เทศน์เช้า วันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เราชาวพุทธนะ ชาวพุทธต้องมีศาสนาเป็นที่พึ่ง ศาสนา เห็นไหม ในลัทธิอื่นเขาก็มีศาสนาเป็นที่พึ่ง แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้ายังไม่เป็นศาสดา ไม่พยากรณ์ว่าเป็นศาสดา เวลาไปพูดกับปัญจวัคคีย์ ปัญจวัคคีย์นี่ตั้งแต่ทำทุกรกิริยาแล้วกลับมาฉันอาหาร กลับมากินข้าวก่อน ปัญจวัคคีย์ทิ้งไปเลย ทำทุกรกิริยาขนาดนี้ยังตรัสรู้ไม่ได้ แล้วมากินอาหารมันจะตรัสรู้ได้อย่างไร
นี่หมดอารมณ์ หมดความรู้สึก เพราะอุปัฏฐากมา ๖ ปี หวังปรารถนาไง คนเรานี่เป็นไข้ เป็นโรคร้ายแรง แต่ไม่มียา รอยาอยู่ เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยายามค้นคว้าหาอยู่ จนสิ้นกิเลสแล้ว นี่ปัญจวัคคีย์ทิ้งไป พอทิ้งไปนี่ พยายามค้นคว้าของตัวเองไง ตั้งแต่อดอาหาร ทุกรกิริยานี่มันเป็นเรื่องของร่างกาย ความคิดไง ว่าเราทรมานร่างกายแล้วเราจะได้มีความสุข แต่เป็นความสุขไม่ได้ เพราะใจมันเป็นกิเลส ร่างกายปรนเปรอขนาดไหน ทุกข์ยากขนาดไหนมันก็คือร่างกาย มันเป็นวัตถุอันหนึ่ง แต่หัวใจที่ทุกข์ที่สุข เห็นไหม จนสิ้นกิเลส ทำอาสวักขยญาณชำระที่หัวใจ
เวลาไปหาปัญจวัคคีย์ เห็นไหม ปัญจวัคคีย์นัดกันว่าจะไม่รับ
เธอเคยได้ยินได้ฟังไหม ว่าเราสิ้นกิเลส เราเป็นพระอรหันต์ เคยได้ยินไหม?
อยู่กันมา ๖ ปี คนอยู่ด้วยกัน ๖ ปีนะ อยู่ใกล้ชิดกัน อยู่ด้วยกันมานี่ สิ่งใดที่ไม่เคยพูด ไม่เป็นก็ไม่พูด แต่สิ่งนี้เคยได้ยินไหม ๖ ปีนี่ เคยได้ยินอย่างนี้ไหม
ศาสนาพุทธเรานี่ ศาสดาปฏิญาณตนว่าสิ้นกิเลส ศาสนาอื่นไม่มีนะ ไม่มีหรอก แต่เวลาเผยแผ่กันมาแล้วนี่ถึงเอาทฤษฎีกันไป แต่ทฤษฎีมันก็เป็นทฤษฎีที่มันเข้าไม่ถึงสัจจะความจริงนะ มันเป็นเรื่องโลกๆ ไง ดูสิ เวลาเราไปหาพระ เห็นไหม เราไปถวายทาน ต้องมีพระสงฆ์ เห็นไหม พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่เวลาเขาไปนี่เขาไปหาเจ้าเข้าทรง ทรงเจ้าอะไรกัน เขาก็ไปอ้อนวอนขอเอา อ้อนวอนขอเอามันเป็นความสะดวกสบายนะ แต่ถ้าเป็นศาสนาพุทธนี่ ศาสนาแห่งปัญญา พอศาสนาแห่งปัญญานี่ เป็นเรื่องที่ยุ่งยากมาก อะไรก็เป็นปัญญา อะไรก็ต้อง.. มันเป็นปัญญามันต้องไปหัดตรึกหัดคิดสิ หัดตรึกหัดคิดมันพัฒนาความรู้สึกเรา พัฒนาหัวใจเราให้มันพัฒนาขึ้นมา ให้เราไม่เป็นเหยื่อของสังคมนะ
