เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๘ มิ.ย. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระ เวลาวันพระ เห็นไหม วันพระนะ วันหาบุญกุศล วันทำงานเราต้องติดเครื่อง ต้องคิด ต้องบริหารจัดการ เครียดมากนะ ทุกข์มาก ความทุกข์นี่เราคิดกันเองว่าถ้ามันประสบความสำเร็จแล้วเราจะมีความสุข เราคิดของเรานะ แล้วเราพยายามแสวงหาเพื่อมันๆ ตัณหาความทะยานอยากถมไม่เต็ม ทะเลนี้ถมไม่เต็มหรอก แต่ถ้าเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เห็นไหม คุณค่าของมันนะ ชีวิตเรามีคุณค่ากว่าเงินทองนะ แต่เวลามันทุกข์มันยากมันก็ล้า มันก็ล้ามันก็ทุกข์ไง

“ชาติปิ ทุกขา ชาติความเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง”

เพราะมีการเกิด แล้วการเกิดมันลบไม่ได้ มันต้องเกิดต้องตายไปอย่างนี้ ทีนี้ต้องเกิดต้องตายไปอย่างนี้นะ นี่เราทำทาน ศีล ภาวนา ทำทานเพื่ออะไร? เพื่อให้ได้ฟังธรรมไง ให้ฟังธรรมให้ได้สะกิดใจ คนเราถ้าสะกิดใจนะ ดูสิ ดูปู่เย็น เห็นไหม ร้อยกว่าปี ชีวิตของเขา เขาอยู่ของเขาพอเพียงของเขา ขนาดคนจะไปดูแลเขาเขาก็ไม่ไป เพราะศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ มนุษย์มีศักดิ์ศรีมากนะ นี่เราหาอยู่หากินของเรา ถ้าเราพอใจ ถ้าใจมันพอนะมันอยู่ได้ ทีนี้ใจมันไปดูเขาไง คนสูงกว่าเราก็มีนะ คนต่ำกว่าเราก็มีนะ คนต่ำกว่า คนทุกข์คนยากกว่าเรา

นี่อันนี้ ดูสิในสมัยพุทธกาลพระอรหันต์ไม่เคยกินข้าวอิ่มเลย คำนี้มันน่าคิดนะ คำว่าคนเกิดมานี่โรคหิวเป็นโรคประจำตัว แล้วไม่เคยกินข้าวอิ่มเลย เพราะอะไร? เพราะกรรม พอกินข้าว นี่ข้าวเต็มบาตรเลยนะ ฉันๆๆ ไปมันจะหายไปเอง ทำให้ตัวเองไม่เคยกินข้าวอิ่มเลย จนพระสารีบุตรได้ข่าวก็ไปหาแล้วจับบาตรไว้ จับบาตรของพระองค์นั้นไว้แล้วบอกให้ฉัน เพราะถ้าพระสารีบุตรไม่เอาบุญของท่าน ไม่เอาบารมีของท่านจับไว้นะ โดยบารมีของพระที่ฉันนั้นมันจะหายไปโดยกรรม

นี่โดยกรรมมันมหัศจรรย์ ทั้งๆ ที่ข้าวเต็มบาตร ความจริงคนนี่นะกินไม่ถึงครึ่งบาตร ไม่ถึงหนึ่งในสี่ของบาตรมันก็อิ่มแล้ว แต่นี่เอาไว้เต็มบาตรเลย เวลากินไปๆ ทำไมมันหายไป มันไม่อิ่ม เพราะอิ่มมันเป็นเรื่องของกรรม เห็นไหม จนพระสารีบุตรไปหา ไม่มีใครดูแลหรือ? คนดูแลก็มี คนที่ใส่บาตรก็มี คนเขาเจตนาดีด้วย

