เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๗ เม.ย. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ครูบาอาจารย์ท่านพูดบ่อยนะ ถ้าได้ฟังเสียงธรรมแล้วมันทำให้เราไม่ว้าเหว่ ฟังเสียงโลกนะมันก็ว้าเหว่ มันฟังแค่ไหนมันก็ว้าเหว่นะ เพราะมันไปตามเขา มันไปตามเขาหมดเลย มันไปตามเขาเหมือนกับมันส่งออกไง เหมือนบ้านเราเป็นบ้านร้าง ความรู้สึกของเราอยู่กับเรา เราฟังเสียงโลกมันไปกับโลก แต่ถ้าเราฟังเสียงธรรมนะ เสียงธรรม เห็นไหม นี่แก้วสารพัดนึก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

นี่ว่าแก้วสารพัดนึกเรานึกกันไม่ออกหรอก ธรรมโอสถ เจ็บไข้ได้ป่วยนะธรรมะยังช่วยได้เลย ธรรมะช่วยแก้โรคหัวใจได้ โรคเจ็บปวดหัวใจ โรคทุกข์โรคร้อน เห็นไหม แล้วธรรมะถ้าคนมีกำลังของจิต ฟังสิ มีกำลังของจิต จิตมันรักษาโรคของร่างกายได้นะ ธรรมโอสถนี่ ถ้าจิตมันหดตัวเข้าไปนะ มันปล่อยวาง จากจิตที่เป็นโรคภัยไข้เจ็บมันรักษาได้ แต่ แต่ต้องมีกำลังใจ ต้องเป็นความจริง

ถ้าเราไม่มีกำลังใจ นี่จริง เวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วยเราอยากหายทุกคนแหละ แล้วเวลากำหนดจิตให้รักษากายมันทำได้ยาก แต่ครูบาอาจารย์ทำได้เยอะ อย่างเช่นหลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ฝั้นนะท่านอุปัฏฐากหลวงปู่มั่นอยู่ นี่ครูบาอาจารย์เล่าให้ฟัง ท่านก็เล่าให้ฟังเอง ในเทปก็มี บอกว่าเช้าขึ้นมาจะอุปัฏฐากหลวงปู่มั่น ด้วยการพอหลวงปู่มั่นตื่นขึ้นมาจะมีน้ำอุ่น น้ำอะไรไปล้างหน้าล้างตา แปรงฟัน ท่านไปไม่ทันเขาเพราะท่านมีโรคประจำตัว เสียใจ เสียใจว่าคนอื่นเขาทำประโยชน์ได้ เราทำประโยชน์ไม่ได้

เรามาอาศัยอยู่กับท่านนะ คือมาอาศัยอยู่กับหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านสั่งสอนเราเรื่องธรรมะด้วย แล้วท่านยังดูแลเราเพราะท่านเป็นครูบาอาจารย์ที่มีชื่อเสียง คนเขาก็มาทำบุญกุศล เห็นไหม ท่านก็อาศัยเรื่องนี้ไปเลี้ยงชีวิตด้วย แต่เราตอบแทนท่านไม่ได้ เสียอกเสียใจ เห็นไหม นั่งภาวนาตลอดรุ่งนะ นี่เป็นโรคประจำตัวคือโรคปวดท้อง โรคเสียดท้องตลอด เวลานั่งภาวนาไปนั่งตลอดรุ่ง แบบว่าเผชิญกับความจริงเลย เผชิญกับสัจจะว่ามันเป็นอย่างไร? ทำไมคนอื่นเขามีโอกาส ทำไมคนอื่นร่างกายเขาแข็งแรง ทำไมเขาไปทำประโยชน์ให้ครูบาอาจารย์ได้ เราก็มาอาศัยท่านอยู่เหมือนกัน ทำไมเราทำประโยชน์เพื่อท่านไม่ได้ นั่งสละตายนะ ตั้งแต่หัวค่ำจนไปถึงตี ๓ ตี ๔ จิตมันสงบลง พอจิตสงบลงเห็นนิมิตนะ เห็นเป็นกวางวิ่งออกไปจากตัว เหมือนกับบุญกรรมมันออกไปจากร่างกาย

กรรมคือสิ่งที่เป็นโรคเป็นภัย มันเป็นโรคเป็นภัยเพราะวิทยาศาสตร์ เพราะร่างกายอ่อนแอ เพราะร่างกายเสื่อมสภาพมันก็เป็นอันหนึ่ง แต่ถ้ามันเป็นโรคกรรมนะ โรคกรรมนี่ทางวิทยาศาสตร์นะ ไปหาหมอหมอก็วินิจฉัยโรคไม่ถูก มันจะเป็นนู่น มันจะเป็นนี่ หาต้นเหตุไม่เจอ หาสมุฏฐานโรคมันไม่เจอ มันเป็นเวรเป็นกรรม พอท่านนั่งสงบตัวลงเห็นเป็นกวางวิ่งออกไปจากตัวของท่าน ตั้งแต่นั้นมานะร่างกายแข็งแรงขึ้นมา

