เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๙ มี.ค. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาเราถ้ามีหลักใจ หลักใจ เห็นไหม “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” พอผู้ใดเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยหัวใจนะ เพราะอะไร? เพราะมันลึกลับมหัศจรรย์มาก เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ ปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย แล้วตรัสรู้ธรรมตามความเป็นจริงด้วย

เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะเวลาพวกเราหรือว่าสมัยพุทธกาลที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปิดโลก ทุกคนปรารถนาเป็นพุทธภูมิหมดเลย แต่พอต่อไปๆ ไปข้างหน้าแล้วมันต้องสร้างสมบุญญาธิการไป บางคนก็กลับ บางคนก็เปลี่ยน เห็นไหม ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ ปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย บางคนก็สำเร็จ บางคนก็ไม่สำเร็จ บางคนก็กลับ ถ้าไม่กลับแล้ว เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์แล้วมันก็ต้องไปข้างหน้า พอไปข้างหน้าแล้วกว่าจะบรรลุธรรมขึ้นมาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เวลาบรรลุธรรมขึ้นมาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว โอโฮ้ จะสอนกันได้อย่างไร? ทอดธุระเลย เพราะอะไรล่ะ? เพราะกว่าปัญญามรรคญาณที่มันหมุนเข้าไปชำระกิเลสมันละเอียดลึกซึ้ง จนขนาดว่าพุทธวิสัยนะยังทอดอาลัย แล้วคิดดูสิว่าเราประพฤติปฏิบัติกัน เราใช้ปัญญาของพวกเรา แล้วเราใช้ตรรกะของเราเคลมเอาว่าธรรมะเป็นของเรา เป็นสภาวธรรมแบบนั้น มันถึงน่าสงสารมากนะ

การประพฤติปฏิบัติถ้าย้อนกลับไป ย้อนกลับไปหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ ที่ไม่มีครูบาอาจารย์ ไม่มีครูบาอาจารย์ทั้งที่ตำราก็มีอยู่นะ มันจะลึกลับมหัศจรรย์ขนาดไหน ที่ว่าตัวเองจะค้นคว้าไป แล้วมันมีอะไรโต้แย้งไป แล้วทำไมเราจะไม่เชื่อ เพราะเราไปรู้เองเห็นเอง ดูสิ เวลาเรานอนฝันไป การฝันมันก็เห็นนิมิต แล้วเราไไปเห็นไปฝัน เราไปจับต้องมัน แล้วเราไปหาครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์บอกไม่ใช่ๆ เราจะเชื่อได้อย่างไร? มันไม่ใช่จริงๆ นะ เราเห็นไปด้วยกิเลส เราเห็นไปด้วยสถานะของตัวเอง เรารู้เราเห็นนี่แหละ เรารู้เราเห็นแล้วมันก็มหัศจรรย์

ดูสิ เวลาตื่นอยู่ เรามีความรู้สึกตัวอยู่ เราก็ว่าเรารู้สึกตัวอยู่ ใครมาหลอกไม่ได้ เวลาเราฝันไป เห็นไหม เวลาเราฝันไป เราไม่มีสติ มันฝันของมันไป เพราะอะไร? มันเป็นสังขารปรุงนั้นแหละ ปรุงขณะหลับสังขารมันก็ปรุงไป แล้วเราไปรู้ไปเห็นเข้าขึ้นมา แล้วไปบอกว่าความฝันเป็นอย่างนั้น บางคนฝันแล้วไม่กล้าบอกใคร เพราะพูดออกไปแล้วมันจะเสียความเชื่อถือ บางคนฝันแล้วก็ว่ากันไป นี่พูดถึงความฝันนะ

