เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๙ พ.ค. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ถ้าเราเกิดมาอยู่ในยุคที่ผ่านมา ในยุคอดีต คนจะมีความร่มเย็นเป็นสุข ประสาคนที่เกิดในประเทศอันสมควรนะ ธรรมะมันจะชัดเจนมาก เกิดในประเทศอันสมควร เกิดจากพ่อจากแม่ที่ดี พ่อแม่จะพาลูกหลานไปทางที่ดี

เกิดในประเทศ เห็นไหม ดูสิในเมืองไทยมัน ๓ ฤดูกาลเหมือนกับชมพูทวีป ชมพูทวีปนะ สมัยพุทธกาลมีหน้าร้อน หน้าฝน หน้าหนาว แล้วก็มีพืชพันธุ์ธัญญาหารนะ มีมะขามป้อม มีสมอ เวลาเขามาอยู่ในเมืองไทย เมืองไทยมีครบ มี ๓ ฤดู มีพืชที่เป็นสมุนไพรไง นี่มีมะขามป้อม มีสมอ ถ้าเราไม่ได้มีประวัติศาสตร์นะจะคิดว่าพระพุทธเจ้าเกิดในประเทศไทย เดี๋ยวนี้มีพระมาก จะทำประวัติศาสตร์ว่าพระพุทธเจ้าเกิดที่นี่ เกิดสุวรรณภูมินี่ ไม่ได้เกิดชมพูทวีป

เกิดชมพูทวีป แต่มันเป็นฤดูกาล นี่ประเทศอันสมควรไง เกิดประเทศอันสมควรนะ เกิดจากพ่อจากแม่นี่ประเทศอันสมควรอันหนึ่ง เพราะอะไร? เพราะมันได้ทั้งภูมิประเทศด้วย ได้ทั้งความรู้สึกคือเรื่องของร่างกายด้วย เรื่องของจิตใจด้วย แล้วพอมาเกิดในภูมิประเทศอย่างนี้ เห็นไหม ประเทศอันสมควรไง

เวลาธรรมวินัยมันเข้ากันเลย ๓ ฤดู ฤดูฝน ฤดูหนาว เวลาสวดปาติโมกข์มันจะมีฤดูกาลของเขานะ นี่ฤดูกาลของเขา ถ้าเราเกิดอย่างนี้ในธรรมะมันจะชัดเจน ชัดเจนเพราะอะไร? เพราะวิทยาศาสตร์ เรื่องเทคโนโลยีมันก็ไม่เข้ามาเกี่ยวข้องไง เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้องนะ การขนย้ายสิ่งต่างๆ เขาทำของเขาได้ เขาเจือจานของเขาได้ เราก็เลยมองว่าโลกเจริญ มองว่าโลกเจริญนะ แต่ไม่ได้เลยมองว่าคนเร่าร้อนขึ้น คนมีความทุกข์มากขึ้น

ถ้าทางโลก เห็นไหม พอเรามาศึกษาธรรมะกัน เราก็ศึกษาด้วยภูมิปัญญาของเรา ถ้าศึกษาด้วยภูมิปัญญาของเราทุกอย่างต้องเรียบง่าย ทุกอย่างต้องสะดวกสบาย การเรียบง่ายในการทำบุญกุศลมันเรื่องของโลกๆ นะ แต่ถ้าเรื่องของกิเลส เรื่องของธรรมะ ธรรมะมันขุดกิเลส มันต้องมีการขุด การถอนกัน

ดูทางโลกเขาว่าสันดานแก้ยากๆ สันดานมันคือกิเลสนะ สันดาน ตัณหาความทะยานอยากในหัวใจมันคือกิเลส แล้วมันจะขุดได้ง่ายๆ ไหม? การขุด การทำลายกัน เห็นไหม เราถึงต้องนักรบไง เวลาภิกษุเรานักรบ รบกับกิเลสมันต้องลงทุนลงแรง แต่ทางโลกเขาบอกว่าเป็นอัตตกิลมถานุโยค การทำอย่างนี้เป็นเรื่องกิเลสอย่างหนึ่ง การทำงานมันต้องลงทุนลงแรงทั้งนั้นแหละ