แต่เดิมท่านเล่าให้ฟังเอง ถ้าจะไปธุดงค์นะ นี่มีผ้าอาบไปด้วย เวลาไข้ป่าขึ้นที่ไหนก็เอาผ้าอาบนี่ปูกับพื้น นอนก่อน เพราะสมัยก่อนยามันหายาก นอนก่อนจนไข้มันสร่างแล้วก็ไปต่อ ท่านเป็นอย่างนี้มาตลอดนะ ไปกลางทางไปอยู่ในป่าไง ไปถึงเจ็บไข้ได้ป่วยที่ไหนก็เอาผ้าอาบนี่ปูก่อน นอนจนไข้สร่างแล้วก็ไปๆ

นี้พูดถึงเวรกรรม พูดถึงบุญกรรมของแต่ละดวงใจ ใจเราก็เหมือนกัน ใจเราสร้างสมบุญญาธิการมาไม่เหมือนกัน ต่างคนต่างสร้างมา ต่างคนต่างมีมุมมอง ต่างคนมีความชอบ ต่างคนมีจริตต่างๆ กันไป แล้วเรามาศึกษาธรรมะกัน ศึกษาธรรมะนี่ฟังธรรม เห็นไหม ธรรมนี่มันเป็นรูปธรรม เป็นรูปธรรมเลยนะ เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นรูปธรรม แต่เราใช้นามธรรมเข้าไปจับกัน ไปจับว่าเป็นนามธรรมเพราะเราคิดว่าเป็นนามธรรม เราไม่เห็นว่าจิตเรานี่เป็นรูปธรรม

นี่จิตเราเป็นรูปธรรม เพราะความสุขความทุกข์เรารับรู้ได้หมดเลย แต่ขณะที่จิตเราละเอียดเข้าไปนะ เอกัคคตารมณ์ จิตตั้งมั่น ดูสิในวงการทางกีฬาเขาหาช้างเผือกมาปั้นกัน ช้างเผือก เห็นไหม ช้างเผือกถ้ามันอยู่ในป่า ตัวช้างเผือกเองมันไม่รู้ว่าลักษณะของช้างเผือกเป็นอย่างไรหรอก มีแต่คนไปดูลักษณะของช้างเผือกแล้วเอาช้างเผือกมา เอาช้างเผือกมาปั้น เอาช้างเผือกมาฝึกมาฝน

เราก็เหมือนกัน นี่จิตของเรามันเป็นช้างเผือก มันเป็นสิ่งที่เกิดที่ตาย สิ่งที่รับรู้ต่างๆ มันเป็นช้างเผือก แต่เราไม่รู้ตัวเราเองว่าเราเป็นช้างเผือกหรือเราไม่ได้เป็นช้างเผือกไง เราเป็นช้างอยู่แต่เราไม่รู้ว่าเป็นช้างเผือกหรือไม่เป็นช้างเผือก เห็นไหม นี่เวลาเราประพฤติปฏิบัติของเราเข้าไป มันเป็นเรื่องโลกๆ โลกๆ คือจิตพอมันสงบเข้าไป มันสงบเข้าไปนะ มันปล่อยจากความเห็นของสมาธิ นี่สมาธิของปุถุชน สมาธิของโลก เข้าไปเป็นเอกเทศเป็นตัวของมัน พอเป็นเอกเทศเป็นตัวของมัน มันจะรับรู้ออกไปข้างนอก เพราะอะไร? เพราะมันไม่มีจุดยืน มันไม่มีที่เกาะเกี่ยวไว้

ทีนี้เกาะเกี่ยวไว้คืออะไร? คือสติ เห็นไหม สติกับคำบริกรรมของเรา ถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธิก็พยายามใช้ปัญญาให้มาก แล้วใช้สติควบคุมไป ควบคุมเข้าไป มันจะรับรู้สิ่งใดที่ออกจากอริยสัจ ออกจากสัจจะความจริง เราไม่ยอมรับรู้มัน อริยสัจคืออะไร? คือทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค แต่ความรับรู้ของเรา ช้างเวลามันอยู่ในป่านะมันจะหาอาหารของมัน มันจะหากอไผ่ หากล้วย หาสิ่งต่างๆ ที่เป็นอาหารของมัน

