เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑ พ.ค. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันแรงงาน เห็นไหม แรงงานเขาต้องทำงาน นี้คนโลกมันคิดได้แค่นี้ วันแรงงานคือการลงทุนลงแรงของเราใช่ไหม? วันแรงงาน นี่ถ้าโลกเขาทำมาหากิน แรงงานไง แรงงานของกาย ถ้าแรงงานของใจ พระนี่ เขาว่าทั่วไปนะพระนี่เอาเปรียบสังคม พระนี่อยู่เฉยๆ มีแต่คนเอามาให้ที่วัด นี่ไงสิ่งที่เขาจะให้มันก็ต้องเขาลงใจใช่ไหม? พระนี่ทำงานหนักกว่าโยมหลายเท่า เวลาหลวงปู่ฝั้นบอก เห็นไหม

“พวกเรานี่หายใจทิ้งเปล่าๆ หายใจเข้าและหายใจออกทิ้งเปล่าๆ”

เวลาเราทำงานเราเหนื่อยเราหอบเลย หายใจด้วยความรุนแรงเลย แต่เวลาพระนั่งกำหนดลมหายใจ การกำหนดเฉยๆ งานที่ทำยากที่สุดนะ งานอาบเหงื่อต่างน้ำ งานลงไปแบกหามว่ายากๆ นี่ทำง่ายๆ งานให้นั่งเฉยๆ นั่งให้สงบ เอาใจไว้ในอำนาจของเราทำยากที่สุด เวลาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เราเดินโดยการเคลื่อนไหวตลอดเวลาเพื่อให้ใจหยุดนิ่ง การเอาใจหยุดนิ่งยากกว่าทำงานทางโลกหลายร้อยเท่า แต่เขาว่าพระนี่ไม่ทำงาน พระเอาเปรียบสังคม

พระนะเอาหัวใจเอาไว้ได้ ถ้าใจหยุดนิ่งไม่ได้นะ เวลาอยู่นี่ กินอิ่มนอนอุ่นขนาดไหนนะกิเลสมันยิ่งมีมาก ถ้าเราอดนอนผ่อนอาหารนะ ดูการอยู่การกินสิ สัตว์ สัตว์มันกินพืช สัตว์มันกินเนื้อ สัตว์กินพืชกับสัตว์กินเนื้อมันก็ต่างกันนะ ความดำรงชีวิตของเขาต้องต่างกัน สัตว์กินพืช สัตว์กินเนื้อ เห็นไหม

แต่เวลามนุษย์เรา วัฒนธรรมของแต่ละพื้นถิ่นอาหารการกินของเขาไม่เหมือนกันนะ แต่เวลาเราไปนะ เราไปเห็นเขามีความเป็นสุขของเขา เขาอยู่ของเขา เราไปมองเขาว่าล้าหลัง นี่ความเป็นอยู่ของเขาล้าหลัง ต้องให้ทันสมัย ทันสมัยก็ต้องกินอาหารตามสั่ง กินอาหารให้เราได้ตามความพอใจ เราเอาทุกข์มาใส่ตัวโดยไม่รู้สึกตัวเลย

ความเป็นอยู่ของเรา เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก

“มนุษย์กินเพื่อกาม กินเพื่อเกียรติ กินเพื่อศักดิ์ศรี”

ภิกษุเรากินเพื่อดำรงชีวิต เพราะความเห็นภัยในวัฏฏะ เห็นภัยในวัฏฏะเพราะการเกิดและการตาย สัตว์กินพืชหรือสัตว์กินเนื้อมันก็ต้องเกิดต้องตายเหมือนกัน แล้วมันก็ทุกข์เหมือนกันนะ การดำรงชีวิตของเขา นี่เวลาเขามาถามปัญหาไง บอกว่านี่ต้องถือศีล ๕ การถือศีล ๕ เป็นมนุษย์สมบัติ คนจะมาเกิดนี่นะถ้าถือศีล ๕ ขนาดถือศีล ๕ มา เห็นไหม คนอายุสั้น คนอายุยืน มันมาจากไหนล่ะ? มันมาจากการกระทำนะ มันมาจากการกระทำ มาจากการปลูกฝังของเรา

