เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑o พ.ค. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อากาศดีให้ฟังธรรมเนาะ ธรรมะไง ทางโลกเขาว่าหนีร้อนมาพึ่งเย็น หนีจากร้อนมาพึ่งเย็นแล้วมันจะได้ความร่มเย็นเป็นสุขนะ แต่เวลาเรามาอยู่ในวัดเราเย็นไหม? หนีร้อนพึ่งเย็น แต่ในทางคำโบราณ เห็นไหม น้ำร้อนปลาเป็น น้ำเย็นปลาตาย น้ำร้อนปลาเป็นเพราะเราขวนขวายไง เราไม่นิ่งนอนกับชีวิต น้ำเย็นปลาตายก็เหมือนกับชีวิตเรานี่ เรานอนใจเกินไป ถ้าเรานอนใจเกินไป เหมือนน้ำเย็นไง มีความสุข มีความร่มเย็น

เราจะมีความสุขความร่มเย็นกับเรา เราคิดว่ามันเป็นความร่มเย็น แต่เราไม่รู้หรอกว่าชีวิตนี้ โลกนี้มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา หนีร้อนไปพึ่งเย็น ถ้าหนีร้อนไปพึ่งเย็นจากข้างนอก เห็นไหม ที่ไหนมีความร่มเย็นเป็นสุข เราจะไปหาที่พึ่งที่อาศัย โลกพึ่งพาอาศัยกัน แล้วศาสนา นี่ศาสนาสอนให้เสียสละ พุทธศาสนา ทุกศาสนาสอนให้เสียสละนะ แต่เสียสละอย่างนี้มันเป็นการเสียสละทางวัตถุ เสียสละวัตถุคือทางโลกไง ทางโลกมันเจือจานกันได้

แต่ในศาสนาพุทธของเรามันให้เสียสละกิเลสไง กิเลสตัณหาความทะยานอยากเหมือนโรคร้ายนะ โรคร้ายอยู่ในตัวเรา ถ้าเรารักษาโรคร้ายให้หายเราจะไม่เจ็บไข้ได้ป่วย โรคร้ายมันฝังอยู่ที่ใจ ถ้าโรคร้ายมันฝังอยู่ที่ใจ การเสียสละอย่างนี้มันเสียสละมาเพื่อเตรียมพร้อมไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “เราเหมือนช่างหม้อ” จะปั้นหม้อสมัยโบราณเขาปั้นด้วยดินเหนียว ดินเหนียวนี่เขาต้องมาเหยียบมาย่ำ มาทำให้ดินนั้นมันควรแก่การปั้นหม้อ

นี่ก็เหมือนกัน ในการเสียสละของเรา ในการเสียสละ ในการเจือจานกันทางโลก เห็นไหม มันพร้อมไง เพราะถ้ามันมีความเสียสละ สถานที่ประพฤติปฏิบัตินั้นจะร่มเย็นเป็นสุข แต่ถ้ามีการแก่งแย่ง มีการชิงดีชิงเด่นกัน มันเป็นธรรมชาติของกิเลส ความปรารถนาดี ว่าเจตนาดี ความปรารถนาดี เจตนาดีมันเข้าไปทำลายคนอื่นไง เราว่าเจตนาดี แต่เจตนาของใครล่ะ?

เด็กๆ มันเจตนาดีนะ มันอยากมาออดอ้อนมาออเซาะเรา เวลาเรานั่งฟังธรรมเราต้องการความสงบ เราไม่ต้องการให้ใครมากวนเรา แต่เด็กมันก็อยากมาพันหน้าพันหลังเพราะมันรักเรา เด็กมันทำด้วยเจตนาร้ายหรือ? มันรักนะ มันผูกพันมันถึงมาออดมาอ้อน เห็นไหม แต่เราต้องการความสงบ ถ้าเจตนาดีของวุฒิภาวะของจิตที่มันต่ำๆ เขาก็มองกันทางโลกว่าการช่วยเหลือเจือจานกัน