ดูสิ เวลาทางโลกเขา เห็นไหม ตาบอดสี ตาใสๆ นี่แต่มันบอดสี พอตาบอดสีนี่ไม่เข้าใจว่าสีใดๆ ตาก็เห็นอยู่นี่ตาบอดสี หัวใจเราก็เหมือนกัน บอดสี บอดสีเป็นชาวพุทธนี่แหละ แต่มันบอดสี มันไม่รู้ว่าสีนี่ความจริงเป็นอย่างไร ความไม่จริงเป็นอย่างไร เห็นไหม แต่ถ้าตาบอดเลยนี่ มันมองไม่เห็นเลยนะ
ถ้าตาบอด เห็นไหม ดูสิ เป็นชาวพุทธทะเบียนบ้าน ปฏิเสธไปทั้งหมดเลย นี่ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วมันก็ฝังไว้ในใจนั่นล่ะ ทำสิ่งใดที่หมักหมมไว้ในใจน่ะ มันเป็นความชั่ว ความลับมีในโลกที่ไหน เห็นไหม เพราะมันเข้าไม่ถึงตรรกะไง ตรรกะนี่มันเข้าไม่ถึง แต่ศาสนาให้ได้ แต่เวลาตรรกะใช้ความคิด เห็นไหม ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป มันดูที่วัตถุไง
เวลาคดโกงมา เวลาเราไปแก่งแย่งเขามา นี่เป็นของที่ได้มา แต่ไอ้ความทุกข์ในหัวใจ ไอ้นั่งทับความผิดไว้นี่ ในหัวใจความทุกข์อันนั้นมันมองไม่เห็นไง แล้วมันบอกว่าความลับไม่มีในโลก มันปิดบังไว้ไง
แต่ในศาสนาเรานี่ ความลับไม่มีในโลก เพราะเราเป็นคนทำนะ นี่เราเป็นคนทำ เรารู้ของเราเอง นี่มโนกรรม สิ่งที่เป็นมโนกรรม ถ้าใจมันคิดขึ้นมา ใจมันทำขึ้นมา มันเป็นกรรมแล้ว กรรมในหัวใจมันเกิดขึ้นมาแล้ว เห็นไหม แล้วมโนกรรมเวลาเราชำระล้างขึ้นมานี่ เราต้องมาชำระที่มโน มะนัสฺมิงปิ นิพพินทะติ มะโนสัมผัสเสปิ นิพพินทะติ ตัวมโนก็ต้องทิ้ง ตัวใจนี่ต้องทิ้ง เพราะมันเศร้าหมอง มันผ่องใส มันน่าเบื่อหน่าย เห็นไหม สิ่งที่เกิดขึ้นมาจากความสัมผัสของใจก็ต้องทิ้ง ผล อารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาจากใจก็ต้องทิ้ง
แล้วทิ้งอย่างไร? ทิ้งอย่างไร? ปฏิเสธมันเฉยๆ เหรอ ปฏิเสธว่าไม่มี ปฏิเสธว่าไม่เอา ปฏิเสธต่างๆ มันปฏิเสธมันก็คือการปฏิเสธ มันไม่ได้เป็นความจริงหรอก นี่ตาบอดแล้วเข้าใจว่าสิ่งนี้เป็นธรรม สิ่งนี้เป็นธรรม เห็นไหม ถ้าคนมันบอดนะ เวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการ ท่านบอกเลย คนเรานี่ถ้ามันนอนหลับนะ ถ้ามันไม่สนใจนะ คนนอนหลับนี่เราเอาอาหารไปป้อนนะ มันสำลักตายหมดนะ ใจมันบอดน่ะ
แล้วนี่ความรู้สึกของโลกนะ ทำไมพระนี่ไม่สั่งสอน ทำไมศาสนานี่มันเรียวแหลม ทำไมสังคมมันเป็นอย่างนั้น ก็มันบอดน่ะ ก็มันไม่เอาน่ะ มันบอดนะ ยิ่งไปสั่งสอนมัน ยิ่งบอกว่าคนที่มีศีลมีธรรมนี่เป็นคนโง่ คนมีศีลมีธรรมนี่เป็นคนไม่ทันโลก
