เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๕ เม.ย. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราเป็นชาวพุทธนะ ชาวพุทธนี่เราอยากมีความสุข มีความสุข เห็นไหม เพราะศาสนาพุทธนี่ศาสนาแห่งปัญญา ศาสนาสอนถึงเรื่องอริยสัจ สัจจะนะ สัจจะ-อริยสัจจะ ทีนี้สัจจะ อริยสัจจะ ความจริงมันก็คือทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค แล้วทางโลก ในลัทธิศาสนาอื่นๆ เขาบอกเป็นทุกข์นิยมไม่ชอบ ชอบสุขนิยม ทางศาสนาอื่นๆ เขาจะมีความสุข เขาบอกเป็นความสุขนิยม ต้องการความสุข แล้วศาสนาพุทธเรานี่เป็นศาสนาทุกข์นิยม ทุกข์นิยมหมด เป็นทุกข์ มันไม่ใช่ ไม่ใช่ทุกข์นิยม สัจจะนิยม

สัจจะนะ ถ้าทุกข์มันหายไป ตรงข้ามความทุกข์คืออะไร? ตรงข้ามความทุกข์คือความสุข นี้เราต้องการความสุขกัน เราปฏิเสธความทุกข์โดยที่เราไม่มีเหตุมีผล มันปฏิเสธไม่ได้หรอก นี้ถ้าเราอยากได้ความสุข ทุกศาสนาเขาจะสอนให้คนไปถึงความสุข สอนให้คนพ้นจากความเป็นทุกข์ ทีนี้พ้นจากความเป็นทุกข์ ถ้าเราไม่เข้าไปหาเหตุผลของความเป็นทุกข์ แล้วแก้ไขที่ความเป็นทุกข์ มันไปสุขได้อย่างไร? มันเป็นความสุขไม่ได้

แต่เขาบอกว่าศาสนาพุทธนี่ทุกข์นิยมๆ ไม่ใช่ทุกข์นิยม เหตุผลนิยม สัจจะนิยม เห็นไหม ถ้าสัจจะนิยมเราเป็นชาวพุทธ เราทำคุณงามความดีกัน ทำคุณงามความดีกันก็เพื่อเป็นความดีไง ศาสนาพุทธมันมาจากไหนล่ะ? มันมาจากสัจจะ อริยสัจจะใช่ไหม? ถ้ามันสัจจะ อริยสัจจะ ต้นขั้วมันมาจากไหน? ต้นขั้วออกมามันเหมือนพ่อแม่ เราเป็นพ่อแม่ พ่อแม่เราก็รักลูก รักต่างๆ ทีนี้เด็กมันเล็ก ลูกมันเล็ก ลูกมันอ่อน ลูกมันไม่มีปัญญามันก็ต้องระดับของทาน มีการเสียสละ เห็นไหม

ถ้าเด็กๆ มีการเสียสละต่อกัน ไม่มีความโต้แย้งต่อกัน เด็กมันก็มีความสุขประสามันแล้ว นี่ระดับของทาน ระดับของศีล ศีลถ้าสังคมมันมีความปกติของใจ ถ้าจิตมีความปกติ ไม่เบียดเบียนกัน ไม่กลั่นแกล้งกัน ไม่ทำลายกัน ไม่มุสา ไม่พูดเท็จ สังคมมันก็ร่มเย็นเป็นสุขใช่ไหม? ระดับของทาน ระดับของศีล แล้วระดับของปัญญา ทีนี้ถ้าระดับของปัญญา ถ้าปัญญามันผิดนะ ทานก็ผิด ศีลก็ผิด ทุกอย่างจะผิดหมดเลย

นี้เราคิดว่าทำไมต้องมาพูดกันเรื่องสัจจะ เรื่องปรมัตถ์ มันเรื่องลึกซึ้ง มันเรื่องเกินกว่าเหตุ เราชาวพุทธแบกไม่ไหวหรอก นิพพานมันสุดเอื้อม มันอยู่ไกลสุดขอบฟ้า เอาเรื่องทานก็พอ เอาเรื่องพื้นๆ นี่แหละ พื้นๆ มันมาจากไหนล่ะ? ถ้าพื้นๆ แก่นมันผิด ศูนย์มันผิด เข็มทิศมันผิด มันจะชี้ไปไหนกัน มันก็ชี้ลงนรกน่ะสิ ถ้าแผนที่มันถูกใช่ไหมมันก็เป็นถูกไง พอมันถูกขึ้นมา เห็นไหม เราบอกดูจิตๆ มันเป็นพวกอภิธรรม ฝ่ายอภิธรรมกับดูจิตนี่มันอันเดียวกัน

