เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๕ ก.ค. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เขาคุยกันแล้วคุยกันไม่ลงไง เขามาถามว่า “นิพพาน ๑๘” ให้อธิบายนิพพาน ๑๘ นิพพาน ๑๘ ขั้นตอนไง เราบอกว่านิพพานอะไรวะ นิพพานมี ๑๘ ขั้นตอน นิพพานเป็นขั้นบันไดหรือ? นิพพานไม่ใช่ขั้นบันไดนะมึง นิพพานไม่ใช่ขั้นบันได นิพพานไม่ใช่ลิฟต์ “นิพพานคือนิพพาน”

นิพพาน ๑๘ คืออะไร? นิพพาน ๑๘ อย่างนี้สินะคนสอนสอนไม่เป็น นิพพานมีหนึ่งเดียวเท่านั้นแหละ ดูสิเวลาอย่างนี้เราคัดค้านเต็มที่เลย เพราะอะไร? เพราะพูดให้เราไขว้เขวกัน แต่เวลานี่ ดูสิอย่างเช่นมหายาน เห็นไหม ถ้าเป็นนิพพานแล้วนะสุขาวดี ลึกกว่านิพพาน แล้วนิพพานมีชนชั้นด้วยหรือ?

นิพพานมีหนึ่งเดียว นิพพานไม่มีชนชั้นหรอก สุขาวดีดีกว่านิพพาน กว้างขวางกว่านิพพาน นี่พูดถึงถ้าเข้าถึงนิพพานแล้วจะพูดว่านิพพานเป็นอื่นไปไม่ได้ นิพพานก็คือนิพพาน นิพพานคือมีหนึ่งเดียว แล้วนี่นิพพาน ๑๘ นิพพาน ๑๘ เขาบอกสร้างอารมณ์ก็เป็นนิพพาน นิพพานแต่ละขั้นละตอน นิพพานแต่ละขั้นละตอน เขาบอกอย่างนี้นิพพานต้องขึ้นบันไดใช่ไหม?

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เป็นพระอรหันต์ขึ้นมาก็นี่ถึงซึ่งนิพพาน พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะก็ถึงซึ่งนิพพาน นิพพานคือมีหนึ่งเดียว นิพพานคือนิพพาน ถ้าคนถึงนิพพานแล้วนะจะไม่มีปัญหาเลย คืออันเดียวกันหมด แต่นี้มันไม่ใช่น่ะสิ พอมันไม่ใช่แล้วนะ ดูสิอย่างพวกเซนเราไม่โต้เถียงเขาเลยนะ บอกว่านิพพานอยู่ในขี้ นิพพานอยู่ในมด

นิพพานอยู่ในขี้ อยู่ในมดเพราะอะไร? เพราะว่ามันถอนความยึดมั่นถือมั่นของพวกเราไง เพราะเรารู้ว่านิพพานมันสุดเอื้อม มันเป็นของสูงส่งนักจนพวกเราจะไม่มีโอกาสได้เข้าไปถึงนิพพานได้ แต่ความจริงไม่ใช่ นิพพานอยู่กลางหัวใจเรา นิพพานอยู่บนหัวอกเรานี่แหละ ทุกข์มันอยู่ที่นี่ นิพพานไม่ได้อยู่สุดเอื้อมหรอก เพียงแต่ว่าเราเคารพบูชากันว่ามันเป็นของลึกซึ้ง มันเป็นของลึกมาก เพราะอะไร? เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา

ฟังสิ! องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ มาเป็นพระพุทธเจ้านี่ ต้องเตรียมตัวคือฝึกฝนขึ้นมา ปัญญาพุทธวิสัยกว้างขวางมากเลย คำว่ากว้างขวางมาก คือปัญญาท่านจะละเอียดอ่อนกว่าเราจนนับไม่ได้ ปัญญาพระพุทธเจ้าจะละเอียดอ่อน จะกว้างขวาง จะลึกซึ้งกว่าพวกเราหลายร้อยหลายพันเท่า เวลาท่านตรัสรู้ขึ้นไปแล้วนะท่านยังทอดธุระเลย บอกว่า “แล้วจะสอนได้อย่างไร?”