การทำธุรกิจ เห็นไหม คนที่เขามีโอกาสของเขา นั่นบุญกุศลนะ เพราะมันเหมือนกับในการประพฤติปฏิบัติของภิกษุเรา ขิปปาภิญญา ผู้ที่ปฏิบัติง่ายรู้ง่าย ผู้ที่ปฏิบัติง่ายรู้ยาก ผู้ที่ปฏิบัติยากรู้ง่าย ผู้ที่ปฏิบัติยากรู้ยาก กับผู้ที่ปฏิบัติแล้วมันไม่รู้ได้เลยก็มี สิ่งต่างๆ พวกอะไรที่ว่ามันเป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เพราะในหัวใจมันไม่เชื่อ มันไม่เชื่อของมัน มันปฏิเสธของมัน

ดูอย่างทางวิทยาศาสตร์ พวกฝรั่งเขามาประพฤติปฏิบัติ เขาไม่ค่อยเชื่อนะ พอเขาทำจิตของเขาสงบแล้วนี่เขาไม่เชื่อว่าจิตสงบมันเป็นอย่างนี้ มันแบบว่าพูดทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ เขาก็ปล่อยให้เสื่อมไป มันจะพิสูจน์ไง แต่ถ้าเป็นปฏิบัติธรรมมา เป็นสันทิฏฐิโกนะ มันพิสูจน์ได้ พิสูจน์ได้นะ เป็นสมาธิก็รู้ว่าเป็นสมาธิ เป็นปัญญาก็รู้ว่าเป็นปัญญา ถ้าเป็นปัญญาของเราขึ้นมามันมีการกระทำ การที่ว่าพิสูจน์ได้เหมือนเราทำงานของเรา เราทำงานกับมือของเรา แล้วงานนั้นสำเร็จในมือของเรา เราจะสงสัยความสำเร็จในมือเราไหม?

นี่ก็เหมือนกัน แต่ของเขาทำเขาไม่ทำอย่างนั้นไง เขาทำของเขา เขาสงบไปเฉยๆ เขากำหนดพุทโธหรือใช้ปัญญา ผลของมันคือความสงบของใจ ถ้าผลของมันคือความสงบของใจ มันไม่มีการกระทำ คือไม่มีสิ่งใดชำระล้าง มันไม่ได้ขุด มันไม่ทำลายกิเลส พอมันไม่ได้ขุด มันไม่ได้ทำลายกิเลส มันก็เลยไม่เชื่อ ไม่เชื่อก็คิดว่าเป็นจินตนาการเอา เป็นการสร้างภาพเอา เป็นสิ่งที่เรานึกขึ้นมาเอง

ใช่ มันเป็นสิ่งที่เรานึกขึ้นมาเอง เวลาเรานึกว่าทุกข์มันก็ทุกข์นะ นึกถึงสิ่งที่เจ็บปวดแสบร้อนในหัวใจ นึกขึ้นมาเหมือนกันใช่ไหม? เรานึกถึงสิ่งที่ดีมันก็เป็นความดีใช่ไหม? ความนึก ความคิดมันแก้กิเลสไม่ได้ แต่โดยสามัญสำนึกของคนมันต้องมีการนึกคิดเป็นธรรมดา การนึกคิดนี่คือขันธ์ ๕ คือสถานะของมนุษย์ สถานะของเทวดา สถานะของสัตว์ สัตว์มันก็นึกคิดได้ แต่สัตว์มันไม่มีสมอง สัตว์ไม่มีปัญญา

สมองของสัตว์เป็นสมองชั้นใน มันไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมของมันได้ แต่มนุษย์เรานี่มันควบคุมพฤติกรรมได้ด้วย ความคิดในหัวใจที่ลึกลับซับซ้อนมันก็คิดในหัวใจ แต่มันมีสมองส่วนที่ควบคุม สมองส่วนที่ควบคุมนี้เป็นสมองนะ สิ่งที่เป็นสมอง สมองที่ควบคุมมันเป็นสามัญสำนึกเฉยๆ แต่ถ้าจริงๆ สิ่งนี้เป็นสถิติ มันเป็นสัญญา มันเป็นข้อมูล

