยืมกันก็ได้ อะไรกันก็ได้ ทรัพย์จากภายในเป็นสมบัติของส่วนตนนะ สมบัติส่วนตน ดูสิ พระนาคิตะ เห็นไหม เห็นเขาไปเที่ยวกัน เดินจงกรมอยู่
โอ้ย เขามีแต่ความสุขกัน เราทุกข์เรายาก เราต้องมาทรมานตน
เทวดามายับยั้งกลางอากาศ เชื่อหรือไม่เชื่อล่ะ? เทวดามายับยั้งกลางอากาศเลย สิ่งที่เขาหมุนเวียนกันอยู่ เขายังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏะนะ ท่านต่างหากเป็นผู้ประเสริฐ เห็นไหม สติสัมปชัญญะย้อนกลับมาเลย ย้อนกลับมา พิจารณาคืนนั้นเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเลย เห็นไหม สิ่งนี้เป็นอริยทรัพย์ สิ่งที่มา เทพดลใจก็ได้ หรือเทพแปลงกายก็ได้ สิ่งที่แปลงกาย แต่เราไม่เข้าใจ เราเห็นเป็นรูปร่างขึ้นมา รูปร่างขึ้นมาสภาวะแบบนั้น แต่มันย้อนกลับมาจากหัวใจ เพราะอะไร? เพราะเรากลัว สิ่งใดที่เรากลัว เด็ก เห็นไหม เด็กเราให้ของไปมันก็ถูกใจของมัน เรากลัวอะไรล่ะ? กลัวผีกลัวสาง กลัวสัตว์ร้าย กลัวต่างๆ ก็เอาสิ่งนั้นมายับยั้งเรา
ครูบาอาจารย์ท่านพูดบ่อย เห็นไหม เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติถ้าสิ่งนี้มาช่วยเร้าให้สงบได้ คิดถึงนะเวลาเราทุกข์เรายาก เวลาเราฟุ้งเราซ่าน เราทุกข์เรายาก เราทรมานตนเอง ทรมานตน เห็นไหม เวลาพระไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นพระอรหันต์นะ ใครทรมานมา ใครทรมาน ครูบาอาจารย์ทรมาน
คำว่าทรมาน คือการชี้แนะ การทรมาน เห็นไหม การทรมานดัดแปลงให้เรา การทรมานพวกเราก็ทรมานทำให้เจ็บช้ำน้ำใจ การทรมานเจ็บช้ำน้ำใจนั้นเป็นเรื่องของโลกๆ การทรมานทางธรรม ทรมานจากโลกให้เป็นธรรมไง จากให้มันละทิ้งสิ่งต่างๆ นี่คือการทรมาน
การทรมาน การชี้ทาง การบอกทางกัน เพราะอะไร? เพราะกิเลสมันปักเสียบอยู่ในหัวใจ แล้วการถอน เราจะถอนได้อย่างไร? ก็ต้องบอกชี้แนะให้เขาเข้าใจ ให้เขาเข้าใจว่าทิฏฐิ ตัณหาความทะยานอยากอย่างนี้ ทิฏฐิตัณหา ทิฏฐินะ ทิฏฐิของเรามันเป็นมิจจาทิฏฐิ แล้วถอนมันออา จะเอาอะไรไปถอนมัน? ก็ต้องเป็นสัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิ นี่มุมมองมันต่างกัน เพราะทิฏฐิที่ต่างกัน มันก็มีปัญหากัน เห็นไหม
เวลาภิกษุเรา หมู่ผู้ประพฤติปฏิบิติ ทิฏฐิเสมอกัน คำว่าทิฏฐิเสมอกัน ทิฏฐิมันคล้ายคลึงกัน ทิฏฐิคล้ายคลึงกัน คนรสนิยมคล้ายๆ กัน ทำอะไรมันก็ไปเป็นแนวทางเดียวกัน ถ้ารสนิยมไม่เท่ากัน ทิฏฐิต่างกัน อยู่ด้วยกันมันจะขัดแย้งกัน ขัดแย้งทิฏฐินะ ถ้าขัดแย้งทิฏฐิน่ะมีปัญหามากเลย ถอนทิฏฐิ เห็นไหม การจะถอนทิฏฐิ เอาอะไรเข้าไปถอน เห็นไหม สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้องเข้าไปถอน แล้วความเห็นถูกต้องมาจากที่ไหน? ความเห็นของเราความเห็นมันหมองไปด้วยอุปกิเลส