ถ้าอภิธรรมกับดูจิต แล้วเขาบอก เขาพูดนะคำนี้น่าคิด เขาบอกพุทโธ พุทโธนี่เขาได้รับการฝังหัวมา เพราะพุทโธเป็นการผูกมัดจิตไว้ มันเป็นสมาธิไม่ได้ พุทโธมันเป็นการเพ่ง เป็นการเกร็ง แล้วมันจะเอาจิตไว้ได้อย่างไร? แต่ถ้าการวิปัสสนาโดยปัญญา การใช้ปัญญาไปเลย ปัญญานี่มันใช้ปัญญาเป็นวิปัสสนา ผิดทั้งนั้นแหละ

เราบอกเลยนะมันจะมัดไปไหน? มันบอกเอาพุทโธมัดจิตไว้ พอมัดจิตไว้มันเป็นสมถะ กลัวเป็นสมถะมาก

เราบอกว่าเราเป็นคน เราเกิดมาเราปรารถนาความสุข แล้วเราเกลียดความสุข กลัวความสุข เราจะเจอความสุขได้ไหม? สมถะนี่มันเป็นสมาธิ สมาธิเป็นความสุขมาก ทีนี้ความสุขก็กลัวจะไปติดสุขอีก กลัวติดสุขไง เราเปรียบให้เขาฟังนะว่าพวกเรานี่มีคนละ ๑ ล้าน ถ้าเรามีคนละ ๑ ล้านคือมีสมาธิ แล้วถ้าเราปฏิเสธ ๑ ล้าน เราไม่มีสมาธิเราจะไปทำอะไรกัน? เราทำอะไรกันไม่ได้หรอก เขาไปปลูกฝังกันว่าสมถะมันเป็นของเสีย สมถะเป็นของไม่ดี แล้วมันมีคนเขามาถาม นี่เขามาบอกเขาก็พุทโธ พุทโธ มันทำไม่ได้เลย

พุทโธไม่ดีอย่างไร? อย่างนั้นต้องเอาพุทโธไปขังคุก เอาพุทโธไปฆ่าทิ้ง พุทโธเพชฌฆาต พุทโธทำลายคน มันไม่ใช่หรอก พุทโธมันเป็นความคิดอันหนึ่ง ธรรมดาความคิดของเรา เห็นไหม ที่เขาบอกนามรูปๆ เขาดูไปเลยนะ เขาปฏิเสธเลย เขาปฏิเสธไง

คำว่านามรูป มันปฏิเสธความรู้สึก ปฏิเสธความคิด ปฏิเสธทั้งหมดเลย พอปฏิเสธไปแล้วมันก็เลยรากลอย รากไม่มี คนไม่มีราก คนไม่รู้จักตัวเอง แต่พุทโธ พุทโธ พุทโธ มันมาจากเรา มันมาจากสติ มันมาจากจิต แล้วมีพุทโธนี่ จริงอยู่เริ่มต้นถ้ามันคนไม่มีจริตนิสัยมันจะอึดอัด มันจะเครียด มันจะอะไรบ้าง ไอ้อย่างนี้มันเป็นการทำงาน คนลงไปทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำ มันต้องเมื่อยล้ามันเป็นเรื่องธรรมดา

จิตนี่เวลามันจะทำงานของมัน มันเป็นเรื่องธรรมดา กำหนดพุทโธมันเป็นเรื่องธรรมดา ทีนี้ธรรมดาปั๊บมันจะเครียด มันเป็นการผูกมัดไว้ มันจะเป็นสมาธิไม่ได้ มันเป็นอัตตกิลมถานุโยค มันเป็นการกด มันเป็นการทับ นี่คนไม่เคยทำงานมันก็ว่ากันไป แล้วเวลาปฏิเสธไง โน่นก็ไม่เอา นี่ก็ไม่เอา ไม่เอาๆ ไม่เอาหมดเลย มันก็เลยไม่ได้อะไรเลย ก็เลยกลายเป็นมิจฉาสมาธิไปเลย

