เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๒ ก.ค. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมนะ ธรรมะไง ธรรมะมันเข้าถึงตัวเรา ธรรมะมันเข้าถึงใจ อาหารมันเข้าถึงกายนะ เวลาเราเกิดมานี่เราเกิดมาตัวเปล่า เราเกิดมาตัวเปล่าๆ เลย ต้นทุนของเราคือชีวิต แล้วชีวิตเรานี่เราเกิดมาแล้ว เห็นไหม เวลาเราเกิดมาแล้ว ถ้าเราคิดแต่เรื่องของชีวิต ชีวิตเกิดมาแล้วเด็กต้องมีการศึกษา ต้องมีอาชีพ เราพยายามให้ถึงเป้าหมายไง

สิ่งนั้นคือเป้าหมายนะ เป้าหมายของเรา ถ้าในครอบครัวของเรา ลูกหลานเรามีหน้าที่การงานเป็นการเชิดหน้าชูตา อันนั้นสังคมอย่างนี้มันเป็นผล ผลของความคิดของเราว่าเราปรารถนาจะให้มีความสุข แต่ความสุขจริงๆ แล้ว ถ้าเราคิดถึงตัวของเรา เห็นไหม สิ่งนี้มันเป็นเครื่องอาศัย

ปัจจัยเครื่องอาศัยนะ โลกมีเพราะมีเรา ถ้ามันมีชีวิต นี่ทรัพย์สมบัติเป็นของเราหมดเลย ถ้าเราไม่มีชีวิต คำว่าไม่มีชีวิต ถ้าเราตายไปแล้ว เราคิดว่าเราตายไปแล้วเราไม่มีสิ่งใดๆ ไง แต่สิ่งที่มันตามไป เห็นไหม เราเกิดมามีตัวเปล่า ทำไมคนเกิดมานี่ เกิดในครอบครัวที่อุดมสมบูรณ์ เกิดมาในครอบครัวที่ขาดแคลน การเกิดมานี่กรรมมันพาเกิดไง

สิ่งที่เกิดมานี่เราหาสมบัติของเรา เห็นไหม หาสมบัติ นี่โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศต่างๆ เป็นโลกธรรม ๘ แต่บุญกุศลมันฝังไปกับใจนะ ถ้าฝังไปกับใจ การเกิดนี่กรรมพาเกิด สิ่งที่กรรมพาเกิด เห็นไหม เกิดมาแล้วประสบความสำเร็จ เกิดมาแล้วชีวิตมีความสุขขนาดไหน อุดมสมบูรณ์ขนาดไหน ชีวิตนี้ก็ขาดแคลน มันพร่องอยู่เป็นนิจไง

พระรัฐบาล เห็นไหม เป็นลูกเศรษฐี มหาเศรษฐีเลยนะ นี่อยากจะบวชมาก พ่อแม่ไม่ให้บวชเพราะมีลูกชายคนเดียว ถึงเวลาแล้วนี่ประท้วงเลย ถ้าไม่ให้บวช ไม่ยอมกินข้าวจะอดตายเลย เอาเพื่อนมาขอร้องขนาดไหนก็แล้วแต่ เพื่อนมาขอร้องจนมาปรึกษาพ่อแม่ ถ้าไม่ให้บวชนะ บอกว่า “อยากเห็นหน้าลูกไหม? ถ้าอยากเห็นหน้าลูกให้บวชนะ ถ้าไม่ให้บวชจะไม่ได้เห็นหน้าลูกอีก”

พ่อแม่ตัดสินใจให้บวชไง บวชไปแล้วประพฤติปฏิบัติจนถึงที่สุดนะเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา พระรัฐบาล ชื่อ “รัฐบาล” เวลาไปหาพ่อแม่นี่สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว พ่อแม่ขนสมบัติมหาศาลเลย ถามลูกว่าสมบัตินี้ทำอย่างไร? นี่สมบัติภายนอกใครเห็นใครก็อยากได้ใช่ไหม? แต่พระรัฐบาลเป็นพระอรหันต์ เห็นไหม แม่เป็นห่วงสมบัตินี้มาก บอกแม่เลยนะว่าสมบัตินี้เอาไปทิ้งน้ำ เอาใส่รถสาลี่เข็นไปถึงน้ำแล้วดั้มพ์ทิ้งน้ำไปเลย