แล้วธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนมีดเลย วงการของหมอ มีดถ้ามันติดเชื้อ ไปผ่าตัดคนไข้ ขนาดคนไข้เจ็บไข้ได้ป่วยขนาดไหน ถ้าเครื่องไม้เครื่องมือเขาติดเชื้อ เขาไม่อยากทำให้หรอก เขาทำให้ไม่ได้ ยิ่งทำให้ยิ่งเพิ่มโทษเข้าไป
นี่ก็เหมือนกัน ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่มีกิเลสเราบวกเข้าไป เห็นไหม มันเป็นของที่ติดเชื้อ ติดเชื้อคือเชื้อกิเลสไง แล้วประพฤติปฏิบัติขึ้นมา หลงไหลกันไปนะ ออกไปมันไม่มีเนื้อหาสาระ มันไม่มีข้อเท็จจริงไง ประชาสัมพันธ์กันไป
ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ปรมัตธรรมนะ มันจะผิดพลาดไปที่ไหน ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผิดพลาดเพราะกิเลสของเรานั่นล่ะ ผิดพลาดเพราะมันติดเชื้อ เพราะเชื้อไข เชื้อกิเลสมันบวกเข้าไป พอบวกเข้าไป มันก็ไปทำให้แผลเข้าไปขยายเข้าไป มันก็ทำให้ทุกข์มันยากเข้าไป เห็นไหม แต่การกระทำมันก็ต้องมาเริ่มต้นจากโลก คือจากใจของเรา ถ้ามีศรัทธามีความเชื่อ ต้องพยายามทำความสงบของใจให้ได้ เห็นไหม การทำความสงบของใจ นี่การฆ่าเชื้อ การฆ่าเชื้อไม่ให้เครื่องมือมันติดเชื้อไง การฆ่าเชื้อคือสัมมาทิฏฐิ กิเลสมันถึงสงบตัวลง ถ้ากิเลสไม่สงบตัวลงมันเป็นสมาธิไม่ได้ ถ้าเป็นสมาธิได้ เป็นสมาธิแล้ว เห็นไหม สมาธิมีความสุขมาก ความสุขมากแล้วทำอย่างไรต่อไป? ทำอย่างไรต่อไป?
มีมีดนะ มีเครื่องมือแล้วผ่าตัดไม่เป็น ผ่าตัดไม่ได้อีก หาเครื่องมือก็หายาก หามาแล้วก็ผ่าตัดไม่เป็น ปล่อยให้เครื่องมือไปติดเชื้ออีก เพราะมันเสื่อมไง พอเป็นสมาธิปั๊บเดี๋ยวมันก็คลายตัวออก คลายตัวออกติดเชื้ออีก ติดเชื้อก็ต้องไปทำความสะอาดอีก ทำความสะอาดแล้วมันก็อยู่อย่างนั้น แต่มันก็เป็นสิ่งที่ดี สิ่งที่ดี เห็นไหม เริ่มต้นจากที่นี่ ถ้ามีเนื้อหาสาระ เราจะทำด้วยความมีเนื้อหาสาระกัน มันต้องลงทุนลงแรง ลงทุนลงแรงเพราะอะไร? เพราะเราไฟมันร้อน เวลาไฟมันสงบลง มันก็อบอุ่น เห็นไหม แล้วไฟมันเย็นขึ้นมา มันเป็นประโยชน์ขึ้นมา เห็นไหม
นี่ก็เหมือนกัน ตบะธรรม เราต้องสร้างนะ เราจะทำสมาธิเราก็ต้องสร้าง เราจะทำปัญญาขึ้นมาก็สร้าง ถ้าปัญญามันเกิดขึ้นมาเอง เห็นไหม พระอรหันต์ พระผู้ปฏิบัติ ไม่ติดในสมาธิกัน ฤาษีชีไพรเป็นพระอรหันต์ไปหมดแล้ว ถึงมีสมาธิแล้วถ้าไม่ฝึกมันก็ไม่เกิดขึ้นมา การฝึก เห็นไหม ฝึกปัญญา พอฝึกปัญญาฝึกผิดอีก ฝึกปัญญาก็ไม่ได้ มันเป็นตัณหาความทะยานอยาก การไม่ฝึกมันจะเกิดได้อย่างไร?