นี่ก็เหมือนกัน จิตพอมันสงบตัวจากปุถุชนเข้ามา มันเป็นตัวของมันนะมันจะออกรับรู้ ออกรับรู้มันออกไปตามธรรมชาติของมัน ออกธรรมชาติของมัน มันไม่ได้ฝึก มันไม่ได้ฝึกเข้าอริยสัจ นี่ช้างเผือกที่เขาเอามาฝึก เห็นไหม เอาช้างเผือกมาเล่นกีฬาอะไร เขาก็ต้องฝึกเทคนิคการเล่นของกีฬาชนิดนั้น ถ้าฝึกเทคนิคเล่นกีฬาชนิดนั้น มันไม่เหมือนอย่างที่มันได้ตามใจตัว ปล่อยตามสบาย มันจะหาอยู่หากิน มันจะไปนอนแช่น้ำ มันจะไปเล่นน้ำ มันจะไปหาอาหารมันก็ไปตามธรรมชาติของมัน

แต่ถ้าเอามาฝึกเล่นกีฬา ช้างนี่ต้องเดินให้ตรง ช้างต้องเอามาชักลากไม้ มันต้องใช้กำลังของมัน มันต้องลาก ออกกำลังของมัน มันเป็นงาน พอเป็นงานมันไม่อยากทำหรอก อะไรที่เป็นงานเป็นการนะขี้เกียจ แต่ถ้าอะไรที่เป็นสามัญสำนึก อะไรที่มันเป็นความรู้ของมัน โดยธรรมชาติของมันมันชอบ มันชอบเพราะอะไร? เพราะมันเข้ากับตัณหาความทะยานอยาก

จริตนิสัยคือตัณหาความทะยานอยาก ตัณหาความทะยานอยากมันล้นฝั่ง เห็นไหม นี่เราต้องตั้งสติยับยั้งสิ่งนี้ไว้ นี่คือการฝึกฝนนะ ถ้าเป็นจริตนิสัย เป็นจริตนิสัย เป็นบุญเป็นกรรมนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ขณะที่เราจะเอาตัวเราเข้าอริยสัจ เอาเข้าสัจจะความจริงนะ ถ้าเราเข้าอริยสัจนะมันเป็นสัจจะความจริง แล้วเวลาเราพิจารณาไป เราใคร่ครวญของเราไป ถ้าเป็นปัญญาขึ้นมา ถ้ามันชำระกิเลส มันเป็นอกุปปธรรม มันเป็นอฐานะ มันไม่มีการเปลี่ยนแปลง

แต่โดยปกติของเรามันเป็นอนิจจัง ความรู้สึก ความคิดต่างๆ นี้เป็นอนิจจัง แม้แต่ร่างกาย แม้แต่พระอรหันต์นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน เห็นไหม นี่เดินไปปรินิพพาน พระอานนท์พยายามอ้อนวอนๆ

“อานนท์ เราบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา แม้แต่ตถาคตก็ต้องปรินิพพานไปในคืนนี้”

ร่างกายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต้องทิ้งไว้ประจำโลกของเขา ทิ้งไว้นะมันเป็นเศษเรื่องโลกของเรา แต่หัวใจมันไม่ได้ทิ้ง เพราะหัวใจมันเคลื่อนออกจากร่างมันถึงมีการตายไป หัวใจเคลื่อนออกจากร่างนะ แล้วสิ่งที่ได้สร้างมา บุญกุศล บาปอกุศลมันจะติดนั้นไป แล้วถ้าจิตมันเป็นอริยสัจ มันเป็นสัจจะความจริง

อริยสัจคืออะไร? ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

มรรคคือการกระทำของจิต จิตมันได้กระทำของมัน จิตมันมีการกระทำของมัน มันซักฟอกตัวของมัน แล้วถ้าซักฟอกตัวของมัน มันไม่มีสิ่งใดที่เป็นยางเหนียว สิ่งใดที่เป็นเชื้อไข สิ่งที่เป็นเชื้อไข ดูสิกลอยที่เขาไม่ได้แช่ กลอยที่เขาไม่ได้ทำความสะอาด เห็นไหม เราเอามากินมันมีพิษนะ เราเจ็บไข้ได้ป่วยเลย นี่เราเจ็บไข้ได้ป่วยเพราะมันมีพิษมีภัยในตัวมันเอง แต่ถ้าเราเอามาแช่ เราเอามาทำความสะอาด กลอยนี่พอพิษมันโดนน้ำล้างออกไปหมดแล้ว เราเอามานึ่ง เอามาต้ม เอามาทำเป็นอาหาร เรากินแล้วไม่มีพิษ