คนเราเกิดมามีโรคภัยไข้เจ็บ บางคนเกิดมาไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเลย ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ ความประเสริฐมันความปกติของใจ ใจมันสะสมมา นี่พูดถึงกรรมนะ กรรมสิ่งที่สะสมมาให้มีการเวียนตายเวียนเกิด แต่ในปัจจุบันเวลาเราเกิดขึ้นมา เห็นไหม ถึงว่าถือศีล ๕ นี่มนุษย์สมบัติ แล้วสัตว์กินเนื้อมันจะถือศีล ๕ ได้อย่างไร? สัตว์กินเนื้อมันก็ไม่มีโอกาสน่ะสิ แต่สัตว์กินเนื้อนะ ทำไมเขาถึงเกิดเป็นสัตว์กินเนื้อล่ะ?

อย่างพวกเสือ พวกสัตว์นี่เขาต้องกินเนื้อของเขา สัตว์กินเนื้อเขาต้องผิดศีลตลอดเวลา การผิดศีลมันผิดศีลเพื่อดำรงชีวิตของเขา ความดำรงชีวิตของเขานะ เขาทำซื่อสัตย์ ซื่อตรงในชีวิตของเขา เขาหาอยู่หาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของเขานะ มันจะผิดศีล แต่คุณงามความดีของเขา เขาเป็นผู้นำ เขารักครอบครัวของเขา เขารักฝูงของเขา นี่คุณงามความดีของเขาก็มี สิ่งต่างๆ สิ่งนี้ก็มี เห็นไหม มนุษย์เรานี่ว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก

“มนุสสติรัจฉาโน กายเป็นมนุษย์ ใจเป็นสัตว์ มนุสสเทโว กายเป็นมนุษย์ หัวใจเป็นเทวดา”

นี่ใจเป็นมนุษย์ ร่างกายเป็นมนุษย์ เราเห็นกันแต่เรื่องของร่างกายว่ามนุษย์คือมนุษย์ไง แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชำแรกเข้าไปในหัวใจนะ มนุสสเทโว ใจเป็นเทวดา ใจประเสริฐ ใจเป็นผู้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ใจต่างๆ นี่สิ่งต่างๆ มันอยู่ที่ความรู้สึกไง ถ้าความรู้สึกอันนี้มันพัฒนาได้ ถ้ามันพัฒนา นี่ที่ว่าพระผู้ประเสริฐๆ ตรงนี้ไง ประเสริฐตรงที่ว่าเอาหัวใจของเราไว้ในอำนาจของเรา

ความสุขที่โยมหากันนี่นะ ความสุขอย่างนี้มันเป็นความสุขของกิเลสมันขับไส ได้สิ่งใดมาแล้วมันจะมีความสุข ได้สิ่งใดมาแล้วมีความสุข นี่มันเป็นอดีตไป เป็นอนาคต หวังอนาคตว่าอนาคตจะเป็นความสุข ถ้าครอบครัวสมบูรณ์แล้วจะเป็นความสุข ถ้าต่างๆ จะเป็นความสุข ความสุขของเรา เราหวังอนาคตของเราไปเรื่อยๆ แล้วมันมีความสุขไหม? แต่ถ้าเราเข้าใจชีวิตของเรานะ มันจะเข้าใจแล้วมันมีความสุข ไม่ตื่นเต้นไปกับเขา

“ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ชีวิตนี้มีการตายเป็นที่สุด”

วันแรงงาน งานของโลก งานหาปัจจัยเครื่องอาศัย เราต้องหา ต้องอยู่ ต้องกินนะ นี่มนุษย์มีคุณค่าอยู่ที่ผลของงาน การทำงานประสบความสำเร็จนี่มันมีความพอใจ มีศักดิ์ศรี มีความองอาจกล้าหาญ เพราะเราทำของเราได้ เราเสมอกัน เราอยู่กับโลก เรายืนในสังคมได้ สิ่งนี้มันเสมอกันโดยโลกไง แต่หัวใจว้าเหว่ เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก

“ในสโมสรสันนิบาตทุกดวงใจว้าเหว่”