เด็กเราต้องสอนมัน เห็นไหม เด็กเราต้องประคับประคองให้มันโตขึ้นมา ถ้าประคับประคองให้มันโตขึ้นมา แล้วเด็กนิสัยเขาก็ดีด้วย จริตนิสัยเราต้องการด้วย แล้วเราเกิดโดยธรรมด้วย โดยโลกุตตรปัญญา มันก็ก้าวหน้าๆ ก้าวหน้าขึ้นมาเป็นสันทิฐิโก เป็นเรื่องในหัวใจ แล้วพอเห็นโลก เห็นไหมดูสิ เวลาฝนตกฟ้าร้องเป็นประโยชน์กับเรา พืชสวนไร่นามีความชุ่มชื่นมากเลย มีแต่ฟ้าร้องๆ ฝนไม่ตก เราก็ไปยืนรอฝนๆ มันแห้งแล้งนะ พืชเฉาตายหมดเลย
นี่ฟังธรรม เวลาธรรมออกมา ออกมาจากกิเลสมันเป็นสภาวะแบบนั้น ถ้าธรรมมันออกมาจากธรรม เห็นไหม มันชุ่มชื่นนะ มันเป็นความจริง มันมีความจริงบวกออกมากับธรรมนั้น เสียงไม่ใช่เสียงเปล่าๆ เสียงมันมีธรรมบวกออกมาด้วย แต่ถ้ามันไม่มีธรรมนะ มันก็เสียงเปล่าๆ เสียงฟ้าร้องๆ เราก็ตื่นเต้นกัน ฟ้าร้องๆ แล้วฟ้าร้องไม่มีฝนสักเม็ดหนึ่ง เห็นไหม มันไม่มีข้อเท็จจริงในสัจจะอันนั้น ถ้าไม่มีข้อเท็จจริงในสัจจะอันนั้น การกระทำมันก็ไม่มีข้อเท็จจริง เพราะอะไร? เพราะมันไม่มีเม็ดฝน เห็นไหม เพราะไม่มีเม็ดฝนเราก็ไม่รู้ว่าน้ำเป็นอย่างไร? ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร แล้วก็รองรับน้ำอย่างไรก็ไม่เข้าใจ อะไรก็ไม่เข้าใจๆ พูดได้ พูดได้ ฟ้าร้องได้ แต่เวลาออกสัจจะความจริงมันไม่มี
ถ้าสัจจะความจริงมันมี เห็นไหม ฝนมันตกเพราะอะไร? เพราะเมฆมันรวมตัวกัน มันมารวมตัวมันมีน้ำหนักขึ้นมา มันเปลี่ยนเป็นหยดน้ำลงมา มันตกลงมา แล้วเรารับขึ้นมา มันทำอย่างไร? มันเป็นอย่างไร? น้ำนี่เราจะรองอย่างไร? แล้วจะใช้ประโยชน์กับน้ำอย่างไร? น้ำนี้สะอาดเอาไว้ดื่มไว้กิน น้ำนี้เราจะเอาไว้เพื่อรดผัก น้ำนี้เห็นไหม แล้วรดผัก แล้วผักมันโตอย่างไร? เห็นไหม
พอเราวิปัสสนาไป ปัญญามันเกิดขึ้นมา มันจะมีการรู้แจ้ง การสัมผัส การสัมผัสของใจ ใจมันสัมผัสสภาวะแบบนั้น มันปล่อย มันคลายขึ้นมา เห็นไหม เราเห็นใบอ่อนแตกจากต้นไม้นะ มีความสุขมากนะ คนเห็นพืชพันธุ์ธัญญาหารใบอ่อนมันแตกขึ้นมานะ มันใบอ่อนมันไร้เดียงสานะแล้วมันจะเป็นใบแก่นะ พอใบแก่ขึ้นมามันเพื่อสร้างอาหารให้กับลำต้นมันนะ แล้วลำต้นมันนะพอถึงที่สุดมันต้องทิ้งใบมันนะ ชีวิตเราเป็นอย่างนี้นะ ความเป็นไปเราเป็นอย่างนี้นะ