สิ่งนั้นมันเป็นอสรพิษนะ ถ้าคนเราไม่มีหลักใจ สิ่งที่เป็นแก้ว แหวน เงิน ทอง ทำให้เราเสียคนได้ แต่ถ้าคนเรามีหลักใจแล้วนะสิ่งนั้นจะเป็นประโยชน์กับเรา เห็นไหม มันสำคัญที่ใจนะ ถ้าใจทำให้ดีที่สุด ใจเวลาเกิด เห็นไหม เราไม่เห็นกับการเกิดนี่ ปฏิสนธิจิต เวลาเกิดในไข่ของมารดา เขาทำกิ๊ฟกันในหลอดแก้ว เขาทำกิ๊ฟกันนะ ๒๕ เปอร์เซ็นต์ประสบความสำเร็จนะ ไม่ใช่ทำกิ๊ฟทำทุกอย่างมันจะประสบความสำเร็จทั้งหมด ไม่ใช่หรอก นายแพทย์เขาต้องมีความสามารถของเขา เขามีความชำนาญของเขา

ไอ้นี่มันเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์นะ แต่เรื่องของกรรม เห็นไหม ถ้าไม่มีจิตปฏิสนธิ ถ้าจิตปฏิสนธิมาปฏิสนธิในไข่ของมารดา วิทยาศาสตร์เจริญแล้วทำไมปฏิสนธิในหลอดแก้วล่ะ? ปฏิสนธิในหลอดแก้วแล้วเขาต้องเอาไข่นั้นเข้าไปในรังไข่ของแม่ ไปฟักตัวอยู่ในนั้น เขาสร้างไม่ได้หรอก เรื่องของกรรมนะ เอาดิน น้ำ ลม ไฟ มาคนๆ กันแล้วเกิดเป็นมนุษย์เป็นไปไม่ได้หรอก มันมีสายบุญสายกรรมไง แต่สายบุญสายกรรมมันซับซ้อนไปเรื่อยๆ วิทยาศาสตร์ยิ่งเจริญขนาดไหนนะ กรรมมันยิ่งซับซ้อนมากขึ้นไปอีก

เราว่าจะแก้กรรม เห็นไหม นี่คิดเป็นวิทยาศาสตร์ โลกเป็นวิทยาศาสตร์ ทุกอย่างพิสูจน์ได้ พิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์นะ แต่ถ้าพิสูจน์ได้ทางจิตนะ เวลาจิตมันสงบเข้ามา ถ้าจิตสงบเข้ามานะมันเห็นคุณค่าของเรา ถ้าจิตไม่สงบเข้ามา ศึกษาธรรมขนาดไหนก็ศึกษาโดยกิเลส เอากิเลสไปศึกษามัน ถ้าศึกษามันขึ้นมานี่รู้ๆๆ รู้โดยสมมุติทั้งนั้นแหละ

ทั้งๆ ที่ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ตัวเราเป็นกิเลส ความคิดเราเป็นกิเลส นี่ต้องสะอาดบริสุทธิ์เป็นวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์คนคิดขึ้นมานะ วิทยาศาสตร์นี่แกนของโลกมันเปลี่ยนไป ต่างๆ มันเปลี่ยนไป วิทยาศาสตร์มันจะมีทฤษฎีใหม่ๆ มาตลอดเวลา มันต่อยอดไปตลอดเวลา ต่อยอดไปไม่สิ้นสุด

จนปัจจุบันนี้ทำโคลนนิ่งมนุษย์เขายังไม่อยากทำเลย ถ้าไม่มีศีลธรรมจริยธรรมทำขึ้นมานะ เพราะทำขึ้นไปแล้ว ต่อไปเราคิดเลยว่าเรื่องของกรรมมันจะละเอียดอ่อนไปมากกว่านี้ เพราะโดยสมมุตินี่ร่างกายของมนุษย์ เห็นไหม ดูสิเราประพฤติปฏิบัติกัน ร่างกายของมนุษย์เราติดกันที่ร่างกายนี้ก่อน เพราะมีเราก่อน เราติดร่างกายของเราก่อน เราจะต้องดูแลร่างกายเราให้แข็งแรงก่อน พอร่างกายเราแข็งแรงก่อน เราติดร่างกายของเราแล้วก็ติดร่างกายของฝ่ายตรงข้ามใช่ไหม?

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าร่างกายเราติดร่างกายของเราก่อน เวลาพิจารณาอสุภะอสุภัง เห็นไหม ลอกหนัง ลอกผมออกไปแล้วมันมีสิ่งใด? สิ่งนี้มันมีชั่วคราวอยู่แล้ว เวลาเขาคัดสายพันธุ์ต้องคัดสายพันธุ์ที่แข็งแรง แต่นี่เวลาทำโคลนนิ่งขึ้นไปสายพันธุ์มันจะแข็งแรงขึ้นมาไหม? มันจะมีสิ่งต่างๆ รออยู่ข้างหน้าอีกมหาศาลเลย มันยังมีโจทย์ให้แก้อีกมากมาย แต่ทางวิทยาศาสตร์เจริญ เจริญเพราะอะไร? เจริญไปเพราะโลก เห็นไหม นี่เวลาคนบวชมา ทางโลกว่าถ้ามนุษย์ออกบวชหมดโลกนี้จะไม่มีใครสืบเผ่าพันธุ์

