เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๘ มี.ค. ๒๕๕๑

เทศน์เช้า วันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๑
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลามาวัด เรามาวัดกัน เห็นไหม ดูการศึกษาของเด็กนะ เห็นไหม จบอนุบาล ขึ้นประถม ขึ้นมัธยม ขึ้นอุดมศึกษา เด็กมันมีการศึกษาตลอดไป ชีวิตเราก็มีการศึกษา เห็นไหม การศึกษาตลอดชีวิต ถ้าการศึกษาตลอดชีวิต แล้วมันจบสิ้นการศึกษาไหม? โลกนี้ไม่มีการจบสิ้น การศึกษาไม่จบนะ ออกมาทำงานแล้วก็ออกไปเรียนต่อๆๆ เห็นไหม เรียนต่อกันไปจนคิดว่าตัวเองเข้าใจล้วน เข้าใจสิ่งต่างๆ เข้าใจสิ่งในโลกนะ แล้วก็ศึกษากันไม่มีวันจบ เห็นไหม

แต่เรามาวัด เรามันมีข้อวัตรปฏิบัติ เราวัดของเรา วัดว่ามันมีความสั้นความยาวขนาดไหน ความรู้สึกของเรามันมีความสั้นความยาวขนาดไหน ถ้ามันวัดตรงนี้จบนะ สิ่งที่ทำจบ การศึกษานี้ศึกษาไม่มีวันจบหรอก

การศึกษา เห็นไหม พอศึกษานี่ภาคปริยัติ ถ้ามีการปฏิบัตินะ การปฏิบัติเราจะทันตัวเราเอง เราจะทันความคิดเราเอง เราจะทันความรู้สึกเราเอง ชีวิตนี้มีการศึกษาไม่มีวันจบ การศึกษาของโลกจบไม่ได้ มันมีทางต่อไป เห็นไหม ทางวิชาการมันไม่มีวันที่สิ้นสุด มันสิ้นสุดได้อย่างไรล่ะในเมื่อมันเป็นอนิจจัง มันมีการใช้สอย พลังงานมันใช้หมดไป

แต่จิต เห็นไหม จิตของเรามันมีอยู่กับเรา สิ่งที่มันมีอยู่กับเรา สิ่งที่มีอยู่กับเรานะ แต่มันเป็นสันตติ มันเป็นธาตุที่มีชีวิต ธาตุรู้ เห็นไหม ธาตุ ๖ ธาตุ ๔ ขันธ์ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาสธาตุ อากาศในช่องอากาศในอวกาศ แล้วธาตุรู้ ธาตุรู้เห็นไหม ธาตุรู้เป็นธาตุอันหนึ่ง แต่ธาตุนั้นเป็นสิ่งที่มีชีวิตมันถึงเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ เห็นไหม จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส สิ่งที่มันจิตเดิมแท้มันมีพลังงานของมัน มันมีชีวิตของมัน เห็นไหม ปฏิสนธิจิต