อ้าว วันนี้อยู่ข้างหลังใช่ไหม? ใส่ข้างหน้าหมดก่อน อ้าว อย่างนั้นพรุ่งนี้เราจะใส่ข้างหลัง พระที่ไปด้วยเมื่อวานเขาอยู่ข้างหลังไม่ได้ อ้าว สลับไปอยู่ข้างหน้า นี่เขาพยายามจะช่วยนะ โยมที่เขาพยายามจะช่วยจะใส่บาตรให้ พระก็พยายามจะช่วย แต่บุญไม่ถึง ช่วยไม่ได้ เห็นไหม ช่วยไม่ได้มันก็ขาดแคลนอยู่อย่างนั้นแหละ แต่เวลาพระสารีบุตรมา นี่จับขอบบาตรไว้ “อ้าว ฉันนะ ฉันให้อิ่ม” อิ่มมื้อนั้นนะ อิ่มเสร็จแล้วก็ตายเลย

คนเราเกิดมาไม่เคยกินข้าวอิ่มเลยมันทุกข์ขนาดไหน? คือมันจะหิวอยู่ตลอดเวลา โทษนะ เหมือนไฟนรก ไฟนรกเวลามันเผาไหม้ มันเผาจนละลายไปเลยนะ เสร็จแล้วมันไม่หมดกรรมนะ มันก็ประกอบขึ้นมาเป็นร่างเราอย่างเก่า นี่ของทุกสิ่ง เห็นไหม คนเวลาเราทำร้ายกัน ฆ่ากัน ถ้ามันทนพิษบาดแผลไม่ไหวมันต้องตายไปใช่ไหม? ไอ้นี่มันย่อยสลาย มันละลายหมดเลย แล้วเดี๋ยวก็ขึ้นมาเป็นเราอีก เป็นเราอีก เพราะอะไร? เพราะมันเป็นนามธรรม

นี่ไงมันตายไม่ได้ มันไม่ถึงที่สุดของมันนะ ถ้าถึงที่สุดหมดกรรมมันก็เปลี่ยนสถานะ เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติ มันก็เปลี่ยนไป นี่ไฟนรก นรกอเวจีมันเป็นอย่างนั้น แล้วนี่มันไม่ใช่นรก นี่เป็นมนุษย์ นี่สิ่งที่ว่ามันไม่เคยอิ่มเลย ความที่มันไม่เคยอิ่มเพราะมันบกพร่องอยู่ตลอดเวลา นี่มันเกิดจากอะไร? เกิดจากทาน เกิดจากการตั้งใจฟัง ถ้าตั้งใจฟังนะเรารักษาของเรา ถ้าเราเข้มแข็งนะรักษาศีล

ศีลเป็นความปกติของใจนะ แค่รักษาศีลนี่นะ ถ้าคนอ่อนแอรักษาศีลไม่ได้หรอก มันอ่อนแอ พออ่อนแอมันทนไม่ไหว มันทนไม่ได้ โรคหิว โรคความเป็นไป เห็นไหม นี่สิ่งใดมันจะขัดแย้งไปหมดเลย เพราะอะไร? เพราะเรามีกรอบกติกา พอมีกรอบกติกา จิตมันเคยอิสระของมัน มันเคยคิดของมัน เคยตามใจของมัน เคยดิ้นรนไปประสามัน

ดิ้นรนนะ ความคิดนี่ดิ้นรน เวลามันคิดของมัน มันดิ้นรนของมันไป แล้วก็ดิ้นรนของมันไป เวลามันมีกติกาขึ้นมานี่มันอึดอัด พอมันอึดอัด นู่นก็ขัดแย้ง นี่ก็ขัดแย้ง ขัดแย้งไปหมด แต่ถ้าเป็นคนที่ใฝ่ดี วุฒิภาวะของใจมันเป็นเรื่องคิดดี ถ้าคิดดีแล้วมันผิดศีลตรงไหน?