หัวใจที่มันได้ชำระกิเลสตัณหาความทะยานอยากออกไปจากจิตแล้ว ด้วยการกระทำของอริยสัจ ด้วยสัจจะความจริง เห็นไหม สิ่งนี้มันไม่มียางเหนียว มันไม่มีพิษ สิ่งที่ไม่มีพิษมันไม่มีการเกิดการตาย มันจะเป็นไปของมัน แล้วมันเปรียบเทียบได้ไง เปรียบเทียบได้ว่ามือของเราเลอะกาว นี่มันทำงานไม่ได้นะ มันจับสิ่งใด เพราะมือเราเป็นกาว จับสิ่งใดสิ่งสกปรกมันจะติดมือเราไปตลอดไปเลย

นี่ถ้ามันมีกิเลสอยู่ จิตนี้มันเลอะกาว จิตนี้เป็นยางเหนียว มันคิดอะไรมันแตะๆๆ ไปกับจิตหมดเลย ไปเห็นอะไรมันอยากรู้อยากเห็น มันจะเป็นไป เห็นไหม มันจะแปะสิ่งนั้นไปกับจิต ไปกับจิตเพราะจิตมันมียางเหนียว มือของเราจะมียางเหนียว เราต้องชำระมือของเราให้สะอาด ถ้ามือของเราไม่มียางเหนียว เราไปจับสิ่งใดทำสิ่งใด มันจะเกิดเป็นคุณประโยชน์กับเราขึ้นมา ถ้ามือเราเป็นกาว กินอาหารยังกินไม่ได้เลย จับช้อนมันก็ติดช้อน จับอาหาร อาหารก็ติดกาวนั้น เข้าปากเราไม่ได้

จิตที่มันออกรับรู้ต่างๆ มันเป็นสภาวะแบบนั้น มันรู้ไปหมด มันรู้ไปหมดนะ แต่มันไม่เป็นประโยชน์กับใจ มันไม่เป็นอริยสัจ มันไม่เป็นความจริง เห็นไหม นี่แล้วเวลาปฏิบัติไป เราปฏิบัติกันไป โดยสามัญสำนึกนะ มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่เราบอกว่าเราปฏิบัติไปแล้วมันจะเป็นโลกุตตรปัญญา มือเรามียางเหนียว มือเรามีความสกปรกสิ่งต่างๆ มันจับสิ่งใดมันต้องโดนก่อน

กิเลสมันอยู่กับใจนะ คิดอะไร? จะเป็นอารมณ์ขนาดไหน? อารมณ์ ๑๖ ญาณ ๑๖ อะไรก็แล้วแต่ มันเป็นอารมณ์ของกิเลสทั้งหมด เพราะใจมันเป็นกิเลส ใจมันเป็นยางเหนียว มือมันเลอะกาว มันมีกาวเป็นส่วนผสมมาทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าความสงบของเราขึ้นมา มันก็เลอะกาวบ้าง บางทีมันก็สะอาดบ้าง ถ้ามันใช้ปัญญา ถ้ามือมันสะอาดมันก็เป็นปัญญาขึ้นมา แต่ถ้าเวลาตัณหามันซ้อนเข้ามา เห็นไหม นี่สมุทัยมันซ้อนเข้ามาในปัญญาของเรา สมุทัยมันซ้อนเข้ามาในสมาธิของเรา

นี่อนุสัยมันมีอยู่กับจิต เวลามันคลายตัวออกมา ทำสมาธิมันก็มีสมุทัยปนด้วย ทำปัญญามันก็มีสมุทัยปนด้วย เราถึงต้องกลับมาทำความสงบ เราต้องกลับมาล้างมือบ่อยครั้งเข้า ล้างสะอาดๆ นี่ในทางสาธารณสุข ก่อนกินอาหารต้องล้างมือให้มันสะอาด ยิ่งไข้หวัดนกต้องล้างมือด้วยน้ำอุ่น ต้องล้างมือ ต้องล้างตลอด ล้างเพื่อทำความสะอาด เห็นไหม

ถ้าเรากลับมาที่ทำความสงบ นี่มันเข้ามาล้างให้สะอาดก่อน ถ้าล้างสะอาดก่อน ล้างสะอาดแล้วทำไมสมาธิยังมีสมุทัยล่ะ? ถ้าสมาธิมันไม่เป็นสติ มันไม่เป็นสัมมา สัมมาคือตัวมันเอง มันสงบของตัวมันเอง มันมีพลังงานของมันแล้วมันควบคุมได้ มันใช้ประโยชน์ได้ แต่ถ้าเป็นสมาธินะมันเป็นหัวตอก็ได้ เป็นมิจฉาสมาธิก็ได้ เป็นสมาธิที่ไปทำเป็นโทษกับตัวเองก็ได้