ดูสิในทางคนจีนเขาจะบอกเลย เขาอยากทำบุญเขาอยากสร้างสถานที่การศึกษา เขาจะสร้างโรงพยาบาล สิ่งนั้นเขาว่าได้บุญนะ นี่มองกันโลกๆ ใช่ มันได้บุญระดับหนึ่ง การเสียสละในเรื่องของทานนะ แม้แต่เราทำความสะอาด ล้างถ้วยล้างจานสาดไปในน้ำครำ สัตว์มันได้กินมันก็เป็นบุญแล้วนะ สิ่งนี้เป็นบุญ เห็นไหม แต่มันเป็นบุญเรื่องของโลกๆ ไง นี่การศึกษาก็ศึกษาเพื่อสัมมาอาชีวะใช่ไหม? คนมีการศึกษา คนมีความคิดดี โลกนี้จะเจริญเพราะมีการศึกษา แต่ถ้าคนมันโกงนะ มันฉลาดมากมันก็โกงได้มาก

ในโรงพยาบาล เห็นไหม โรงพยาบาลต้องเสมอภาค นี่คนดี คนมีคุณงามความดีเข้าไปหมอก็รักษา โจรปล้นมา ยิงกันมาบาดเจ็บขนาดไหนเขาก็ต้องรักษา เขารักษาของเขานี่คือเรื่องโลกไง มันแบ่งชนชั้นไม่ได้ มันจะแบ่งแยกไม่ได้ เราต้องดึงมาเพื่อความสงบร่มเย็นของสังคม แต่ในการชำระกิเลสนะ นี่สิ่งที่เป็นสิ่งที่ผิดพลาด สิ่งที่เป็นอคติ สิ่งที่เป็นอกุศลในหัวใจเราต้องฆ่า ต้องทำลาย

“การฆ่าที่ประเสริฐที่สุดคือการฆ่ากิเลส”

การฆ่ามนุษย์ การทำลายกัน มันทำลายกันมันเป็นการบาดหมางนะ ทำลายกันมันมีบาป มีเวรมีกรรมกันทั้งนั้นแหละ แต่การฆ่ากิเลสคือการฆ่าความอยากของเรา การฆ่าความทุกข์ในหัวใจของเรา สิ่งนี้เป็นบุญกุศลนะ แต่บุญกุศล การฆ่าอย่างนี้เอาอะไรไปฆ่ามัน นี่มันเป็นนามธรรม เราตะครุบเงาไป เงานี่เราตะครุบไปเงาก็หนีไปตลอดเวลา ความคิดของเรามันเกิดดับๆ เราเอาอะไรไปทำลายมัน

นี่ไงเรื่องของโลกๆ ที่บอกเรามีการศึกษา เราสร้างสถานที่ศึกษา เราสร้างโรงพยาบาล มันเป็นบุญไหม? เรายอมรับว่ามันเป็นบุญ มันเป็นบุญกุศลนะ เราสร้างคุณงามความดีเป็นบุญ แต่มันเป็นบุญของวุฒิภาวะของมนุษย์ที่เรามองเห็นไง แต่มันไม่เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่อาสวักขยญาณ นี่การเกิดและการตาย สิ่งที่ประเสริฐที่สุด สิ่งที่ประเสริฐที่สุดนี่อาสวักขยญาณ สัตว์ ๒ เท้า เราตถาคตเป็นผู้ประเสริฐที่สุด เพราะอะไร? เพราะเราเอาตัวเรารอดพ้นจากการครอบงำของอวิชชา

