เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๔ มิ.ย. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ฤดูกาลมันเปลี่ยนแปลงนะ ฤดูกาลหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปฤดูกาลหนึ่ง เห็นไหม ร่างกายนี่ถ้าไม่ได้ปรับตัวไม่สบายได้ เป็นไข้ได้ ชีวิตก็เหมือนกัน นี่วันคืนมันล่วงไปๆ ถ้าเราคุ้นชินกับมัน เราคุ้นชิน ครูบาอาจารย์ท่านจะให้ตื่นตัวตลอดเวลา สติ ถ้ามีสติ ถ้ามันคุ้นชินมันจะเผอเรอ ความเผอเรอของเรานี่อ่อนแอไปตลอดเวลา

ความอ่อนแอนะเหมือนเหล็กเกิดสนิม สนิมเกิดจากเหล็ก ความอ่อนแอ ความคุ้นชินของเรากิเลสมันเกาะกินได้ ถึงตื่นตัว พอตื่นตัวขึ้นมาก็เป็นความลำบากแล้ว ถ้ามันสบายอกสบายใจ ความนอนใจไง ความนอนใจคือกิเลสมันนอนเนื่องมาด้วย เห็นไหม

“มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา”

มารเอยเธอเกิดจากความดำริของเรา นี้ไม่ได้ดำริเลย มันนอนจมกับมันเลยนะ ถ้าเรานอนจมกับมันนี่เราเอาตัวรอดไม่ได้ เราต้องเข้มแข็ง นี่ฤดูกาลมันเปลี่ยนแปลง มันเฉอะแฉะ มันลำบากลำบน มันเป็นไปทุกอย่าง เห็นไหม เวลาเข้าพรรษานี่ ๓ เดือน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ให้ธุดงค์ เพราะธุดงค์ไปมันไม่ใช่กาลไม่ใช่เวลา เวลาหน้าแล้ง เวลาอากาศดีให้ธุดงค์ไป

นี่แล้วเวลาจำพรรษาที่ไหนก็แล้วแต่ ให้ฝึกฝนเพราะเราไปอยู่ประจำที่ พออยู่ประจำที่เราต้องตื่นตัว เราต้องปลุกเร้าตัวเองตลอดเวลา ถ้าเราปลุกเร้าตัวเองตลอดเวลา เห็นไหม นี่เราจะไม่นอนจมกับกิเลส ความนอนจมกับกิเลสมันเป็นจริตนิสัยนะ นิสัยของคน คนมันไม่เหมือนกัน จริตของคนก็ไม่เหมือนกัน แต่สติกับความเพียรชอบ ทุกอย่างที่เป็นความเข้มแข็ง มันใช้ได้กับทุกๆ ดวงใจนะ คนจะเข้มแข็งด้วยกิริยาภายนอก ด้วยความนุ่มนวล ความนุ่มนวลก็เข้มแข็งได้ เข้มแข็งคือมีสติของเราไง มีสติแล้วตื่นตัวตลอดเวลา

การตื่นตัวเวลานั่งภาวนา เห็นไหม เริ่มต้นนั่งภาวนาสติจะดีขึ้นมา แล้วพอกำหนดพุทโธ พุทโธหรือใช้ปัญญาไป สติมันจะอ่อนล้าไปเป็นธรรมดา เพราะการทำงานเราฝึกฝนของเราขึ้นมา เราฝึกฝนของเราขึ้น ดูคนทำงานสิ ทำงานนี่ชำนาญในวสี การเข้าสมาธิกับการออกสมาธินะ เข้าสมาธิก็แสนยาก เวลาเข้าสมาธิแล้วนี่ตื่นเต้น ตื่นเต้นไปกับความเป็นสมาธิ มันก็กระตุกให้ใจนี้ออกมา แต่ถ้าเราฝึกบ่อยครั้งเข้าๆ ด้วยความชำนาญ เห็นไหม

“ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ”

ถ้าเราอยู่กับเหตุแล้วมันจะเสื่อมไหม? มันไม่เสื่อมหรอก แต่นี่เหตุของเรามันผิดพลาด เหตุของเรามันไม่สมดุล เวลาเหตุมันไม่สมดุลเราก็ต้องปฏิบัติหาประสบการณ์ นี่ทดสอบ แบบทดสอบจิต ถ้าจิตมีแบบทดสอบนะ แบบทดสอบนั้น เห็นไหม ดูสิถ้าเรามีการทดสอบ ครั้งแรกเราทำได้เราจะดีใจมากเลย แต่พอทำไปๆ มันก็คุ้นเคยอีก ความคุ้นเคย เห็นไหม เราถึงต้องเปลี่ยนที่เปลี่ยนทางตลอดเวลา อย่านอนจมกับมันนะ