แล้วเวลาจิตมันมีปัญญาขึ้นมา เวลามันวิปัสสนาไปมันไปเห็นนิมิต เพราะอะไร? นิมิตก็คือนิมิตนั่นแหละ นิมิต เห็นไหม ถ้ามันเป็นสัมมาทิฏฐิ มันเป็นความเห็นชอบ นิมิตขึ้นมามันก็อุคคหนิมิต ปฏิภาคนิมิต นิมิตที่มันเป็นการฝึกซ้อมใจ นิมิตให้ใจมันได้ฝึกฝน ได้ให้มันฝึกซ้อม ฝึกซ้อมสิ่งต่างๆ ที่เห็นกันมา นิมิตเห็นไหม นิมิตมันก็เป็นเครื่องหมายบอก ดูสิ รูป รส กลิ่น เสียง คำพูดก็เป็นนิมิต ความรู้สึกเราก็เป็นนิมิต ถ้าตีความว่าเป็นนิมิต ความคิดก็เป็นนิมิตเพราะมันเกิดกับใจ นิมิตนี่ ปัญญานี่เป็นนิมิตทั้งนั้น นิมิตเป็นอารมณ์ความรู้สึกไง มันเป็นเครื่องหมาย เครื่องหมายความรู้สึกของเราว่าฐานที่ตั้งหรือความรู้สึกต่างๆ มันเป็นนิมิต แล้วก็วิภาคะ นิมิตนี่มันแยกออกจากเขาว่านี่เป็นวิภาคะนิมิต คือแยกส่วนขยายส่วน ปัญญามันแยกส่วนขยายส่วนของมันได้ ถ้าแยกส่วนขยายส่วน เราก็ลึกลับมหัศจรรย์อีก เราก็ทำไม่ได้ เราก็ไม่เคยทำ เรายิ่งงงเข้าไปใหญ่เลย เห็นไหม

ถึงบอกน่าสงสารถ้าไม่มีครูมีอาจารย์นะ ถ้ามีครูมีอาจารย์นะ ครูอาจารย์พยายามบอกขนาดไหน นี่เห็นไหม

“อตฺตาหิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”

ถ้าเราฉงนสนเท่ห์เราจะแปลกใจของเรา ถ้าเราไม่ฉงนสนเท่ห์เราก็จะเชื่อของเราไปนะ ครูบาอาจารย์บอกเรามาเราก็ฉงนสนเท่ห์ มันจะจริงอย่างนั้นไหม? มันจะจริงอย่างนั้นไหม เพราะอะไร? เพราะมันมาจากข้างนอก กิเลสมันเกิดจากเราตลอดเวลา แต่ธรรมะเราต้องสร้างขึ้นมานะ ศีลก็ต้องพยายามรักษา สมาธิเราก็ต้องรักษา เราสร้างขึ้นมาแล้วรักษามันด้วย แล้วปัญญาขึ้นมาเราต้องฝึกฝนอีกต่างหาก แต่กิเลสไม่ต้องรักษานะ มันผุดขึ้นมาเหมือนดอกเห็ดเลย คิดแล้วคิดเล่า คิดแล้วคิดเล่า มันเกิดตลอดเวลา มันเกิดตลอดเวลาแล้วเราก็ไปเห็นมัน เราก็ไปรู้มัน เราก็สัมผัสมัน แล้วเวลามันคิดถึงธรรมะ เห็นไหม กิเลสนี่แหละมันคิดเรื่องถึงของธรรม พอกิเลสมันคิดเรื่องธรรม เราก็ โอ้ เป็นอย่างนั้นนะ มันเคลิบเคลิ้ม มันมีความหลงไหล มันมีความเชื่อถือ มันมีความเป็นไป เราก็ว่ามันเป็น

แต่ถ้าคนมีจริตนิสัยนะ หลวงปู่มั่นท่านเห็นนิมิต เวลาท่านยังไม่ลาพระโพธิสัตว์ ท่านเห็นกายท่านพิจารณาของท่านไป พิจารณาขนาดไหนมันก็ไม่เข้า มันก็ไม่เข้า พิจารณาข้างนอกไง เหมือนเรา เห็นไหม ตามองฝ่ายตรงข้ามเราก็เห็นกัน แล้วก็คิดๆ ไป โอ้ เป็นอย่างนั้นๆๆๆ เห็นไหม แต่มันไม่เห็นออกมาจากใจไง ถ้าไม่เห็นออกมาจากใจ คิดด้วยนิมิต เห็นกายพิจารณาขนาดไหนมันก็ไม่ใช่ ออกมาแล้วมันก็เหมือนปกติ เห็นไหม