ความดิ้นรนของเรา ดิ้นรนในทางบวกมันไม่ผิดศีลเลย แต่ถ้ามันดิ้นรนในทางลบมันผิดศีล เห็นไหม มโนกรรม วจีกรรม กายกรรม ผิดศีลด้วยกายกรรม แต่มโนกรรมนี่อาบัติของจิตไม่มี อาบัติของจิตมันฟุ้ง มันทุกข์ มันรู้ตัวของเรา เห็นไหม นี่เราคิดของเราเอง เรารู้ของเราเอง สิ่งที่เรารู้ แต่ถ้าจิตมันดีขึ้นมา วุฒิภาวะมันคิดแต่สิ่งที่ดีๆ

นี่ความคิดของมนุษย์นะ จะมั่งมีศรีสุข จะทุกข์จนเข็ญใจนะ แต่ปัญญาที่คิดมันคิดที่ดี มันคิดสิ่งที่เป็นประโยชน์ มันเป็นสมบัติจากภายใน สมบัติจากภายในมันเกิดจากการกระทำมา เวลาพระอรหันต์ เห็นไหม สิ่งที่มันเป็นอภิญญา ๖ นี่ไม่เท่ากัน ต่างๆ กันไป เชาว์ปัญญาต่างๆ กันไป สิ่งนี้มันเกิดมาจากไหนล่ะ? มันเกิดมาจากพื้นฐานอันหนึ่ง แล้วเกิดจากการฝึกฝนอันหนึ่ง ปัญญามันจะไม่ฝึกฝนไม่ได้หรอก

ดูสิดูทางวิชาการ เห็นไหม ถ้าไม่ได้คิดไม่ได้จัดการมันจะฉลาดไปไม่ได้หรอก แต่ถ้าคนฉลาด บางคนทำไมปฏิภาณไหวพริบไวล่ะ? ทำไมบางคนเนิ่นช้าล่ะ? นี่สิ่งที่มันเป็นไปอย่างนี้มันเป็นไปจากข้างในก็มี แต่การฝึกฝนนี่ฝึกฝนจากข้างนอก สิ่งที่ข้างนอก เห็นไหม ถ้าเราเข้มแข็งขึ้นมา ศีลมันเรื่องปกติมาก เป็นเรื่องธรรมดาเลย ถ้าเราไม่คิดผิดมันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว แล้วมันเป็นเรื่องของเรานะ สมบัติจากของเรา

ดูสิเวลาเรามีเงินมาก เราจะเอาไปโชว์เขาไหม? เราจะไปอวดเขาไหม? เราก็เก็บหอมรอมริบของเราใช่ไหม? นี่ความรู้สึก ความคิด มันก็เป็นสมบัติของเรา สิ่งที่เป็นสมบัติของเรา เราต้องไปอวดใคร? ต้องไปโชว์ใคร? ต้องไปให้ใครรับรู้ มันเป็นเรื่องของเรา ถ้าเป็นเรื่องของเรามันภูมิใจของเรา เห็นไหม นี่มันภูมิใจของเรา

ดูสิคนเราถ้ามันมีปัญญา นี่มันสบประมาทกันไม่ได้นะ ปัญญาความคิดของคนแต่ละคนมันมีสูงมีต่ำนะ นี่ความเป็นไป เห็นไหม แล้วนี่ถ้ามันโดยธาตุ ถ้าเข้ากันโดยธาตุ ธาตุที่ดีมันจะเข้าสิ่งที่ดี เห็นสิ่งที่ดีมันจะถูกใจ มันจะพอใจมาก ธาตุที่มันเกเร เห็นสิ่งใดๆ นี่ตัวอย่างที่ดีเรียนกันยาก ตัวอย่างที่เลวไม่ต้องบอกมันเป็นเอง ใจมันเป็นอยู่แล้ว ตัวอย่างที่เลว ดูสิอย่างเช่นเด็กมันชอบความสะดวกของมัน นี่ตัวอย่างที่เลว ตัวอย่างที่ดี เห็นไหม นี่ทวนกระแส

สิ่งที่ทวนกระแส ปลาเป็นมันต้องว่ายทวนกระแสน้ำนะ สิ่งนั้นเหมือนกับเกิดมาเป็นมนุษย์ มนุษย์สมบัติมันมีคุณค่ามาก แล้วก็ต่ำต้อยไปเรื่อยๆ คือมันปล่อยลอยไปตามน้ำคือปลาตายไง เป็นมนุษย์นี่สุดยอด แล้วก็ลอยไปตามกระแส เป็นปลาตายกระแสน้ำพัดไป นี่โลกพัดไป ไปกับเขา แต่ถ้าปลาเป็นมันว่ายทวนน้ำ แต่สังคมก็ว่าคนนั้นคนโง่ ลอยไปตามน้ำมันสะดวกสบาย แต่ถ้าทวนกระแสขึ้นไปมันลำบากไปหมดแหละ ต้องออกแรงนะ ต้องทวนกระแสขึ้นไป