รอดพ้นจากการครอบงำนะ ในโลกนี้เราเป็นไก่ตัวแรกที่เจาะฟองไข่ออกมา ในโลกนี้ไม่เห็นใครจะสูงกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย นี่สิ่งนี้มันเป็นธรรมะนะ ธรรมะมันเป็นมรรคญาณในหัวใจ สิ่งที่เป็นมรรคญาณในหัวใจมันละเอียดมันลึกซึ้งไปกว่านั้น แล้วผู้ที่ประพฤติปฏิบัติมันต้องการความสงบความสงัด เรามีการก่อสร้าง เรามีการทำเพื่อประโยชน์ของโลก เราต้องขวนขวาย เราต้องมีการกระทำ มันกลายเป็นเรื่องโลกๆ

คำว่าโลกๆ คือการคลุกคลี คือการช่วยเหลือเจือจาน คือมันเป็นสิ่งที่ส่งออกไป แต่เวลาออกประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม เราต้องหาที่สงัด สงัดเพราะอะไร? เพราะธรรมดาของรูป รส กลิ่น เสียง มันเป็นบ่วงของมาร มันเป็นสิ่งเร้า มันเป็นสิ่งเร้าของใจให้มันออกไปเกาะเกี่ยวอยู่แล้ว ตอนเราไปที่สงัด คนเราอยู่ในสิ่งเร้า อยู่ในที่เกาะเกี่ยว อยู่ในสังคมมันไม่เหงาไม่หงอยหรอก มันคุยกัน มันสนุกเพลิดเพลินนะ

ความคิดก็คิดเฉพาะสิ่งที่มีแรงกระทบ มีแต่บ่วง มีแต่สิ่งที่มารมันล่อ แต่ออกไปที่สงัดนะมันเหมือนทะเลบ้า นั่งอยู่คนเดียวมันคิดฟุ้งซ่าน มันคิดไปร้อยแปดเลย นี่บอกว่าไปที่วิเวกแล้วมันจะสงบสงัด ทำไมมันไม่สงัด เหมือนคนบ้า น้ำร้อนปลาเป็น น้ำเย็นปลาตาย น้ำเย็นๆ ที่ในป่า ในเขา โคนต้นไม้ลมพัดสบาย รื่นร่มมีความสงัดมาก แต่หัวใจทำไมมันดีดดิ้นขนาดนั้น หัวใจมันดีดดิ้นเพราะอะไร? เพราะว่าเราไปอยู่คนเดียว

นี่ไงที่เขาออกหาที่สงัด ทางโลกเขาบอกเลยพระนี่เห็นแก่ตัว พระนี่เอาเปรียบ ถ้าแน่จริงก็ต้องประพฤติปฏิบัติในวัดในวา ในเมืองสิ ทำไมต้องไปหาที่สงัดที่วิเวก นี่คนไม่เคยทำ คนไม่เคยรู้ คนไม่เคยเป็นหมอ ไม่รู้หรอกว่าสิ่งใดเป็นของแสลง สิ่งใดเป็นของที่ร่างกายกินเข้าไปมันจะมีประโยชน์ สิ่งใดที่ไม่มีประโยชน์ เห็นไหม นี่ครูบาอาจารย์ที่ผ่านการประพฤติปฏิบัติมาแล้ว สงัด ในที่สงัดจากภายนอก สงัดกาย สงัดใจ

ความสงบสงัด ร่างกายเราไม่สงัด เราอยู่ในที่สังคม เราคลุกคลี เราคลุกเคล้ากันไป นี่หัวใจมันส่งออกมาอยู่ที่ร่างกาย การกระทบอยู่ที่ร่างกาย เวลามันกลับไปที่ตัวมันเองมันก็อยู่ของมันไม่ได้ อยู่ของมันไม่ได้หรอก แต่ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะนะ เราเชื่อครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม เราเชื่อครูบาอาจารย์ของเรา ถ้าเรารักษาของเราได้นะ เรามีศรัทธา มีความเชื่อ การกำหนดพุทโธ เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิควบคุมมัน ควบคุมใจของเรานี่แหละ

“สุขสิ่งใดเท่ากับความสงบไม่มี”