เวลาก่อนเราจะใช้ปัญญา ก่อนเราจะภาวนา ใจเราก็มีความรู้สึกอย่างนี้ เวลาภาวนาออกมาแล้วใจเราก็ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นมาเลย มันก็มีความสุขเหมือนเดิมๆ นี่แหละ “เอ๊ มันไม่น่าใช่ทาง มันไม่น่าใช่ทาง” เห็นไหม คนเขามีปัญญาเขาจะเทียบเคียงใจตลอดเวลา มันไม่น่าใช่ทาง ถ้ามันใช่ทางของเรา มันต้องมีอะไรดีขึ้นมากว่านี้สิ เวลาทำขึ้นไปแล้ว เราเข้าไป ดูสิ เรากินอาหารเข้าไปแล้ว เวลาอาหารเข้าไปในท้องเรา เรามีความรู้สึกว่าอิ่มหนำสำราญเลย เวลาเราร้อนขึ้นมา เราอาบน้ำมันก็เย็นสบายขึ้นมา

อันนี้ทำแล้วทำไมมันเหมือนเดิมๆๆ เห็นไหม “เอ๊ มันเพราะเหตุใด?” ค้นคว้าตัวเอง เห็นไหม จนเห็น “อ๋อ เราเคยปรารถนาไว้เป็นพระโพธิสัตว์” ถึงได้ไปลาโพธิสัตว์ก่อน ลาโพธิสัตว์เสร็จแล้วก็กลับมา กลับมาแล้วจิตสงบเข้าไปก็ไปเห็นกาย วิปัสสนาเข้าไป “อ๋อ” ออกมา “เออๆ อย่างนี้ใช่” มันมีอะไรรู้สึกว่ามันเบาลง มีสิ่งใดๆ ที่มันหลุดออกไปจากใจ

เวลามันวิปัสสนา เวลามันคลายตัวออกมามันไม่เหมือนเดิมแล้ว เพราะเหมือนเดิมนี่เรายังมีความรู้สึกเดิมๆ อยู่ แต่นี่มันรู้สึกกายเบาขึ้น ความรู้สึกว่าสิ่งนั้นเหมือนกับมีความเหมือนของที่สกปรก เราได้ชำระล้างมันมีความสะอาดขึ้น มันมีความสะอาดขึ้น มันเห็นการเปลี่ยนแปลง พอเห็นการเปลี่ยนแปลง อย่างนี้ใช่ๆ เห็นไหม ตัดสินใจนี่ถูกทางแล้ว มาถูกทางแล้ว แล้วรีบเร่งเข้าไปใหญ่เลย จนผ่านเป็นขั้นเป็นตอนเข้าไป เออใช่ๆ เห็นไหม

มันอยู่ที่อำนาจวาสนา เพราะหลวงปู่มั่นท่านปรารถนาพระโพธิสัตว์เหมือนกัน เพราะปรารถนาพระโพธิสัตว์ คนที่ปรารถนาโพธิสัตว์มันต้องสร้างมา ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย การสร้างขึ้นมานี่ การสร้างมันก็เป็นอำนาจวาสนาบารมี ถ้าสร้างอำนาจวาสนาบารมีขึ้นมามันจึงมีจุดยืนของใจ ใจถึงจะไม่เชื่ออะไรสิ่งต่างๆ แม้แต่สิ่งที่เราเห็นเราก็ไม่เชื่อ เห็นไหม กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อใดๆ ทั้งสิ้น ให้เชื่อสันทิฏฏิโก ให้เชื่อจิตที่มันมีการเปลี่ยนแปลงแล้ว ให้เชื่อความเป็นไป ให้เชื่อสิ่งที่เป็นไป ให้เชื่อเพราะอะไร? เพราะเราทำขึ้นมาเอง เราสัมผัสเอง เราเชื่อของเราเอง