ครูบาอาจารย์ของเราจะตื่นตัว นี่เวลาเราตื่นตัว เห็นไหม ดูเด็กสิ ดูคนที่มีสติ เขามีสติของเขา การเคลื่อนไหวของเขาๆ จะมีสติสัมปชัญญะ แต่ถ้าคนเผลอมันจะมีความผิดพลาดได้ตลอดเวลา ความผิดพลาด ความผิดพลาดเกิดมาจากไหนล่ะ? ก็เกิดจากเรานอนใจไง ถ้าเรานอนใจเราจะมีความผิดพลาด ถ้าเราไม่นอนใจเราจะไม่มีความผิดพลาดสิ่งใดๆ เลย แล้วเวลาปฏิบัติขึ้นไป เห็นไหม มรรคหยาบ มรรคละเอียด

นี่เวลาต้นไม้มันโตขึ้นมา ยิ่งสูงขนาดไหนมันจะมีแรงลมตลอดไป จิตที่มันพัฒนาขึ้นมาแล้วนะ ว่าเราละเอียดแล้ว จิตละเอียดเข้าไป นี่กิเลสมันจะปล่อยให้เราทำตามสะดวกสบาย ไม่ใช่หรอก กิเลสละเอียดมันก็หลอกละเอียด กิเลสหยาบๆ มันก็หลอกหยาบๆ ทีนี้หลอกหยาบๆ เห็นไหม สติ นี่สติปัญญา ถ้ามีสติปัญญาเราจะหาทางออก เราจะเปลี่ยนแปลง เราจะใช้อุบาย เราจะพลิกแพลง

การกระทำของเราเราจะพลิกแพลงของเราตลอดเวลา เราจะไม่ให้สนิมมันเกาะ คือไม่ให้กิเลสมันเกาะ สติ มหาสติ การกระทำบ่อยครั้งเข้า สติ มหาสติ มันก็ฝึกฝนจนชำนาญขึ้นมา แล้วเราพิจารณาบ่อยครั้งเข้า หมั่นคราด หมั่นไถ หมั่นใช้ปัญญาขึ้นไป ถึงที่สุดนะโครงการนั้นจบลง เวลากิเลสมันขาดนะเป็นอกุปปธรรม มันสมุจเฉทปหาน มันขาดออกไป แล้วเราต่อเนื่องขึ้นไป มันจะเป็นมหาสติ เห็นไหม

จากสติ มหาสติ ถ้ามันต่อเนื่องขึ้นไป ไม่ให้มันสูงขึ้นไป ลมมันแรงขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ขณะที่เราจะใช้ปัญญา นี่เปรียบเทียบการใช้ปัญญา ปัญญามันละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ นะ นี่อาลัยอาวรณ์นะ การอาลัยอาวรณ์ เรามองตากันแล้วอาลัยอาวรณ์ เห็นไหม มันมีความคิดไหม? มันไม่มีความคิดแต่มันอาลัยอาวรณ์นะ นี่อาลัยอาวรณ์มันเป็นกิเลสอันละเอียด ความคิด ความหมักหมม ความขุ่นเคืองใจ ความโลภ ความโกรธ ความหลง นี่กิเลสมันละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ

เริ่มต้นก็ความติดก่อน ความไม่รู้จักตัวเองก่อน แต่พอเราสมุจเฉทปหานขาดเข้าไปเรื่อยๆ เห็นไหม มันเป็นเรื่องความคิด เรื่องตัณหาความทะยานอยาก แล้วพอมันขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงที่สุดตัด นี่ขันธ์อย่างหยาบ ขันธ์อย่างกลาง ขันธ์อย่างละเอียด มันเหลือแต่จิตล้วนๆ นี่มันอาลัยอาวรณ์ของมัน มันแค่อาลัยอาวรณ์นะ มันเศร้าหมอง มันผ่องใส มันอยู่กับใจเรา นี่แล้วถ้าอย่างนั้นมันต้องเป็นความสุขสิ?