ความดีเป็นอย่างนั้นนะ ทำดีต้องเป็นสภาวะแบบนั้น แล้วจิตใจใครจะทำ? เราทำของเรา เรารู้ของเรา เราตั้งใจของเรา เห็นไหม นี่อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ถ้ามันพึ่งตนได้ มันเข้าใจได้ เราพึ่งเราได้แล้ว นี่ร่มโพธิ์ร่มไทร ครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติมาแล้วนี่ร่มโพธิ์ร่มไทรนะ ในบรรดาสัตว์ ๒ เท้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด ถ้าคบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะพาไปนิพพานอย่างเดียว เว้นไว้แต่พวกเราวุฒิภาวะไม่ถึง

ถ้าพาไปนิพพานอย่างเดียว เห็นไหม จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ก็ขนไปหมดเลย คนทำไมขนไปไม่ได้ล่ะ? ขนไปไม่ได้นะ แม้แต่นางวิสาขาเป็นพระโสดาบัน แล้วเวลานางวิสาขาตายไปก็ตายไปพร้อมกับพระโสดาบัน แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำไมไม่ทำให้นางวิสาขาเป็นพระอรหันต์ล่ะ? ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทายพระอานนท์ไว้ เห็นไหม

“อานนท์ เธออย่าเสียใจไปเลย เรานิพพานไปแล้ว อีก ๓ เดือนข้างหน้าเขาจะทำสังคายนา เธอจะเป็นพระอรหันต์วันนั้น”

นี่เป็นพระอรหันต์เพราะอะไร? เพราะพระอานนท์สร้างบุญญาธิการมา คนที่สร้างมา มันเป็นสมบัติของคนที่สร้างมา ถ้าเราได้ธาตุมา สิ่งที่เป็นเพชร ถ้าเราเจียระไนมันก็ออกมาเป็นเพชร สิ่งที่กรวด ทำอย่างไรมันก็เป็นกรวด สิ่งที่เป็นกรวด เห็นไหม จิตของเราถ้าเป็นกรวด ถ้ามันสะสมไว้ ดูสิดูความตกผลึกของมัน นี่มันแกร่งของมันไปเรื่อยๆ

นี่ก็เหมือนกัน หัวใจของเรามีคุณค่าแค่นี้ แต่ถ้ามันตั้งใจของมัน มันทำของมัน มีคุณค่าเท่านี้แต่ก็สร้างได้ เราเกิดมาเราบอกเราไม่มีอำนาจวาสนา เราต้องรออำนาจวาสนา แล้วอำนาจวาสนามันลอยมาจากฟ้าหรือ? อำนาจวาสนาเกิดจากการการกระทำ ทาน ศีล ภาวนา นี่อำนาจวาสนา การทำคุณงามความดี เราเสียสละกันทางโลก

นี่ทางโลกเราเสียสละกัน เห็นไหม ดูสิเราให้เขา เราสร้างบุญของเรา นี่ทำไมเราว่าคนนั้นเป็นคนดีล่ะ? ทำไมเขายอมรับคนดีล่ะ? ทั้งๆ ที่ข้างหน้าเขาไม่แสดงออกนะ แต่หัวใจเขารู้ หัวใจเขารู้ว่าคนไหนใช้ได้ คนไหนใช้ไม่ได้ ถ้าหัวใจเขารู้นี่มันเก็บไว้ในใจไง เพราะมรรยาทสังคมมันกระทบกระเทือนกัน

เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก

“มนุษย์เกิดมาถือขวานกันมาคนละเล่ม”