ว้าเหว่เพราะอะไร? เพราะเราพลัดพรากออกจากสมาคมนั้นไป จิตใจเรามันต้องพลัดพราก จิตใจเรามันเหงา มันว้าเหว่ แต่ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะ เราจะเอาหัวใจเราไว้ในอำนาจของเรา เห็นไหม หัวใจอิ่มเต็ม หัวใจอิ่มเต็มคือมันไม่พร่อง มันไม่ว้าไม่เหว่ ถ้าหัวใจอิ่มเต็มมันอิ่มเต็มเพราะอะไร? เพราะมันมีปัญญา

นี่ถ้าเรามีปัญญานะหาตัวตนให้เจอ หาตัวตนให้เจอ เห็นไหม ถ้ามันกำหนดพุทโธไม่ได้ มันก็ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาตรึกในธรรม ตรึกในเรื่องต่างๆ นี่ปัญญามันตรึก พอมันตรึกในธรรมมันตรึกเข้ามาตัวมันเองไง นี่มันจะถมใจให้เต็มเพราะมันตรึกในสภาวธรรม พอตรึกสภาวธรรม เห็นไหม ชีวิตเป็นอย่างนี้ ความเป็นไปของโลกเป็นอย่างนี้ นี่สิ่งที่เป็นไปเป็นอย่างนี้ แล้วเราเกิดมาพบพุทธศาสนา พุทธศาสนาสอนถึงการเกิดและการตาย

การเกิดและการตายนะ เพราะชาติปิ ทุกขา ทุกข์ อริยสัจ นี่ชาติปิ ทุกขา มีชาติ มีความเกิดถึงได้เป็นทุกข์ แต่เราไปบอกว่าจิตใจนี้เป็นทุกข์ ถ้ามีการเกิด มีภวาสวะ มีผู้รับรู้ มีผู้เป็นเจ้าของ มีผู้รับผิดชอบ นั่นเป็นความทุกข์ แล้วถ้าไม่เกิดมันทุกข์ไหม? ไม่เกิดมันก็ทุกข์เพราะอะไร? เพราะไม่เกิดมันก็เป็นสถานะของจิตปฏิสนธิจิต มันมีของมันอยู่แล้ว มันก็ทุกข์ในสถานะของจิตปฏิสนธิจิต มันทุกข์ในสถานะของเทวดา อินทร์ พรหม เพราะมันเวียนตายเวียนเกิดตามวาระในวัฏฏะ มันทุกข์ทั้งนั้นแหละ

ถ้ามันทุกข์ เห็นไหม สิ่งที่มันทุกข์ ทุกข์นี่ชาติปิ ทุกขา การเกิดมีความทุกข์อย่างยิ่ง แต่ความทุกข์นี้เกิดมาแล้วเราหาสถานะ หาปัจจัยเครื่องอาศัยเพื่อดำรงชีวิตไง ในเมื่อมันเกิดมาแล้วชีวิตมันต้องมีอาหารเป็นเครื่องดำรงชีวิตของมัน มันมีปัจจัยเครื่องอาศัยนะ แต่เวลาเราจะชำระล้างมัน เห็นไหม ชำระล้างมันเพื่อแรงงานของใจ แรงงานของใจนะ กิจจญาณ ถ้ามันมีกิจของมันนะ มีการกระทำของมัน นี่เราไม่มีการกระทำ เราไปตามกระแส ไปตามสามัญสำนึก

สามัญสำนึกของมนุษย์ เห็นไหม มนุษย์มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ พลังงานที่มันส่งออกเป็นความคิดธรรมชาติของมัน ธรรมชาตินะมันมีพลังงานของมัน มันส่งออก จิต ภวาสวะ ตัวภพ ตัวภพมันมีความสกปรกเพราะมันเป็นภพ มันมีสถานที่ตั้ง ความคิดมันเกิดจากอวิชชา พอมันเกิดจากอวิชชามันไปตรึกในธรรม ตรึกในธรรมมันก็ส่งไปธรรมชาติของมัน แล้วมันอยู่ที่ปลายเหตุ อยู่ที่ปลายเหตุเพราะพลังงานนี้มันส่งออกไปแล้วมันหยุดอยู่ปลายเหตุ