ใช่ ถ้าเหมือนกับเราเริ่มต้นแสวงหา มันจะเป็นความสุข เวลามันปล่อยวางมันจะมีความสุขมาก มันจะปล่อยวางหมดเลย แต่พอเราเริ่มต้นการปฏิบัติให้ละเอียดเข้าไป กิเลสอย่างละเอียดมันก็ต่อต้าน มันต่อต้าน มันสร้างภาพ เห็นไหม แบบทดสอบจิตมันต้องละเอียดเข้าไป มันคนละแบบทดสอบ มันไม่ใช่อันเดียวกันไง

แบบทดสอบมันละเอียดเข้าไป ปัญญามันละเอียดเข้าไป นี่สิ่งที่ละเอียดเข้าไป สติมันก็ต้องละเอียดไป มันถึงเป็นมหาสติ มหาปัญญา ถ้ามันเป็นมหาสติ มหาปัญญานี่เราพัฒนานะ เราไม่พัฒนาเราจะอยู่กับที่ ถ้าเราอยู่กับที่นะมันมีวันเสื่อมถอย เราเข็นครกขึ้นภูเขา ถ้าเราไม่สามารถเข็นขึ้นไปถึงภูเขาเลยนะ เดี๋ยวมันจะกลิ้งมาทับเรา

การภาวนาของเรา ถ้าเราไม่เข้มแข็ง เราทำไม่ถึงจุด มันจะถอยมาทับเรา ความคิด ความเห็นของเรานี่มันจะถอยมาทับเรา ถอยมาทับเราเพราะสติเราอ่อนแอไง เพราะเราพลั้งเผลอ เราไม่จริงจังของเราไง มันจะถอยมากลิ้งมาทับเรานะ แต่ถ้าเราพยายามของเรา เห็นไหม ความเพียรชอบ เราใช้สติ ใช้มหาสติของเราขึ้นไปเรื่อยๆ พยายามถึงที่สุดของมัน พอเราเข็นขึ้นภูเขาแล้ว ไปถึงบนภูเขาแล้วเราผลักทิ้งไปเลยนะ มันจะไปตกอีกฟากหนึ่ง

นี่ก็เหมือนกัน ในการต่อสู้ของเรา ในการกระทำของเรา สิ่งต่างๆ ของเรา เป็นของเราทั้งหมดนะ แพ้ก็รู้ว่าแพ้ เหนื่อยก็รู้ว่าเหนื่อย ทุกข์ก็รู้ว่าทุกข์ มันปล่อยวางก็รู้ว่าปล่อยวาง แต่ถ้ามันปล่อยวางรู้ว่าปล่อยวาง เห็นไหม มันยังมีสัมมา มีมิจฉาอีก เพราะปล่อยวางโดยที่เราไม่เคยเห็น ไม่เคยเป็น

สิ่งที่ไม่เคยเห็น ไม่เคยเป็น เห็นไหม พระอานนท์ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเดินไปผ่านลำน้ำ บอกว่า

“อานนท์ เราหิวกระหายเหลือเกิน”

นี่พระอานนท์จะตักน้ำก็ขุ่นไม่อยากตัก ก็เลยมาอาราธนาให้ไปฉันข้างหน้า

“อานนท์ เรากระหายเหลือเกิน”

ก็ไปตักขึ้นมา พอตักขึ้นมาน้ำนั้นจะใสเลย เวลาตักมานี่เห็นความมหัศจรรย์ เห็นไหม เวลาไปถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่สิ่งที่ไม่เคยมี ไม่เคยเป็น

“อานนท์ สิ่งนี้เป็นเรื่องธรรมดา สิ่งที่น้ำขุ่นมันเป็นกรรมของเรา เพราะเราเคยเป็นพ่อค้าโคต่าง แต่สิ่งที่น้ำใสมันเป็นบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า”

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปอยู่กับเวรัญชพราหมณ์ เห็นไหม เขานิมนต์ไปแล้วเขาลืม เขาไม่ได้ใส่บาตร นี่อยู่อย่างนั้นแหละ กินข้าวกล้อง เอาข้าวมาบด แต่เวลาบารมีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า น้ำขุ่นๆ มันยังใสขึ้นมาเลย บารมีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามี แต่กรรมมันก็มี กรรมคือสิ่งที่มันเคยมีเคยเป็น สิ่งที่เคยมีเคยเป็นมันเป็นสภาวะอย่างนั้น แต่จิตมันไม่ไปเกี่ยวข้องกับมัน ไม่ไปสนใจกับมัน ไม่สนใจกับมันเพราะมันรู้เท่าไง