นี่เหมือนกัน ฉะนั้น ถ้าเราตั้งสติขึ้นมา เห็นไหม นี่มือเป็นยางเหนียว ถึงว่าถ้าไม่มีสมาธิมันจะเป็นโลกียปัญญา คือปัญญาที่อย่างใดๆ ก็มีกิเลสของเราปนเข้าไปด้วย มันสะอาดเป็นมัชฌิมาปฏิปทาเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าเราทำความสงบของเราเข้ามา ว่าจะเป็นทาง อ๋อ ทางคดเคี้ยว แต่ถ้าเป็นวิปัสสนาตรง วิปัสสนาตรงมันกิเลสชัดๆ เพียงแต่กิเลสมันเป็นจินตมยปัญญา

สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ปัญญาที่มันเกิดขึ้นมามันเป็นสัญญาอารมณ์ที่มันสร้างขึ้นมาโดยความเห็นจากภายใน มันไม่ใช่ปัญญาสมอง เห็นไหม แล้วมันเป็นอารมณ์ความรู้สึก มันมหัศจรรย์กว่านี้อีก ถ้าจิตคนสงบ จิตที่มีจริตนิสัยมันจะเห็นภาวะต่างๆ ดีกว่านี้อีก ดีกว่านะ ไม่อย่างนั้นมันจะติดว่าเป็นนิพพานได้อย่างไร? จิตสงบนี่ ถ้าคนไม่มีจริตนิสัยว่าเป็นนิพพานเลยแหละ

นิพพานเพราะอะไร? เพราะมันว่างหมด ว่างอย่างนี้มันว่างไม่มีขอบเขต เห็นไหม แต่ถ้ามันเป็นสัมมาสมาธินะ ใครเป็นคนรู้ว่าว่าง? มันมหัศจรรย์นะ เพราะมันมีแก่นของความว่าง มันมีแก่น มันมีความรู้ มันมีสติพร้อมกับความว่าง มันรับรู้หมด รับรู้หมดแล้วมันใช้ประโยชน์ได้ แล้วถ้ามันย้อนออกไปเป็นวิปัสสนา มันไปเห็นไง ไปเห็นกาย เวทนา จิต ธรรมโดยสัจจะความจริง มันสะเทือนหัวใจมากนะ

เห็นกายนี่ขั้วหัวใจสั่นไหวหมดเลย ถ้าเห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม มันพิจารณาไป มันใช้ปัญญาไป มันสั่นไหวเพราะอะไร? เพราะมันจะไปชำระล้างภายใน มือที่เป็นกาวมันเป็นผิวหนัง แต่ในผิวหนังนั้นมันมีกระดูก มันมีเลือดมีเนื้อ เห็นไหม ในหัวใจก็เหมือนกัน สัญญาอารมณ์มันเป็นเปลือก มันเป็นเงาของใจ มันเป็นอาการของใจ มันไม่ใช่ตัวใจ

ถ้ามันสงบเข้ามา เห็นไหม เวลาทำนี่จิตสงบเข้ามา จิตมันเป็นตัวสงบซะเอง นี่ตัวจิตคือตัวใจ ตัวใจมันออกทำงาน มันออกชำระล้างตัวมันเอง ชำระล้างเพราะมันหลงผิด มันหลงผิดในสิ่งต่างๆ ให้มันไปรู้ ให้มันไปศึกษาในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม นี่กิเลสมันแสดงออกอย่างนี้ มันแสดงออกในความยึดมั่นถือมั่นของเรา ในความยึดมั่นถือมั่นว่าของสิ่งนั้นเป็นของเรา ของที่เรากำอยู่ที่มือเราว่าเป็นของเรา เราแบมือออก เราคายมือออก ของนั้นต้องหลุดจากมือของเราไป

จิตก็เหมือนกัน มันมีอุปาทานไปยึดมั่นถือมั่นว่าสิ่งนั้นเป็นของเรา เราใช้ปัญญาเข้าไปใคร่ครวญให้มันเห็นสัจจะความจริง เป็นโลกุตตรธรรม โลกุตตรธรรมเพราะจิตมันสงบ ตัวจิตมันเป็นตัวเข้าไปศึกษาข้อมูลนั้นเอง แล้วพอมันไปเห็นมันไปคายที่นั่นเอง แต่ในการปฏิบัติของเรามันปฏิบัติด้วยผิวหนัง ด้วยอาการของกาว ด้วยอาการของสิ่งที่ไปยึดมั่นถือมั่น ยึดมั่นถือมั่นนะ แล้วมันไปจับต้อง เห็นไหม ดูสิเรานี่เรายกเหล็กขึ้นมา เราไปจับเหล็ก เหล็กเรารู้ว่าเหล็กมันก็ไม่มีคุณค่าใช่ไหม? แต่ถ้าเราไปหยิบทองคำ ทองคำจะมีคุณค่ามาก เราจะพอใจมาก