การศึกษา เห็นไหม การศึกษาขึ้นมา เราศึกษามาทางวิชาการ ถ้าเราไปค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์มันต่อยอดๆ ขึ้นไป การต่อยอดขึ้นไปมันเป็นการจินตนาการก่อน เป็นการจินตนาการ เป็นการคาดหมาย แล้วพยายามทำให้ถึงเป้าหมายนั้น นี่เป็นจินตมยปัญญา แล้วภาวนามยปัญญามันไม่ใช่สมอง ไม่ใช่ต่างๆ เลย ความเป็นสมอง สมองนี่เราคิดอย่างนี้ คิดได้ระดับนี้ เราศึกษามาได้ระดับนี้แล้วต่อยอดขึ้นไป

นี่ความคิดของสมอง ความคิดของสถิติ ความคิดของสามัญสำนึก ความคิดของโลก ความคิดของโลกเพราะสมองมันควบคุมความคิด ควบคุมร่างกาย ควบคุมต่างๆ แต่ปัญญาของใจล่ะ? ปัญญาของใจ เห็นไหม นี่ปัญญาที่เกิดขึ้นกลางหัวอกกลางหัวใจ ไม่ได้เกิดจากสมองนะ ถ้าสมองนี่มันเป็นกรอบ มันเป็นกรอบที่ควบคุมต้องคิดในระดับนี้ คิดของทางโลกมันก็เกิดจากสันดาน เกิดจากความคิดของตัวไง

แต่ถ้ามันเป็นปัจจุบันธรรม มันไม่ได้เกิดจากสิ่งใดทั้งสิ้น มันเกิดจากพลังงานของใจ ธาตุรู้ ธาตุรู้ที่เกิดขึ้นมาเป็นพลังงาน แล้วปัญญาเกิดจากตรงนั้น ปัญญาเกิดจากธาตุรู้ไม่ใช่เกิดจากสมอง ปัญญาเกิดจากธาตุรู้ ถ้าบอกเกิดจากสามัญสำนึกก็ได้ แต่คำว่าเกิดจากสามัญสำนึกมันก็เป็นโลก เห็นไหม เพราะสามัญสำนึกนี้เป็นเรา สามัญสำนึกนี้เกิดจากภวาสวะ เกิดจากภพ เกิดจากกิเลสไง แต่ถ้ามันชำระกิเลส มันทำความสงบของใจนี่กิเลสมันสงบตัวลง

ถ้าเกิดจากตรงนั้น ถ้ามันเป็นสามัญสำนึกมันเกิดได้จริง เกิดได้เอง คนทำสมาธิได้มันก็ต้องเกิดโดยธรรมชาติของมัน เห็นไหม ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วทำไมคนทำสมาธิได้ พวกฤๅษีชีไพร ดูสิคนเขาทำสมาธิได้นะ ผู้ประพฤติปฏิบัติ ขนาดที่ว่ารู้วาระจิต รู้ต่างๆ นี่มันรู้ได้ นี่ผู้วิเศษ ไม่ใช่อริยสัจ ไม่ใช่ธรรมหรอก ทีนี้ถ้ามันเกิดเองไม่ได้เพราะอะไร? เกิดเองไม่ได้เพราะว่ามันไม่เป็นอริยสัจ มันไม่เป็นปัจจุบัน มันไม่เป็นความจริง พอไม่เป็นความจริงมันจะเกิดมันต้องฝึกไง

ฝึก เห็นไหม เวลาจิตสงบแล้วเราฝึกให้เห็นกาย ให้พิจารณากาย กาย ความติดข้องของใจ ใจมันติดข้องเรื่องของเราก่อน เรารักกัน รักต่างๆ รักทั่วไปหมดเลย แต่ความจริงความรักมันเกิดจากใครล่ะ? ความรักเกิดจากตุ๊กตาได้ไหม? ความรักเกิดจากวัตถุได้ไหม? ความรักก็เกิดจากสิ่งที่มีชีวิตไง ความรักก็เกิดขึ้นมาจากเราไง มันรักเราก่อน ถ้าเราเป็นฐาน ฐานคือใจ ใจเป็นธรรมแล้วใจมันอยู่ที่ไหนล่ะ? ใจมันจะแสดงออกได้มันก็ต้องอาศัยสิ่งที่มันอยู่