ปากไง เอาไว้ถากกัน เอาไว้นินทากัน เอาไว้ถากถางกัน สิ่งที่ปาก เห็นไหม นี่ปากมันทำคุณงามความดีก็ได้ สิ่งที่เราสื่อสาร การแสดงธรรมมันแสดงธรรมมาจากไหนล่ะ? แสดงธรรมมาจากใจ ถ้าใจไม่เป็นธรรมนะ ปากพูดออกไปขนาดไหนมันก็เป็นนิยายธรรมะ มันไม่เป็นธรรมหรอก มันเป็นนิยาย มันเป็นสิ่งประโลมโลก คิดเองเออเอง ไม่ประโลมธรรม เห็นไหม

ถ้าสิ่งที่เป็นธรรม เห็นไหม นี่มันมาจากใจ ใจเป็นธรรมก็แสดงออกมาทางปากนั่นล่ะ แต่มันเป็นประโยชน์ มันเป็นความจริง มันเป็นความจริงเพราะอะไร? เพราะมันพิสูจน์ได้ แล้วท้าพิสูจน์ด้วย ถ้าพิสูจน์มาแล้วมันจะเป็นความจริงอย่างนั้น จริงเพราะอะไร? เพราะใจเราจริง ถ้าใจเราจริง แสดงออกมามันก็เป็นความจริง ถ้าใจเราปลอมแสดงออกมาก็เป็นความปลอม เป็นนิยายธรรมะ พูดธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่แหละ แต่เป็นนิยายธรรม เพราะเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ไม่ใช่ใจของเรา ใจของเรามันไม่รู้หรอก เห็นไหม มันไม่รู้ นี่พูดเหมือนกันแต่ไม่เหมือนกัน พูดสิ่งเดียวกันก็ไม่เหมือนกัน

ดูสิอย่างตีความของชิ้นเดียวกัน แต่มุมมองต่างๆ กันไป มุมมองมันเกิดมาจากใจนะ เกิดมาจากความรู้สึกของเรา เกิดจากความเห็นของเรา ความเห็นมันเป็นอย่างนั้นเอง ความเห็นเป็นอย่างนั้น เห็นไหม แต่ถ้ามันพัฒนาขึ้นมา มันพัฒนามันทิ้งมาเองนะ สิ่งที่ทิ้งเอง ถ้าเราไม่ทิ้งเอง

“มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด”

ดูสิเราประพฤติปฏิบัติกัน นี่สิ่งที่ประพฤติปฏิบัติ ใครเห็นก็ว่าทุกข์ๆ ทำไมไม่อยู่สุขสบาย นี่ไงเขาว่าเขาอยู่เฉยๆ ก็สบายนะ เขาไม่ต้องทำอะไรเขาสบาย เขาสบายของเขา เห็นไหม มันหยาบๆ ไง ความสบายคือว่าเขาเอาความสะดวกในปัจจุบันนั้น แต่เขาไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เป็นคุณงามความดีที่มันละเอียด ที่มันลึกซึ้ง เห็นไหม ดูทางวิจัยสิ เขาค้นคว้ากันทำไม? เขาค้นคว้าบางทีทั้งชีวิตนะ เขาจะได้ประสบความสำเร็จแต่ละชิ้นแต่ละอัน

นี่ก็เหมือนกัน การทำคุณงามความดีของเรา เรานั่งสมาธิของเรา เราเดินจงกรมของเราให้มันตายไป ดูสิความเพียรที่อุกฤษฏ์ ดูอย่างพระโสณะเดินจนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเห็นทางจงกรมนะ

“โอ้โฮ นี่มันที่เชือดโคของใคร?”

คำว่าที่เชือดโคของใครเลือดมันต้องแดงไปหมด เลือดแดงหมดทำไมยังเดินได้? นี่ความเพียรที่อุกฤษฏ์คือพระโสณะ จนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ให้ใส่รองเท้าก็เริ่มต้นมาจากตรงนี้ นี่สิ่งที่ทำมาในธรรมวินัยมันมีเหตุมีปัจจัย มันมีเหตุมาก่อนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงอนุญาต ถ้ามันไม่มีเหตุองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่พยากรณ์ จะไม่พูด เพราะถ้าพูดไปสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้นี่มหาศาลเลย นี่โลกนอก-โลกใน รู้ไปหมด แต่มันเป็นประโยชน์กับเราไหม? นี่มันไม่เป็นประโยชน์