เป็นไปไม่ได้หรอก เรื่องของกิเลสนะ นี่เวลาถือศีล ๕ เห็นไหม ถ้าถือศีล ๕ แล้วโลกนี้ไม่เจริญ ทำธุรกิจ ทำต่างๆ มันต้องมีการแข่งขัน.. การแข่งขันถ้าแข่งขันโดยความสุจริตนะ การแข่งขันด้วยคุณธรรมนะ ยิ่งเราทำธุรกิจทางโลกเขายิ่งเชื่อถือศรัทธานะ

“กลิ่นของศีลหอมทวนลม”

กลิ่นของเครดิตของเรา กลิ่นของคุณงามความดีของเราหอมทวนลม ถ้าเราทำของเรานะ แต่ด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ด้วยความโลภ เห็นไหม มันอยากได้ของมันมากๆ มันอยากต้องการของมัน เราทำขึ้นมา เราเอารัดเอาเปรียบนี่เราทำไม่ได้นานหรอก

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราถือศีล เห็นไหม พระออกบวชแล้ว ถือศีลแล้ว ประพฤติปฏิบัติแล้วโลกนี้จะสูญพันธุ์ นี่ความคิดของกิเลส แล้วสูญพันธุ์จริงไหมล่ะ? มันเป็นไปได้อย่างไรล่ะ? มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้เพราะอะไร? เพราะในการประพฤติปฏิบัติมันจะถึงที่สุดได้อย่างไร? ถึงที่สุดคนต้องมีอำนาจวาสนาบารมี คนมีอำนาจวาสนาบารมี เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่มันจะย้อนกลับมาทวนกระแส ปัญญาที่ละเอียดกว่า เราเห็นของหยาบๆ

ดูสิเราเห็นสมบัติแก้ว แหวน เงิน ทอง มีคุณค่า แต่เราไม่เห็นสมบัติของชีวิต เราไม่เห็นสมบัติสิ่งมีชีวิตที่มันจะมีคุณธรรมขึ้นมาในหัวใจ ถ้ามีคุณธรรมขึ้นมาในหัวใจมันเป็นอย่างไร? คุณธรรมขึ้นมาในหัวใจ เห็นไหม โลกียปัญญา ปัญญาที่เป็นวิชาชีพ ปัญญาที่การศึกษา อย่างเช่นทางวิทยาศาสตร์ ทางหมอที่เขาทำกิ๊ฟต่างๆ เพราะว่าเขามีความสามารถ ไอ้นั่นมันวิทยาศาสตร์นะ

ถ้ามีความสามารถเขารู้ทุกอย่างเลย รู้ทางการรักษา รู้ทางวิทยาศาสตร์ แต่เขารู้จักตัวเขาเองไหม? เขาแก้ทุกข์ของเขาได้ไหม? เขารู้ถึงการเกิดและการตายของเขาไหม? เขาไม่รู้เพราะอะไร? เพราะนี่มันเป็นโลกียปัญญา มันเป็นวิชาชีพ แต่ถ้าเป็นธรรมะล่ะ? ธรรมะมันย้อนกลับมาที่ตัวใจนะ ถ้าตัวใจมันมาที่ไหนล่ะ? ตัวใจเพราะอะไร? เพราะเรายิ่งมีความรู้มาก มีศักยภาพมากมันยิ่งไม่เชื่อใคร เชื่อใครไม่ได้ เพราะเรามีหัวโขนเราเชื่อใครไม่ได้เลย เราต้องมีสิ่งที่พิสูจน์ได้

พิสูจน์ได้ๆ คือทางโลก มันไม่พิสูจน์ทางจิตนี่ ทำไมไม่อยู่โคนไม้ล่ะ? ทำไมไม่ค้นคว้าหาใจของตัวเองล่ะ? พิสูจน์ทางจิต เห็นไหม นี่ธรรมะเป็นอย่างนี้ ธรรมะมันเกิดอย่างไร? เกิดจากเรามาทำบุญกุศลกัน แล้วเราได้ฟังธรรม ธรรมนี่มันจะตอกย้ำเรา มันจะท้าทายเรา ท้าทายเราให้พิสูจน์ไง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ “จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง”

ใจของครูบาอาจารย์เรา จากใจดวงหนึ่งที่ได้สามารถประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้ว ในหัวใจนั้นรู้จริงแล้ว จากใจดวงหนึ่งยื่นให้อีกใจดวงหนึ่ง นี่ไงใจดวงหนึ่งทำมาสิ ยกใจขึ้นมา ยกใจขึ้นมาให้มันแก้ไขใจเราขึ้นมา ถ้ามันแก้ไขใจของเราเอาอะไรไปแก้? เอาวิทยาศาสตร์ไหนไปแก้ เอาเทคโนโลยีไหนไปแก้? ถ้าไม่เอาใจแก้ใจ แล้วใจแก้ใจ ใจมันอยู่ที่ไหน?