..ไม่ทันโลกแต่ทันตัวเอง ไม่ทันโลกแต่ทันหัวใจ ไม่ทันโลกแต่ทันความรู้สึก ความรู้สึกที่มันทุกข์นี่ เราเอามันไว้ได้ เราปกครองมันได้ เห็นไหม
แต่คนที่ทันโลกมันมีแต่ความทุกข์ มันเบียดเบียนคนอื่น คิดว่าเบียดเบียนคนอื่นแล้วตัวเองจะได้ผลประโยชน์ แต่ไม่รู้เลยนะนั่นสร้างเวรสร้างกรรม การชนะคะคานกันน่ะมันสร้างเวรสร้างกรรมนะ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ถ้าเราให้อภัยเขา เราไม่จองเวรเขา เราให้อภัย เห็นไหม เราเป็นคนให้อภัย กว่าที่จะให้อภัยได้ ถ้าไม่ฝึกจะให้อภัยได้ไหม คนนี่เหม็นหน้ามากเลย บอกให้อภัยมันนี่ ใครจะยอมให้อภัยได้
แต่ถ้ามีการฝึกขึ้นมานะ ดูสิ ขนาดว่าศัตรูนี่ เรายังให้อภัยได้เลย ให้อภัยในสิ่งที่ให้อภัยนะ แต่กรรมที่เขาทำน่ะให้อภัยไม่ได้หรอก มันเป็นกรรมของเขา ใครทำสิ่งใดมา สิ่งนั้นต้องเป็นกรรมของเขา เขาทำของเขาเอง เราไม่มีสิทธิเหนือกรรม เราไม่มีสิทธิเหนือจะไปให้เจ้าหนี้กับลูกหนี้เขาหมดจากหนี้กันไปได้ เว้นแต่ลูกหนี้กับเจ้าหนี้เขาชำระกันเอง กรรมที่เขาสร้างขึ้นมาแล้วก็คือกรรมของเขา ไม่ใช่ว่าเราให้อภัยแล้วมันจะหมดกันไป เราให้อภัย แต่สิ่งที่กระทำแล้วมันก็เกิดขึ้นมา มันต้องมีผลไปตามธรรมดา
ดูสิ เวลาพระเทวทัตจะไปขอขมาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า มาไม่ถึงเราหรอก มาไม่ถึงเราหรอก มาถึงหน้าเชตวันแล้วนะ นี่หามมาน่ะ มาไม่ถึงเราหรอก ถึงที่สุดแล้วนี่ พอจะเข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอชำระล้างร่างกายก่อน ลงจากแคร่มาธรณีสูบไปเลย มาไม่ถึง เพราะทำรุนแรงไว้น่ะ เพราะอนันตริยกรรม ใครทำไว้แล้วมันเป็นกรรมของเขา
นี่ตรงนี้มันเริ่มต้น เริ่มต้นนี่ มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา มารที่มันครอบงำเรานี่ มันเกิดจากความรู้สึกของเรา มันเกิดจากความคิดของเรา แล้วเราทำกันไปด้วยความคิดของเรา ไปด้วยความรู้สึกของเรา แต่นี่การกระทำแล้วมันทำออกไปมันเป็นกายกรรม สิ่งที่เป็นกายกรรมนี่ทำออกไปจากข้างนอก เห็นไหม