ปัญญาเราเกิดอย่างนี้ขึ้นมา มันซึ้งใจมากนะ ซึ้งใจ มันเป็นของเราเอง มันรู้จักใจของเราเอง เห็นไหม แล้วพูดที่ไหนก็พูดได้ มันเป็นไป ข้อเท็จจริงเป็นสภาวะแบบนั้น เราถึงเวลาเราทำกัน เราถึงต้องทำไง มันไม่มาจากการจำ ไม่มาจากไปก๊อบปี้มา ไม่มาจากใดๆ ทั้งสิ้น สิ่งนี้มันเป็นการจุดประเด็นให้เราศรัทธา ให้มีเชื่อ แล้วเราต้องทำของเรานะ ตั้งสติก็สติของเรา สมาธิก็ต้องสมาธิของเรา ปัญญาก็ปัญญาของเรา ของครูบาอาจารย์ก็เป็นของท่าน ท่านชี้นำนะ พ่อแม่รักลูกทุกคนนะ พ่อแม่อยากให้ลูกเป็นคนดี พ่อแม่พยายามประคองรักษาให้ลูกเป็นคนดี ลูกเป็นคนดีก็มี ลูกเสมอพ่อแม่ก็มี ลูกไม่ยอมรับก็มี ลูกขัดขืนดื้อดึงก็มี เห็นไหม แต่พ่อแม่ก็ยังรักยังถนอมเพราะเป็นลูกของเรา เห็นไหม
นี่ก็เหมือนกัน ศากยบุตรพุทธชิโนรส องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาอย่างนั้น เห็นไหม ฝากศาสนาไว้กับเราเลย ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เราเป็นเจ้าของศาสนานะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากไว้เลยนะ พอเป็นชาวพุทธ เห็นไหม ศากยบุตรพุทธชิโนรส ฝากมรดกตกทอดกันมา แล้วมรดกตกทอดขึ้นมาเรารักษาสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ไหม? ถ้าเรารักษาได้ เห็นไหม รักษาได้มันก็เป็นธรรมของเรา พอธรรมของเราขึ้นมา เราก็เป็นที่พึ่งอาศัยของเราเองก่อน ของเราเองนะ มันรู้จริง มันรู้จริงไม่สงสัย
คนสงสัยเป็นคนน่าสงสารนะ สงสัย สนเท่ห์ คิดดูสิ แล้วกล้าเข้าสังคมไหม เราจะพูดอะไรก็พูดบิดเบือนไปทางอื่น จะพูดอะไรต้องพูดออกห่างๆ ไว้ ถ้าเข้ามาแล้ว เราเป็นอะไร เพราะเราเป็นพระใช่ไหม? เราเป็นครูบาอาจารย์ใช่ไหม? เราต้องตอบได้ใช่ไหม? เราต้องชี้แจงได้ใช่ไหม? พูดอะไรจะเบี่ยงออก จะเบี่ยงออก จะเบี่ยงออกไกลๆ กลัวว่าจะเข้ามาในจุดที่เราไม่รู้ ถ้าเข้ามาในจุดที่เราไม่รู้ตกใจนะ