นี่เขาพูดเอง เขาบอกเขาฝึกกันมามันเป็นจริง เพราะกำหนดนี่มันมีจุดมีต่อม มีจุดมีต่อมแล้วก็เห็นอายตนะ ถ้าเห็นอายตนะอย่างนี้แล้วมันก็ทำได้เหมือนกัน ดูจิตนี่เหมือนกันหมดเลย

เราบอกไม่ใช่หรอก ไม่ใช่ เพราะการดูจิต อารมณ์นี่นะจิตมันเป็นความรู้สึก มันเปรียบเหมือนเราไปดูหนังสารคดี คนเขาไปถ่ายทำหนังสารคดีมา แล้วก็ให้เราไปดูหนังสารคดีนั้น เราไปดูที่หนังสารคดีนะ เราไม่ใช่ไปดูที่ข้อเท็จจริงในพื้นที่ ถ้าดูข้อเท็จจริงในพื้นที่จิตมันต้องสงบเข้ามาก่อน พอจิตมันสงบเข้ามามันไปเห็นข้อเท็จจริงการทำงาน เพราะเขาบอกว่าเขาเห็นจิต เห็นจุดและเห็นต่อม แล้วออกไปที่อายตนะ

เราบอกนี่มันเรื่องของเงาของจิต ไม่ใช่ตัวจิต มันเป็นเรื่องของเงาหมดเลย เรามองไปที่เงา เห็นไหม นี่ความคิดที่เราคิดกันอยู่นี้ ความคิดที่มันเกิดขึ้นมา เราใช้สติปัญญาเข้าไปมันจะเห็นความคิดของเรา ความคิดมันเป็นเงา แล้วความคิดดับลงไปแล้วได้อะไร? ได้อะไร?

แต่ถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธินะ ปัญญาอบรมสมาธิมันจะไล่ความคิดเข้าไป พอความคิดดับ ความคิดมันหยุด หยุดมันเหลือพลังงานที่จะคิด พลังงานตัวคิด ตัวพลังงานตัวคิดนี่ตัวจิต มันจะหยุดไปเรื่อยๆ แต่ใหม่ๆ จะไม่รู้ คนที่พอมันไล่ความคิดไป มันหยุดนี่ไม่รู้เรื่องหรอก เพราะอะไร? เพราะเหมือนเรา เราทำงานเรายังไม่รู้ว่าทำงาน งานมันเสร็จ งานมันเสร็จ แต่เราไม่รู้ว่างานนี้สำเร็จเพราะเรา

เราเป็นคนทำงานนะ แต่ส่วนใหญ่คนทำงาน พอทำงานเสร็จบอกนี่งานเสร็จแล้ว ดีใจกับผลงานนั้น แต่ลืมไปว่างานที่ทำนี่ใครเป็นคนทำ จิตที่มันพิจารณาไป เวลามันปล่อยเข้ามา ตัวมันทีแรกมันจะไม่เห็น ทีแรกมันจะไม่รู้ แต่ถ้าทำชำนาญๆ เข้ามันจะรู้มันจะเห็นของมัน เห็นตัวปล่อย เห็นตัวปล่อยๆ เห็นตัวปล่อย รู้จักตัวปล่อย เห็นไหม

ที่ไปธรรมศาสตร์นี่ เขาบอกนั่งสมาธิไปแล้วมันเหมือนรู้สึกว่ามีอะไรอันหนึ่งๆ นั่นล่ะตัวสมาธิ แต่ถ้ามันว่างหมด ปล่อยหมด นี่ว่าง ว่างก็เป็นอวกาศว่างนะ นี่เป็นอากาศว่าง เป็นความว่าง นี่นามรูปๆ แล้วมันว่างหมดๆ มิจฉาสมาธิ! มิจฉาสมาธิเลย แต่ถ้าเป็นสัมมานะ สัมมานี่ถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธิ หรือกำหนดพุทโธ พุทโธ มันจะมีผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นี่ไงเงินล้านไง แล้วปฏิเสธกัน มันจะเป็นสมถะ มันจะไม่เป็นวิปัสสนา อยากจะเป็นวิปัสสนาก็เลยไปดูผลงานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เราบอกนะ เราไม่ได้ค้านธรรมนะ อภิธรรมไม่ได้ค้าน ตัวธรรมนะ ตัวธรรมนี่ไม่เคยค้าน พระไตรปิฎก ธรรมและวินัยนี่อภิธรรม ไม่ค้าน ธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ค้าน แต่ค้านการสอน ค้านการเข้า ค้านวิธีการ ไม่ได้ค้านธรรม แต่คนมันไม่เป็นมันเลยเอาวิธีการนั้นมาสอนผิด สอนผิดมาตั้งแต่เริ่มต้น ให้เริ่มต้นมาตั้งแต่แรก มันกลับหัวกลับหางกันไง