แต่ถ้าพูดถึงเริ่มต้น เวลาเราชำระล้างของเรา ต้องล้างขึ้นมาจากมโน เห็นไหม มโนกรรม สิ่งที่เป็นมโนกรรมถ้ามันเป็นธรรมขึ้นมา มันไปยับยั้งกันที่นั่น มันยับยั้งกันที่ความคิด ความคิด ความรู้สึกของเราที่เราจะไปเบียดเบียนเขา เราไปทำลายเขานี่ มันคิดออกมาไม่ได้ นี่ มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา มารจะเกิด ความคิดมันเบียดเบียนเขานี่ธรรมมันรู้ทัน ธรรมมันรู้เท่า นี่ปัญญารอบรู้ในกองสังขาร ปัญญาในศาสนาพุทธเรานี่ ปัญญารอบรู้ในความคิด ปัญญารอบรู้ในกองสังขาร ความคิดที่มันฉุดกระชากลากเราไปนี่ ความคิดที่มันทำให้เราไปตามตัณหาความทะยานอยาก แล้วปัญญามันรอบรู้ มันทัน ทันความคิดของเรา
มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา ความคิดออกมาจากความดำริ ความดำริแล้วมันเป็นความคิดออกไป แล้วเราเท่าทันหมด เราควบคุมได้หมด แล้วสิ่งที่มันคิดดีคิดชั่ว มันก็ต้องรู้ตามมันไป
ถ้าคนใจมันไม่บอด มันเห็นสภาวะแบบนี้ แต่ถ้ามันบอดนะ ทำไมเดี๋ยวนี้ศาสนามันเรียวแหลม ทำไมสังคมเป็นอย่างนั้น เพราะสังคมมันเป็นสภาวะกรรม กรรมมันสภาวะแบบนั้น ใจเรานี่มันมีกิเลสอยู่แล้ว มีสิ่งเร้าอยู่แล้ว แล้วพอไปเจอสิ่งที่เป็นวัตถุทางโลก เห็นไหม สิ่งที่เป็นวัตถุ วัตถุนี้มันเจริญ เรามองไปที่วัตถุที่เจริญ แล้วมองไปเจริญ เราก็ไปตามเขา เหยียบย่ำตัวเองนะ ไม่เห็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์
สิ่งที่เป็นมนุษย์ สิ่งที่เป็นความรู้สึก มีคุณค่ามากกว่าความรู้สึกทั้งหมด มากกว่าวัตถุทั้งหมด วัตถุนี่มนุษย์สร้างขึ้นมา สิ่งต่างๆ มนุษย์คิดขึ้นมา มนุษย์สร้างขึ้นมา มนุษย์หามาทั้งนั้นเลย แล้วมนุษย์ก็ไปติดสิ่งที่ตัวเองหามา สิ่งที่ตัวเองสร้างขึ้นมาแล้วมนุษย์ก็ไปติดมัน มนุษย์ก็เป็นขี้ข้ามัน มนุษย์ก็ไปให้มันเหยียบย่ำ เห็นไหม
แต่ถ้าเราทันเรา สิ่งนั้นมันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย เราก็ใช้นะ ดูสิ เวลาพระบอกว่า สิ่งนี้เป็นโลกๆ แล้วดำรงชีวิตอยู่นี่ก็โลกนะ มนุษย์นี่เกิดมาจากโลก เกิดมาจากพ่อจากแม่ ถ้าเกิดมาจากพ่อจากแม่นะ เกิดมาจากกาม แล้วเอากามมาทำคุณงามความดี เกิดมาจากกาม แต่ไม่ชุ่มอยู่ในกามนะ นี่พรหมจรรย์ เราออกมาจากพรหมจรรย์ แต่ถ้าเราอยู่ในวัฏฏะ เราก็จะวนไปในวัฏฏะอย่างนั้น ถ้าวนในวัฏฏะอย่างนั้น ทำคุณงามความดีนี่ เรามาสร้างบุญกุศลกันนี่ มันก็เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เห็นไหม