จิตก็เหมือนกัน ถ้าจิตมันปล่อยวางจากภายนอกเข้ามาเป็นเรื่องวัตถุ เป็นเรื่องของเหล็ก ของไหล เห็นไหม แล้วมันไปจับทองคำ ทองคำคือสิ่งที่มันเป็นธรรม คุณธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ใจเรามันไปจับ ทองคำนั้นไม่ได้เป็นทองคำของเรา เป็นทองคำขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่มันก็ตื่นเต้น อาการตื่นเต้น อาการความดีใจอันนั้นแหละมันเป็นสัญญาอารมณ์ที่ว่าว่างๆ ที่เราเทียบเคียงว่าเป็นญาณ ๑๖ ญาณ ๑๘ ญาณ ๑๐๘ ญาณอย่างนี้เกิดไม่ได้หรอก

ญาณเกิด เห็นไหม โดยสมาธิอะไรเป็นสมาธิ? ปัญญา อะไรเป็นปัญญา? นี่แล้วปัญญาที่มันฉับไว ขณะที่เราใช้วิปัสสนาญาณไป มันจะปล่อยพั่บๆๆ มันจะเอาญาณอะไรไปเทียบเคียงของมัน มันเร็วมาก จิตนี้เร็วมาก แล้วมันปล่อยมันก็ปล่อยเร็วมาก เวลาทุกข์นะมันไปยึดสิ่งใดก็แล้วแต่ มันก็มาคายทุกข์ไว้ในหัวใจ มันคายทุกข์ไง เพราะเราได้ยินเสียง เราได้กระทบอะไรเราไม่พอใจ

ความไม่พอใจ ความขัดเคืองใจเป็นทุกข์ สิ่งที่ไม่พอใจขัดเคืองใจเป็นเพราะอะไร? เป็นเพราะสิ่งที่มันไปได้ยินได้รับรู้มาใช่ไหม? นี่กิเลสมันถ่ายทุกข์เอาไว้ แล้วความคิดที่พอใจไม่พอใจมันไปแล้ว แต่ผลที่เกิดจากความพอใจและไม่พอใจอันนั้นเป็นทุกข์ เราไม่เห็นนะ เราไปเห็นสิ่งที่มันคายทิ้งไว้นะ แล้วสิ่งที่เป็นทุกข์มันเป็นอาการของทุกข์ แล้วเหตุล่ะ? เหตุแห่งทุกข์อยู่ที่ไหน? นี่เหตุแห่งทุกข์อยู่ที่ไหน? แล้วปัญญามันจะรู้ทันได้อย่างไร?

เพราะสิ่งที่เราไปรับรู้ เราไปว่าสิ่งนั้นเป็นความว่างๆ ที่มันเป็นสัญญาอารมณ์ ที่มันเป็นความรู้ เป็นคุณธรรมๆ มันเป็นอดีตอนาคตไป มันไม่เป็นปัจจุบันไป ถ้าเป็นปัจจุบันนะจิตมันสงบ ขณะที่มันคิดมันเร็วมาก เห็นทันที เพราะอย่างนั้นมันถึงคาดการณ์คาดหมายสิ่งใดๆ ไม่ได้ เวลาปัญญามันจะเกิด มันคาดหมายไม่ได้เลยว่าปัญญามันจะเกิดรอบไหน? ปัญญามันจะเป็นปัญญาอย่างไร?

สิ่งที่เป็นปัญญา เห็นไหม เราฝึกฝนให้เป็นปัญญาให้ได้ พอทำปัญญาได้มันฝึกฝนมันไป มันเร็วขึ้น มันกระชับขึ้น เร็วขึ้น กระชับขึ้น จนสิ่งที่มันอยู่ภายนอกมันจะละเอียดเข้ามาภายใน จนมันเป็นตัวจิตเสียเอง มันเป็นปัญญาหมุนอยู่ภายใน เพราะปัญญามันจะชำระอยู่ภายใน ถ้าชำระอยู่ภายใน อาการ ๑๖, ๑๘, ๑๐๘ นี่พูดไม่ได้หรอก หนึ่งเดียวๆๆๆ ตลอดเลย อริยสัจมันจะเกิดพั่บๆ พั่บๆ ในหัวใจตลอด แล้วมันทำลายตลอด มันคายออกไปตลอด พอมันคายออกไป นี่อริยสัจมันเกิดอย่างนี้ ช้างเผือกจะเกิดอย่างนี้ไง