แต่ถ้าเราใช้ปัญญาอบรมสมาธิมันทวนกระแส มันทวนกระแสเข้าไปหยุดที่ภวาสวะ หยุดที่ภพ เห็นไหม ภพนี้เป็นสถานที่ควรแก่การงาน เป็นฐานที่ตั้ง เป็นกรรมฐาน กรรมฐานถ้าไม่มีฐานที่ตั้ง คนทำงานยังต้องมีออฟฟิศใช่ไหม? นักกีฬาต้องมีสนามซ้อมใช่ไหม? คนทำงานเขาต้องมีโต๊ะทำงานนะ แม้แต่ขอทานเขายังต้องมีกะลาของเขานั่งขอทาน เดินขอทาน เขามีฐานที่ตั้งที่ทำงาน

งานคืออะไร? งานคือการกระทำของเขา แล้วนักภาวนาเรา นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน เห็นไหม ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าเข้าไม่ถึงสมาธิ เข้าไม่ถึงฐานที่ตั้ง มันไปแก้กิเลสกันที่ไหน? เราเป็นหนี้ เราไม่ใช้หนี้เจ้าหนี้ เราเป็นหนี้ เราไปใช้หนี้คนอื่น เราไปให้คนอื่นใช้หนี้แทน หรือเราไปใช้หนี้ผิดบุคคล มันแก้กิเลสไม่ได้หรอก

การแก้กิเลสนะ กิเลสมันอยู่ที่ใจ กิเลสมันอยู่ที่เรา กิเลสมันอยู่ที่ใจนะ สุข ทุกข์นี่ ญาติพี่น้องได้ช่วยเหลือเจือจานกันจากข้างนอก ได้ปลอบประโลม โอ้โลมปฏิโลม เจ็บไข้ได้ป่วยก็ช่วยเหลือเจือจานกันด้วยการส่งโรงพยาบาลเท่านั้นแหละ สุข ทุกข์ เจ็บไข้ได้ป่วย ความสุข ความทุกข์ในหัวใจ ใจของใครใจของมันนะ แต่เราเกิดมาด้วยสายบุญสายกรรม เกิดเป็นพ่อเป็นแม่ เห็นไหม เป็นพระอรหันต์ของลูก พระอรหันต์ของลูกเพราะอยู่ในชายคา

นี่อนันตริยกรรม ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ทำห้อเลือดให้กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฆ่าพระอรหันต์ ทำสังฆเภท อนันตริยกรรม กรรมที่รุนแรง นี่พระอรหันต์ของลูก เราเป็นสายบุญสายกรรม เราเกิดจากพ่อจากแม่ สิ่งที่เกิดจากพ่อจากแม่นี่สายบุญสายกรรม แล้วในบ้านเรากตัญญูกตเวทีมันเป็นเครื่องแสดงออกนะ

การแสดงออกของคนดี คนดีจากภายนอก ถ้าคนไม่ดีจากภายนอก คนจะทำงานทุกอย่างเขาต้องพร้อมมาจากข้างนอก พร้อมมาจากภาชนะ อาหารที่เราจะกินกันนี่เราต้องมีภาชนะใส่มัน สิ่งที่เราจะเข้าไปหาหัวใจเราต้องมีสมาธิ ต้องมีสติ ต้องมีปัญญาเข้าไปหา เข้าไปจัดการนะ จัดการกับความเกิดและความตาย ถ้าจัดการความเกิด เห็นไหม นี่งานของพระ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาปัจฉิมโอวาท

“ภิกษุทั้งหลาย เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์เลย”

พิจารณาสังขาร สังขารมี ๒ ชนิด สังขารภาษาสมมุติ ภาษาโลก สังขารคือร่างกาย ภาษาธรรมสังขารคือความคิด ความปรุง ความแต่ง เห็นไหม ความคิดคือขันธ์ ๕ กับธาตุ ๔ นี่ให้พิจารณาอย่างนี้ นี่งานของเรา แต่โลกเขาไม่เห็นคุณค่า โลกเห็นว่าทำหน้าที่การงาน ได้เงิน ได้ทอง ได้ปัจจัยเครื่องอาศัย นั้นคืองานของโลก งานสถานะเลี้ยงดำรงชีวิต แต่งานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า งานของพระ งานรื้อค้นวัฏฏะ งานทำให้มีความสุขแท้จริง