เราอยู่กับโลกนะ ดูสิเราจะมีสถานะขนาดไหนเราต้องใช้พลังงาน เวลาไฟดับทีนี่นะ ค่าการสูญเสียของโลกมหาศาลเลย นี่ทุกอย่างจะเสียหายไปหมดเลย เพราะพลังงานตัวนี้มันไปทำให้ความเป็นอยู่ ลิฟต์ต่างๆ ในธุรกิจมันต้องอาศัยพลังงาน ไฟดับนี่ธุรกิจเสียหายหมดเลย

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เราไปหาที่สงบสงัดของเรา สงบสงัดของเราเพื่อใครล่ะ? สงบสงัดเพื่อเรานะ สิ่งที่เป็นความสงบ เราว่าสิ่งที่เป็นโลกๆ มันจะช่วยในความสุขของเรา มันจะเจือจานเรา เราอยู่ในสังคม เราต้องอยู่ในกระแสของสังคม เราจะเป็นเศรษฐีกฎุมพี จะทุกข์จนเข็ญใจ ในบ้านต้องมีไฟฟ้าใช้ ต้องเหมือนกันหมด ถ้ามันดับไปนี่ทุกข์เหมือนกันหมดเลย นี่มันเอาตัวรอดไม่ได้หรอก แต่ถ้าเราไปอยู่ในป่าในเขา ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะของเรา เราควบคุมใจของเราไว้ได้นะ นี่เราจะไม่พึ่งพาอาศัยใครเลย

“อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”

นี่เราจะอยู่ของเราด้วยความเป็นอิสรภาพ เราจะไม่ต้องพึ่งพาอาศัยสิ่งใดๆ เลย สิ่งที่พึ่งพาอาศัย โลกมันเป็นเรื่องของโลกนะ เรื่องของโลก นี่จะบอกว่าถ้าเราอยู่ในโลกแล้วมันเป็นสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกันไปหมด ไม่มีใครจะอยู่โดยเอกเทศได้หรอก เรื่องเอกเทศ ในสังคมนี่มันอยู่ไม่ได้ แต่ทำไมภิกษุเราผู้เห็นภัยในวัฏสงสารวิเวกออกไป เห็นไหม นี่ที่ว่าหาที่หลบร้อนไง หาที่พึ่งที่พิง หลบร้อน หลบเข้ามาในศาสนา

ดูสิในทางโลกนะ โจรปล้น คนที่เขาคิดร้าย เวลาเขาบวชสังคมยังให้อภัยเลย เขาให้อภัย เห็นไหม เพราะอะไร? เพราะนี่หาที่พึ่งๆ แล้วเราหาที่พึ่งกันในเรื่องโลกๆ ที่ว่าสิ่งนั้นเป็นบุญกุศล มันเป็นวุฒิภาวะของเรา เราไม่มีครูบาอาจารย์สั่งสอนนะ เราจะเห็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ที่เป็นวิทยาศาสตร์ ที่เป็นวัตถุ สิ่งนี้เป็นคุณงามความดี แต่คุณงามความดีในหัวใจ ทำคุณงามความดีอะไร นั่งเฉยๆ นั่งเฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยมันเอาความดีมาจากไหน? ก็เอาความดีจากสิ่งที่เรามีวิชาการอันนี้ไง

เรามีวิชาการว่าวิธีการที่เอาใจให้อยู่ในอำนาจของเราให้ได้ แล้วถ้าเอาใจเราอยู่ในอำนาจของเราให้ได้ วิธีการที่เราจะปลดเปลื้องมัน ที่จะทำลายกิเลสอันนี้ สิ่งที่อันนี้นะ ถ้ามันไม่มีวิธีการอันนี้ เห็นไหม นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไปสอนใคร? สิ่งที่สอนนะ นี่สิ่งที่เป็นปัญญา ภาวนามยปัญญามันเกิดมาอย่างนี้นะ มันจะสงบ มีความสุข