นี่คูหาของใจ คูหาคือกลางหัวอกไง คูหาคือร่างกายเป็นที่อยู่ของใจ แล้วสามัญสำนึก ตัวตนของเรามันก็ต้องรักเรา เห็นไหม ถ้าจิตมันสงบแล้วให้หัดใคร่ครวญในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม ในกาย เวทนา จิต ธรรม เพราะอะไร? เพราะมันติดเราก่อน มันมีฐานที่ตั้งก่อน มันมีตัวเราก่อน มันมีความยึดมั่นถือมั่นของตัวเองก่อน มันถึงหลงใหลในตัวเอง แล้วมันถึงคิดถึงคนอื่น

ทีนี้ถ้ามันจะทำลายคนอื่นก่อนมันต้องทำลายเราก่อน เห็นไหม ถ้าทำลายเราก่อน ปัญญามันจะเกิดอย่างนี้ในภาวนามยปัญญาไง มันถึงจะมีการขุดทำลายสันดอน สันดอนคือภวาสวะ คือภพ คือกลางหัวใจ สิ่งนี้มันจะทำของมันได้อย่างไร? ถ้าทำของมันขึ้นมานี่ธรรมะกับโลกไง

โลกนี่ความเป็นอยู่ ปัจจัยเครื่องอาศัย สิ่งต่างๆ มันก็ต้องอยู่ด้วยกัน โลกอยู่ด้วยกัน เกิดมานี่เป็นโลกหมดแหละ เกิดจากท้องพ่อท้องแม่ก็โลก ร่างกายนี้เป็นเรื่องของโลก เพราะอะไร? เพราะเกิดจากธาตุ นี่ร่างกายจากพ่อแม่สืบต่อกันมา จากพ่อจากแม่ จากปู่ ย่า ตา ยาย ก็สืบต่อเป็นพ่อเป็นแม่ พ่อแม่ก็เกิดเป็นลูกเป็นหลาน แล้วเป็นหลานมันก็สืบต่อกันไป สืบต่อไปเป็นสายบุญสายกรรม เป็นกรรมพันธุ์ สิ่งนี้เป็นเรื่องของโลกไง เพราะมันเกิดจากธาตุ ๔

ธาตุ ๔ เกิดขึ้นมา เห็นไหม แต่ธาตุ ๔ โดยสามัญสำนึก ธาตุ ๔ นี่ดิน น้ำ ลม ไฟ เราเอาทางวิทยาศาสตร์มาผสมผสานกันให้เกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมาไม่ได้ เป็นมนุษย์ขึ้นมาไม่ได้หรอก มนุษย์มันต้องเกิดจากปฏิสนธิจิต จิตตัวต้น นี่ตัวสารตั้งต้น สารตั้งต้นมันไปปฏิสนธิในไข่ พอปฏิสนธิในไข่มันต้องมีเชื้อ เห็นไหม ระหว่างเชื้อพ่อกับแม่ แล้วปฏิสนธิของจิตมันเป็นจุดเริ่มต้น มันเป็นเรื่องกรรมไง กับพ่อ กับแม่ กับเรา บาลานซ์กัน แล้วก็มาเกิดเป็นมนุษย์ พอเกิดเป็นมนุษย์นี่มาเกิดในอะไร? ก็เกิดในวัตถุ เกิดในไข่ใช่ไหม? พอเกิดในไข่ ไข่มันซับสมกรรมพันธุ์มาใช่ไหม? กรรมพันธุ์มันก็สืบต่อกันมา นี้เรื่องโลกๆ ไง นี่คูหาของใจ จิตปฏิสนธิจิต