คนที่จะทำงาน เราจะมีการก่อสร้างเราต้องปรับพื้นที่ก่อน เราต้องตีเข็มก่อน เราต้องมีคานพอดีขึ้นก่อน อยู่ในดินหมดเลย จะไม่อยู่บนดินเลย แล้วพอเราสร้างจากคานขึ้นไป ตึกรามบ้านช่องมันจะขึ้นมาจากบนดิน นี่ก็เหมือนกัน ไปคิดกันแต่วิปัสสนา ไปคิดกันแต่สิ่งที่เป็นตัวตึก แต่ไม่ได้ดูที่เข็ม ไม่ได้ดูที่คาน แล้วปฏิเสธนะว่าเข็ม คาน ไม่จำเป็นๆ พุทโธไม่จำเป็น สมาธิไม่จำเป็น... ไม่จำเป็นตึกอยู่ไม่ได้ ตึกอยู่ได้มันเป็นความฝัน มันเป็นความเพ้อเจ้อ ถ้าตึกมันอยู่ได้นะมันต้องมีความจริงขึ้นมาก่อน นี่ถ้าคนเป็นนายช่างใหญ่ คนที่เขาเป็นวิศวกร เขาต้องคำนวณเลยว่าบ้านช่องมีขนาดไหน? จะต้องมีสิ่งที่รองรับขนาดไหน? มันจะเป็นสิ่งที่รองรับขึ้นมาได้

สมาธิก็เหมือนกัน ถ้าสมาธิมันไม่มีนะทำอะไรไม่ได้หรอก มันเป็นไปไม่ได้ แล้วพอเป็นไปไม่ได้ นี่บอกว่ามันเป็นไปอย่างนี้ ฤๅษีชีไพรก่อนพุทธกาลก็เป็นอย่างนี้ การเหาะเหินเดินฟ้า การรู้วาระจิตต่างๆ มันก็เป็นแบบนี้ เพราะถ้ามันจิตสงบไป หรือธรรมดาเรานอน คนนอนยังฝันเลย คนที่ฝัน คนที่มีเซ้นส์จะรู้อนาคตเลย แล้วคนที่นั่งไปจิตมันจะมีพลังงานของมัน คือมันจะสงบตัวเข้ามา พอสงบตัวเข้ามามันจะมีแสง มีอะไรของมัน หรือจะมีความรับรู้ต่างๆ นี่เขาว่านี่เป็นธรรม

ไม่ใช่นะ จิต อาการของจิต ถ้าคนจะรู้จักจิตมันต้องปล่อยอาการของมันมา สิ่งที่เกิดขึ้นมามันเป็นเปลือกส้ม เปลือกส้มคือความคิดไม่ใช่จิต คนเข้าใจว่าความคิดคือเรานะ ความคิดนี่ ทั้งๆ ที่ความคิดนี้ก็ไม่ใช่เรา ความคิดนี่มันมีที่มา มันมาจากตัวพลังงานคือตัวจิต แล้วคิดดูสิว่าตัวพลังงาน ตัวเงา คนเรานี่ไปตะครุบเงา แล้วบอกเงาเป็นเรา คนนั้นบ้าไหม?

นี่คนเราไปตะครุบที่เงา เงามันเกิดจากเรานะ แล้วความคิดมันเกิดจากจิต ถ้าความคิดมันเป็นเรานะ เหมือนมันเป็นวิทยาศาสตร์นะ นี่เราจะไม่มีเวลาว่างเลย ความคิดมันจะหมุนจนเรานี่หัวปั่นเลย แต่เวลามันคิด เวลามันทำงาน เวลามันเครียดมันก็หัวปั่น แต่ทำไมมันหยุดได้ล่ะ? มันหยุดได้โดยธรรมชาติของมัน

“สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับไปเป็นธรรมดา”