หนีร้อนมาพึ่งเย็นๆ เราต้องหาวิธีการที่จะหลบความร้อนในหัวใจด้วย กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันเป็นพลังงานอันหนึ่งนะ มันเผาลนใจตลอดเวลา คนจะอยู่ตึกสูงกี่ร้อยชั้นก็แล้วแต่ จะอยู่โคนไม้ก็แล้วแต่ ร้อนเหมือนกันหมด หัวใจมันเอาไม่อยู่ มันร้อนเหมือนกันหมดแหละ แต่ถ้าเราเอาใจของเราไว้ได้ เห็นไหม นี่อยู่บนตึกสูงมันก็มีความสุขได้ แต่อยู่บนตึกสูง ดูสิเราต้องก่อสร้าง เราต้องลงทุนลงแรง ถ้าอยู่โคนไม้เราไม่ต้องลงทุนสิ่งใดเลย มันเป็นธรรมชาติอย่างนี้

นี่ความวิเวกอย่างนี้มันมีความสุขได้อย่างไร? มีความสุขเพราะมันเป็นธรรมชาติ สิ่งใดก็แล้วแต่ในโลกนี้สิ่งก่อสร้างมันเป็นอนิจจังทั้งหมด มันต้องแปรสภาพของมัน ไม่มีอะไรคงที่หรอก เราต้องหาทุนมา หาทุกอย่างมาบำรุงรักษามัน สิ่งที่เป็นธรรมชาติมันก็แปรปรวนเป็นธรรมดาของมัน สิ่งที่มีชีวิตมันต้องสิ้นสุดของมัน มันต้องแปรปรวนเป็นธรรมดา มันต้องตายหมด

สิ่งที่เป็นต้นไม้ ทุกอย่างในโลกนี้ สิ่งมีชีวิตต้องดับหมด ต้องแปรปรวนหมด ไม่มีอะไรคงที่เลย ดูป่าเขาสิ สิ่งที่มันฟื้นฟูขึ้นมาใหม่มันก็เกิดของมันใหม่ จุลินทรีย์ต่างๆ มันปรับตัวของมันขึ้นมา มันเป็นสารอาหารให้กับพืชพันธุ์ธัญญาหารมันเติบโตขึ้นมา แล้วนี่มนุษย์ใช้ทรัพยากรอย่างนั้น จนเห็นว่าทรัพยากรอย่างนั้นมันเป็นประโยชน์นะ แล้วทรัพยากรทางหัวใจล่ะ? ทรัพยากรมนุษย์สำคัญที่สุด

ถ้าทรัพยากรมนุษย์สำคัญที่สุด สิ่งใดที่ให้มนุษย์อยู่ร่มเย็นเป็นสุข ก็ศีลธรรม จริยธรรมไง ศีลธรรม จริยธรรมเพื่อสังคมร่มเย็นเป็นสุขใช่ไหม? ถ้าร่มเย็นเป็นสุขขึ้นมา สมณะ ชี พราหมณ์ก็มีความร่มเย็นเป็นสุข สมณะ ชี พราหมณ์มีความร่มเย็นเป็นสุข สมณะ ชี พราหมณ์ก็ค้นคว้าหาสิ่งที่จะไม่เกิดไม่ตายในวัฏฏะ ถ้าไม่เกิดไม่ตายในวัฏฏะนี่แกนของโลก แกนของโลกคือแกนของใจ แกนของใจคือความรู้สึกของเรา โลกมีเพราะแกนมันหมุนไป