ความสุขที่แท้จริง เห็นไหม ดูสิดูประเทศด้อยพัฒนา แต่ความสุขมวลรวมเขามีความสุขของเขา เพราะเขาสงบสุขของเขา แต่โลกพัฒนาแล้วเขาบอกล้าหลัง ต้องไปพัฒนา พัฒนาให้วิ่งไปในกระแสโลก ให้มีความทุกข์ไง ให้ตามกระแสโลก เรามีปัจจัยเครื่องอาศัย ถ้าหัวใจมันอิ่มเต็มนะ นี่ธรรมทวนกระแสกับโลก

โลกวิ่งตามกระแสกันไป กระแสทุนนิยม กระแสกิเลส กระแสปลุกเร้า กระแสให้จับจ่ายใช้สอย กระแสให้เงินทุนหมุนเวียน แต่ประสาของธรรม ความพออยู่พอกิน ความเป็นไปของโลก เป็นปัจจัยเครื่องอาศัยเท่านั้นแหละ บ้านเรือนจะสร้างมาวิจิตรพิสดารขนาดไหน มันก็เสื่อมสภาพไปเป็นธรรมดา ขนาดตึกเก่า ตึกโบราณ เขาต้องระเบิดทิ้งนะ เขาทำลายทิ้งเลย เขาระเบิดทิ้งเพื่อสร้างตึกใหม่ เห็นไหม

นี่มันไม่มีที่สิ้นสุดหรอก มันจบไม่ได้ แสวงหาความสุขจากทางโลกมันจบไม่ได้ แต่ในเมื่อทางโลกเราอาศัยโลกอยู่ เราต้องอยู่กับโลกได้ แต่เรามีความสุขในศาสนา ในศาสนานะ ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สอนให้ใจนี้มีจุดยืน ให้ใจนี้มีที่พึ่งอาศัย ถ้าใจนี้มีที่พึ่งอาศัย ข้างนอกมันก็เป็นแค่อาศัยมัน เห็นไหม แต่เรามีจุดยืนของเรา

นี่แรงงานของใจนะ สัตว์ประเสริฐ เราเป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่จะเป็นมนุสสติรัจฉาโน มนุสสเทโว ใจเราเลือกของเราเอง เราคัดของเราเอง เวลาเราเครียด เวลาเรามีความเร่าร้อนในหัวใจ นั่นล่ะมนุสสติรัจฉาโน มนุษย์เปรตเลยล่ะ เพราะอะไร? เพราะมันเหยียบย่ำในใจนะ เรารู้ของเราเอง เห็นไหม สิ่งนี้ความลับไม่มีในโลก เราจะรู้ของเราเอง แล้วเราจะแก้ไขของเราเอง แล้ววัตถุหรือเครื่องต่างๆ ในโลกแก้ไขไม่ได้ ถ้าไม่มีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแก้ไขไม่ได้

ถ้าไฟมันลุกไหม้ขึ้นมา ไม่มีน้ำดับไฟไม่ได้ น้ำดับไฟนะ ถ้ามันไม่มีน้ำดับไฟ มันก็จะลุกไหม้โชนจนหมดเชื้อ แล้วมันก็จะดับไปเอง เวลามันทุกข์จนเข็ญใจ เวลามันเครียดขึ้นมานะมันคิด มันเผาจนหมดเชื้อแล้วมันก็ดับไป ดับชั่วคราว เดี๋ยวก็ได้เชื้อใหม่ เพราะมันก็มีความโกรธอีก มันก็มีความไม่พอใจอีก เชื้อมันจะเกิดขึ้นเรื่อยๆ เพราะเชื้อมันเป็นนามธรรม เชื้อมันเป็นความขัดข้องใจ เชื้อมันขัดแย้งอยู่ในใจ มันจะเกิดขึ้นมาตลอด แล้วมันก็จะเผาไปตลอด