คือภาวะต่างๆ เป็นภาวะธรรมที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา แต่มันไม่ธรรมดาเพราะเรามีกิเลส เรามีอวิชชา เราไม่รู้เรื่องไปกับมัน เราเลยกลิ้งไปกับธรรมดา ธรรมดานี่มันเอาเรากลิ้งทับเราไป ความคิดนี่มันกลิ้งทับเราเอง กลิ้งทับ เหยียบทับเราเอง เห็นไหม เราก็ไม่รู้ว่าความคิดนี้เป็นเรา แต่พอเราดูความเป็นธรรมดา ดูความเป็นธรรมดามันเกิดเป็นธรรมดา

นี้มันไม่ธรรมดาเพราะมันมีตัณหา มีความพอใจ มีความไม่พอใจ มีความสุข มีความทุกข์ ความเครียด ความต้องการ ตัวนี้มันเป็นตัวเร้า ตัวเร้านี่ ถ้าเรามีสติธรรม ไอ้ตัวเร้ามันสงบตัวลง เพราะตัวเร้าเกิดจากเรา พอตัวเร้าเกิดจากเรา พอเป็นเราขึ้นมามันก็ปล่อยเงาเข้ามา ปล่อยเงาเข้ามา มันจะเป็นตัวมันเอง เห็นไหม

เราจะบอกเขาอย่างนี้ บอกว่ามันต้องรู้จักจิตก่อน มันต้องรู้จักเรา การงานต่างๆ สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาจากน้ำมือเราทั้งนั้นเลย ความคิด ความทุกข์ต่างๆ ที่มันขึ้นมาในหัวใจมันเกิดจากจิตทั้งนั้นเลย แต่ทุกคนไม่เห็นจิต ไปเห็นแต่อาการของมัน แล้วก็ไปสร้างหนังสารคดีกัน มาฉายหนังสารคดีกัน นี่ไงอาการจะเป็นอย่างนั้น จะเป็นอย่างนั้น เราก็เถ่อไปดูที่อาการอย่างนั้น

ไอ้หนังสารคดีนี่กูเห็น กูสร้างได้ด้วย ไอ้นี่มันสร้างขึ้นมา ดูสิอวิชชาปัจจยา สังขารา สังขารปัจจยา วิญญาณัง มันเป็นปัจจยาการ เขียนมาเป็นกราฟเลยนะ แต่ความจริงเวลามันเกิดขึ้นจากใจ พั่บๆๆ ไม่มีใครเคยเห็นมัน ไม่มีใครเคยเห็นมันเลย แล้วคนไม่เคยเห็น คนไม่เคยสอน แต่เอาทฤษฎีมาเขียนกัน สอนกัน แล้วก็ยึดมั่นถือมั่นว่าถ้าคนไม่ทำตามนี้ผิดหมด แล้วใครจะมันจะมีจริตนิสัยแบบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ดูสิพระอรหันต์แต่ละองค์ก็ไม่เหมือนกัน จริตนิสัยของคนก็ไม่เหมือนกัน อาหารการกินก็ไม่เหมือนกัน มันต้องให้เป็นตามข้อเท็จจริงของบุคคลคนนั้น คนนี้ทุกข์เพราะเรื่องนี้ก็ต้องแก้ที่ตรงนี้ คนนั้นทุกข์เพราะเรื่องนั้นก็ต้องแก้ที่ตรงนั้น คนนี้ทุกข์เพราะว่าไม่มีจะกิน ไอ้คนที่ร่ำรวยมหาศาล เศรษฐีมหาศาลเขากินไม่ได้ เงินทองเขาเยอะแยะเลย แล้วบอกว่าต้องไม่กินแล้วนี่ มันไม่ใช่

ไอ้คำว่าเศรษฐี ยาจกนี่นะ นี่เราพูดกันถึงวัตถุ แต่เวลาการประพฤติปฏิบัติมันเป็นจริตนิสัยไง ความคิดน่ะ ความคิดบางคนยิ่งใหญ่ ความคิดบางคนคิดเฉพาะปานกลาง ความคิดบางคนคิดเฉพาะตัวเอง ความคิดที่มันยิ่งใหญ่ ความคิดที่มันมีบารมี การกระทำมันก็ต้องลงทุนลงแรง ความคิดที่ยิ่งใหญ่ ตึกรามบ้านช่องที่ใหญ่โต ตึกสูงมาก การทำความสะอาดมันต้องลงทุนลงแรง กระท่อมห้อมหอไม่ต้องทำอะไรหรอก เอาไม้กวาดปัดๆๆ มันก็จบแล้ว