แต่เวลาปฏิบัติธรรมมันก็มีร่างกายมีหัวใจเหมือนกัน ร่างกายก็อาศัยเครื่องอาศัย เห็นไหม นกมีรวงมีรัง ภิกษุก็มีที่พักอาศัย ที่พักอาศัยสร้างมาพออยู่อาศัย แต่ถ้าจิตใจเราอ่อนแอ มันก็ต้องอำนวยความสะดวกให้กับธาตุตลอดไป มันต้องพัฒนาแต่ความเป็นอยู่ให้มันรุ่งเรือง โลกเลยเป็นอย่างนี้ เห็นไหม โลกเจริญ พอโลกเจริญแต่คนเร่าร้อน

แต่ถ้าใจมันควบคุมใจของเราได้แค่อาศัยนะ ถ้าเราแค่อาศัยสถานะของสังคมก็คือสังคม สังคมเป็นภาวะแบบนั้น แต่ถ้าเราย้อนกลับมาที่ใจของเรา สุข-ทุกข์มันแก้ได้ที่นี่ วิ่งหากันไปเถอะ วิ่งหาความสุขกัน วิ่งไปในโลกวิ่งไปเถอะ ไม่มีวันจบหรอก เพราะอะไร? เพราะมันเป็นอนาคต คาดหมายอนาคตว่าจะสุข ปัจจุบันไม่เคยสุขเลย เราก็คาดหมายว่าจะหาความสุข คาดหมายหาความสุข เพราะปัจจุบันมันไม่สุขใช่ไหม? มันก็คาดหมายอนาคตไป แล้วมันจะประสบความสำเร็จไหม? มันจะเจอไหม? เพราะอนาคตมันสืบต่อตลอดไป มันไม่เป็นปัจจุบัน

แต่ถ้าเราทำความสงบของใจมันเป็นปัจจุบัน ปัจจุบันคือจิตมันสงบเข้ามาแล้วมีสติด้วย ถ้าปัจจุบันนะมันไม่มีสติ มันตกภวังค์ ภวังค์ไม่เป็นปัจจุบันหรอก มันเป็นการเคลิบเคลิ้ม มันเป็นการเพ้อพก จิตมันเพ้อพก มันละเมอเพ้อพกไปมันไม่เป็นความจริง ถ้าเป็นความจริงมันต้องเป็นปัจจุบันด้วย ต้องมีสติด้วย แล้วพอมีสติขึ้นมานี่ฝึกหัดปัญญา

ปัญญาจะเกิดเองไม่ได้ ถ้าปัญญาเกิดเองได้ อาฬารดาบสนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ เขาต้องบรรลุธรรม เขาต้องฆ่ากิเลสได้ ฆ่ากิเลสไม่ได้ ฆ่ากิเลสไม่ได้เพราะอะไร? เพราะปัญญาที่มันลึกซึ้ง ปัญญาที่เกิดจากภาวนามยปัญญา ไม่ใช่ปัญญาแบบวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ทางวิชาการ วิชาการคือสุตมยปัญญา ทางวิชาการมันเป็นจินตมยปัญญา คือการค้นคว้า เห็นไหม สิ่งนี้เป็นเรื่องโลกๆ เรื่องโลกๆ เพราะมันสืบต่อกันได้ มันตามกันทันได้

แต่ภาวนามยปัญญานี่ใครตามทันกิเลสของตัว ใครฆ่ากิเลสของตัว มันเป็นสมบัติส่วนตน แล้วของคนอื่นจะมาทำซ้ำซ้อนกันไม่ได้ ซ้ำซ้อนกันมันเป็นสัญญา มันถึงจะเป็นซ้ำซ้อน เป็นการศึกษาธรรม เป็นการจุดประเด็น การเริ่มต้นก้าวเดินมันก็ต้องเป็นของเราเอง มันก็ต้องเกิดจากใจแล้วทำลายกันที่ใจ เห็นไหม นี่ถึงว่าต้องขุด ต้องทำลาย