ถ้าใจมันอยู่ที่ไหน? เวลาความคิดนี่ ความคิดมันเป็นอาการของใจ ความคิดไม่ใช่ใจ ถ้าความคิดเป็นใจเราจะนอนไม่ได้เลย เราจะคิดตลอดเวลา นี่ทำไมวิชาชีพของเขา นักกฎหมาย กฎหมายออกใหม่เขาต้องศึกษาตลอดเวลา เขาต้องแม่นในตัวบท เพราะอาชีพเขาเป็นนักกฎหมาย เห็นไหม หมอก็เหมือนกัน ดูนักบินสิ นักบินถ้าไม่ได้บิน ๔๘ วันเขาถือว่าบินไม่ได้อีกแล้ว นักบินเครื่องบินรบนี่บินไม่ได้อีกเลย ต้องทดสอบตลอดเวลา ต้องฝึกฝนอยู่ตลอดเวลา

นี่วิชาชีพของเขา เขาฝึกฝนของเขา มันเป็นวิชาชีพของเขา เขาต้องศึกษาของเขา นี่มันยังลืมตลอดเวลา เห็นไหม ความคิดไม่ใช่จิต แล้วธรรมะที่เกิดมาที่จะแก้กิเลส ที่ว่าจิตแก้จิตมันแก้อย่างไร? มันต้องมีศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าไม่มีความสงบ ไม่มีสมถะ ไม่มีความสงบของใจ ไม่มีสถานที่ทำงาน ไปทำงานที่เงา ไปทำงานที่ความคิด เอาความคิดแก้ความคิด

ถ้าความคิดแก้ความคิด ความคิดมันเป็นปัญญาอบรมสมาธิโดยสามัญสำนึก สามัญสำนึกนี่คนมีความคิด ความคิดว่าเกิดดับๆ เกิดดับๆ อะไรมันเกิดดับ เกิดดับมันมาจากไหน? เกิดดับมันต้องมีต้นเหตุของการเกิดดับสิ เกิดดับนี่ดูลมพัดมา วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ลมพัดเพราะอะไร? เพราะความร้อนใช่ไหม? เพราะมันเคลื่อนที่ อากาศเคลื่อนที่ใช่ไหม? ลมมันถึงพัดมาใช่ไหม?

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อความคิดมันเกิด มันเกิดมาจากไหน? ความคิดมันเกิดมาจากไหน? สิ่งที่เป็นความคิด ที่มันเอาความทุกข์ความยากมาทับถมใจมันมาจากไหน? มันมาจากจิต แล้วจิตมันอยู่ที่ไหน? จิตมันไม่เคยเห็นจิต มันไม่เคยเห็นสมถะ มันไม่เคยเห็นสมาธิ มันไม่เห็นภวาสวะ มันไม่เห็นภพ มันไม่รู้จักที่เกิดของจิต ไม่รู้จักที่เกิดของความคิด ถ้าไม่รู้จักที่เกิดของความคิด แล้วถ้าใช้ปัญญากันไปก็ปัญญาเงาๆ ไง

นามรูปๆ นามรูปมันเกิดดับ เกิดดับแล้วเราได้อะไร? เกิดดับแล้วก็ตาย เกิดดับแล้วก็ทุกข์ เพราะมันเกิดมันคิด มันกระทืบเราอยู่นี่ไงมันถึงเกิด แล้วมันดับไปๆ มันไปไหน? มันขี้รดหัวใจแล้วมันก็ไป ความคิด ความทุกข์มันขี้รดหัวใจแล้วมันก็ไป แล้วเราก็นั่งร้องไห้ แล้วร้องไห้มันมีประโยชน์อะไร? แต่ถ้าเราใช้ความคิดเห็นการเกิดดับ การเกิดดับมันเกิดมาจากไหน? มันก็ต้องเกิดมาจากใจ แล้วใจมันอยู่ไหน?