เวลาวิญญาณ วิญญาณความรู้สึก เวลาอธิบายกันธรรมะๆ นี่วิญญาณความรู้สึก เห็นไหม ขันธ์ ๕ สิ่งต่างๆ มีความรู้สึก ความคิด ความจำ ความต่างๆ นี่ความรู้สึก มันเป็นอาการของใจ มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ มันเป็นธรรมชาติของสสาร มันเป็นธรรมชาติของสถานะที่มันได้มาโดยธรรมชาติ สิ่งที่เป็นธรรมชาติมันก็เป็นธรรมชาติ ธรรมชาติเรารู้มาแล้วมันก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง เห็นไหม ทางวิชาการเขาทันได้นะ เขาศึกษาได้ ดูทางจิตแพทย์ จิตแพทย์ดูสิ เวลาคนป่วยทางจิต เห็นไหม เขารักษาจนหายเป็นปกติได้ แต่ความเป็นปกติขนาดไหน มันก็เรื่องของจิต มันก็เวียนไปตามธรรมชาติของมันนะ แต่ธรรมะมันลึกซึ้งกว่านั้น มันลึกซึ้งกว่า มันชำระล้างได้จนเป็นมหัศจรรย์นะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วนี่ทอดอาลัย ทั้งๆ ที่ปรารถนานะ ทั้งๆ ที่ปรารถนามาจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ สิ่งอันนี้จะเอาวิชาการอันนี้เพื่อมาเผยแผ่ เอามาเผื่อแผ่พวกเราสัตว์โลกไง แต่เวลาไปรู้เข้าแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพุทธวิสัยนะ เป็นปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังคิดว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไรเลย มันลึกลับมหัศจรรย์ขนาดนั้น แล้วครูบาอาจารย์ของเราที่ปฏิบัติไปแล้วมันไปเห็นนะ ไปเห็นไปรู้เข้า มันก็มีความรู้สึกอย่างนั้น

โดยความรู้สึกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแทบจะท้อใจเลยนะ แล้วคิดดูสิ แล้วครูบาอาจารย์ของเราปัญญามันทันกันไม่ได้ มันก็มีความรู้สึกอย่างนั้น แต่ถ้าความรู้สึกอย่างนั้นน่ะ แล้วเวลาทำมาล่ะ มันถึงว่าเหมือนหน้ามือกับหลังมือเลย ถ้าเราเห็นหน้ามือก็ไม่เห็นหลังมือ เห็นหลังมือก็ไม่เห็นหน้ามือ

ความคิดของเราเป็นความคิดอันหนึ่งเป็นความคิดของโลก มันเป็นความคิดบนหลังมือ แล้วหน้ามือเป็นอย่างไร? เห็นไหม ถ้ามันเป็นอย่างไร เวลาปัญญามันเกิดขึ้นมา มันจะลึกลับมหัศจรรย์ขนาดไหน ถ้าความลึกลับมหัศจรรย์ คำว่า “ลึกลับมหัศจรรย์” มันพิสูจน์ไม่ได้หรือ ถ้าว่าลึกลับมหัศจรรย์ของอย่างนี้เป็นความรู้สึก เห็นไหม ดูหน้าไม่รู้ใจ เห็นหน้ากันแต่ไม่เข้าใจเรื่องความรู้สึกนึกคิด แต่ความรู้สึกความนึกคิดถ้ามันเป็นไปนะ ทำไมมันจะสื่อออกมาไม่ได้ ถ้ามันสื่อออกมา เห็นไหม ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ อริยสัจอันเดียวกันไง

นี่ความว่าง ขอบเขตของความว่างมันถึงสื่อกันได้ ถ้าความว่างของโสดาบัน ความว่างสกิทาคามี ความว่างอนาคามี ความว่างของสิ้นพระอรหันต์นะ ถ้าความว่างพระอรหันต์มันว่างอย่างไรเห็นไหม มันมีขอบเขตของมัน มันตรวจสอบกันได้ ถ้าตรวจสอบกันได้นะ ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ เห็นไหม ถ้าตรวจสอบกันไม่ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ยังไม่เทศนาว่าการนะ จนพระโมคคัลลานะไปเห็นนั่นๆ

“เรามีพยานแล้วเราถึงพยากรณ์ เรามีพยานแล้ว เรามีพยานแล้วนะ”