ถ้ามีสติสัมปชัญญะ ไม่มีครูบาอาจารย์มันก็ทำของมันได้ หรือถ้าไม่มีครูบาอาจารย์เราจำเป็นต้องเสือกต้องคลานไป ต้องเสือกต้องคลานไปนะ แต่ถ้ามีครูมีอาจารย์อยู่ สิ่งที่เราทำขึ้นมาแล้วเราวิปัสสนาขึ้นมา เราใช้ปัญญาขึ้นมา เราสอบทานได้นี่ สอบทานได้ ครูบาอาจารย์สอบทานได้ หรือว่าถ้าท่านเทศนาว่าการเรานี่เราสอบทานได้ มันขัดแย้งกันอย่างไร? ถ้ามันมีความขัดแย้งกัน มันต้องมีคนๆ หนึ่งแน่นอนที่ว่าไม่ใช่ของจริง

ความขัดแย้งกันนั้นมันขัดแย้งกันเพราะอะไร? เพราะมันมีความเห็นต่าง แต่ถ้าเป็นวิธีการเห็นไหม วิธีการน่ะ วิธีการต่างๆ วิธีการเข้าหาเป้าหมาย ถึงเป้าหมายต้องเหมือนกัน เป้าหมายต้องเหมือนกันนะ เป้าหมายอริยสัจอันเดียวกัน แต่วิธีการ วิธีการจริตนิสัยมันต่างกัน ต่างๆ กันแต่มันเป็นไปได้ไหม เราทำแล้ว เราทำความสะอาด วิธีการทำความสะอาดสิ่งสกปรกมันมีตั้งหลายวิธีการ ทำแล้วมันสะอาดจริงหรือเปล่า สิ่งนี้มันสะอาดขึ้นมา เราก็เห็นกันอยู่เห็นไหม มันสะอาดไหม? มันมีกลิ่นเหม็นไหม? กลิ่นเหม็นกลิ่นคาวมันได้หลุดออกไปบ้างไหม? มันได้เจือจางออกไปบ้างไหม? เห็นไหม

ใจที่ได้วิปัสสนามันจะมีสภาวะแบบนั้น มันจะรู้ของมันขึ้นมาโดยความจริง แต่วิธีการถ้ามันมีความต่างวิธีการไม่มีปัญหา แต่ผลเหมือนกัน ผลเหมือนกัน ผลคือการกระทำของใจมันเหมือนกัน ถ้าเหมือนกัน ถ้ามีวาสนา คำว่ามีวาสนา วาสนานะ วาสนามันมีบารมีธรรม บารมีธรรมมันมีการทดสอบตรวจสอบ มันยังไม่เชื่อ ถ้ามันเชื่อนะ เวลามันเชื่อดูสิ เวลาเราร่างกายแข็งแรง เวลาเรามีความสดชื่น ถ้าเราทำสิ่งใดไปมันจะจางคลายไปเป็นธรรมดา

จิตก็เหมือนกัน ถ้ามันยังวิปัสสนาอยู่มันมีกำลังของสติ มันมีกำลังของสมาธิ มันมีกำลังของปัญญา แล้วถ้ามันมีอะไรผิดพลาด มันแก้ไขได้ เหมือนกับนักกีฬาร่างกายยังแข็งแรงอยู่ เวลาการแข่งขันยังมีอยู่ ถ้าเราแก้ไขจากที่เราเสียแต้ม เราเสียประตู อาจจะทำให้เราเสมอก็ได้ หรือชนะก็ได้ เห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน เวลาวิปัสสนาไปหรือใช้ปัญญาไป เวลามันคลายตัวออกมา ถ้ามันยังไม่เป็นอกุปปธรรม มันเป็นการปล่อยวางชั่วคราว มันมีกำลังอยู่ มันมีสติอยู่ มีปัญญาอยู่ ไม่ใช่ปล่อยให้เสื่อมจนหมดเลย ปล่อยให้จนหมดเลย หมดเวลาแข่งขันแล้ว กรรมการเขาก็ไม่ให้แข่ง ทุกอย่างไม่ให้แข่ง แล้วเราจะมาอ้อนวอนขอร้องว่าเราจะแข่งอีก คือเราจะทำอีกไง