ถึงว่าเราต้องกำหนดพุทโธให้มั่นคงนะ สตินี่กำหนดพุทโธไว้ อย่าให้มือที่เลอะกาวไปจับสิ่งใด อย่าให้ความคิดไปจับสิ่งใดแล้วยึดสิ่งใดว่ามันเป็นความรู้ของเรา ขึ้นชื่อว่าเป็นความรู้ผิดหมด แต่ถ้ารู้ในตัวเอง รู้ในพุทโธถูกหมด ขึ้นชื่อว่ารู้ว่าเห็นผิดหมด ฉะนั้น เราอย่าให้มันออกไปรับรู้สิ่งใดๆ ออกรับรู้สิ่งใดเหมือนมือเราเลอะกาว แล้วจับสิ่งใดมันจะเต็มไม้เต็มมืออยู่อย่างนั้น

จิตถ้ามันเห็นอะไร มันรู้อะไร มันรู้โดยความรู้สึกมันเต็ม เต็มความรู้สึกอันนั้น พอเต็มความรู้สึกอันนั้นจิตมันใช้งานไปหมดแล้ว เห็นไหม ปล่อยให้หมด ยิ่งปล่อยเท่าไหร่นะมันยิ่งมีพลังงานมากเท่านั้น นี่เราปล่อยมือให้เราว่างไว้ตลอด นี่เราเจอสิ่งใดมือนี้จะหยิบของได้หมดนะ ถ้ามือเรามีวัตถุอยู่ในมือ เราเห็นแล้วเราอยากหยิบ เราหยิบไม่ได้เลยนะ ปล่อยให้หมดๆ แล้วเดี๋ยวมันเจออะไรขึ้นมามันจะเป็นประโยชน์กับเรา นี้คือการปฏิบัติ

นี่ครูบาอาจารย์ท่านพูดบ่อย ถ้าในการประพฤติปฏิบัติมีครูบาอาจารย์คอยชี้นำ ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์คอยชี้นำนะเราจะทำตามประสาเราไป มันจะทำตามประสาความรู้สึกนึกคิด มันจะสะเปะสะปะไปตามอารมณ์ความรู้สึก แล้วมันจริตนิสัย บางคนความคิดละเอียดอ่อน บางคนความคิดหยาบ นี่ความจินตนาการของคนมันก็ไม่เท่ากัน มันจะเห็นสภาวะไม่เหมือนกัน แต่ถ้าเป็นอริยสัจมันต้องเป็นอันเดียวกัน

ดูสิแข่งกีฬาชนิดใดก็แล้วแต่ สถิติของเขา การแข่งขันถ้าใครเข้าถึงเส้นชัยก่อนคนนั้นได้เหรียญทอง เห็นไหม นี่แล้วนักกีฬาทุกคนวิ่งถึงเส้นชัยหมด แต่ได้เหรียญไม่ได้เหรียญต่างกันไป นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามีการประพฤติปฏิบัติมันต้องถึงเส้นชัยด้วยหมด มันต้องเหมือนกันหมด เส้นชัย มันถึงเส้นชัย ระยะทางที่ถึงครบการแข่งขันแล้วนั่นคือเส้นชัย แต่เราเข้าก่อนหรือเข้าหลังเท่านั้น

การเข้าก่อนเข้าหลัง เห็นไหม นี่กิเลสมันเข้าก่อนเข้าหลัง มันหลอกเราได้ ถึงให้เป็นปัจจุบันๆ สิ่งที่มันถึงเส้นชัยเราก็รู้เอง แล้วนี่ดูสิ พอถึงแล้วผลประโยชน์มันจะเป็นมหาศาลเลย ถึงตั้งสติไว้ อย่าเพิ่งใช้งานก่อน การใช้งานก่อนมันเป็นโลกียปัญญา โลกียปัญญาหมายถึงเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราเกิดมาแล้วมีความคิด มีสมอง ทุกอย่างมันคิดได้โดยสิทธิ

โดยสิทธิ์ทุกคนทำได้ทั้งนั้นแหละ โดยสิทธิ์ทำได้ แต่ทำโดยตัวเรา ทำโดยเรา ทำโดยเราเลยเป็นโลกียะ โลกียะคือโดยเรา ไม่ใช่โดยธรรม เราถึงต้องทำความสงบของใจให้มันสงบเข้ามา สงบเข้ามาโดยธรรมไม่ใช่โดยเรา ถ้าสมาธิกำหนดโดยเรา เป็นเรา นี่มันก็เป็นสมุทัย มันซ้อนเข้ามาโดยเรา โดยตัณหา โดยความทะยานอยาก