เราจะเทียบถึงความลึกซึ้งไง ความลึกซึ้งที่ละเอียดมันละเอียดมาก พอละเอียดมากพวกเราก็เลยถือว่าสูงส่งมาก แต่สูงส่งขนาดไหนมันก็อยู่ที่กลางหัวใจเรานี้ มันไม่อยู่ที่ไหนหรอก มันอยู่ที่กลางหัวใจนี่ ฉะนั้น ผู้ที่เข้าถึงแล้วถึงบอกว่านิพพานคือพ้นจากทุกข์ ทุกข์ที่มันเป็นนี่พ้นจากทุกข์ แต่กว่าจะพ้นจากทุกข์มันต้องมีวิธีการอีกมหาศาลเลย มหาศาลตั้งแต่เริ่มปูพื้นฐานไง

แต่นี้เวลาพูด เห็นไหม บอกว่านิพพาน ๑๘ นิพพานก็คือทำสบายๆ ก็คือนิพพาน เขาบอกว่านิพพานแบบคนมีกิเลส ก็ว่ากันไป..

อันนี้มันเป็นโวหาร ถ้าเป็นโวหารนะ ถ้าเราพูดกันอย่างนี้นะ เราบอกว่านี่ทำให้พวกเรานอนใจไง ถ้าเราทำสบายๆ ก็นิพพาน โต๊ะนี่ก็เป็นนิพพานนะ นี่มันไม่ทำอะไรเลย วัตถุธาตุเป็นนิพพานไง เพราะมันไม่ทำลายใครใช่ไหม? คือคนเสียสติไปถึงนิพพานหรือ? นิพพานไม่ได้เป็นอย่างนั้นหรอก

ถ้าเราคิดอย่างนั้นปั๊บ การกระทำของเรามันจะไม่ขวนขวาย มันจะไม่เข้าไปหาถึงความจริง ถ้าหาความจริง เห็นไหม ดูสิเวลาหลวงปู่มั่นท่านเป็นพระอรหันต์นะ นี่ครูบาอาจารย์เรา หลวงปู่มั่นเป็นพระอรหันต์ แต่ทำไมท่านกระเหม็ดกระแหม่ นี่ข้อวัตรปฏิบัติท่านจะไม่ให้ผิดเลย ทั้งๆ ที่ว่าถ้าถึงที่สุดแห่งทุกข์แล้วนะเป็นสติวินัย อาบัติไม่มีหรอก เพราะอะไร? เพราะมันไม่มีเจตนา มันเป็นกิริยาทั้งหมด

ความคิดนี่มันเป็นกิริยาเฉยๆ มันไม่มีกิเลสบวก มันไม่มีตัวตนของเราบวกเข้าไป มันจะไม่มีโทษเลย ถ้าไม่มีโทษเลย เห็นไหม ท่านทำอะไรมันไม่มีเจตนา ไม่มีความผิดหรอก สติวินัย ดูสิเวลาพระจักขุบาลไปอยู่ป่า แล้วแบบว่าอดนอน ถือเนสัชชิก แล้วเวลาเจ็บตาขึ้นมา หมอบอกว่าถ้าไม่พักนอนนะตาจะบอด บอดให้มันบอดไป นี่ด้วยความเข้มแข็ง

พอถึงที่สุด เวลามันถึงที่สุด เวลามรรคญาณมันเคลื่อนตัวไปพร้อมกับตาบอด เห็นไหม ตาบอดปั๊บกิเลสก็ตายไป เวลากลับมา นี่เอาหลานไปรับกลับมาจำพรรษา เวลาเดินจงกรมไง เพราะกลางคืนฝนมันตก แมลงมันมา นี่แล้วท่านเดินจงกรมอยู่ไปเหยียบแมลงตาย พอเหยียบแมลงตาย พระเขาไปเดินเที่ยวกัน ไปเห็นเข้าก็ไปฟ้องพระพุทธเจ้าบอกว่า “พระจักขุบาล เวลาตาดีอยู่ก็ขี้เกียจ เวลาตาบอดแล้วอวดขยัน” เพราะมันไม่เชื่อกันไง

คนนี่ดูสิกิริยาภายนอกเขาไม่เชื่อว่าใครเป็นพระอรหันต์ไม่เป็นพระอรหันต์ เขาไม่รู้หรอก พระคือพระ คนคือคน แล้วหัวใจนี้เป็นนิพพาน ใครจะไปเห็นได้ว่าหัวใจนี้เป็นนิพพานแล้ว แต่ถ้ากิริยาก็คือกิริยา เห็นไหม แล้วเดินจงกรมนี่เหยียบสัตว์ตาย พวกเราฆ่าสัตว์นี่ปาณาติปาตา เป็นอาบัติทั้งนั้นแหละ เป็นปาจิตตีย์