ถ้ากำหนดพุทโธ พุทโธ เข้าไปนะ แล้วใช้ปัญญาอบรมสมาธิขึ้นมามันจะเข้าไปเห็นถึงตัวใจ ตัวใจคือตัวภพ ตัวภพคือตัวสมาธิ ถ้าเห็นสมาธิ สมาธิแล้วทำอะไร? เหมือนกับเราได้มีดมาเล่มหนึ่งเอาไว้ทำอะไร? เขาเอาไว้ทำประโยชน์ของเขา เห็นไหม เขาถากถางทำไร่ทำนา เขาก็ทำประโยชน์ของเขาได้ เราเอามาทำอาหารก็ทำได้ มีดเล่มหนึ่งจะใช้ทำอะไร?

นี่ก็เหมือนกัน เป็นสมาธิขึ้นมา ถ้าคนโง่มีสมาธิขึ้นมา เห็นไหม ยิ่งมีอำนาจวาสนา ไปรู้วาระจิต ไปรู้สิ่งต่างๆ ไปรู้อะไร ตื่นเต้นไปกับมีดเล่มนั้น สิ่งที่รู้ก็นึกว่าเป็นประโยชน์ ที่ไหนได้มันเอามีดฟันตัวเอง เวลาเขาทำครัวกัน เขาให้หั่นเนื้อนะ เขาไม่ได้ให้หั่นมือ หั่นมือเราทิ้ง หั่นมือเรานึกว่าเป็นเนื้อ เป็นสิ่งที่นำมาทำอาหาร

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อเกิดสมาธิขึ้นมา ความรู้อันที่เป็นโทษ ความรู้ที่มันเป็นฌานโลกีย์ แต่ถ้ามันสงบเข้ามาเป็นสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิไม่ใช่ความรู้ส่งออก มันเป็นสัมมาสมาธิ มันเป็นความอิ่มเต็มในหัวใจของมัน สิ่งที่อิ่มเต็มคือทุน ทุนที่สะอาด ทุนที่กู้หนี้ยืมสินมา ทุนที่โกงมา นี่ทุน เห็นไหม สมาธิมันมีแยกแยะออกไปอีก มันจะเป็นสมาธิอย่างไรก็แล้วแต่เรามีสติของเราไว้ เพราะ! เพราะต้นทุนของคนไม่เหมือนกัน

ต้นทุนของความคิดคนไม่เหมือนกัน ต้นทุนของอำนาจวาสนาคนไม่เหมือนกัน หยาบ กลาง ละเอียด มันแตกต่างกันไป สิ่งต่างๆ ต้องมีสติ ต้องมีสติผู้รู้อยู่ตลอดเวลา มันจะพัฒนาการของมัน ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะฝึกฝนของเรา ฝึกฝนจิตเราให้มันพัฒนาขึ้นไป พัฒนาขึ้นไปมันต้องดีขึ้นไป มีดถ้ามันทื่อ เห็นไหม มีดของคนอื่นเขาเชือด เขาเฉือนกัน ทำไมมันคม มันฆ่า มันทำประโยชน์หมดเลย มีดของเราฟันต้นไม้ ฟันแล้วมันก็เด้งกลับมา มันเป็นเพราะเหตุใด?

มันเป็นเพราะนี่ไง เพราะว่าอำนาจวาสนาของคนมันไม่เหมือนกัน มันถึงต้องพยายามต้องลับ ต้องหมั่นฝึกหมั่นฝน หมั่นทำของเราขึ้นไป มันถึงจะเป็นประโยชน์กับเราขึ้นมา เห็นไหม สิ่งนี้ที่ว่าเป็นธรรมๆ ที่ว่าปัญญาแก้กิเลส ปัญญาแก้กิเลส มันเป็นโลกุตตรปัญญา ไม่ใช่เกิดจากความคิด ความคิดมันเป็นกิเลสพาใช้ไง

กิเลสพาใช้คือตัวจิตมันมีอวิชชา แล้วความคิดมันเป็นขันธ์ มันเกิดจากจิต แล้วเกิดจากจิตแล้วไปดูที่ขันธ์ กิเลสมันอยู่ที่จิต อยู่ที่จิตมันก็เอาขันธ์นั้น พลิกแพลงขันธ์นั้นมาหลอกเรา แต่ถ้าเราผ่านขันธ์เข้าไปถึงตัวจิต อวิชชามันเกิดขึ้นมา ถ้ามีตัวตน มีอีโก้ มีความยึดมั่นถือมั่นมันจะทำสมาธิไม่ได้หรอก แต่ถ้าเรามีสติของเรา เพราะเรามีอำนาจวาสนา เรามีความเชื่อ ความเชื่อคือศรัทธา ศรัทธาแก้กิเลสไม่ได้