ถ้าจิตมันเสื่อม จิตมันเสื่อมหรือโอกาสที่มันท้อถอย มันทดท้อนะ สิ่งตรงนั้นกว่าเราจะปลุกปลอบใจเราขึ้นมา กว่าเราจะสร้างสมขึ้นมา มันเป็นเรื่องความลำบากลำบนมหาศาลเลย แต่คือจิตที่มันมีกำลังพร้อมอยู่ เหมือนเรามีปัจจัยเครื่องอาศัย เรามีเงินมีทองอยู่ เราจะจับจ่ายใช้สอยอะไรก็ได้ แต่เราไม่เข้าใจ เราใช้ไม่เป็น เราใช้กันในความฟุ่มเฟือย เราใช้ไปโดยความสุรุ่ยสุร่าย มันจะไม่เป็นประโยชน์กับเราเลย เห็นไหม แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์ทดสอบตรวจสอบอย่างนี้ เราตรวจสอบขึ้นมา ขณะที่เรายังมีโอกาสอยู่ เราพยายามทำอยู่ มันไม่ทอนแรงเราไง ถ้ามันเสื่อมไปหมดสภาพไป มันก็ต้องสร้างสมขึ้นมา มันก็ต้องเสือกคลานไป มันต้องเสือกคลานไปเป็นธรรมดา นี่พูดถึงวิธีการนะ

แต่โดยธรรมชาติของการประพฤติปฏิบัติมันก็เป็นอย่างนี้ คือว่ามันต้องมีการเสื่อม มันต้องมีการเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ มันก็เหมือนกับเรากินอาหาร กินทุกวันมันก็ย่อยสลายไปทุกวัน ดำรงชีวิตตลอดไป ในการปฏิบัติก็เหมือนกัน ถ้าเราดำรงของเราได้ สมาธิของเราก็จะลงได้ ดูสิ เวลาเราสบายใจ เราสบายใจขนาดไหน เวลาเราทุกข์ร้อนขึ้นมา เราทุกข์ร้อนขนาดไหน สมาธิเกิดขึ้นมาก็เหมือนกัน ถ้าสมาธิเกิดขึ้นมา โอ้โฮ มีความเบามีความบางนะ ขณะที่เราเดินไปหรือเรานั่งอยู่ มันจะลอย มันจะเบา ตัวมันจะเบาตลอดเวลา ไอ้เบาอย่างนี้มันเบาเพราะมันปล่อยวาง แต่ถ้าสมุจเฉทปหานมันขาดไปแล้วนะ มันไม่ใช่เบาอย่างนั้น มันเป็นความจริงอันนั้นเลย สิ่งนี้เป็นสัจจะความจริงเลย ความจริงของใจ ใจเป็นสภาวะแบบนี้ มันพาดกระแส

ถ้าเราวิปัสสนาไปจนถึงจุดๆ หนึ่งมันพาดกระแสแล้ว ถ้าถึงกระแสแล้ว ทำยังไงก็แล้วแต่มันต้องไปถึงเป้าหมายโดยแน่นอน ถ้าจิตมันเข้ากระแสแล้วนะมันไปถึงเป้าหมาย จะช้าจะเร็วมันต้องเป็นเป้าหมายแน่นอน แต่ถ้าเราขยันหมั่นเพียรของเรา เห็นไหม เราไม่นอนใจของเรา เพราะอะไร เพราะกาลเวลาไง ถึงเข้ากระแสแล้วความสุขกับความทุกข์มันไปด้วยกัน ชีวิตเรานี่ ชีวิตเราความสุขก็มี ความทุกข์ความยากก็มี ในเมื่อมีการเกิดการตายพาดกระแสแล้ว แต่การเกิดการตายยังต้องไปแสวงหาอีก มันก็มีความสุขความทุกข์ไปเหมือนกัน