ดูสิ ครูอาบาอาจารย์ท่านว่า ถ้าเราไม่เข้าใจเวลาเทศน์ขึ้นมา เหงื่อไหลไคลย้อยนะ เพราะอะไร มันเปิดอกออกมา มันไม่มีอะไรออกมาหรอก ถึงจะปัดออกห่างๆ ไว้ พูดแต่เรื่องอื่น พูดแต่เรื่องไร้สาระ ถ้าเรื่องไร้สาระน่ะชอบ แต่เรื่องที่เป็นสาระไม่มี เห็นไหม แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ เห็นไหม แม้แต่ไม่พูดท่านก็เห็น ท่านก็รู้ แล้วท่านยังชักนำเข้ามาเพราะอะไร? เพราะนั่นปัจจัย ปัจจัยเครื่องอาศัย ปัจจัย ปัจจัยเครื่องอาศัยไม่ใช่ของจริง ของจริงคือความรู้สึก ของจริงคือหัวใจ เครื่องอาศัยมันก็ต้องอาศัย ปัจจัย ๔ เครื่องอาศัย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ปฏิเสธปัจจัยเครื่องอาศัย ภิกษุก็ต้องมีปัจจัย ๔ เห็นไหม บริขาร ๘ คือสิ่งแสวงหาปัจจัย ๔ มาดำรงชีวิต
แต่คุณธรรมล่ะ? คุณธรรมความจริงในหัวใจล่ะ? ถ้าคุณธรรมความจริงในหัวใจ เห็นไหม ปัจจัยเครื่องอาศัยด้วย แล้วเรารักษาใจของเราด้วย เราทำของเราขึ้นมาเป็นความจริงขึ้นมาด้วย ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา เห็นไหม
สุขใดเท่าความสงบของใจไม่มี
ถ้าใจมีความสงบเข้ามาแล้วมันมีความสุขของมัน เพราะความสุขของมัน เห็นไหม สุขนี้ใครเป็นคนประสบมา สุขนี้ทำมาเพราะเหตุใด? ถ้าไม่ทำมามันอย่างไร? เราตักข้าวจากหม้อ เห็นไหม เราตักข้าวใส่จาน เรากินข้าว เรายังรู้เลยวิธีตักข้าวจากหม้อเป็นอย่างไร แต่แม่ครัวเขาหุงมานะ เขาเอาข้าวจากกระสอบมานะ เอาจากถุงมาล้างก่อน เห็นไหม แล้วเอามาใส่หม้อแล้วจะหุงนะ เราไปตักจากหม้อนะ แต่แม่ครัวเขาหุงมา เขาทำมา
นี่ก็เหมือนกัน เราน่ะธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีอยู่แล้ว ถ้าเราสัมผัสมา เราทำมา เราทำมา เราเห็นเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป เห็นไหม ถ้าใครตักได้ที่หม้อก็ว่านี่ข้าวมาจากหม้อ ถ้าแม่ครัวบอก ไม่ใช่มันมาจากกระสอบข้าวนู่น ไอ้ชาวนาบอก ไม่ใช่ ไม่ใช่เพราะอะไร? เพราะเม็ดข้าวนี่มันโตขึ้นมาจากไร่นานู่น เราเก็บเกี่ยวขึ้นมา เขาก็ไปสีมานู่น เห็นไหม
ความลึกของใจมันลึกเป็นชั้นๆๆ เข้าไป ลึกเป็นชั้นเข้าไป การปฏิบัติมันลึกเป็นชั้นๆๆ เข้าไป ลึกเป็นชั้นเข้าไปมันก็ได้คุณธรรมสูงๆๆ เข้าไป เห็นไหม สูงขึ้นมาในหัวใจมันจะย้อนเข้าไปในใจ การประพฤติปฏิบัติมันเป็นอย่างนี้ แล้วสัจจะธรรมมันมี ความรู้สึกมันมี การกระทำมันมี คนมันเป็นขึ้นมามันพูดได้ทุกชั้นทุกตอน เราไม่รู้นะ ตักแต่หม้อกัน โอ้ย ข้าวมาจากหม้อ ข้าวมาจากหม้อ