ธรรมะเข้าไปชำระตรงนี้ไง ชำระไม่ให้มีเชื้อ เอาตบะธรรมเผาลนมัน จนถึงที่สุดแล้วนะ เห็นไหม นี่งานของนักบวช งานของพระ ความสุขที่แท้จริงหาได้จากใจของเรา หาได้จริงๆ แต่ถ้ามันหาไม่ได้ หาไม่เป็น มันยิ่งไปกดดันไว้ มันยิ่งเครียด มันยิ่งทุกข์ แต่การทุกข์ เห็นไหม เขาบอกว่าอยากไม่ได้ ทำไม่ได้ อยากต่างๆ ขึ้นมาเป็นกิเลส มันเป็นมรรคนะ ความอยากมันเป็นธรรมชาติ เหมือนน้ำมันนี่เราเอาไปใช้ในทางอุตสาหกรรมมันจะเป็นประโยชน์ น้ำมันเอาไปราดเผาบ้านเรือนมันไหม้หมด

ความอยากที่เป็นกิเลสมันก็มี ความอยากที่เป็นมรรคมันก็มี อยากสร้างคุณงามความดี อยากทำคุณงามความดี มันเป็นความอยากเหมือนกัน แต่อยากโดยมีสติ มีสัมปชัญญะ เราเอาน้ำมันไปทำธุรกิจ ไปทำงานอุตสาหกรรม แล้วเราจะได้ผลประโยชน์นั้นมา ความอยากนี่เราต้องบริหารมัน ทำให้มันเป็นมันจะเป็นประโยชน์

เราปฏิเสธความอยากไม่ได้ ปฏิเสธความอยาก ปฏิเสธน้ำมัน ปฏิเสธความอยากแล้วไปทำโดยสามัญสำนึก สักแต่ว่าทำ ครูบาอาจารย์ท่านสอนประจำ ไม่มีสติ ของที่ทำสักแต่ว่า ผลมันเป็นสักแต่ว่า เราปฏิเสธตั้งแต่ต้น ผลมันจะเป็นก้ำกึ่ง มันไม่มีสติ ไม่พร้อม ไม่เป็นความจริง ถ้าเป็นความจริง เห็นไหม อยากก็ให้อยากในเหตุ อยากในการกระทำ แล้วมันเป็นไปเอง ผลมันเกิดขึ้นมาจะเห็นผลของมันเอง

ถ้าอยากมากเกินไปมันจะเครียดแล้วทำไม่ได้ อยากซ้อนอยาก สมุทัยซ้อนสมุทัย ถ้ามันอยากโดยสามัญสำนึก แล้วเราเอาไปตั้งในเหตุ เหมือนคนร่างกายแข็งแรง เห็นไหม ใช้เล่นกีฬามันเป็นประโยชน์ ร่างกายแข็งแรงแล้วเอาไปทำอย่างอื่นมันก็เสียหาย นี่สิ่งที่เป็นธรรมคือเป็นธรรม ถ้าใจเป็นธรรมมันจะเป็นธรรมนะ นี่ฟังธรรม ธรรมตอกย้ำตรงนี้ มันเป็นนามธรรมที่เราหาได้ยาก เราเริ่มต้นไม่ถูกไง สิ่งที่เป็นความคิดแล้วจะเริ่มต้นอย่างไร? แม้แต่วัตถุเป็นหน้าที่การงาน มันยังทำไม่ถูกต้องเลย แล้วสิ่งนี้มันเป็นนามธรรม แล้วเราจะเริ่มต้นตรงไหน?

เริ่มต้นโดยตั้งสติ ถ้าเรามีสติเรานึกพุทโธ ใจมันอยู่ที่นั่นแล้ว ใจมันเกาะพุทโธไว้มันมีจุดยืนแล้ว พุทโธ พุทโธ พุทโธ เห็นไหม แต่เดิมใจมันคิดฟุ้งซ่านไป ใจมันคิดไปตามอำนาจของมัน คิดเอาแต่เรื่องที่เป็นกิเลส คำว่ากิเลสคือมันคิดเกินเลยกว่าเหตุ แต่ถ้าเป็นเรื่องความคิดโดยปกติ หน้าที่การงานไม่ใช่กิเลสหรอก คนเราเกิดมามีหน้าที่การงาน หน้าที่การงานทำโดยปกติ อย่างนี้มันเป็นธรรม