แต่ในปัจจุบันนี้ถ้าเราขวนขวายของเรา ให้มันจบสิ้นกระบวนการกันที่นี่ เหมือนเชื้อโรคถ้ามันจบมันหายขาดไปที่นี้มันก็จบใช่ไหม? อันนี้ทุเลาเบาบางลง แต่มันยังไม่หายขาด มันยังมีเชื้อโรค มันยังมีอยู่กับเรา มันแสดงตัวออกมาได้ คือความสุขอย่างละเอียด ความทุกข์อย่างละเอียดมันยังมีอีกเยอะนะ ความทุกข์อย่างหยาบๆ ขึ้นมา แล้วความทุกข์เพราะความไม่รู้ แต่พอมันรู้ขึ้นมา มันรู้แจ้ง มันพาดกระแสแล้วนี่มันก็รู้แล้ว รู้แล้วแต่ความทุกข์อันละเอียดเห็นไหม สิ่งที่ละเอียดอยู่มันก็ยังดีดดิ้นอยู่ในหัวใจ ถ้ามันดีดดิ้นในหัวใจเราก็ต้องแก้ไข เราก็ต้องทำของเราไป ถึงว่าสติ-มหาสติ ปัญญา-มหาปัญญา ปัญญาอัตโนมัติ มันจะเกิดเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป นี่ปัญญามันละเอียด

ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติมามันจะเห็นร่องรอยของการกระทำ จิตมันมีการกระทำอย่างนี้ไง เราถึงว่าการกระทำนี่ เวลาการปฏิบัติเหมือนผู้ใหญ่ดูเด็กเลย เด็กเวลามันโตขึ้นมา คลอดออกมาจากท้องพ่อท้องแม่ เราเลี้ยงดูมันดี มันโตขึ้นมามันต้องดำรงชีวิตเหมือนเรา เราแก่เราเฒ่าเราผ่านชีวิตมาแล้ว การดำรงชีวิตก็เป็นอย่างนี้ สุขทุกข์เท่านั้นเอง มีมากมีน้อย ประสบความสำเร็จหรือไม่ประสบความสำเร็จเท่านั้น แต่ชีวิตจะเป็นอย่างนี้ แล้วเราเห็นเด็กมันเกิดมาแล้วมันต้องดำรงชีวิตอย่างนี้ขึ้นมา เราจะสั่งสอนเขาอย่างไร? เราจะให้โอกาสเขายืนในสังคมอย่างไร? จะให้เขามีปัญญา ให้เขาไม่ตกไปกับกระแสสังคมอย่างไร?

การประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน ครูบาอาจารย์สั่งสอนลูกศิษย์ก็อย่างนี้ เริ่มต้นจากทำสมาธิ จากมีศีลขึ้นมา วางพื้นฐานขึ้นมา แล้วยังก้าวเดินไปเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป มันก็ต้องสมบุกสมบันกันไป มันเป็นทางที่จะพ้นจากทุกข์นะ มันมีทางเดียว ถ้ามีทางอื่นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์ ถ้าเป็นทางได้ท่านจะเอาเทคโนโลยีมาขนไปเลย ขนหัวใจเราพ้นออกจากทุกข์ไปหมดเลย แต่มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้เพราะอะไร? เพราะมันเป็นนามธรรม มันเป็นเรื่องของหัวใจ ดูสิ เชื้อโรค เห็นไหม ถ้าเราไม่ได้ฉีดยาเข้าไป เราไม่ได้กินยาเข้าไป มันจะไปชำระโรคเราได้ไหม?

ใจก็เหมือนกัน ในเมื่อจิตของเรา ความรู้สึกของเรา มันอยู่ลึก เห็นไหม ครูบาอาจารย์ ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการสมัยพุทธกาล คนไม่ปรารถนา คนต่อต้าน คนจ้างคนมาด่าเยอะแยะเลย ทำไมเขาไม่เชื่อ ทำไมเขาไม่ศรัทธาล่ะ? แล้วจะไปรื้อค้นเขาได้ไหม? เพราะอะไร? เพราะโรคในหัวใจของเขา แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับบุคคลคนอื่นมันก็คนละคน แล้วเราจะไปเอายาอะไรเข้าไปรักษาใจของเขา แต่ถ้าเขาเชื่อถือขึ้นมา เขาต้องหายาของเขาขึ้นมา เห็นไหม