นี่การสร้างมาของจิตมันเป็นอย่างนี้ ดูสินักบริหาร ผู้จัดการที่ประสบความสำเร็จเขาทำอะไรของเขามา เรานี่ทุกข์จนเข็ญใจเราทำอะไรของเรามา จิตมันมีคุณค่าของจิตมันไม่เท่ากัน การไม่เท่ากันจะทำให้เป็นสูตรสำเร็จ นี่เดินประตูนี้เข้าไปมันจะเหมือนกันมันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันถึงต้องทำของใครของมัน แล้วทำของใครของมัน มันต้องทำศีล สมาธิ ปัญญา

คำว่าศีล สมาธิ ปัญญา ศีลคือทำให้มันสะอาดบริสุทธิ์ อันนี้นะจะปล้นมา จะโกงใครมา จะทำอย่างไรมานะ มันกำหนดนามรูป ทุกอย่างเป็นพระอรหันต์หมดเลย นี่มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่พอมันทำไปแล้วจิตมันมีอาการเป็นไป ก็เหมือนเรานี่ทำไมเราตื่นได้ล่ะ? ทำไมเรานอนหลับได้ล่ะ? เวลาเรานอนหลับกับความตื่นต่างกันอย่างไร? จิตก็เหมือนกัน เวลาคิดเรื่องโลกมันเป็นอย่างไร? แล้วถ้าจิตมันกำหนดพุทโธขึ้นมา มันกำหนดหรือว่าใช้นามรูปไปมันจะมีอาการของมัน อาการของมันมันแสดงออก บอกสิ่งนั้นถูกต้องๆ

มันถูกต้องเพราะคนตาบอดสอนคนตาบอด มันจะถูกต้องชอบธรรมนะมันจะมีฐานของมัน แล้วมันจะย้อนกลับมา เพราะธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกทวนกระแส มันเป็นโลกุตตรธรรม ความคิดที่เราคิดกันขึ้นมานี่เป็นโลกียธรรม โลกียธรรมเกิดจากตัวตน เกิดจากความคิด เกิดจากสิ่งที่เราศึกษา เกิดจากสัญญา เกิดจากเงา เกิดจากเงาไม่ใช่เกิดจากตัวจิต ถ้าเกิดจากตัวจิตมันจะเป็นโลกุตตรธรรม เพราะ เพราะสิ่งที่สกปรกมันอยู่ที่จิต แล้วปัญญาที่เกิดที่จิต มันจะทำลายที่จิต

แต่ปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ศึกษากันมา แล้วไปทำลายที่เงา เพราะธรรมชาติของคนมีความคิด ธรรมชาติของคนมีเงา แล้วมันไปรักษากันที่เงา แล้วว่าสิ่งนั้นเป็นธรรม สิ่งนั้นเป็นธรรม ถ้าเป็นธรรมนะ การประพฤติปฏิบัติมามันต้องมีผล คนประพฤติปฏิบัติมันเป็นแสนๆ นะ แต่ครูบาอาจารย์ของเราประพฤติปฏิบัติมา เห็นไหม ในป่าในเขา พระเราไม่กี่องค์ ทำไมมันมีผลงานออกมา

คนทำงานมันต้องมีผลงาน ผลงานถูกต้อง ถ้าทำงานตามงานผลมันถูกต้อง มันต้องมีผลกันมาบ้าง นี้ไม่มีผล พอไม่มีผลปั๊บสรุป กึ่งพุทธกาลไม่มีมรรคไม่มีผล ไม่มีมรรคไม่มีผลสอนภาวนาทำไม? ไม่มีมรรคไม่มีผลไปกำหนดนามรูปทำไม? ถ้าไม่มีมรรคไม่มีผลก็บอกไม่ต้องทำเลย ไม่มีมรรคไม่มีผลอยู่แล้ว เพราะกึ่งพุทธกาลไม่มีมรรคไม่มีผล แต่ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมของครูบาอาจารย์ มีหรือไม่มีมันพิสูจน์ได้ที่ใจของเรา มันพิสูจน์ด้วยความรู้สึกใช่ไหม?

ถ้าไม่มีมันทุกข์ทำไม? แล้วทุกข์มันหายได้อย่างไร? นี่แล้วพอธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม อกาลิโก อกาลคือไม่มีกาล ไม่มีเวลา กาลเวลาไม่เกี่ยวกับความรู้สึก กาลเวลาเป็นกาลเวลา ความรู้สึก มรรค ผล ความรู้สึกสุขทุกข์ มันไม่อยู่กับกาลเวลา มันพ้นจากกาลเวลาไป ฉะนั้น กึ่งพุทธกาลถ้ามันไม่มีมรรคผลแล้ว ๕,๐๐๐ ปีข้างหน้าพระศรีอริยเมตไตรยมาตรัสรู้ได้อย่างไร?