เขาว่าการประพฤติปฏิบัติเป็นอัตตกิลมถานุโยค ถ้าคิดทางธรรมนะ ถ้าคิดทางโลกเขาบอกว่าต้องสะดวกสบาย ต้องทำให้แนบเนียน ให้มีมรรยาทสังคม นี่มันต้องขออนุญาตกิเลสก่อนไง แล้วกิเลสมันก็ใช้ปัญญาอย่างนั้น แล้วเราอยู่กับมัน เห็นไหม แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติตามธรรม เหมือนกับเราทำงานจวนเสร็จ ใกล้เสร็จเราจะขวนขวาย เราจะรีบเร่งของเรา

กิเลสเวลามันจะตามทันกันนะ กิเลสมันเป็นอดีต-อนาคต แล้วปัญญาของเรามันไล่ตาม มันเป็นปัจจุบันนี่แหละแต่มันตามทัน แล้วมันตามทันแล้วมันทำลายกัน มันทำลายมันเป็นตทังคปหาน มันปล่อยวางชั่วคราวๆ ปล่อยวางไปเรื่อยๆ ถึงที่สุดนะมันจะไปทำลายมันเอง ทำลายสิ่งที่เป็นปัจจุบันนั้น ถ้าทำลายปัจจุบันนั้นคือทำลายกิเลส ถ้าไม่ได้ทำลายปัจจุบันนั้นกิเลสทำลายไม่ได้ ถ้าทำลายปัจจุบันนั้น ปัจจุบันนั้นหมดไป

ยถาภูตัง ญาณทัศนะ ญาณหยั่งรู้ นี่มันเป็นสันทิฏฐิโก มันเป็นปัจจัตตัง ธรรมะแท้ๆ มันอยู่ที่หัวใจ มันอยู่ที่ความรู้สึก สุข-ทุกข์มันหาได้ที่นี่ สิ่งที่เราหากัน สุข-ทุกข์หากัน เราทำบุญกุศลนี่นะมันเป็นอามิส มันเป็นอดีต-อนาคตนะ เราทำคุณงามความดีนี่สะสมข้อมูล สะสมแล้วนะตัดแต่งพันธุกรรมให้จิตนี้มันพัฒนาบ่อยๆ ครั้งขึ้น มันเกิดสถานะที่สูงขึ้นๆ เกิดในสถานะที่ดี แต่ถ้ามันสะสมในสิ่งที่เป็นผลลบ มันทำให้พันธุกรรมนี้ด้อยไปเรื่อยๆ ด้อยไปเรื่อยๆ

เวลาเกิด เห็นไหม เกิดทุกข์ เกิดอะไรนี่มันด้อย สถานะด้อยก็มี สถานะที่เด่นก็มี เราจะทำสถานะที่เด่น การเสียสละนี้เป็นสถานะมัน นี้เป็นเรื่องของความเป็นอยู่ของโลก เห็นไหม ฐานของใจ ฐานของการกระทำ ทาน ศีล ภาวนา ถ้ามีศีลขึ้นมา นี่ทำความปกติขึ้นมา โลกเขาว่าคนนี้โง่ คนที่ไม่เท่าทันคน แต่ถ้ามันเป็นธรรมนะมันเท่าทันกิเลส มันให้เราไม่เบียดเบียนเราก่อน แล้วจะไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น แต่ทางโลกต้องเท่าทันคน ต้องเบียดเบียน ต้องเอาชนะคะคานกัน

ถ้าเป็นทางธรรมเราต้องเอาชนะเรา แล้วเท่าทันเรา แล้วสิ่งที่สถานะเท่าทันเราแล้ว ถ้าเราทำหน้าที่การงานทางโลก ไอ้นั่นมันเป็นการบริหารจัดการของโลกนะ ไม่ใช่ของกิเลสหรอก เราเท่าทันเขา เราเมตตาเขาด้วย เท่าทันเขาด้วย สั่งสอนเขาด้วย อบรมเขาด้วย แต่ถ้าทางกิเลส นี่เท่าทันเขาด้วย หลอกลวงเขาด้วย แล้วก็ทำให้เขาเจ็บช้ำน้ำใจด้วย เห็นไหม