ถ้ายังไม่มีพยานนะ รู้อยู่คนเดียว รู้อยู่คนเดียว เห็นไหม หาพยานหาหลักฐาน แล้วถ้าเรามีลูกศิษย์ ครูบาอาจารย์สั่งสอนลูกศิษย์แล้วลูกศิษย์ดีกว่า ดูสิ ลูกศิษย์ของเราบางคนฉลาดกว่าเรานะ บางคนมีปัญญามากกว่าเรานะ ถ้าลูกศิษย์ของเราเวลาเข้าใจขึ้นมาแล้วมันตามทันอาจารย์ แล้วมันจะเคารพครูบาอาจารย์ได้อย่างไร? แล้วถ้ามันเคารพครูบาอาจารย์ เห็นไหม เคารพครูบาอาจารย์ด้วยคุณสมบัติไง อย่างเรามานี่เราจะมีความรู้ต่างๆ ครูบาอาจารย์ชักนำเรามาใช่ไหม? ครูบาอาจารย์ชักนำเรามา ชี้ทางเรามา แล้วเราเป็นคนพยายามปูพื้นฐาน ต้องปูพื้นฐานนะ

ทางวิชาการ เห็นไหม เราศึกษามาเราต้องต่อยอด ถ้าเราต่อยอดน่ะเป็นสมบัติของเรา แต่เราบอกว่าสิ่งที่เราต่อยอดเอามาจากไหน? เอามาจากครูบาอาจารย์อย่างนั้นๆๆ แล้วครูบาอาจารย์ สิ่งต่างๆ เห็นไหม ในทางวิชาการลูกศิษย์ต้องเก่งกว่าอาจารย์ตลอดไป ทางวิชาการถึงจะเข้มแข็ง

แต่สัจจะความจริงในศาสนานะ ไม่มีใครดีไปกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรอก พุทธวิสัยครอบหมด เห็นไหม พุทธวิสัยครอบหมด แล้วเรามาศึกษาของเรา แล้วเราว่าหมดยุค หมดสมัย หมดกาล มันเป็นไปไม่ได้หรอก หมดยุค หมดสมัย หมดกาล เราก็ต้องมีความสุขสิ เราต้องมีความรู้จริงสิ นี่มันไม่มีความรู้จริงเลย เห็นไหม

เราศึกษามาเป็นวิชาชีพ ศึกษามาเป็นความรู้นะ แต่มันต้องปล่อยวางให้หมด ถ้ามันปล่อยวางไม่หมดนะ ความศึกษานี้กิเลสมันพาศึกษา ความศึกษานี้มันมีทิฏฐิมานะเราบวก ทิฏฐิมานะเราบวก เห็นไหม เราถึงต้องปล่อยวาง การปล่อยวางของเรา ที่เรามาตรวจสอบกันนี่ ไปวัดไปวัดใจนะ เราไปวัดไปฟังธรรม เวลาฟังธรรมขึ้นมา เห็นไหม สิ่งที่ได้ยินได้ฟังแล้วเหมือนขันนอต ขันนอตเข้าไป เห็นไหม สิ่งที่ได้ยินได้ฟังแล้วเราได้ฟัง ฟังสิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง เห็นไหม ฟังถ้าจิตมันสมดุลกัน จิตมันสมดุลนี่มันจะเข้าใจ พอมันเข้าใจ เห็นไหม ความสว่าง ความสว่างคือความสว่างของแสงอย่างหนึ่ง ความสว่างของความเข้าใจเป็นอย่างหนึ่ง ความสว่างอย่างนี้มันเป็นความสว่าง วัดใจบ่อยครั้งเข้าๆ แล้วมัน เอ๊ะ! เอ๊ะ! เอ๊ะ! เวลาครูบาอาจารย์น่ะ เอ๊ะนะ ทำไมเป็นอย่างนี้? ทำไมเป็นอย่างนี้? นี่คนนั้นน่ะมีประโยชน์แล้ว