ทีนี้เหยียบสัตว์ตายไปฟ้องพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกว่า “ไม่เป็นหรอก เป็นปาปมุต” คำว่าปาปมุตคือมันไม่เป็นอาบัติ แต่เราไปตีความกันว่าปาปมุตคือเกร็ง ไม่ให้เป็นอะไรเลย ปาปมุตคือขอนไม้ไง อยู่เฉยๆ ห้ามเป็นอาบัติ แต่ความจริงไม่ใช่ มันเคลื่อนไหวไปแต่มันไม่เป็น ไม่เป็นเพราะว่าไม่มีเจตนา ไม่มีสิ่งใดเลย เพราะจิตนี้ว่างหมด จิตนี้ไม่มีการกระทำต่างๆ แต่มันอยู่ด้วยวิหารธรรม มันก้าวย่างไปเป็นธรรมชาติของเขาเพราะคนตาบอด ถ้าตาดีเขาไม่ทำหรอก

นี่ขณะที่เหยียบสัตว์ตาย เห็นไหม พระอรหันต์เหยียบสัตว์ตาย เหยียบสัตว์ตายนะ แต่เจตนาไม่มี ถ้าพระตาดีจะไม่เหยียบหรอก เพราะมันทำไม่ได้ ชีวิตคือชีวิต แต่นี่พระท่านตานอกบอด แต่ตาในมันสว่าง เห็นไหม ฉะนั้น พอไปฟ้องพระพุทธเจ้าบอกเป็น “ปาปมุต” สิ่งที่เป็นปาปมุต เป็นพระอรหันต์ไม่เป็นอาบัติ

ทีนี้ไม่เป็นอาบัติ เห็นไหม หลวงปู่มั่นท่านก็เป็นพระอรหันต์ แล้วรู้กัน ลูกศิษย์ที่อยู่ใกล้ชิดยอมรับ ยอมรับเพราะอะไร? ยอมรับเพราะเราถามปัญหา เหมือนเรามีข้อข้องใจแล้วไปถามปัญหา ท่านตอบเราได้หมด เรามีความสงสัยท่านตอบได้หมด ภพชาติมาจากไหนท่านตอบได้หมด พระอรหันต์ท่านรู้ได้หมด

นี่สิ่งที่ยืนยัน ท่านไม่ได้ประกาศว่าท่านเป็นพระอรหันต์ แต่เวลาท่านตอบปัญหาเรา ท่านรักษาเรา ท่านรู้ถึงวัฏฏะ รู้ถึงวังวนของชีวิต รู้ถึงวังวนของจิต จิตนี้มันวังวนอย่างไร? มันแก้ไขได้ขึ้นมา แต่ท่านยังกระเหม็ดกระแหม่ของท่านอย่างนั้น กระเหม็ดกระแหม่เพราะอะไร? เพราะชีวิตท่านเป็นแบบอย่าง เพื่อต้องการให้ลูกศิษย์ลูกหามีที่ยึดที่มั่น มีที่ยึดที่เกาะ จิตมันไม่มีที่เกาะ จิตมันไม่ลงนะ จิตไม่ลงนี่ใครสอนไม่ได้หรอก

นี่สิ่งที่สอนไม่ได้ เห็นไหม สิ่งที่สอนไม่ได้มันก็เป็นทิฐิมานะ ทิฐิมานะมันก็ว่ากันไปตามกิเลส นี่ธรรมะของกิเลสไง ศึกษาธรรมๆ ธรรมะของพระพุทธเจ้าสะอาดบริสุทธิ์ แต่กิเลสของเรามันบวกเข้าไป ทิฐิมานะของเรามันบวกเข้าไป บอกว่าข้ารู้ธรรม ข้ารู้ธรรม ทิฐิมานะทั้งนั้นแหละ นี่ปัญญาของกิเลส แล้วก็นี่เวลามีความเห็นกันไป ทั้งๆ ที่ธรรมะก็มีอยู่นะ นิพพานก็คือนิพพาน แล้วนิพพาน ๑๘ มันมาจากไหน? นิพพานมันมีขั้นตอนอย่างไร?