สิ่งที่เคยมีเคยเป็นมันเป็นอย่างนี้เอง มันเป็นของมันเอง แต่ถ้าฤทธิ์เดชมันก็มี บารมีมันก็มี แต่สภาวะกรรมมันก็มี สภาวะกรรม เห็นไหม สอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่ นี่ธาตุขันธ์มันเป็นเป้า ยังเจ็บไข้ได้ป่วย พระอรหันต์เจ็บไข้ได้ป่วยพระอรหันต์ต้องไปโรงพยาบาล นี่เพราะอะไร? เพราะร่างกายมันมี แต่หัวใจสิ่งที่มีอยู่มันก็มีโดยธรรมชาติของมัน รู้เท่ารู้ทันของมันแล้วมันสลดสังเวชด้วย มันปลงธรรมสังเวชได้นะ

เวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วยมันเป็นความทุกข์เป็นความร้อนของเรา แต่ถ้าพระอรหันต์ถ้ามีจิต มีปัญญาขึ้นมา เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย เห็นไหม นี่สิ่งนี้มันเป็นผลของวัฏฏะ มันเป็นสิ่งที่เกิดมาแล้วมันมีสภาวะแบบนี้ แล้วจะกลับมาเกิดอีกไหม? จะมาซ้ำมาซากอยู่อีกไหม? นี่เวลาสุขมันก็สุขแค่นี้ เวลาทุกข์ก็ทุกข์แค่นี้ แล้วพอสุขพอทุกข์ในชีวิตมันก็เป็นสภาวะแบบนี้ มันซ้ำๆ ซากๆ มันเป็นของเก่า แต่ชีวิตของเรามันเป็นของใหม่ แล้วเวลาเกิดขึ้นมา เป็นเด็กเป็นเล็กขึ้นมา มันมีความสุข ความเพลิดเพลินของเขา เวลาโตขึ้นมาสิ่งนี้จะเป็นที่พึ่งของเรา

มันปิดกั้น กิเลสมันปิดตาไว้ แล้วเราก็ทำแต่สิ่งที่เป็นสังคม สิ่งที่เป็นผลของวัฏฏะ แต่เราไม่เข้าถึงวิวัฏฏะ วิวัฏฏะคือใจดวงนี้ ถ้าวิวัฏฏะคือใจดวงนี้ อาศัยมัน เห็นไหม ถ้าใจของเราเป็นธรรมนะ ปัจจัยเครื่องอาศัยนี่เป็นอาหารรองๆ พระถ้าไม่ติดในอาหาร พระไม่ติดในเรื่องการอยู่การกินนะ ไปอยู่ไหนก็อยู่ได้ แต่ถ้ามันติดเรื่องการอยู่การกิน ติดเรื่องความสะดวกสบายขึ้นมามันไปไหนไม่ได้นะ สิ่งที่ไปไหนไม่ได้เพราะอะไร? ไปไหนไม่ได้ ถ้าไปไหนมันต้องอยู่กับที่มันก็คุ้นชิน นี่สนิมก็เกิดจากเหล็ก

นี่ก็เหมือนกัน กิเลสมันก็เกิดจากใจ แต่ถ้าได้เปลี่ยนที่ ได้วิเวก ได้ต่างๆ เห็นไหม มันเคาะมันตลอดเวลา สิ่งที่เคาะตลอดเวลาเพราะเราไม่ตื่นเต้นไปกับสิ่งปัจจัยเครื่องอาศัย สิ่งที่เป็นผลเกิดจากวัฏฏะไง สิ่งที่เกิดจากวัฏฏะเพราะมันซ้ำๆ ซากๆ มันเคยมีเคยเป็น การเกิดและการตายมันซ้ำซากมาตลอดเวลา แต่ในปัจจุบันนี้ถ้ามันตื่นตัวนะ นี่ลองดูชีวิตเรามันก็เป็นอย่างนี้ ปีหน้าก็จะเป็นอย่างนี้ ปีต่อไปก็เป็นอย่างนี้ สภาวะสังคมก็เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา

แต่ถ้าจิตของเรา ถ้าเราตื่นตัวขึ้นมา เราตื่นตัวของเรา เราหาทางออกของเรา เราจะดูทำไมซ้ำๆ ซากๆ ของที่มันเป็นของซ้ำๆ ซากๆ อยู่อย่างนั้น แต่ในเมื่อมันเป็นผลของวัฏฏะ เห็นไหม มันเป็นผลของวัฏฏะ เราเกิดมาในวัฏฏะมันจะมาอย่างนี้แหละ นี่เราถึงเป็นญาติกันโดยธรรม ญาติโดยธรรมะ ธรรมะคือการเกิดและการตาย การเกิดและการตายนั้นสภาวะที่เป็นธรรมชาติ การเกิดการตาย ทุกข์กับสุขมันต้องมีโดยธรรมชาติเป็นธรรมดา

ชาติปิ ทุกขา ชาติการเกิดเป็นความทุกข์อย่างยิ่ง เพราะเกิดมาแล้วต้องรับผิดชอบไง ทีนี้รับผิดชอบ รับผิดชอบทางโลกมันก็ได้สมบัติ เห็นไหม แต่ถ้าจิตใจเราสูงส่ง จิตใจเราพัฒนาเข้าไปละเอียด เห็นไหม รับผิดชอบจากภายใน เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา นี่งานของเรา งานของโลกมันสร้างบารมี เวลาพระโพธิสัตว์ขึ้นมา การเกิดและการตาย ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย

นี่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ทานบารมี เวลาเกิดเป็นพระเวสสันดร สัจจะบารมี ขันติบารมี ในบารมี ๑๐ ทัศ เพราะมันสร้างบารมีมาครบอย่างนั้น เวลาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมาถึงละจริตนิสัยได้ เวลาสาวก สาวกะ มันมีบกพร่องไปหมดแหละ โทสจริต โมหจริต จริตนิสัยของพระอรหันต์ ลูกศิษย์ สาวก สาวกะ ถึงไม่เหมือนกัน

ไม่เหมือนกันโดยจริตนิสัย แต่มันเหมือนกันโดยความสะอาดบริสุทธิ์ เหมือนกันโดยอริยสัจ เหมือนกันโดยการภาวนา เหมือนกันโดยมรรคญาณ จะเข้าไปทำลายกิเลสให้สะอาดได้ ทำลายกิเลสออกไปจากใจ แต่จริตนิสัยไม่เหมือนกัน เพราะไม่ได้สร้าง ไม่ได้เป็นพระโพธิสัตว์ ไม่ได้สร้างบารมีขนาดนั้น มันถึงตกตะกอนมาในใจ มันถึงตกตะกอนมาเป็นใจ มีจริตนิสัย มีความเห็นต่างๆ กันไป

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้าง ถ้าไม่สร้างอย่างนั้นจะไม่เข้าใจ คนเราสร้างมา เห็นไหม ดูสิดูความเตรียมพร้อมของพระโพธิสัตว์จะมาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ขณะตรัสรู้ขึ้นมาแล้ว เห็นไหม ยังท้อแท้ว่าจะสอนได้อย่างไร จะสอนได้อย่างไร เตรียมความพร้อมไว้ขนาดนั้นนะ

แต่เราสาวก สาวกะ ได้ยินได้ฟัง มีครูมีอาจารย์ มีคนชี้นำ นี่สิ่งที่มีคนชี้นำมันถึงไม่มีปัญญา ไม่มีความรู้สิ่งต่างๆ เท่ากับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรื่องบารมี แต่รู้เรื่องอริยสัจ รู้เรื่องสัจจะความจริง ถ้าไม่รู้อริยสัจมันจะข้ามพ้นจากกิเลสไปไม่ได้ สิ่งที่ข้ามพ้นจากกิเลสไป เพราะมันเป็นความเห็นจากภายใน ความเห็นจากภายใน ความเห็นจากมรรคญาณ

ความเห็น เห็นไหม นี่สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนาล้วนๆ มันเป็นปัญญาเกิดจากใจ ไม่ใช่ปัญญาเกิดจากวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ปัญญาที่เกิดจากสมอง ทั้งๆ ที่โลกนี้ ปัญญานี่เกิดจากสมองนะ เพราะสมองเป็นข้อมูล แต่มันต้องมีพลังงาน ถ้าข้อมูลนั้นไม่มีพลังงานใช้ ดูสิเวลาคนเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต ดูสิเขาคิดไม่ได้ เขาทำอะไรของเขาไม่ได้ นี่เพราะอะไร? เพราะสมองเขามี เพราะอะไร?