ฉลากยา ธรรมะนี่เป็นฉลากของยา เนื้อของยาคือศีล สมาธิ ปัญญา ศีลก็ต้องเกิดขึ้นมาเอง สมาธิก็ต้องเกิดขึ้นมาเอง ปัญญาก็ต้องเกิดขึ้นมาเอง เห็นไหม การรื้อค้นอย่างนี้ ถ้าการรื้อค้นของเราขึ้นมา ปัญญามันเกิดขึ้นมาจากของเรา มันจะย้อนกลับมา นี่รื้อสัตว์ขนสัตว์อย่างนี้ไง เล็งญาณหาความพร้อมของใจ ถ้าใจมันพร้อม ใจมันต้องการ ใจมันปรารถนา เห็นไหม ท่านจะเล็งญาณ ท่านจะพูดสะกิดหัวใจ

เวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการท่านสะกิดหัวใจนะ ให้เราตื่นตัว ให้เรามีความละอาย ให้เราเปิดใจ ไม่ใช่ความคิดเดิมๆ ความคิดเดิมๆ ความคิดของกิเลส แล้วก็คิดซ้ำคิดซากอยู่นี่ แล้วพอคิดซ้ำคิดซากเราคิดโดยกิเลส กิเลสก็พาคิด คิดโดยธรรม ตรึกในธรรม ฟังในธรรม มันก็คิดโดยกิเลส เอาความสะอาดเอาความสกปรกขยำรวมกันไปแล้วก็มั่วกันไปเห็นไหม มัคคะเลยไม่สามัคคีไง โลกุตตรปัญญามันเกิดไม่ได้ไง เป็นโลกียปัญญา ปัญญาเกิดจากกิเลส ปัญญาเกิดจากเรา ปัญญาเกิดความดีความชั่ว สิ่งรู้ผิดรู้ถูกขยำร่วมกันไป

แต่เวลาเราเปลี่ยนความคิดใหม่บ่อยครั้งเข้า หัดคิดสิ่งที่มันเป็นยำๆ อยู่นี่ให้มันคิดเป็นแขนง คิดเป็นผลบวกผลลบ ผลลบก็คือกิเลส ผลบวกก็เป็นธรรม คิดผลบวก คิดบวกเปลี่ยนแปลงความคิดของตัว เปลี่ยนแปลงความคิดของตัวบ้าง ความคิดที่มันซ้ำซากอยู่นี่ เปลี่ยนอากาศบ้าง พลิกแพลงบ้าง พลิกแพลงความคิด พลิกแพลงออกไปจากกิเลส พลิกแพลงออกไปความคิดใหม่ๆ ทำตัวกันใหม่ๆ ทำตัวสิ่งแปลกๆ ขึ้นมาบ้าง อย่าทำตัวแต่สิ่งซ้ำซาก ซ้ำซากอย่างนี้กิเลสมันเอาตายอยู่นะ คิดพลิกออกไป พลิกออกไปๆ พลิกโดยธรรมขึ้นมา เดี๋ยวมันเห็นเอง เห็น โอ้ กว่ามันจะละทิฏฐิความเห็น ความเห็นที่มันคิดซ้ำๆ ซากๆ อยู่นี่มันจะไม่เป็นประโยชน์ เห็นไหม พลิกออกไป พลิกออกไป ทำตัวออกไป เปลี่ยนใหม่ๆ ออกไป ความคิดใหม่ขึ้นมาให้มันเป็นโลกุตตรธรรม