นิพพานเป็นนิพพาน ถ้าไม่นิพพานนี่ พระโสดาบันก็ไม่ใช่พระอรหันต์ นิพพานได้อย่างไร? พระโสดาบัน อารมณ์พระโสดาบันเป็นอย่างไร? พระโสดาบันละสักกายทิฏฐิ ความเห็นผิดกับร่างกายมันเห็นอย่างไร? สกิทาคามีนี่เห็นอย่างไร? อนาคามี เวลามันเป็นผู้ที่เรือนว่าง เห็นไหม จิตอยู่ในเรือนว่าง ผู้ที่มีจิตอยู่แต่เรือนว่าง เรือนว่างเพราะอะไร? เรือนว่างเพราะมันไม่มีข้อมูลไง

นี่สัญญาข้อมูล เห็นไหม สิ่งต่างๆ ข้อมูลนี่กามฉันท์ จิตมันต้องมีตัวมันก่อน พอจิตมีตัวมันก่อน ถ้าเป็นปุถุชน จิตมีตัวมันก่อนมันก็ออกไปข้างนอก แต่เวลาเป็นอนาคามีขึ้นมา มันมีสติขึ้นมา มันว่างจากข้างนอกแต่ข้างในมันยังมีอยู่ สิ่งที่มีอยู่มันเป็นอย่างไร? นี่มันยังไม่นิพพานเลย พระอนาคามียังไม่นิพพาน พระอนาคามียังสงสัยในอรหัตตมรรค อรหัตตผลอยู่ แล้วมันจะนิพพานได้อย่างไร? แล้วนิพพาน ๑๘ มันมาจากไหน?

นิพพาน ๑๘ เราไปคิดกันเอง แล้วเราไปพูดกันเอง เห็นไหม นี่ทำให้ไขว้เขว ทำให้การประพฤติปฏิบัติมันสร้างภาพ มันเป็นการสร้างภาพ มันเป็นสัญญาอารมณ์หมดเลย มันไม่เป็นความจริงซักอย่างหนึ่ง ไม่เป็นความจริงเลย แต่ถ้าเป็นความจริงขึ้นมานะ นี่ถึงบอกว่าต้องย้อนกลับมา ย้อนกลับมา เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนคนมีกิเลส แต่ในการประพฤติปฏิบัติมันเข้าใจผิด เข้าใจผิดว่าการปฏิบัติโดยกิเลสมันปฏิบัติไม่ได้ ความสกปรกทำให้สะอาดไม่ได้ ก็เลยต้องไม่มีความอยาก ต้องตั้งอารมณ์ให้เป็นนิพพานก่อน ต้องตั้งอารมณ์ให้สะอาดบริสุทธิ์แล้วค่อยมาปฏิบัติ

มันจะเป็นไปได้อย่างไร? แค่จิตสงบนี่มันสะอาดบริสุทธิ์ชั่วคราว จิตสงบนี่ เห็นไหม ดูสิญาณ ๑๖ ทำไมมีสมถะอยู่ที่ญาณ ๒๗ ญาณ ๒๘ ล่ะ? แล้วบอกว่าสมาธิไม่สำคัญ กรรมฐานไม่สำคัญ ความไม่สำคัญก็เลยตัวเองไม่สำคัญ ตัวเองไม่สำคัญก็เลยทำผลงานให้คนอื่น ตัวเองไม่ต้องเอาอะไรเลย ตัวเองไม่ทำอะไรเลย

ตัวเองต้องทำของเราขึ้นมาก่อนใช่ไหม? เราทุกข์ใช่ไหม? เราสงสัยใช่ไหม? เราอยากประพฤติปฏิบัติใช่ไหม? ก็กิเลสเต็มตัวนี่แหละ แล้วกำหนดขึ้นมา ตั้งสติขึ้นมา ตั้งสติขึ้นมาเพื่อให้กิเลสมันสงบตัวลง ถ้ากิเลสสงบตัวลง ใจมันจะเป็นสมาธิ ใจมันจะปล่อยวาง การปล่อยวางอย่างนี้ เห็นไหม เขาว่านิพพานของเขา

มันเป็นสมถะ นิพพานอะไร มันไม่มีนิพพานอะไรเลยเพราะกิเลสเต็มหัว มันซุกสิ่งต่างๆ ใต้พรมไว้ ซุกสิ่งลังเลสงสัย ซุกทุกอย่างเพราะเราไม่รู้อะไรเลย แค่ทำให้มันว่างๆ แล้วถ้าว่างๆ ไม่มีสติ เพราะความเข้าใจผิดว่าเป็นนิพพาน มันก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ มันเป็นมิจฉาสมาธิ มันเป็นมิจฉาไปหมดเลย เพราะเริ่มต้นมิจฉา แต่ถ้าเริ่มต้นเป็นสัมมานะ..