สิ่งที่เป็นธรรม เห็นไหม ถ้าเรากำหนดพุทโธ พุทโธ จิตมันเกาะที่นั่น แล้วจิตมันสงบได้ ถ้าจิตสงบได้จะทึ่งกับความสงบของเรามาก ถ้าใครเคยสงบมันทึ่งมากนะ แต่นี่เราไม่เคยเห็นความสงบ เราเห็นแต่เงา เพราะเราเห็นแต่เงาของจิตไม่เห็นตัวจิต ถ้าเห็นตัวจิตมันสงบมาเป็นตัวของมันนะ พอเห็นแต่เงาใช่ไหม? แล้วเราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเปรียบเทียบเอง เหมือนเด็ก เด็กเวลาเขาเล่นกัน เด็กสมัยโบราณนะ เขาเล่นของเขา เห็นไหม เขาเอากระดาษมาสมมุติว่าเป็นเงิน แต่ผู้ใหญ่เขาใช้แบงก์ กระดาษเหมือนกันแต่เงินจริงๆ

นี่ความสมมุติของเรา สมมุติว่าเหมือนธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาการของใจ ใจมันมหัศจรรย์มาก มันสร้างภาพ กิเลส อุปกิเลส ความคิดมันสร้างได้หมดแหละ ว่างๆ ว่างๆ ประสามัน มันคิดได้หมดแหละ นี่มันเป็นการลูบคลำ ไม่เป็นความจริง ถ้าเป็นความจริงนะเราจะสะดุดใจมาก

สะดุดใจของเรา สะเทือนใจของเรา แล้วสะเทือนใจของเรามันสะเทือนกิเลส สะเทือนกิเลสเพราะกิเลสมันอยู่ที่ใจ พอสะเทือนกิเลสเราจะหาช่องทางที่จะเข้าไปต่อสู้กับมัน มันจะพลิกแพลง มันจะหลบหลีก มันจะทำ กิเลสมันไม่ยอมจำนนหรอก มันพลิกแพลง มันหลบหลีกนะ กิเลสนี่เอาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอ้างว่าเป็นธรรมๆ ให้เราเชื่อประจำนะ เพราะคนที่ปฏิบัติจะรู้ เวลามันวิปัสสนาไปแล้วมันปล่อยเป็นตทังคปหาน

คำว่าตทังคปหานคือปหานชั่วคราว มันปล่อยชั่วคราว แล้วเชื่อว่าเป็นความจริง แล้วพอเชื่อว่าเป็นความจริงมันทอดธุระ มันทอดธุระมันนึกว่าเป็นความจริงแล้วนะ แล้วพอมันเสื่อม กิเลสมันหลบตัวอยู่ เวลามันออกมา เห็นไหม นี่ที่ว่าจิตเสื่อมๆ คนภาวนาไปมันจะมีอาการจิตเสื่อม ความบังคับให้จิตสงบ ให้เป็นหน้าที่การงานก็แสนยาก แล้วพอปฏิบัติไปมันเป็นคุณงามความดีของเรา เพราะมันตรึกในธรรมมันเป็นคุณงามความดี แต่! แต่มันไม่ถึงที่สุด มันไม่สรุปถึงโครงการ ไม่มีขณะจิต มันไม่สรุปถึงที่สุดนะเป็นอกุปปธรรม

“กุปปธรรม อกุปปธรรม”

กุปปธรรมคือความเจริญแล้วเสื่อม เจริญแล้วเสื่อม นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนนิพพานเป็นอนัตตาๆ อนัตตาคือความแปรสภาพ นี่ไงความเจริญแล้วเสื่อมนี่คืออนัตตา ความคิดที่หมุนเวียนนี้คืออนัตตา แต่เราไม่เคยเห็นมันไง แต่เราไปตีความว่าอนัตตาคือความเป็นไปจากข้างนอก แต่ตัวมันเองเป็นอนัตตาแล้วไม่เคยเห็น พอจิตมันวิปัสสนาเข้าไปจับ มันเป็นอนัตตาต่อหน้า มันเห็นต่อหน้า มันซึ้งต่อหน้า