มันเป็นไปไม่ได้ ตามข้อเท็จจริงมันเป็นไปไม่ได้ ตามความจริงก็เป็นไปไม่ได้ ทุกอย่างเป็นไปไม่ได้เลย แต่ก็เชื่อๆ ตามกันไป แล้วก็ปฏิบัติ แล้วยังมีทิฐิมานะนะ ถ้าปฏิบัติทางที่ถูก... ผิด ถ้าปฏิบัติทางที่ผิด... ถูก ปฏิบัติทางที่ผิด ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ผิด เราไม่ปฏิเสธตัวอภิธรรมในตู้พระไตรปิฎก เราปฏิเสธคนที่เอามาสอน เราปฏิเสธวิธีการสอน เราปฏิเสธวิธีการเข้าไปหามัน

วิธีการเข้าไปหาจิตมันต้องถูกต้อง นี้วิธีการเข้าไปหาจิตผิด ทั้งๆ ที่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราถึงบอกว่ามันเป็นหนังสารคดีไง มันเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ตอนนี้สร้างหนังพระไตรปิฎกกัน นี่มันเอาหนังนั้นออกมาสร้างแล้วเราไปดูพระไตรปิฎก ดูหนังพระไตรปิฎก แล้วเราแก้อะไร? เราได้อะไร? แต่ถ้าเราดูทุกข์ เราดูอริยสัจ เห็นไหม เวลาใครถาม มารเป็นอย่างไร? มารเป็นอย่างไร?

มารก็คือความพอใจของเรานี่แหละ มารก็คือสิ่งที่มันสร้าง สิ่งที่เป็นแรงขับในหัวใจนี่แหละ แต่เวลาคนเป็นบุคลาธิษฐาน เห็นไหม เวลาตายไปแล้วเป็นพญามาร เป็นอะไรน่ะ อันนั้นเป็นเทพ เวลาตายไปนี่เราเป็นคนชั่ว แต่เราเคยทำบุญกุศลกับพระที่ดี เรามีโอกาสได้สมบัติ แล้วเวลาเราไปเกิดเป็นเทพ เทพฝ่ายมาร

นี่ไงเวลาพวกเทพ มันมีมารและมีเทพอยู่ในนั้น ไอ้นั่นมันเป็นบุคลาธิษฐาน มันเป็นคนที่มันเกิดตายได้ แต่มารในหัวใจมันจะฝังใจเราไป จนกว่าเราจะสิ้นกิเลสเท่านั้นเราถึงฆ่าพญามาร สิ่งนี้มันฆ่าได้ มันทำได้ ถ้าทำไม่ได้นะมันเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตนะ มันพิสูจน์ได้ มันพิสูจน์ได้ ถ้ามันพิสูจน์ไม่ได้ เวลาครูบาอาจารย์สอนกัน สอนกันด้วยวิธีใด? แล้วมันเริ่มต้นที่ไหน? มันจบที่ไหน?

นี่พูดจนจบนะ พอจบแล้วนี่เขาขอที่อยู่ แล้วเขาเอาไป นี่มันมาด้วยกัน เราบอกเลยที่ว่าอภิธรรมกับดูจิต แล้วเขามานี่เขาบอกเขาถูกต้อง เขาถูกต้อง แล้วคิดดูสิว่าเขาเป็นหมอ แล้วเป็นหมอที่ว่าไปรักษาสังฆราชด้วย นี่ถ้าสังคมของเขาสูง ทุกอย่างสูงหมด แล้วเขาถึงเชื่อถือของเขา เชื่อถือของเขานะ แต่เมื่อวานลบหมด ลบเกลี้ยงเลย เพราะว่าลบแล้วให้มีหลักด้วย

เรานั่งอยู่ที่นี่ ถ้าออกไปสังคมกระแสมันแรง แล้วคนฝ่ายเรามันน้อย ถ้ามีเหตุมีผลที่เขาโต้แย้งแล้วเอ็งงง หรือเอ็งไม่สามารถที่จะชำระความลังเลสงสัยเอ็งได้ เรานั่งอยู่นี่ เรานั่งอยู่นี่ เอวัง