ดูสิอย่างเช่นพวกเราปฏิบัติไม่เป็น ปฏิบัติไม่เป็นก็คิดว่าถ้าปฏิบัติเป็นขึ้นมาแล้ว เป็นอริยบุคคลขึ้นมาแล้วจะเหาะเหินเดินฟ้า จะเป็นผู้วิเศษ ไอ้นั่นมันผู้วิเศษนะ การเหาะเหินเดินฟ้า การทายใจมันเป็นปีติในฌานแค่นั้นเอง ฌานโลกีย์ ความทายใจ อภิญญา ๖ มันเรื่องธรรมดามาก มันเรื่องธรรมดา เรื่องของโลก ดูสิเทคโนโลยีเขาทำเครื่องจับเท็จ นี่แม้แต่วัตถุมันยังจับเท็จได้เลย จับคนพูดถูกพูดผิดได้เลย แล้วใจมันประเสริฐขนาดไหน?

ถ้าเราคิดอย่างนั้นใช่ไหม? เราคิดอย่างนั้น นี่มันเข้าไม่ถึงสัจจะความจริง ถ้ามันเข้าถึงสัจจะความจริงมันเป็นอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นี่มันเกิดตรงไหน? เกิดกาย เวทนา จิต ธรรม นี่สติปัฏฐาน ๔ แล้วสติปัฏฐาน ๔ มันเกิดอย่างไร? นี่ก็ว่ากันสติปัฏฐาน ๔ มันก็ไปทำเป็นวิจัยไง กายก็เป็นอย่างนั้น เวทนาก็เป็นอย่างนั้น

มันเป็นอย่างนั้น มันเป็นอย่างนั้นเป็นเรื่องโลกๆ แต่ถ้าเป็นอริยสัจนะมันต้องจิตรู้ จิตนี่เป็นคนรู้ จิตเป็นคนเห็น จิตเป็นคนวิปัสสนา เพราะ เพราะจิตเป็นคนรับผล สุขทุกข์จิตมันเป็นคนรับรู้ แล้วมันทำลายทิฐิมานะของจิต พอทำลายทิฐิมานะของจิตมันก็ปล่อยเข้ามา มันรู้จักจิตนะ มันไม่ใช่รู้จักว่าสิ่งที่เราไปทำวิจัยกัน กายเป็นอย่างนั้น ทุกอย่างเป็นอย่างนั้น ไอ้นี่มันเรื่องโลกๆ มันเรื่องวัตถุ มันไม่ใช่เรื่องความรู้สึก แล้วเวทนาเป็นวัตถุไหม? เวทนาก็เป็นวัตถุ เวทนา จิต ธรรม เป็นวัตถุ จิตก็เป็นวัตถุ จิตเป็นวัตถุอันหนึ่ง อารมณ์ความรู้สึก เห็นไหม

ดูทางการแพทย์สิ ดูเครื่องตรวจคลื่นหัวใจสิมันเป็นวัตถุไหม? ถ้ามันไม่มีคลื่นเขาจับมาได้อย่างไร? ไม่มีคลื่น เครื่องวัดกระแส วัดความรู้สึกของใจมันขึ้นมาได้อย่างไร? นี่มันก็เป็นวัตถุ แม้แต่คลื่นเขายังจับได้เลย นั่นมันก็เป็นวัตถุอันหนึ่ง นี่กาย เวทนา จิต ธรรม เพราะจิตนี้มันจิตกิเลสไง จิตที่มันมีทิฐิมานะไง นี่มันถึงเป็นสติปัฏฐาน มันต้องทิ้ง ต้องทำลายจิตไง พอทำลายจิตมันถึงจะพ้นออกไป ถ้ามันพ้นออกไป นี่มันจะเกิดปัญญาขึ้นมาจากภายใน

นี่ถ้าเข้มแข็งจากข้างนอก มันจะเข้มแข็งจากข้างใน เวลารู้เห็นต่างๆ เรื่องอภิญญา เรื่องฌานโลกีย์ เรื่องความรู้มันเป็นเครื่องล่อ ฤๅษีชีไพรติดอย่างนี้ เหาะเหินเดินฟ้าแล้วไปไม่รอดหรอก ไปไม่รอด ดูพระเทวทัตสิ แปลงกายเป็นงูไปบนศีรษะของอชาตศัตรู เห็นไหม นี่แล้วทำได้ขนาดนั้นทำไมทำลายพระพุทธเจ้าล่ะ?