ดูสิแกนโลกมันบิดเบือนไป นี่พลังงานของโลกมันหมุนไป มันพลิกแพลงไปเลย แล้วหัวใจของเรา จิตของเราถ้ามันปรับปรุงของมัน มันรักษาของมันให้ได้ แกนของโลกคือแกนของใจ ถ้าเรารักษาใจของเราได้ โลกนี้จะมีความสุขขนาดไหน? สิ่งที่เร่าร้อนมันตะครุบเงาไง นี่จริงๆ แล้วนะสมบัติที่มีค่าที่สุดคือหัวใจของมนุษย์ หัวใจของมนุษย์มีค่าที่สุดเลย แล้วเราศึกษาทางวิชาการ ศึกษาเป็นวิชาชีพต่างๆ แล้วเราไปเห็นหัวโขน ไปเห็นสิ่งต่างๆ ข้างนอกมันเป็นคุณค่าไง เราเลยเหยียบย่ำความเป็นมนุษย์ของเราไปหมดเลย เหยียบย่ำหัวใจของเราไปหมดเลย

เราว่าสิ่งข้างนอกมีความสำคัญๆ ถ้ามีความสำคัญ มันเป็นศักยภาพของมนุษย์ มนุษย์ต้องงานชอบนะ คนเราวัดคุณค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน ผลของงานนะ คนดี คนชั่ว คนมีสติสัมปชัญญะ คนทำคุณงามความดี แล้วงานอันละเอียด เห็นไหม ดูสิเราเป็นคนชั้นล่าง ดูสิผู้ที่เขากำหนดนโยบาย เขากำหนดนโยบายมา เราหัวปั่น เราทำเกือบตายเลย คนกำหนดนโยบายเขากำหนดนิดเดียว

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าในหัวใจของเรา เราย้อนกลับเข้าไปถึงในใจของเรา มันเป็นผู้กำหนดไง อวิชชาเป็นผู้กำหนด แล้วเราก็ไปตามนโยบายของมัน คือเราปรารถนา เห็นไหม ในครอบครัว ในสังคม อู๋ย เราต้องรับผิดชอบไปหมดเลย มันกำหนดมาจากไหนล่ะ? มันกำหนดมาจากความไม่รู้ของเรา

ถ้าความไม่รู้ของเรานะ ความรู้ของเราเป็นวิชา เป็นวิชาการที่ดี เราก็รับผิดชอบ เราก็ดูแลของเรา เรารักษาของเรา รักษาของเราตามหน้าที่ แต่มันเป็นผลของกรรม มันเป็นกรรมของสัตว์ เราพยายามจะยกเขาขึ้นขนาดไหนเขาก็ไม่ยอมขึ้นไปกับเรา เรามีความรู้ เรามีความถูกความผิด เพราะเราหนีร้อนมาพึ่งเย็นอยู่แล้ว แล้วเราพยายามจะให้เขาร่มเย็นกับเรา เขาไม่ต้องการ น้ำร้อนปลาเป็น เห็นไหม การกระทำที่ให้มันร่มเย็น มันต้องมีการกระทำ น้ำร้อนปลามันจะดิ้นรนหาที่หลบภัยของมัน

นี่ก็เหมือนกัน เราเข้าไปวัดแล้วเข้าใจว่ามาวัดแล้วก็จะมานอน ส่วนใหญ่คนเขาคิดอย่างนั้นนะ บวชมาเพื่อพักผ่อน บวชมาเพื่อผ่อนคลาย คิดกันอย่างนั้น ไม่ได้คิดเลยว่าบวชมาเพื่อการกระทำ บวชมาเพื่อจะหนีออกจากโลก บวชมานึกว่าร่มเย็นไง โอ๋ย วัดร่มเย็นนะ มีต้นไม้ มีความร่มเย็น จะบวชไปนอนพักผ่อน นี่ไงความคิดของโลก แต่ถ้าความคิดของนักรบนะ บวชเข้ามานี่นั่งตลอดรุ่ง เดินจงกรมทั้งวันทั้งคืน มันเอาอะไรมาพักผ่อน น้ำร้อนเราต้องหาวิธีการ เราต้องกำหนดให้ได้ๆ