เทวดา เทวดาก็กามภพ สิ่งที่กามภพมันก็เป็นกาม กามเป็นทิพย์ กามเป็นทิพย์ก็กามเป็นโลก สิ่งต่างๆ มันเกิดมาสภาวะสัจจะความจริง เห็นไหม ศาสนานี่สอน ศาสนานี่ตอบสนองเรื่องชีวิตได้หมด ชีวิตนี้เกิดมาจากอะไร? ที่เกิดนี่เกิดมาจากไหน? เกิดจากกรรม กรรมอะไรพาเกิด? ตัวจิตพาเกิด เกิดแล้วเวลาตาย ตายแล้วไปไหน? ตายแล้วจิตนี้สุดสิ้นไปไหน เห็นไหม นี่มันตอบสนองในวัฏฏะ จิตนี้วนในวัฏฏะ วัฏสงสาร
วิวัฏฏะ! วิวัฏฏะคือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นไก่ตัวแรกเจาะเปลือกไข่ เจาะอวิชชาออกไป เป็นไข่ฟองแรก ในโลกนี้เราไม่เห็นมีใครที่ประเสริฐกว่าเรา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในบรรดาสัตว์ ๒ เท้า ไม่มีใครประเสริฐเท่ากับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในบรรดาสัตว์ ๒ เท้านะ แล้วในบรรดาสัตว์ ๔ เท้าต่างๆ ที่มาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะอะไร เพราะสิ่งนี้มันเข้าใจ
แต่ แต่พูดออกไปนี่ใครมันจะเชื่อ พูดออกไปนี่ ใครมันจะเป็นความจริง ดูสิ ดูอย่างสมบัติของเรานี่ ในสมบัติที่เราเก็บไว้นี่ เราก็รู้ของเราคนเดียวใช่ไหม นี่สมบัติของเรานะ แต่เวลาสมบัติของจิตนี่ ไม่มีใครรู้เลย เพราะอะไร? เพราะบุพเพนิวาสานุสติญาณ พอจิตมันสงบเข้าไปมันจะรู้ของมันเอง รู้ว่าสิ่งนี้เราสะสมมาขนาดไหน เวลาสมาธิมันเกิดขึ้นมา สมาธิของคนใหญ่คนเล็กขนาดไหน สมาธิ เห็นไหม มันมีอำนาจ มีบาทฐานขนาดไหน
เวลาปัญญามันเกิดขึ้นมานี่ ปัญญามันรอบรู้ในกองสังขาร ปัญญาที่มันอย่างนั้น ดูสิ ขณะของจิตที่เวลาเราพลิกขึ้นมานี่ ขณะจิตที่เป็นปุถุชน จนเป็นอริยบุคคลขึ้นมา มันทำอย่างไร? มันพลิกฟ้าคว่ำดินอย่างไร? เหมือนเราเลย เหมือนเรามีวัตถุขึ้นมานี่ เราจะสร้างบ้านหลังเล็ก หลังใหญ่นี่ มันอยู่ที่อำนาจวาสนาของคน อำนาจวาสนาของคนทำได้ขนาดไหน
จิตมันเป็นนามธรรม มันไม่มีซื้อขายในท้องตลาด อำนาจวาสนาบารมีไม่มีการซื้อ ไม่มีการขาย ไม่มีการเจือจานกันได้ มันเป็นสมบัติที่สร้างกันมา ตั้งแต่เราสร้างกันมา ในปัจจุบันที่เราสร้างบุญกุศลกันอยู่นี่ ที่ว่าทุกข์ๆ ยากๆ นี่ ทำดีไม่ได้ดีนี่ มันจะสร้างสมไป แล้วเวลาสร้างสมไป เวลามันไปทำของมัน สิ่งนี้มันอยู่ในหัวใจอยู่แล้ว ถ้ามันเปิดเผยออกมา นี่มันเปิดเผยไม่ได้