ถ้าเป็นธรรมนะ การเท่าทัน การกระทำในหน้าที่การงานไม่ใช่กิเลส การเท่าทันกิเลส การเท่าทันเรา นี้มันเป็นสติสัมปชัญญะนะ แล้วถ้าเข้าไปทำลาย เข้าไปชำระของเรา นี่ธรรมมันเกิดอย่างนี้ ถ้าธรรมเกิดอย่างนี้เราศึกษาของเรา มันเป็นความสุขของเรา มันเป็นเท่าทันเรา มันเป็นหัวใจของเรา ถ้าเราเท่าทันควบคุมเราได้นะ ความสุขที่นี่ เห็นไหม อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ถ้าตนเข้าใจเรื่องหมด จากใจดวงหนึ่งให้กับใจดวงหนึ่ง

ต้นไม้ที่เข้มแข็ง ต้นไม้ที่ใบดกหนา นกกามันจะอาศัยต้นไม้นั้น จิตใจที่เป็นธรรมนะมันไม่มีพิษมีภัยกับใคร อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเท่านั้นแหละทำลายกิเลสในตนให้ได้ แล้วนี่มันจะเป็นที่อาศัย ไม่ใช่ของโลกนะ ของวัฏฏะเลย เทวดา อินทร์ พรหม ยังไม่เข้าใจเรื่องอย่างนี้ เทวดา อินทร์ พรหม เขาเข้าใจเรื่องบุญกุศลแต่เขาไม่เข้าใจเรื่องหัวใจของเขา เขาไม่เข้าใจจุดเริ่มต้นของความรู้สึกจากความคิด ไม่มีใครรู้ได้ เพราะธรรมชาติของพลังงานมันส่งออก ธรรมชาติของความคิดมันส่งออกหมด มันเกิดจากพลังงานนั้นแล้วมันคิดออกไป

ธรรมะทวนกระแส ตั้งสมาธิเข้ามา แล้วมันจะย้อนกลับเข้าไปทำลายจุดตั้งต้นนั้น คือตัวใจนั้น ถ้าทำลายที่นี่ได้ เห็นไหม สุขจริงๆ สุขเกิดจากที่นี่ ถึงร่างกายจะทุกข์นะ ดูสิองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เจ็บไข้ได้ป่วยไปหาหมอชีวก นี่พระอรหันต์ ครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอรหันต์ ในเมื่อมีการทำอยู่ นี่เรื่องของโลกมันก็เหนื่อยหอบอยู่อย่างนี้ มันก็เจ็บไข้ได้ป่วยเรื่องของโลกไง แต่หัวใจมันไม่เดือดร้อนไป นี่มันสุขอย่างนี้ไง ไม่ใช่ว่าสุข พอบรรลุธรรมขึ้นมาแล้วร่างกายนี้เป็นพลาสติกเลย มันจะไม่เสื่อมสภาพเลย มันจะเป็นตุ๊กตาไปเลย

ไม่ใช่หรอก มันเสื่อมสภาพไปเป็นธรรมดา มันเสื่อมสภาพไปเป็นธรรมดา แต่หัวใจมันไม่เสื่อมตาม หัวใจไม่โดนลากไป หัวใจจะไม่เป็นทาสของมันอีกแล้ว เห็นไหม นี่สิ่งนี้สำคัญมาก สำคัญมากแล้วเราจะชี้นำอย่างไร? จะเอามากางให้เขาเห็นได้อย่างไร? แต่ถ้าใครทำขึ้นไปแล้วมันรู้ทันกัน ถ้าเราประพฤติปฏิบัติแล้วจิตของเรา การประพฤติของเราดีกว่าครูบาอาจารย์ เราไปถามท่าน ท่านตอบเราไม่ได้ ท่านบอกเราไม่ได้ มันจะเป็นความจริงไหม? แต่ถ้าเป็นความจริงของเรากับความจริงของท่าน เวลาพูดมามันเหมือนกันไง

อริยสัจอันเดียวกัน อริยสัจนี้มีหนึ่งเดียว แต่วิธีการมีหลายหลาก แต่ความจริงมีอันเดียวนะ ความรู้จริงนี่อันเดียว แล้วจะเหมือนกันหมด เป็นอริยสัจอันเดียวกัน เอวัง