ปัญญาโลกุตตรธรรมเกิดขึ้นมาจากเรา เห็นไหม ครูอาจารย์คอยตอกคอยย้ำอย่างนี้ มันเหมือนพ่อแม่ดูแลลูกนี่แหละ เหมือนกัน เห็นเด็กอ่อนโตจนขนาดไหนจนแก่เฒ่าขนาดไหน นั่นมันแก่เฒ่าเพราะร่างกาย หัวใจมันอ่อนแอ หัวใจมีแต่เชื้อโรค ยิ่งผ่านประสบการณ์โลกเข้ามามาก ผู้ที่มีราตรียาว เห็นไหม ผู้ที่ผ่านโลกผ่านหนาวมา มันมีแต่การสะสม ไม่เชื่ออะไรเลย เพราะอะไร? เพราะเราผ่านมาเยอะ เราจะไม่เชื่อสิ่งต่างๆ เลย แทนที่ผ่านโลกมาจะเป็นคติเตือนใจกับเรา ผ่านโลกมากลับเป็นทิฏฐิมานะว่าเราผ่านมามาก คนอื่นจะรู้ดีกว่าเราไปได้อย่างไร? มันไม่ยอมคิดใหม่ เห็นไหม นี่มันไม่ยอมคิดใหม่ ไม่ยอมคิดทำ แล้วก็อย่างนี้เป็นธรรมๆ มันเป็นธรรมไปได้อย่างไร เพราะเป็นธรรมมันก็ตอกย้ำแต่ความคิดเดิมๆ ความคิดโลกๆ อยู่นี่

คิดใหม่ คิดในธรรม คิดให้มันสะอาดบริสุทธิ์ขึ้นมา คิดสะอาดบริสุทธิ์มันก็ชำระล้างจิต แล้วจิตจะดีขึ้นมาเป็นของตัวขึ้นมา มีครูบาอาจารย์มันสำคัญอย่างนี้ ไม่มีครูอาจารย์ก็ตอกย้ำว่าคิด ตัวเองก็คิด ตัวเองว่าธรรมๆ นี่ก็ธรรมๆ ทั้งนั้นน่ะ ว่าเป็นธรรมทั้งนั้นล่ะ แล้วก็เสียเวลาเปล่าไป แล้วก็จะตายสูญตายเปล่านะ ตายสูญตายเปล่าเพราะอะไร? เพราะบารมีเราไม่มี เราไม่เฉลียวใจเลย ไม่สะดุดใจเลยว่าเราทำผิดหรือถูก ที่ว่าธรรมะๆ ปฏิบัติธรรมแล้วกิเลสมันจะเปิดทางให้ปฏิบัติธรรมนะ มันคิดของมันอย่างนั้นนะ

แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์กิเลสไม่เคยปล่อยให้ใครมีโอกาสหรอก กิเลสมันเอาธรรมะมาอ้าง เอาธรรมะมาอ้างแล้วก็พากันไป แล้วก็จมอยู่ในกิเลสนั้นน่ะ ว่าเป็นไปปฏิบัติธรรมๆ ปฏิบัติโดยกิเลสไม่รู้สึกตัวเลย ถ้าปฏิบัติธรรมขึ้นมามันต้องมีผลสิ ปฏิบัติธรรมขึ้นมามันต้องพัฒนาตัวเองสิ ความคิดมันต้องเปลี่ยนแปลงสิ การกระทำเราเปลี่ยนแปลงหมด ความเป็นอยู่เปลี่ยนแปลงหมดเลย เปลี่ยนแปลงขึ้นมาให้มันดีขึ้นๆ เพราะเราจะออกจากกิเลส ถ้ายังอยู่ในกิเลส ยังทำโดยกิเลสมันพาทำอยู่ มันจะออกจากกิเลสได้อย่างไร? มันอยู่ในร่องของกิเลส กิเลสจูงจมูกไปอย่างนี้ แล้วก็บอกปฏิบัติธรรม จมูกขาดไม่รู้สึกตัวว่ากิเลสจูงไปนะ ยังบอกว่าเป็นธรรมะๆ อยู่เลย

แต่ถ้าเป็นธรรมจริงๆ ขึ้นมา มันแยกออกๆๆ มันเป็นธรรม แล้วมันเป็นสากล เวลาผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต จะกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยหัวใจ กราบด้วยหัวใจ ลงด้วยหัวใจ ลงด้วยความเป็นไปของเรา เอวัง