สิ่งที่มีอยู่ เห็นไหม ดูสิ คนคิดดีก็แยะเลย แต่ถึงเวลาสิ่งเร้ามาทนไม่ไหว ทนไม่ไหว กิเลสมันลากไปเลย ตัณหาความทะยานอยากมันลากไป แต่ถ้ามันมีบารมีด้วย แล้วมีสติสัมปชัญญะด้วย แล้วมีปัจจุบันธรรม นี่มีวุฒิภาวะ วุฒิภาวะนี่เราไม่เป็นเหยื่อของโลก ไม่เป็นเหยื่อของใครทั้งสิ้น แล้วปลุกใจตัวเองขึ้นมา เห็นไหม ถ้ามันบอดสีก็ยังดี บอดสีนี่เข้ามายังเห็นบ้าง ไม่เห็นบ้าง คือเข้ามาในศาสนา ไปศึกษาในศาสนา ทำเพื่อเราบ้าง
แต่ถ้าบอดสนิทเลยนี่ ไม่เชื่ออะไรเลย ไม่เชื่ออะไรเลยนะ ทั้งๆ ที่เขามีวาสนานะ วาสนาเกิดเป็นมนุษย์ไง เกิดมานี่สิทธิเท่ากัน สิทธิคือมีลมหายใจเหมือนกัน สิทธิคือมีความรู้สึกเหมือนกัน แต่ความรู้สึกนี้เอาไปใช้ในทางหามาเพื่อเป็นปัจจัยเครื่องอาศัยกับการดำรงชีวิต ไอ้วัตถุนี่ วัตถุนี่ถึงที่สุดแล้วมันต้องพลัดพรากไปธรรมดา ถึงที่สุดแล้วชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ถึงที่สุดแล้วทุกอย่างต้องพลัดพรากหมด แล้วเวลาพลัดพรากนี่มันมีอะไรติดมือมันไป ถ้าเป็นการกระทำของเรา มีอะไรติดหัวใจไป
ถ้าติดหัวใจไป นี่อามิส บุญนี้เป็นอามิส เห็นไหม กุศล อกุศล แต่ถ้ามันเป็นอริยทรัพย์นี่ มันเป็นอะไร? มันเป็นอามิสไหม? ถ้าเป็นอามิสขณะจิตมันจะพลิกได้อย่างไร พลิกจากปุถุชนเป็นกัลยาณปุถุชน จากอริยบุคคลเป็นโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล มันเกิดมาจากไหน? มันเกิดมาจากการพัฒนาของเรานะ มันเกิดจากการกระทำของเรา เห็นไหม
ถ้าใจไม่บอด ใจไม่บอดนะมันเห็นสมบัติมาทั้งหมด ดูสิ เวลาเรากินอาหาร อาหารอะไรที่เป็นพิษ เราจะแยกสิ่งนี้ไม่ควรกินๆ เพราะกินแล้วร่างกายเรามันจะเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าอาหารสิ่งนี้เป็นประโยชน์กับเรา เห็นไหม นี่การกระทำของเรา สิ่งใด ดูสิ อบายมุข สิ่งที่เขาเพลิดเพลินกันนี่ รูป รส กลิ่น เสียงนี่เป็นอบายมุข มันอบายมุข อบาย อบายภูมิ อบายมุขมันเป็นสิ่งที่ล่อให้เราตกไปในอบายภูมิ ถ้าเราตัดสิ่งนี้ได้ เรามีศีลมีธรรมขึ้นมานี่ มันตัดสิ่งนี้ได้แล้ว มันก็อยู่สิ่งที่สูงขึ้นไป แล้วจากอบายมุข เห็นไหม เราถือศีล ศีล สมาธิ ปัญญา