เราไปวัดมันก็โล่งโถง ไม่มีอะไรสะกิดใจเลย ไม่มีอะไรติดไม้ติดมือไปเลย แต่ถ้ามีติดไม้ติดมือไปนะ มันเอ๊ะนะ ทำไมท่านอยู่ของท่านอย่างนี้ ทำไมครูบาอาจารย์ท่านอยู่ในป่าในเขาของท่าน เพราะอะไร? เพราะคนเราถ้าอยู่ในที่ชุมชน อยู่ในที่อะไรน่ะ มันนอนใจนะ เวลาเราไปอยู่ที่วิเวก วิเวกนะ วิเวกกับวังเวง ความวังเวงมันเศร้าสร้อยหงอยเหงา ความวิเวกมันรื่นเริงอาจหาญนะ ชีวิตเป็นอย่างนี้นี่เอง ชีวิตนี้เป็นอย่างนี้ สิ่งต่างๆ เห็นไหม ดูสิ ถ้าเรามีปัญญาของเรา เราเข้าป่านะ เราเคยธุดงค์มาไปกับชาวป่า เขามีมีดอันเดียวเขาดำรงชีวิตในป่าได้ เขาตัดไม้กระบอกมาหุงข้าวก็ได้ ต้มน้ำก็ได้ ทำอะไรเขาทำได้หมดเลยนะ เขามีประสบการณ์ในชีวิตของเขา

เราไปอยู่ในป่า เราธุดงค์ไป เป็นพระทำไม่ได้ พรากของเขียวไม่ได้ ทำสิ่งใดไม่ได้ เราหลงป่าไปอดข้าว ๓ วัน ๔ วัน อดได้ อดได้เพราะเราฝึกของเรามา เราอดของเรานะ เวลาบิณฑบาตไป เจอบ้านเรือนหลังสองหลัง เห็นไหม สิ่งนี้เราหาเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เราบิณฑบาตหาอาหารมาเลี้ยงชีวิต เห็นไหม

สิ่งต่างๆ ประสบการณ์ชีวิตไง ถ้าเราไปอยู่ในป่าในเขา นี่มีปัญญาเอาตัวรอดได้ สิ่งต่างๆ เอาตัวรอดมา กลับไปสู่สถานะไง โลกนี่ไม่มี พลังงานสูญไป ทุกอย่างไม่มีเลย เราก็ดำรงชีวิตของเราได้ แต่ถ้าเราไปทางโลกมันไปด้วยทางวิทยาศาสตร์ เราต้องหามา เราต้องทุกข์ต้องยาก ไม่ปฏิเสธโลกนะ ธรรมเหนือโลก ธรรมะนี่เหนือโลก

สิ่งที่ธรรมะเหนือโลกอยู่กับโลกได้ ถ้าอยู่กับโลกได้ โลกคือสังคม โลกคือสัตว์หมู่ สัตว์มันเป็นไปนี่มันเป็นสภาวะแบบนั้น แล้วมันมีความสุขจริงไหม? เราอยู่กับเขาแต่เราไม่ตื่นเต้นไปกับเขา เราอยู่กับเขานะ เพราะเราเกิดมาเป็นสังคม เราเกิดมากับโลก เราก็อยู่กับโลก แต่เราต้องเอาใจเราพ้นออกจากโลกให้ได้ ถ้าพ้นออกจากโลกนะ มันจะเป็นสัจจะความจริง แล้วเราจะเห็นเลย เห็นสัจจะความจริง สภาวะความจริงเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่อย่างนั้นเราจะไม่มีอะไรติดมือติดไม้เราไปเลยนะ

เราไปวัด เรามาประพฤติปฏิบัติกันก็ปฏิบัติเพื่อตัวเรา ประพฤติปฏิบัติเพื่อตัวเรา เราอยู่ของเรา อยู่ต่างๆ เราอยู่ในชุมชนของเรา เราจะหาสิ่งนี้ไม่เจอ มันทับกัน มันซ้อนกัน แต่ถ้ามันมีปัญญาขึ้นมามันจะหาทางออก เนกขัมมธรรมบารมี บารมี ๑๐ ทัศใช่ไหม? เราจะแยกออกไป