นี่เราคิดว่าน้ำเย็นไง ปลามันตาย บวชมาพักผ่อนก็บวชมานอนแช่ นอนแช่ให้เป็นน้ำเย็นมันจะอุ่นใจของมัน แล้วมันจะตายไปในวัฏฏะ นี่นั่งเฉยๆ การนั่งเฉยๆ งานอันละเอียดไง งานกำหนดนโยบาย คนที่กำหนดนโยบายเขาเครียดมากนะ เพราะอะไร? เพราะกำหนดนโยบายแล้ว จะควบคุมนโยบายนั้นให้ประสบความสำเร็จได้ไหม? เราต้องพึ่งพาทรัพยากร เราต้องพึ่งบุคคล เราต้องพึ่งการกระทำให้งานนั้นสำเร็จ

นี่ก็เหมือนกัน เราต้องพึ่งพามรรคญาณ เราต้องพึ่งพาสติ เราต้องพึ่งพาปัญญา เราต้องพึ่งพาศีล สมาธิ ปัญญาของเรา แล้วศีล สมาธิ ปัญญา มันอยู่ที่ไหน? มันจะซื้อมาจากไหน? มันจะสั่งมาจากไหน? สติก็ต้องฝึกขึ้นมา ศีลขึ้นมาก็คือความปกติของใจ เราจะควบคุมใจของเราขนาดไหน? แล้วปัญญามันจะเกิดขึ้นมาอย่างไร? นี่มันจะบริหารจัดการขึ้นมาอย่างไร?

นี่ไงน้ำร้อน ในการกระทำของเรา มรรคญาณมันเกิดขึ้นมา มันเป็นความเพียรชอบนะ ความเพียรชอบคือความมุมานะ คือการกระทำ มันถึงจะเป็นความเพียรชอบ ความเพียรชอบมันอยู่ในมรรค เราจะบอกว่าอยู่เฉยๆ ว่างๆ ว่างๆ มันเป็นความเพียรไม่ชอบ ความเพียรไม่ชอบ เห็นไหม น้ำเย็นมันจะทำให้เรานอนจมอยู่กับมันนะ มันไม่ชอบเพราะอะไร? เพราะมันไม่มีการกระทำ ไม่มีการรื้อค้น ของสกปรกถ้าเราไม่ทำให้สะอาด เราไม่ซักไม่ล้างมันจะสะอาดได้อย่างไร?

จิตมันสกปรกอยู่ จิตมันมีอวิชชาเป็นธรรมชาติ ถ้าไม่มีอวิชชาไม่มาเกิดหรอก คนเกิดมาเป็นมนุษย์ คนที่มีความรู้สึกมีอวิชชาทั้งนั้นแหละ ใครปฏิเสธไม่ปฏิเสธมันมีของมันโดยธรรมชาติของมัน แต่เราหาไม่เจอ เราไม่รู้จักมัน ฉะนั้น ถ้าเราไม่รู้จักมัน เราค้นคว้า เราศึกษาของเรามา เราทำของเรามา ความเพียรชอบ ความเพียรในสมถะ ความเพียรในสมาธิภาวนา ความเพียรในวิปัสสนาญาณเป็นการชำระกิเลส ความเพียรมีระดับชั้นขึ้นไป เป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป

นี่ครูบาอาจารย์เป็นอย่างนั้นนะ ครูบาอาจารย์ท่านทำงานของท่านมาแล้ว ของท่านสกปรกท่านซักมาแล้ว ท่านทำความสะอาดแล้วท่านถึงกล้ายืนยัน แต่ของเรานี่เราว่าสะอาดๆ สะอาดโดยความคิด สะอาดโดยความรู้สึก สะอาดโดยคิดว่าเป็นน้ำเย็นที่มันจะนอนจมกับใจ เห็นไหม หนีร้อนมาพึ่งเย็น ให้มันเย็นจริงๆ แล้วคิดค้นคว้า หาสติสัมปชัญญะค้นคว้าของเรา แล้วทำเพื่อประโยชน์ของเรา มันจะเป็นประโยชน์ของเรา เอวัง