เริ่มต้นเป็นสัมมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนคนมีกิเลส เราก็มีกิเลสใช่ไหม? มีกิเลสเราก็เอาความอยากเราเนี่ย อยากในเหตุในผล อยากในการประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม ดูสิเราหิวข้าวน่าดูเลย แล้วเราบอกว่ากินไม่ได้ ขยับไม่ได้ แล้วจะเอาอาหารใส่ปากได้อย่างไร? เราหิวข้าวใช่ไหม? เราอยากกินข้าวใช่ไหม? เราก็เอามือหยิบอาหารใส่ปากสิ

นี่ก็เหมือนกัน กิริยาของจิตทำไม่ได้เลย นิพพานๆ ขยับไม่ได้เลย.. ขยับได้ กินได้ รู้ได้ ทำได้ พระอรหันต์ คนที่ทำเป็นเขารู้หมดแหละ เขาทำได้ของเขา ถ้าทำได้ของเขานี่ให้มันเป็นตามความจริง มันจะสกปรกขนาดไหนก็ให้มันสกปรกไปก่อน เสื้อผ้าที่ใส่แล้วมันสกปรกทั้งนั้นแหละ เวลาซักก็ซักให้มันสะอาดขึ้นมา เสื้อผ้าใส่แล้วบอกว่าเสื้อผ้านี้วิเศษ ไม่เคยสกปรกเลย ไปหาที่โลกไหน? โลกไหนก็ไม่มีหรอก

นี่ก็เหมือนกัน ประพฤติปฏิบัติแล้วต้องให้สะอาดหมดเลย ความสกปรกไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เพราะอะไร? มันเป็นสิ่งเป็นไปไม่ได้เพราะการเกิด คนที่เกิดมานี่มีอวิชชาทั้งหมด เจ้าชายสิทธัตถะเกิดขึ้นมา เห็นไหม ดูนางพิมพา สามเณรราหุลนั่นอะไร?

เจ้าชายสิทธัตถะท่านก็เป็นปุถุชนเหมือนกัน ท่านก็มีความต้องการแบบโลกๆ เหมือนกัน แต่เวลาท่านตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมาแล้วนี่หมดสิ้นกัน กิเลสขาดไปจากใจ นี่ขณะที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะล่ะ? แล้วขณะที่เป็นพระพุทธเจ้าล่ะ?

นี่ก็เหมือนกัน ขณะที่เราเกิดมาล่ะ? เราเกิดมานี่กิเลสมันพาเกิดนะ ถ้าให้กิเลสพาเกิด แต่เรามีศรัทธา มีความเชื่อ เรามีบุญ มีอำนาจวาสนา เราถึงได้มาสนใจในศาสนา ถ้าสนใจในศาสนาขึ้นมา แล้วศึกษาขึ้นมานี่มันก็ความจงใจ เห็นไหม ติดดี ติดชั่ว.. คนโกรธ คนมีโทสะ เราเห็นได้ง่ายๆ เลย ไอ้คนที่เก็บไว้ในหัวใจ ที่ติดดีไง เรามีมรรยาทสังคม เราเป็นคนดีมากเลย แต่หัวใจมันก็สะสมมาด้วยอวิชชาทั้งนั้นแหละ มันก็สะสมความลังเลสงสัยไว้หมดเลย

ถามกลับคำเดียวเลยว่า “สงสัยหรือเปล่า?” ที่ประพฤติปฏิบัติอยู่นี่ แน่ใจแล้วหรือว่ารู้จริง ไม่รู้หรอก ทิฐิมานะ เอาทิฐิยึดว่านิพพานเป็นอย่างนี้ สร้างภาพอย่างนี้ คุยได้แต่ปาก แต่ความจริงไม่รู้ รู้ไม่ได้ รู้ไม่ได้เพราะอะไร? เพราะมันเป็นเปลือก มันเป็นความคิดข้างนอก มันไม่เข้าถึงใจหรอก ถ้าเข้าถึงใจมันต้องยอมรับความจริงก่อน ยอมรับความจริงว่าเราต้องเข้าไปแก้ที่ใจของเรา ไม่ใช่ไปแก้ที่เงาของใจ ไปแก้ที่ความคิดไง