ถ้าศีล สมาธิ ปัญญา มันเกิดขึ้นมา เวลาทำบุญกุศล ทำเพื่อใจของเราให้มันเปิดกว้าง ให้มันมีโอกาส คนมีโอกาสขึ้นมานี่ฟังธรรม ฟังธรรมขึ้นมานี่อาหารกาย อาหารใจนะ อาหารกายนี่ทุกคนเจือจานกันได้ ดูสิ ลูกเล็กเด็กแดงนี่ เราหาให้มันกินได้ แต่อาหารใจนะ คนผู้เฒ่าผู้แก่นี่เจ็บช้ำน้ำใจ เจ็บขนาดไหนใครจะแก้ไข
มีครูบาอาจารย์ของเราน่ะต้องช็อก นี่ ใครทรมานมา ทรมาน เห็นไหม สิ่งนี้มันเป็นสุดวิสัย สุดวิสัยที่เราจะให้มันย้อนกลับมาเพราะเป็นอดีตไปแล้ว แล้วเราจะทำอย่างไรให้จิตมันปล่อยให้ได้ ถ้าจิตปล่อยให้ได้ มันมีการกระตุ้น มีการต่างๆ นี่เทคนิคนะ ในการเปลี่ยนความรู้สึก เปลี่ยนความคิดนี่ เปลี่ยนชีวิตเลย เปลี่ยนความรู้สึก เปลี่ยนชีวิตเลย ชีวิตเรามีความรู้สึกตอกย้ำความคิดอยู่อย่างนี้ แล้วเราใช้ชีวิตอยู่ประจำอยู่อย่างนี้
แล้วถ้ามันเป็นอย่างนี้มันคืออะไรน่ะ ก็เราก็ทุกข์ยากอยู่อย่างนี้ ถ้าเราไม่เปลี่ยนแปลงของเรา เราไม่มีการแก้ไขของเรา แล้วใครจะไปแก้ไขให้ได้ มันมีช่างที่ไหน เครื่องยนต์กลไกที่เราเอาไปให้ช่างเขาซ่อมนี่ เขาไปซ่อมได้ หัวใจใครซ่อมให้ หัวใจเราจะซ่อมเราต้องซ่อมของเราเอง ต้องสติปัญญาซ่อมของเราเอง แล้วแก้ไขของเราเอง แล้วมันจะเป็นประโยชน์ของเราเอง เห็นไหม แล้วมันอยู่ที่ไหน เครื่องซ่อมมันอยู่ที่ไหน
นี่ศีล สมาธิ ปัญญา สตินี่ยับยั้งมัน สติจับขึ้นมาแล้วปัญญาแก้ไขมัน ปัญญาซ่อมมัน เปลี่ยนแปลงมันให้ใจเราพัฒนาขึ้นมา เห็นไหม อย่าให้ใจมันบอด ให้ใจมันเปิดกว้าง สิทธิมี นี่ทุกคนว่าตัวเองมีปัญญา ยอดคนทั้งนั้นเลย แต่ทำไมเอาความคิดตัวเองไว้ไม่ได้ ทำไมเอาความรู้สึกตัวเองไว้ไม่ได้ ทำไมควบคุมตัวเองไม่ได้ ยอดคนทำไมแพ้ตัวเอง ทำไมแพ้ความรู้สึกของตัวเอง
ถ้ามันชนะตัวเองขึ้นมาได้ เห็นไหม นี่ถึงจะยอดคน ยอดคนนี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก ในบรรดาสัตว์สองเท้า ไม่มีใครเลิศกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่เลิศเพราะเป็นศาสดา เพราะเอาเทคโนโลยี เอาความรู้สึก เอาเรื่องของมรรคญาณมาสอนเรา เรื่องของความรู้สึกคือเรื่องของจิต แล้วมันแปรสภาพอย่างไร ถ้าไม่มีพื้นฐานอย่างนี้ ศาสนานี่ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิญาณตน เราเป็นพระอรหันต์ ให้เงี่ยหูลงฟัง
ฟังนะฟังวิธีการนี่ไง วิธีการแก้ไขจิต วิธีการซ่อมหัวใจ เปิดหัวใจขึ้นมาแล้วแก้ไขมัน จนถึงที่สุดสมบัตินี้เป็นของเรา เอวัง