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสละมาก่อน เห็นไหม ออกจากราชวังมา ถ้าไม่ออกจากราชวังมาแล้วอยู่ในสังคมอย่างนั้น มันก็ได้เหตุผลสภาวะแบบนั้น แต่ถ้าเราแยกออกไป เราเอาตัวเรารอดให้ได้ก่อน แล้วกลับมา เห็นไหม กลับมาเอานางพิมพา กลับมาเอาสามเณรราหุล กลับมาเอาพระเจ้าสุทโธทนะ เห็นไหม นี่กลับมาเอาได้ ถ้าเราออกไปลงทุน ลงทุนก็ต้องแยกออกไปเพื่อจะค้นคว้าให้เป็นสมบัติของเรา แล้วเราจะเอาสมบัติอันนี้มาเจือจานคนอื่น เราก็ไม่มีสมบัตินะ แล้วกิเลสมันก็ว่า “ในเมื่อเราก็ดีแล้ว”

ในเมื่อกิเลสถ้าเรารู้ทันมันก็จบสภาวะแบบนี้ เขาไม่รู้หรอกว่าโรคที่ไม่รักษาหายเองก็ได้ โรคที่ต้องรักษาถึงจะหายก็ได้ โรคที่แก้ไม่ได้ อย่างปัจจุบันนี้ทางการแพทย์ยังตัดสินกันไม่ได้ อย่างโรคมะเร็ง โรคเอดส์ ยังแก้กันไม่ได้ ประคองอาการ รักษาตามอาการกันไป ถ้ากิเลสเรารักษาตามอาการมันไป เห็นไหม เราว่าเรารู้ทัน เราพอใจ เห็นไหม อันนี้โรคร้ายมาก โรคที่รักษาไม่หาย รักษาไม่หายมันต้องเป็นสภาวะแบบนั้น ต้องเกิดต้องตายตลอดไป ต้องเกิดต้องตายนะ

เราเกิดมาในปัจจุบันเราเป็นมนุษย์ แล้วตอนนี้เป็นอิสรภาพ ดูสิ เวลาเราเกิดมาเป็นมนุษย์นะ เวลากรรมมาเห็นไหม เราติดคุกติดตารางขึ้นมานี่ เราจะอยู่ในกฎกติกาของเขา เราจะไม่มีโอกาสทำอย่างนี้หรอก แต่นี่เราออกมา เราไม่มีความผิดพลาดอย่างนั้น เราถึงมีโอกาสของเรา

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราตายไป เห็นไหม มันไปตามบุญตามกรรมนะ บุญกรรมที่เราสร้างขึ้นมา แรงขับมันเป็นสภาวะแบบนั้น เราถึงต้องตั้งสติ ตั้งสตินะ ชีวิตนี้ยังมีลมหายใจเข้าและลมหายใจออกอยู่นี่ตั้งสติ การตั้งสติเป็นสมบัติของเรา สมบัติของเราที่ไหน? สมบัติของเรานะ ถ้ามันรู้สึกตัว นี่สมบัติของเรา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการไว้ครั้งสุดท้ายเลย

“ภิกษุทั้งหลาย เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์เลย”

ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะ เรารู้สึกตัวอยู่ เห็นไหม ความประมาทมันเข้ามาได้ไหม? เราพยายามอยากให้ชีวิตนี้ประสบความสำเร็จ เราไม่อยากเจออุบัติเหตุเลย แต่เราประมาทเลินเล่อกัน เรามีแต่ความคุ้นชินกัน ความคุ้นชิน เห็นไหม ความคุ้นเคย ความต่างๆ นี่มันเป็นทางออกให้กิเลสมันหากินได้ เราต้องตื่นตัวตลอดเวลา การตื่นตัว การวัดของเรา เดินไป เห็นไหม เดินไปกิริยามารยาท แต่หัวใจมันจะมีสติของมันพร้อม ถ้าหัวใจของเรามีสติ เราจะเห็นคุณค่าของธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