โดยธรรม โดยธรรมเป็นสัจธรรม มันเป็นสากล เป็นกลาง ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่มีใครบังคับบัญชามันได้ นี่มันถึงเป็นกลาง แล้วเป็นกลางมันเกิดได้ชั่วคราวๆๆ เพราะมันมีเรา มีตัวตนมาคอยขวางอยู่ ถึงพยายามให้มีจุดยืน จุดยืนนี้ก็เป็นเราไปก่อน เห็นไหม คำว่าเป็นเราไปก่อน จุดยืนคือสติไปก่อน มีสติแล้วให้มันใช้ธรรม คุณธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทโธ พุทโธ พุทโธ หรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิมันเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงโดยเรา

แต่เราทำสิ่งที่เป็นกลาง เป็นกลางเพราะเป็นธรรม เป็นสากล มันยังเป็นชื่อเป็นทฤษฎีอยู่ แต่พอมันเข้ามาถึงเนื้อของใจแล้วมันจะเป็นโดยคุณสมบัติ คุณสมบัติมันจะเป็นอย่างนั้น แล้วเราไปเห็นคุณสมบัติอย่างนั้น เราจะรู้เลยว่านี่สมาธิที่มันมีสมุทัยเจือปนมากับสมาธิที่ไม่มีสมุทัย มันต่างกันอย่างไร? คนที่รู้มันจะแบ่งแยกได้หมดเลย คนรู้เห็นมันจะรู้หมด ถ้ารู้อย่างนั้นแล้ว แล้วถ้ายกขึ้นวิปัสสนามันจะเป็นประโยชน์

นี่มีครูมีอาจารย์จะชี้นำเข้าไปให้ถึงข้อมูลตามความเป็นจริง แต่ถ้าเราไม่มีครูบาอาจารย์มันสะเปะสะปะไปตามข้อมูลของการสร้าง จิตใจเราสร้างขึ้น ทั้งๆ ที่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เราสร้างขึ้น เราสร้างข้อมูลขึ้นแล้วเราก็เชื่อข้อมูลของเรา แล้วเราจะหยุดข้อมูลของเราไปอย่างนี้ การประพฤติปฏิบัติมันสะเปะสะปะไปอย่างนี้ ถ้ามีครูบาอาจารย์ เห็นไหม ข้อมูลนี่มันสะเปะสะปะไปก่อน เพราะมันเป็นสัญชาตญาณ มันเป็นสัจจะความจริงของจริตนิสัยที่มันหยาบและละเอียด ถึงต้องมีครูบาอาจารย์คอยประคองเข้ามา คอยชี้นำเข้ามา คอยบอกแนะเข้ามาให้มันเข้าไปถึงข้อมูลที่แท้จริง

นี่ข้อมูลแท้จริง หรือสิ่งข้อมูลแท้จริงเราใช้ประโยชน์ได้แท้จริง ข้อมูลเทียม ข้อมูลที่ไม่แท้จริง เราคำนวณหรือเราใช้ข้อมูลอย่างนั้นไป เราจะทำงานของเราไม่ได้ตามความเป็นจริง เห็นไหม เพราะมันหลอก กิเลสมันหลอก ถึงต้องตั้งใจให้ดีๆ นะ แล้วทำเข้ามา ถ้าเมื่อมีโอกาสนะ เวลาเรามีอยู่ ลมหายใจเรามีอยู่ เวลาของเรา นี่โอกาสของเรามีอยู่ รีบกระทำให้เป็นสมบัติของเรา

ธรรมะมีอยู่โดยธรรมชาติ ธรรมชาตินี่สัจจะ เป็นธรรม แต่ใจเราไม่เป็นธรรมชาติ มันเลยขัดแย้งกัน ธรรมะเป็นธรรมชาติ แล้วจิตใจเราเป็นธรรม แล้วเราจะย้อนเอาธรรมนั้นมาเป็นสมบัติของเรา ธรรมชาติเป็นสมบัติสาธารณะ แต่ธรรมของเราเป็นสมบัติที่เหนือธรรมชาติ เหนือทุกๆ อย่าง เพราะธรรมชาติควบคุมไม่ได้ แต่ธรรมของเราควบคุมได้ สติปัญญาควบคุมได้ สิ่งต่างๆ เราควบคุมได้ แล้วมันจะเป็นประโยชน์ของเรา เอวัง