แต่ถ้าพูดถึงนะเวลาภาวนาเข้าไป เวลาเรากำหนดใจเข้าไปมันเกิดมาจากใจ มันเกิดมาจากใจอย่างไร? มันต้องรู้เท่ารู้เห็นถึงธรรมจักร จักรที่มันเคลื่อนออกไปอย่างไร? กงจักร เห็นไหม ความคิด นี่พลังงานคือตัวใจ แต่ขณะที่เราเกิดขึ้นมา เกิดมาเป็นมนุษย์มันมีร่างกาย ร่างกายก็มีสมอง มีความคิด แล้วเกิดถ้าเป็นเทวดา มันไม่มีร่างกายแล้วเขาคิดอย่างไร? เขาสื่อความหมายกันอย่างไร? ภาษาใจภาษาอย่างไร?

ภาษาใจ เวลาพรหม เห็นไหม เทวดา อินทร์ พรหม มาฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาฟังเทศน์ครูบาอาจารย์ของเรา เขาสื่อความหมายกันอย่างไร? นี่สิ่งนี้เป็นผลของวัฏฏะที่มันต่างๆ กันไป แต่ตัวภาวนามยปัญญามันเข้ามาถึงใจเลย ถ้าเข้ามาถึงใจมันเกิดขึ้นมา แล้วมันเห็นธรรมจักรที่มันเคลื่อนไป มันหมุนไป มันชำระกิเลสอย่างไร? เห็นไหม

ถ้าเราไม่คุ้นชิน เราไม่นอนจมกับกิเลสนะ มันจะพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้าเราไปนอนจมกับกิเลส เหมือนเราเข็นครกขึ้นภูเขาแล้วเราพักไว้ แล้วภูเขามันจะกลิ้งทับเรา กลิ้งทับเราแน่นอน เพราะอะไร? เพราะสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นอนิจจัง สิ่งทุกอย่างเป็นอนิจจัง มันเป็นอนิจจังหมด มันไม่มีอะไรคงที่หรอก เข็นครกขึ้นภูเขา เรายันด้วยกำลังของเรา เดี๋ยวเราก็อ่อนแรงขึ้นมา มันก็ต้องกลิ้งมาทับเราอยู่แล้ว

นี่โลกนี้เป็นอนิจจัง สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา มันเป็นอนิจจังนะ ใจเราจะเป็นอย่างนี้ตลอดไปไหม? ความคิดเราจะเปลี่ยนแปลงไหม? เวลาเป็นมนุษย์ นี่เป็นมนุษย์มีความรู้สึกอย่างนี้ เวลาทำบุญกุศลไปเกิดเป็นเทวดาจะมีความรู้สึกอย่างนี้อีกไหม? จะมีความคิดอย่างนี้อีกไหม? จะเพลิดเพลินใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยไปไหม?

ขณะที่ปัจจุบันเรามีความตื่นตัวเพราะอะไร? เพราะเราเห็น เรามีหู มีตา เราเห็น เราเปรียบเทียบได้ ถ้าเราเปรียบเทียบได้มันต้องย้อนกลับมาถึงชีวิตของเรา ถ้าเราเปรียบเทียบได้ คิดได้แค่สมองแล้วก็เป็นอย่างนั้น คิดแบบวิทยาศาสตร์เรารู้แล้วเราเข้าใจแล้ว แต่มันไม่ย่อยสลายเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง ถ้ามันย่อยสลายเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง มันจะเข้าไปเปรียบเทียบถึงชีวิตของเรา แล้วมันจะสะเทือนใจนะ เพราะ เพราะเราต้องตายหมด แล้วเราต้องเกิดหมด

แต่ถ้าปัจจุบันนี้คิดได้ ทำได้ มันมีโอกาสมาก โอกาสแค่นี้ โอกาสของโลก เห็นไหม โอกาสแค่คนตื่นตัว คนจะทำงาน คนจะเข้ามาภาวนา โอกาสนี้มันก็สุดยอดมาก เพราะอะไร? เพราะโลกเขาไม่เข้าใจ เขาไม่ทำกันนะ เขาไม่ชอบทำ เขาว่างานอย่างนี้มันงานเสียเวลา ถ้างานการดำรงชีวิต งานหาเงินหาทองเขาว่าเป็นงานของเขา นั่นเรื่องโลกเขาคิด เห็นไหม เพราะอะไร? เพราะปัญญาโลกมันเป็นอย่างนั้น