สติ มหาสติ เห็นไหม มีสติ มีปัญญา มีความระลึก มีความเพียร มีความหมั่น มีความอุตสาหะ เห็นไหม ดูสิ ครอบครัวไหนรู้จักเก็บหอมรอมริบ รู้จักถนอมรักษา แก้ไข ซ่อมแซม ครอบครัวตระกูลนั้นจะไม่เสื่อมเลย ถ้าสังคมไหนฟุ่มเฟือย ไม่รู้จักซ่อมแซมรักษา ของใช้ฟุ่มเฟือยไม่รู้จักรักษา เห็นไหม แต่ถ้ารู้จักรักษา รักษาสมบัติจากภายนอก รักษาสมบัติจากภายใน

สมบัติจากภายใน ถ้าเรามารักษา ดูสิ เรามีแก้ว แหวน เงิน ทอง ขนาดไหน เราให้เด็กรักษาได้ไหม? เด็กมันไม่รู้จักคุณค่านะ เด็กเดี๋ยวเขาก็เอาไปให้คนอื่นหมด แต่ผู้ใหญ่จะรู้จักคุณค่า ถ้าหัวใจยังเป็นเด็กอยู่เราจะไม่เห็นคุณค่าอย่างนี้เลย เราจะเห็นคุณค่าแต่สิ่งที่เป็นสมบัติทางโลกว่าสิ่งนั้นเป็นสมบัติของเรา แต่ไม่รู้จักว่าสติเป็นสมบัติของเรา ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมเป็นสมบัติของเรา ถ้าเป็นสมบัติของเรานะ เราจะไม่มีความผิดพลาดในชีวิตของเราเลย ถ้าเราไม่มีความผิดพลาดในชีวิตนะ

“ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว”

ความดีอันละเอียดไง ความดีที่ไม่ต้องให้ใครรับรู้ โลกเขามันเป็นการประชาสัมพันธ์ มันเป็นการตลาด เห็นไหม ความดีต้องให้คนรับรู้นะ แล้วทุกข์มาก แล้วทำแล้วไม่มีใครรับรู้ ทำดีไม่เห็นได้ดีเลย ทำดีแล้วมีความสุขไหม? ทำดีแล้วมีความชุ่มชื่นในหัวใจไหม? ทำดีแล้วมีความพอใจเราไหม? นั่นแหละคือบุญแล้ว ถ้าบุญอย่างนี้ขึ้นมามันปกติของใจ มันเป็นพรหมนะ พรหมเห็นไหม ขันธ์ ๑ ขันธ์เดียว ขันธ์เดียวคือมีความรู้สึกเฉยๆ แต่ถ้าเป็นเทวดา เห็นไหม ขันธ์ ๔ แล้วรูปเป็นทิพย์มันก็เป็นขันธ์ ๕ สิ่งนี้มันก็เป็นตามทิพย์ไป เป็นไปตามความคิดความอ่านไปอย่างนั้น

นี่ว่าเราสุข สุขของใครล่ะ? สุขของพรหม สุขของมนุษย์ สุขของเทวดา สุข เห็นไหม แล้วทุกข์อยู่ไหนล่ะ? ถ้าสุขมันกลบทุกข์ไว้ เห็นไหม สุขนี่สุขไม่มี สุขเพราะทุกข์จางลง มันก็มีความสุขขึ้นมา ความสุขอย่างนี้เกิดจากเรา ความสุขแบบความสุขนี้เกิดจากอามิส ถ้าจิตมันสงบเข้ามานะ ไม่ต้องการอามิสสิ่งใดๆ เลย ความสุขนี้สุขจากใจ มันสุขในตัวมันเอง ใจสุขตัวเอง ติดง่ายเลย แม้แต่จิตสงบขึ้นมายังติด เห็นไหม แล้วออกหาครูหาอาจารย์ หาครูหาอาจารย์คอยแนะนำ คอยบอกกล่าว คอยแนะนำ ให้อุบายให้วิธีการออกใช้ปัญญา แล้วเวลาเห็นปัญญานะ เราจุดนะ ดูสิ สิ่งที่ไฟไหม้ป่า เห็นไหม มันจะไหม้หมดเลย ถ้ามันยังมีเชื้อไฟอยู่ กองขยะใหญ่ๆ ถ้าเราจุดไฟติดแล้วมันจะเผาของมันไปเรื่อยๆ เห็นไหม