พระไตรปิฎก พระไตรปิฎก แต่พระไตรปิฎกเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ แล้วหม้อข้าว ข้าวมันมาจากไหน? แล้วข้าวจะมาจากกระสอบมาจากไหน? มาจากไหน? เห็นไหม เขาทำขึ้นมาเป็นชั้นเป็นตอน เป็นความจริงขึ้นมา มันมีที่มาที่ไป อริยสัจเป็นความจริงอันหนึ่ง สัจจะความจริง ถ้าเราทำความจริงจะได้ความจริง ถึงจะต้องลงทุนลงแรง การกระทำของเราเป็นของเรา อย่าน้อยเนื้อต่ำใจ
เดินจงกรมมันเหนื่อยล้า งานการเหนื่อยล้าน่ะมันเป็นธรรมดา การทำงานเป็นเรื่องธรรมดา ธรรมดาเลยนะ แล้วเราจะฆ่ากิเลสของเรา เราต้องลงทุนลงแรงมากไปกว่านั้น เพราะกิเลสมันก็ตามมากับความคิดเราแค่นี้แหละ โอ้ย เต็มที่แล้ วไม่ได้เลย แล้วคนอื่นจะได้ได้อย่างไร? เขาทำมากกว่านี้ เขาทำดีกว่านี้ เขาทำถูกต้องมันดีกว่านี้
งานชอบ งานชอบ นี่งานชอบ ทุกอย่างมันจะชอบเข้ามา ละเอียดเข้าไปเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป ทำของเราไปเรื่อยๆ ประสบการณ์ของจิตมันจะทดสอบตรวจสอบ แล้วผิดมันจะเป็นครูเรา อย่างนี้ผิด อย่างนี้ถูก อย่างนี้ผิด อย่าเพิ่งเชื่อ อย่าเพิ่งเชื่อสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นมา เห็นไหม อะไรเกิดขึ้นมากับใจถ้ามันยังไม่มีผลตอบสนอง มันไม่เป็นสมุจเฉทปหาน มันคลายตัวได้มันเป็นอนิจจังทั้งหมด แต่ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมานะ ผลักไส ผลักให้ไปมันก็ไม่ไป อกุปปธรรมอยู่กับใจ ทำอย่างไรมันก็ไม่ไป มันแนบอยู่กับใจอันเดียว สลัดอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้ เป็นอื่นไปไม่ได้ อฐานะที่เป็นอื่นเลย ถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นแล้วจะเป็นสมบัติของเรา
สมบัติของเรา เกิดจากความจริงจังของเรา เห็นไหม ถ้าทำจริงก็ได้จริง ของจริงมันจะเป็นของจริง แล้วเราทำปลอมๆ ทำกันเล่นๆ ทำกันสักแต่ว่า ทำเป็นงานอดิเรก ทำงานทางโลก งานนั่งคุยกันเป็นงานจริง งานประพฤติปฏิบัติเป็นงานอดิเรก งานทำเพื่อความเป็นสุข เพื่อชั่วคราว แล้วมันจะได้จริงมาจากไหน เห็นไหม ความจริงคู่กับความจริง ความไม่จริงคู่กับความไม่จริง ตั้งสัจจะของเราให้ได้ แล้วทำของเราให้ได้ แล้วจะเป็นสมบัติของเรา เอวัง