สุตมยปัญญา ปัญญาจากสมอง ร่างกายต้องใช้ปัจจัยเครื่องอาศัย เขาคิดกันอย่างนั้นไง แต่ถ้าธรรมะ เห็นไหม ธรรมะมันเป็นอาหารของใจ นี่มันย่อยสลายเข้ามาอีกชั้นหนึ่ง ถึงชีวิต ถึงความรู้สึก อาหารของใจ อาหารของใจมันได้ดื่มกินธรรมะ แล้วถ้าเกิดมันพิจารณาขึ้นไป ตัวมันเองเป็นธรรมซะเอง ไม่ได้ดื่มกิน ตัวใจเป็นธรรม ธรรมล้วนๆ เอโก ธัมโม ธรรมอันเอก มันเป็นธรรมซะเอง แล้วมันจะมีความสุขขนาดไหน? มันจะรู้เห็นถึงคุณค่าของชีวิตขนาดไหน?

มันจะเห็นคุณค่าชีวิต มันจะบอกว่านี่ปัญญาอันละเอียด สติอันละเอียด ความเข้าใจอันละเอียด แต่ถ้าเป็นความเข้าใจของโลก เราจะไปพูดกับเขาได้อย่างไร? มันพิสูจน์กับเขาไม่ได้ อย่างวิทยาศาสตร์บอกสวรรค์อยู่ที่ไหนบอกมาสิ? นี่ความสุข ความทุกข์ นิพพาน มันอยู่ที่ไหน? มันก็อยู่ที่ใจของคนที่รู้ที่เห็นนั่นไง นี่ถ้ามันรู้มันเห็นมันถึงเห็นคุณค่า เพราะเราไม่เห็นไง เหมือนไก่ได้พลอย ไม่รู้จักคุณค่าหรอก แต่ถ้าเราเป็นมนุษย์ เห็นไหม พลอยหรือเพชร นิล จินดา มันมีค่า

นี่ก็เหมือนกัน ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีค่านะ แต่เรามันไก่ได้พลอย ต้องการแค่เม็ดข้าว ไม่ต้องการเพชรพลอยนั้น นี่ก็เหมือนกัน จิตใจเรามีคุณค่ามาก ถ้าจิตใจเรามีสติ มีสัมปชัญญะ เห็นไหม มันจะเห็นคุณค่าของใจ มันจะรู้จักคุณค่าของเพชร ของพลอย มันจะรู้คุณค่าของหัวใจ แล้วมันจะตั้งใจของมัน มีคุณค่าจากภายใน ภายนอกเป็นภายนอก ภายในเป็นภายใน เห็นไหม โลกกับธรรมอยู่ด้วยกัน แต่ไม่เหมือนกัน

ชีวิตนี่ต้องใช้แบบโลกๆ มันก็อยู่กับโลก นี่ต้องอยู่กับมันแน่นอน เกิดมาเป็นชีวิตแล้วต้องมีโลก เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม แต่ธรรมในหัวใจของเรา ถ้าเรารู้ ตู้พระไตรปิฎกเคลื่อนที่นะ ถ้าหัวใจเป็นธรรม พระไตรปิฎกตั้งอยู่ที่ตู้เราต้องเปิดอ่านนะ แต่ถ้าใจเป็นธรรมนะ มันกระดิก มันเป็นธรรมตลอด นี่มันเป็นธรรมโดยตัวมันเอง แล้วมันรู้จริงเห็นจริงไปหมด

ตู้พระไตรปิฎกเคลื่อนที่ ถ้าเรามีธรรมะในหัวใจ เห็นไหม ถ้าเรามีสมบัติทางโลก มันก็เป็นสมบัติแค่อาศัยกัน ถ้าเรามีสมบัติทางหัวใจ นี่ถ้าเข้มแข็งแล้วมีสติสัมปชัญญะมันจะได้ผลอย่างนี้ เกิดมามี ๒ ตา ตาหนึ่งเป็นตาของโลก ตาหนึ่งเป็นตาของธรรม เห็นไหม ตาโลกกับตาธรรม ถ้ามันเปิด ๒ ตาสุดยอดมาก

นี้เราเปิดขึ้นมาตาหนึ่งแล้วคือตาของโลก เพราะเราสนใจในศาสนา แล้วเราพยายามประพฤติปฏิบัติให้ตาอีกข้างหนึ่งเปิดขึ้นมา มันจะเป็นสมบัติของเรา มี ๒ ตาเหมือนกัน เอวัง