กิเลสก็เหมือนกัน ถ้าวิปัสสนาญาณเกิดนี่มันจุดไฟติด เขาเรียกภาวนาเป็น ภาวนาเป็นมันจะเกิดปัญญา เกิดปัญญาพร้อมกับสติสัมปชัญญะ พร้อมกับที่มีสมาธิรองรับนะ มันจะไหม้กิเลสไปเรื่อยๆ วิปัสสนามันจะเกิดขึ้นมา มันจะเป็นโลกุตตรปัญญานะ มันจะมีการเผาผลาญ แต่ถ้าคนภาวนาไม่เคยผ่านขั้นตอนอย่างนี้มันเป็นการลำบาก มันเป็นอัตตกิลมถานุโยค ทำไมต้องทำทุกข์เราให้มันลำบากเปล่า เห็นไหม อยู่เฉยๆ แค่รู้เท่าปล่อยมัน มันก็เป็นมรรคผลแล้ว นั่นล่ะกิเลสมันหลอก กองขยะทั้งกองเลย เราไปนั่งเฝ้ามัน แล้วเราที่ไม่เคยเผามันเลย ไม่เคยทำลายมันเลยนะ บอกขยะนี้มันไม่มี มันโดนทำลายไปแล้ว มันจะเป็นไปได้อย่างไร?

กิเลสก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่ได้ใช้ปัญญาญาณ ไม่ใช้โลกุตตรปัญญา โลกุตตรปัญญาคือปัญญาที่เกิดจากสัมมาสมาธิ เกิดจากสิ่งที่มันเป็นสัจจะความจริง แต่ถ้าปัญญาเกิดในปัจจุบัน มันเกิดจากความคิดของเรา ความคิดมันมีอวิชชา มันมีทิฏฐิ มีตัณหาความทะยานอยากบวกเข้าไป เห็นไหม มันเลยเป็นโลกียปัญญา ปัญญาที่กิเลสพาใช้ ปัญญาที่ธรรมพาใช้ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าลึกลับมหัศจรรย์มันพาใช้ พาใช้นี่มันจะเผาไหม้ เห็นไหม ตบะธรรม มันจะเผาไหม้กองขยะนั้น เผาไหม้สิ่งที่เป็นอวิชชา เผาไหม้สิ่งที่เป็นอุปาทานปักอยู่คาหัวใจ เห็นไหม มันจะเผาไหม้ของมัน

ถ้ามันตทังคปหาน มันปล่อยวาง มีความเข้าใจ ปล่อยวางต่างๆไป จนถึงที่สุดนะ ผลมันจะเกิดจากใจนะ สมบัติอย่างนี้มันจะอยู่กับใจตลอดไป เราไปเกิดที่ไหน จะเป็นอย่างไรไป มันจะอยู่กับใจดวงนี้ เพราะปฏิสนธิจิตมันเป็นตัวไปเกิด เห็นไหม อกุปปธรรม ไม่มีการแปรสภาพ ไม่มีการสิ่งต่างๆ มันอยู่กับจิตนั้นไป จนถึงที่สุดนะมันทำลายหมด จิตนี้สะอาดหมดนะ มันก็มีอยู่ของมันนะ สิ่งที่มีอยู่ของมันนี่วิมุตติสุข ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยวิมุตติสุขอย่างไร?