ศรัทธาเป็นตัวเริ่มต้น ศรัทธาเป็นตัวให้ความเจาะจง เจาะจงให้เราทำ เจาะจงให้เราเข้าไปหาตัวตนของเรา ถ้าการค้นคว้า การตั้งสติฝึกฝนขึ้นมาจนคำบริกรรมลดแรงทิฐิมานะขึ้นมา มันก็เป็นสมาธิขึ้นมา เห็นไหม เป็นสมาธิขึ้นมาเพราะอะไร? เพราะอวิชชามันสงบตัวลง สงบตัวลง จิตมันเป็นสมาธิคือมันเป็นกลาง มันสะอาดชั่วคราว นั่นมันฝึกใช้ความคิด เห็นไหม

นี่มีดมันต้องใช้ให้เป็น ถ้ามีดใช้เป็นมันก็เป็นวิปัสสนาขึ้นมา พอเป็นวิปัสสนาขึ้นมามันเห็นอะไร? เห็นความคิดไง จิตเสวยอารมณ์ อารมณ์คืออะไร? อารมณ์คือขันธ์ ๕ อารมณ์คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สิ่งที่มันเกิดขึ้นมา เพราะอวิชชามันพาใช้มันถึงให้โทษเรา แต่ถ้าปัญญาพาใช้ล่ะ? ถ้าธรรมะพาใช้ล่ะ?

นี่ไงโลกุตตรปัญญามันเกิดอย่างนี้ ปัญญาที่ฆ่ากิเลสมันเกิดอย่างนี้ เกิดจากจิตที่มันสงบก่อนเป็นพื้นฐาน เป็นบาทฐาน ศีล สมาธิ ปัญญา.. มันมีสมาธิแล้วมันเกิดปัญญา มันจะเป็นโลกุตตรปัญญา ปัญญาไม่ใช่ข้อมูลที่จำมา ธรรมะที่จำมา ธรรมะที่ศึกษามานี่มันเป็นจำมาทั้งนั้นแหละ สิ่งที่จำมามันมาจากข้างนอก กู้หนี้ยืมสินมาเป็นของเราไหม? ไปศึกษาธรรมะมา ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นของเราไหม?

ไม่ใช่ของเรา ธรรมะต้องบริสุทธิ์ เป็นวิทยาศาสตร์ต้องสะอาด แล้วอวิชชาในหัวใจของเราสะอาดไหม? อวิชชาในหัวใจของเราสะอาดไปไม่ได้ สิ่งที่เอาจากข้างนอกมันสะอาด แต่พอมันเข้ามาถึงใจสกปรกหมด สกปรกเพราะใจมันสกปรก มันต้องชำระให้ใจมันสะอาดชั่วคราวก่อน คือเป็นสมาธิก่อน พอเป็นสมาธิก่อน ปัญญาที่มันเกิดขึ้นมา ปัญญาที่เกิดจากเรามันทำขึ้นมา มันฝึกฝนขึ้นมา ถึงที่สุดแล้วพระอรหันต์เหมือนกัน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์นะ ครูบาอาจารย์เรา พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะเป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์มีค่าเท่ากันเพราะสะอาดที่ใจ นี่สิ่งที่สะอาดที่ใจมันเกิดขึ้นมาจากใจ มันเกิดจากการปฏิบัติของเรา พระอรหันต์เกิดขึ้นมาเกิดจากอะไร? เกิดจากปัญญาที่มันใคร่ครวญ มันใคร่ครวญขึ้นมา มันแยกแยะของมันออกไป เห็นไหม นี่มันทำชะล้างทิฐิ สักกายทิฏฐิความเห็นผิดในกาย

สิ่งที่เป็นความเห็นผิดในกาย สิ่งที่เกิดมานี่ร่างกายที่ว่าเขาจะทำกัน เขาก็ทำเอาแต่เปลือกไม่ได้หรอก แก้ไขไม่ได้ ในวงการแพทย์นี่เพื่อการรักษา เหมือนกับเครื่องยนต์กลไก เห็นไหม การบำรุงรักษาให้ใช้งานต่อไป วงการแพทย์ก็รักษาชีวิตนี้ รักษาเรื่องธาตุขันธ์ให้มันมีโอกาสได้ดำรงชีวิตต่อไปเท่านั้นเอง แต่มันไม่สามารถชำระกิเลสได้ ต้องธรรมโอสถ

ธรรมโอสถมันเกิดมาจากไหน? เกิดจากตู้พระไตรปิฎกก็ไม่ใช่ นั่นมันคือตำรายา ตำราธรรมโอสถ ตัวธรรมโอสถคือตัวใจ ตัวธรรมโอสถคือตัวสมาธิ คือตัวความสุข คือตัวปัญญาที่เกิดจากเรา ตัวธรรมโอสถต้องรื้อค้นขึ้นมาเอง ถ้ารื้อค้นขึ้นมาเอง เราศึกษาเอง เราทำของเราขึ้นมาเองทำไมเราจะไม่รู้ล่ะ?