แปลงกายได้ ทำทุกอย่างได้ เหาะเหินเดินฟ้าได้หมดเลย แล้วแก้กิเลสซักตัวไหม? พระเทวทัตได้ทำลายกิเลสซักตัวไหม? ไม่ได้ทำลายกิเลสซักตัวเลย ไม่มีความหมาย นี่เรื่องของโลกๆ ไม่มีความหมายหรอก ถ้าเข้ามาอริยสัจมันถึงจะเข้ามาอริยสัจ ถ้าไม่เข้าอริยสัจเรื่องนั้นไม่มีความหมายเลย พระเทวทัตทำมาได้แล้ว เทวทัตเหาะเหินเดินฟ้าได้ เทวทัตทายใจคนได้ เทวทัตแปลงกายได้ แล้วเทวทัตฆ่ากิเลสไหม? ไม่ได้ฆ่ากิเลสเลย

นี่ถ้าภาวนากันเราคิดแต่เรื่องโลกๆ มันจะออกไปเป็นเทวทัต แต่ถ้าเข้ามาความจริง เข้ามาอริยสัจมันไม่เป็นอย่างนั้นหรอก ไม่เป็นอย่างนั้นจริงๆ ถ้าพูดถึงคนไม่เป็นมันก็พูดนิยายธรรมะเท่านั้นนะ แต่ถ้าเป็นความจริงเราจะเป็นความจริงของเรา แล้วนี่ธรรมความจริงกับความจริงมันเข้ากัน สบตาก็รู้แล้วมันจริงหรือไม่จริง ถ้ามันเป็นความจริงนะมันเข้าใจหมดเลย เข้าใจหมด เห็นไหม เพราะมันเป็นความจริง

นี่สิ่งนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงท้อใจนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาแล้วนะ จะสอนใครได้หนอ? จะสอนใครได้หนอ? เพราะมันพูดเหมือนกัน ความหมายต่างกัน สื่อคนละภาษา ภาษาโลกกับภาษาธรรม แล้วภาษาธรรมมันไม่มีคำพูดมันถึงต้องใช้ภาษาโลกที่เป็นสมมุตินี่แหละ สมมุติ แล้วเราก็ไปติดในคำพูดนั้น เราไปติดในสิ่งนั้นมันถึงเข้าไม่ถึงสัจจะความจริง ถ้าถึงสัจจะความจริงมันจะเป็นความจริงขึ้นมาจากใจ

นี่ให้ประเสริฐอย่างนี้ วันพระตั้งใจ ถ้าเราเข้มแข็งเราทำได้หมดแหละ สิ่งใดเราทำได้หมด ถ้าเราอ่อนแอนะมันรับอะไรไม่ได้หรอก มันอ่อนแอไปหมดเลย อ่อนแอแล้วก็จะเป็นเรื่องโลกๆ อยู่กันแบบโลกๆ ถ้าอยู่กันแบบความจริง นี่ผิดต้องเป็นผิด ถูกต้องเป็นถูก ตั้งกติกาว่าผิดก็คือผิด ห้ามฝืนเด็ดขาด ถูกก็คือถูก ใครทำดีก็คือทำดี ไม่เป็นไรๆ ว่ากันไป

สิ่งต่างๆ โลเลหมด เพราะใจมันโลเล พอโลเลมันก็จะอยู่กับความโลเล แล้วโลกก็โลเล กิเลสมันก็เรื่องโลเล มันก็เป็นเรื่องโลก เห็นไหม ถ้าเป็นธรรมต้องเป็นความจริง จริงต้องจริง ต้องทำให้ได้แล้วจะเป็นประโยชน์กับเรา เอวัง