หลวงปู่มั่นเวลาท่านสงสัยในธรรมวินัย ทำไมท่านเข้าสมาธิของท่าน ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเทศนาว่าการ โลกว่ากันไปว่าสิ่งนี้ ถ้าพระป่าเรามีความรู้สึกอย่างนี้ มีความเห็นอย่างนี้ ไม่ติดในนิมิตหรือ? มโนมิงปิ นิพพินทะติ นิพพินทะติ มะโนสัมผัสเสปิ นิพพินทะติ มโน เห็นไหม มโนนี่ มโนเจตนา มโนก็ทิ้ง มโนก็ทำลาย ภพ ภวะต่างๆ ทำลายหมดเลย แต่ในเมื่อเรายังมีเศษส่วนอยู่ ยังมีเศษส่วน ยังสื่อกันด้วยอาหาร สื่อกันด้วยความรู้สึก อาหารนี่ อาหาร ๔ วัฏฏะมันสื่อกันได้ มันเข้าใจได้ ทำเถิด ทำเข้าไปแล้วเห็นไหม สิ่งนี้มันเหมือนกับใบไม้ในป่าไม่ใช่ใบไม้ในกำมือ ใบไม้ในกำมือในตู้พระไตรปิฎกต้องเป็นอย่างนั้น พ้นจากนี้เป็นไปไม่ได้ แล้วเราทำไป เราเข้าไปเที่ยวป่า เห็นไหม ในป่าใบไม้มันจะผลัดใบ มันจะมีใบใหม่ ใบอ่อน มีใบแก่ มีมหาศาลเลย กับใบไม้ กำไม้กำเดียวในมือเรา

ถ้าทำไป พวกเราปฏิบัติไป นี่สมบัติ สมบัติที่ธรรมะที่นอกพระไตรปิฎกยังมีอีกมหาศาลเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการไว้พอเป็นเครื่องดำเนินของพวกเรา แต่ที่ผู้รู้จริงรู้ต่างๆ แต่รู้อย่างนี้มันรู้แตกแขนง เห็นไหม แต่สัจจะความจริงในพระไตรปิฎก อริยสัจมันเหลือเฟือแล้ว ถ้าทำตามอริยสัจ รู้จักอริยสัจจากภายใน จิตนี้มันจะพ้นออกไปจากกิเลส แล้วมันจะเห็น มันจะเข้าไปในป่าใหญ่ มันจะเห็นไปหมด มันจะรู้ไปหมด แล้วทำไมเป็นที่พึ่งของสัตว์โลกไม่ได้ เป็นสิ่งมหัศจรรย์ในหัวใจไม่ได้ สิ่งมหัศจรรย์อยู่ที่ใจของเรานะ

ความศึกษาเล่าเรียน ศึกษาทางวิชาการเท่านั้นแหละ เดี๋ยวต้องทบทวนๆ แต่ถ้าอริยสัจเกิดจากใจแล้วมันจะอยู่คงที่ของมัน รู้จริงๆ พร้อมไปกับจิตตลอด สิ่งนี้เห็นไหม สิ่งนี้อยู่กับเรานะ เราทำไม่ได้ เรามาวัดกัน เรามาเพื่อสร้างฐาน ปรับฐานนะ ปรับฐานให้ใจมีบุญกุศล ปรับฐานให้เราเข้ามาฟังธรรม การฟังธรรมเป็นการตอกย้ำขันนอต ขันให้เรามั่นคงในศาสนา ให้เรามั่นคง ถ้ามีความมั่นคง ความเพียรต่างๆ มันจะเกิดขึ้นมากับเรา แล้วมันจะเป็นประโยชน์ ทำด้วยความจริงจัง ไม่ได้ทำด้วยความสักแต่ว่า ไม่ได้ทำแบบขอไปที ถ้าทำแบบขอไปที ชีวิตขอไปที เกิดตายไปที ถ้าทำจริงๆ มันจะได้ผลจริงๆ แล้วจะเป็นสมบัติของเราจริงๆ เอวัง