ถ้าเรารู้ขึ้นมา เห็นไหม นี่จะเป็นพระอรหันต์ จะเป็นพระอริยบุคคลมันเป็นที่นี่ เป็นที่มันรู้จริงขึ้นมาจากอริยสัจ จากมรรคญาณ จากสิ่งที่เกิดขึ้น ที่ธรรมจักรๆ ที่มันหมุนอยู่นั่นแหละ เราเห็นแต่ตำรา เห็นแต่สิ่งที่เป็นรูปเคารพนะ แต่เวลาจักรที่มันเคลื่อนมาในหัวใจนะ นี้เราไม่มี เรามีแต่กงจักร เรามีแต่ความทุกข์ กงจักรมันจะหมุนเข้ามา ความคิดมันเบียดเบียนเรา ความคิดมันทำลายเราหมดเลย นี่คือกงจักร

ถ้าเป็นธรรมจักรนะ มันหมุนขึ้นมาแล้วมันโล่ง มันเบา มันสะอาด มันบริสุทธิ์ มันมีความสุขมาก ความสุขนี่ติด พอติดปั๊บมันก็เสื่อมเพราะมันเป็นตทังคปหาน มันปล่อยวางชั่วคราว ถ้าความสุขอย่างนี้กิเลสมันล่อ เพราะเรายังมีกิเลสอยู่ใช่ไหม? พอเจอสิ่งใดเราก็ตื่นเต้นไปกับมัน

นี่ตทังคปหานมันชั่วคราวๆ ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์คอยชี้นำ หรือครูบาอาจารย์คอยกระตุ้น ถ้ากระตุ้นเข้าไปนี่ มันปล่อยวางขนาดไหน มันปล่อยวางชั่วคราว มันเป็นการฝึกฝนไง มันเป็นการฝึกงาน งานยังไม่จบ ขณะที่ทำไปเรื่อยๆ ฝึกงานบ่อยครั้งเข้าจนชำนาญ ทำจนชำนาญ หมุนบ่อยครั้งเข้าๆ เพราะการเกิดและการตายมันไม่มีต้นไม่มีปลาย สิ่งที่เป็นกิเลสมันอยู่กับใจเรามานานนักหนา แล้วเราจะให้มันปล่อยวางโดยง่ายเป็นไปไม่ได้

แก่นของกิเลสนะหนักหนาสาหัสสากรรจ์ในหัวใจ ในการประพฤติปฏิบัติ เวลาเราประพฤติปฏิบัติกัน ครูบาอาจารย์ที่ผ่านการประพฤติปฏิบัติมาท่านถึงมีความจงใจ มีความตั้งใจ มีการประพฤติปฏิบัติ แต่เราบอกว่านี่เป็นอัตตกิลมถานุโยค ทำไมพระป่าต้องทำตนให้ลำบากเปล่า ก็เขาไม่เคยเห็นกิเลสนี่ เขาไม่เคยเห็นว่าใจเขาเป็นทุกข์ขนาดไหน เขาไม่เคยเห็นว่าโรคภัยในหัวใจของเรามันรุนแรงขนาดไหน เขาคิดว่าโรคภัยไข้เจ็บเหมือนกับโรคทางโลกไง เอายาแดงมาทาๆๆ ก็หายกันไง

นี่ก็เหมือนกัน สงบๆ ทำวิปัสสนา นึกกันไปนึกกันมา วิปัสสนึก มันนึกกันไปนึกกันมา แล้วมันว่าเป็นธรรมๆ เป็นไปไม่ได้เลย เดี๋ยวก็ม้วนเสื่อ พอกิเลสมันทำให้รุนแรงจนม้วนเสื่อ คือม้วนความเพียรของตัวเอง จนทำไม่ได้ จนเลิกไป เห็นไหม แต่ถ้าครูบาอาจารย์เคยต่อสู้มากับกิเลสมันเป็นเสือนะ สู้กับเสือมือเปล่าได้อย่างไร? สู้กับเสือต้องมีสติ สู้กับเสือต้องมีอาวุธ ต้องมีธรรมาวุธ ต้องเข้าไปต่อสู้กับมัน

นี่มันตทังคปหานขนาดไหน มันปล่อยวางขนาดไหนซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันพิจารณาของมัน มันมีเหตุมีผลของมัน ถ้าไม่มีคำตอบถึงที่สุดไม่ได้! ถึงที่สุดต้องมีคำตอบ นี่จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มันกลั่นออกมาอย่างไร? จิตมันพ้นออกมาอย่างไร? นั่นล่ะความรู้จริงอันนี้ เห็นไหม