มันเป็นจริงๆ นะ สัพเพ ธัมมา อนัตตา อกุปปธรรมมันพ้นออกไปจากความเป็นอนัตตา มันไม่เป็นอนัตตาหรอก อกุปปธรรมคงที่ไม่ใช่อนัตตา สภาวธรรมอนัตตา นี่นิพพานๆ นิพพานไม่ใช่อนัตตา นิพพานเป็นนิพพาน ความจริงเป็นความจริง แต่สิ่งที่มันหมุนเวียน มันหมุนเวียนโดยธรรมชาติของมัน เห็นไหม นี่มันค้นคว้าแล้วมันมีการกระทำ มันเห็นขึ้นมาเป็นความจริงของเรานะ

นี่แรงงานใจ ที่ว่าพระอยู่สุขอยู่สบาย ถ้าพระเป็นลูกศิษย์ตถาคตนะ พุทธชิโนรส นี่การกระทำทำตามข้อวัตรปฏิบัติ ไม่สบายหรอก มันเอาสบายมาจากไหน? เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านพ้นจากกิเลสไปแล้วนะ ในพระไตรปิฎก เวลาพระอรหันต์เขาทักทายกันนะ

“จะพอทนอยู่ได้ไหม? ทุกข์นี่พอทนอยู่ได้ไหม?”

เขาไม่ได้ทักว่าสบายดีไหม? สบายดีไหม? มันทุกข์ทั้งนั้นแหละ ความจริงมันแปรสภาพหมด ไม่มีอะไรคงที่เลย เรามาอยู่กับสิ่งที่แปรสภาพ อยู่กับความไม่แน่นอน ชีวิตเราอยู่กับความไม่แน่นอน นี่มันจะมีความสุขมาจากไหน? สรรพสิ่งนี้ไม่แน่นอนหมด

ดูสิดูอย่างธุรกิจ เห็นไหม กระแสสังคม ธุรกิจมันขึ้นๆ ลงๆ หมด มันไม่แน่นอนทั้งนั้นแหละ เราอยู่กับมัน ความเสี่ยงอยู่กับมัน ทุกอย่างอยู่กับมัน ชีวิตก็อยู่กับมัน เสี่ยงหมดแหละ เป็นความเสี่ยงหมด ไม่มีอะไรแน่นอนเลย ถึงว่า “พอทนอยู่ได้ไหม? ชีวิตนี้พอทนอยู่ได้ไหม?”

“พอทนอยู่ได้ครับ” พอทนอยู่ได้ พอเข้าใจชีวิต แล้วไม่ตื่นเต้นไปกับมัน เห็นไหม นี่สิ่งที่เห็นจริงแล้วมันจะเป็นอย่างนั้น เราเห็นไม่จริงเราก็งงไปหมดแหละ ครูบาอาจารย์ท่านพูดเราก็ตรึกไป แล้วก็ตีความไปเป็นประสาเรา เป็นความคิดของเรา เราก็คิดของเราไปนะ นี่ถ้าเราฟังธรรมแล้วเราประพฤติปฏิบัติของเรา สนทนาธรรมกับครูบาอาจารย์ สิ่งที่หยาบ ละเอียด ละเอียดสุดเข้าไปเป็นชั้นเป็นตอน ปัญญามันมีละเอียด ละเอียดสุด มันมีสติ มหาสติ

คำว่าสติ มหาสติ มันต่างกันอย่างไร? เหมือนแบงก์เลย แบงก์ ๕๐๐ กับแบงก์ ๑,๐๐๐ มันต่างกันอย่างไร? แบงก์ ๕๐๐ กับแบงก์ ๑,๐๐๐ คุณค่ามันต่างกันอย่างไร? คำว่าสติกับมหาสติมันต่างกันอย่างไร? เงินเหมือนกัน คุณค่ามันต่างกัน สติกับมหาสติต่างกันมาก แล้วสติอัตโนมัติที่มันหมุนติ้วๆๆ มันยิ่งต่างเข้าไปใหญ่เลย ของที่เป็นอยู่กับเรามันหยาบ ละเอียด แล้วปัญญามันหยาบ ละเอียด มันอยู่กับเรานะ แล้วนี่ถ้าเราสนทนาธรรมกับครูบาอาจารย์ที่เราประพฤติปฏิบัติ เราจะเข้าใจแล้วจะซึ้งมาก

นี่ที่เรากราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี่กราบจากหัวใจ กราบจากตรงนี้ไง กราบจากความรู้จริงมันซึ้งใจมาก เอวัง