นี่มรรค มรรคอย่างนี้ ที่ธรรมจักรจักรอย่างนี้ ธรรมจักรที่เคลื่อนในใจ ถ้าจักรอย่างนี้มันเคลื่อนในใจแล้ว ธรรมจักรมันเคลื่อนแล้วมันอยู่ที่ไหนมันก็พูดได้ อยู่ที่ไหนมันก็รู้ไปหมดแหละเพราะมันเป็นความจริง มันไม่ใช่ความจำ ความจำต้องคอยทบทวนเพราะมันจะลืม แต่อริยสัจไม่เคยลืมนะ อริยสัจลืมไม่ได้

พระอรหันต์ลืมในอะไร? ลืมในสมมุติบัญญัติ พระอรหันต์นี่ลืมสมมุติบัญญัติ เพราะสมมุตินี่สมมุติทุกวัน ลืมคือว่าเขาสมมุติขึ้นมาใหม่เราก็ไม่รู้ บัญญัติคือการสวดมนต์ บัญญัติคือท่องพระไตรปิฎกนี่ลืมได้ เพราะอะไร? เพราะมันเป็นสัญญา มันเป็นความจำ ความจำลืมได้

พระอรหันต์ไม่ลืมในอะไร? ไม่ลืมในอริยสัจไง ไม่ลืมสิ่งที่เป็นมรรคญาณที่เกิดในใจ ไม่ลืมสิ่งที่เป็นไปในหัวใจ หัวใจที่มันเกิดขึ้นมา ที่จักรมันเคลื่อนแล้วมันทำลาย มันฆ่ามา โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี ถึงที่สุดแห่งทุกข์นี่มันเกิดมาจากไหน? มันเกิดมาจากใจ เป็นสมบัติส่วนตน ถึงเอาออกมาโชว์กันไม่ได้ไง แต่สื่อได้ สอนได้ ทำได้ สิ่งที่ทำได้มันอยู่ในใจเรานะ

นี่สิ่งที่เกิด เห็นไหม เกิดทางโลกเราเกิดมาตัวเปล่าๆ นะ เราเกิดมานี่กรรมพาเกิด เกิดมาดีเราก็ทำดี ถ้ามันมีจริตนิสัยมันจะหาสมบัติเป็นอริยทรัพย์ ทรัพย์ภายใน มันวางทรัพย์ภายนอก ทรัพย์ภายนอกเราต้องแสวงหา ทุกข์ยากสังคมหากันมา ทรัพย์ภายในหาในตัวของเรา ในกลางอกเรา นั่งอยู่ที่ไหนก็ทำได้ โคนต้นไม้ ในห้องพระ ที่ไหนก็ทำได้ มันเป็นสมบัติส่วนตน เป็นปัจจัตตังรู้จำเพาะตนในหัวใจของเรา ทำที่ไหนก็ได้ แต่ทรัพย์ภายนอกต้องแสวงหา ต้องมีตลาด ต้องออกไปทำธุรกิจกับเขา เห็นไหม มันต่างกัน สังคมอย่างหนึ่ง แต่การกระทำของเรามันเกิดจากใจเรานะ

นี่เกิดมาตัวเปล่าๆ แต่ออกมา เจริญเติบโตขึ้นมาแล้วทำธุรกิจกัน ทำหน้าที่การงานกัน แต่ถ้ามีศรัทธาความเชื่อ เกิดมาจิตพาเกิด แล้วจิตตัวนี้มันเข้าใจศรัทธาในศาสนา แล้วถ้ามันทำนะ ทรัพย์ภายนอก ทรัพย์ภายใน ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าเราเกิดมามี ๒ ตา ตาหนึ่งคือตาโลก การหาดำรงชีพ ตาหนึ่งคือตาธรรมหาดำรงหัวใจ ถ้าหัวใจมันสะอาด มันบริสุทธิ์ มันมีความสุขขึ้นมา ชีวิตนี้จะมีคุณค่ามาก ถ้าเห็นชีวิตนี้มีคุณค่ามาก ทรัพย์สมบัติเป็นของรองเลย มันจะไม่ตื่นเต้นกับมัน มันจะเห็นคุณค่าของชีวิต เห็นคุณค่าของใจเรา มันจะเป็นประโยชน์กับเรานะ

นี่เราเกิดมาแล้วมีชีวิต เกิดมาตัวเปล่าๆ สมบัติมาหาเอาทีหลัง แต่ถ้าเราเกิดมาแล้วมีชีวิต มีหัวใจ แล้วไม่ทิ้งหัวใจมัน เอาหัวใจนี้ทำประโยชน์กับเรา เราจะเกิดมาไม่เสียชาติเกิด เอวัง