ความคิดฟุ้งซ่าน ความคิดว่านิพพานเป็นอย่างนั้น นิพพานเป็นอย่างนั้น สร้างภาพขึ้นมา มันก็เป็นเงา มันเป็นเงาของใจ เป็นอาการของใจไม่ใช่ใจ ถ้าเราพูดถึงความว่างขึ้นมา นิพพานคือความว่าง ก็ไปสร้างความว่างที่ความคิด ไปสร้างความว่างที่เงา เขียนเงาให้มันไม่มีภาพเลย แล้วเงามันจะเป็นเราไหม? ถ้าเงาเขียนเป็นภาพขึ้นมา เหมือนภาพวาดนี่ ภาพวาดที่ไม่มีภาพเลย ภาพวาดก็ว่างเปล่า ภาพที่เราเขียนขึ้นมามันก็มีรูปขึ้นมา

ความคิดก็เหมือนกัน ความคิดนี่คิดถึงฟุ้งซ่าน คิดถึงอาการต่างๆ ขึ้นมา มันก็มีภาพขึ้นมา เวลาเราคิดให้ว่างมันก็ว่างขึ้นมา แล้วเจ้าของความว่างอยู่ไหน? คือตัวใจมันอยู่ไหน? อย่างนั้นถึงเป็นมิจฉาสมาธิไง เพราะว่างอยู่ข้างนอก มันว่างอยู่ที่อาการของใจ ไปว่างอยู่ข้างนอก ไม่ใช่ว่างที่ใจ ถ้าว่างที่ใจ มันสงบเข้ามาที่ใจมันต้องมีจุดยืน มันต้องมีสติ มันต้องมีคำบริกรรม

ถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญามันก็ต้องไล่ต้อนไป สติไล่ต้อนความคิดไป ความคิดมันคิดเรื่องโทษ มันคิดแล้วมีประโยชน์อะไร? นี่สติปัญญาจะตามไป เห็นไหม พอตามไป สติปัญญา! สติปัญญามันตามไป ถ้ามันตามไป พอมันปล่อยขึ้นมามันก็มีเจ้าของ มันมีความรู้สึกว่าปล่อยวาง แต่ถ้าเรากำหนดให้มันไปว่างอยู่ข้างนอกนะ ทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วดับไป ทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วดับไป มันก็ส่งออกไง

นี่แล้วมันส่งออกไป เห็นไหม เราไปทำความสะอาดบ้านคนอื่น แล้วบ้านเราสะอาดไหม? เราไปทำความสะอาดบ้านข้างเคียง เราสงสารเขา คนนั้นก็คนดี เราไปทำความสะอาดให้บ้านคนอื่นทั้งหมดเลย แล้วบ้านเราปล่อยให้มันเลอะเทอะ

นี่ก็เหมือนกัน ความคิดมันอยู่ข้างนอก ว่างๆ ว่างๆ ว่างๆ แล้วก็งงนะ ว่างๆ นี่ทุกคนจะบอกว่างๆ ว่างๆ ตลอดเลย แล้วทำอย่างไรต่อไป เพราะอะไร? เพราะมันเป็นมิจฉาทิฏฐิ เพราะความไม่รู้ไงว่านิพพานคือความว่าง ความสุขคือความว่าง ความว่างมันว่างนอก ว่างใน ว่างของใคร? ว่างของบ้านข้างเรือนเคียงหรือบ้านของเรา

ถ้าว่างของเรา บ้านเราต้องสะอาดบริสุทธิ์ขึ้นมาก่อน มันต้องมีสติแล้วมีคำบริกรรม แล้วถ้ามีปัญญาอบรมสมาธิ เพราะในศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือปัญญารอบรู้ในกองสังขาร ความคิดในสังขารมันตีความได้ ๒ อย่าง ความคิดสังขารคือร่างกาย สังขารร่างกายนี้เป็นอย่างหนึ่ง สังขารนี้เป็นธาตุ สังขารเป็นความคิดไง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

สังขารคือความคิด ความปรุง ความแต่ง ความคิดโดยธรรมชาติของเรามันเกิดดับ โดยธรรมชาติของมันเกิดดับ! แล้วพอมันเกิดดับมีกิเลสเป็นตัวกระตุ้น มีกิเลสเป็นตัวกระตุ้นแล้วบอกไปดูการเกิดดับ แล้วพอมันเกิดดับขึ้นมา พอกิเลสมันรู้ว่านี่เป็นธรรมะ นี่เป็นสัจธรรมมันก็หดตัวเข้ามา มันหลบไง มันหลบอยู่ใต้ความคิดเรา เราเลยไม่เห็นเลย แต่ถ้าเราใช้สติของเราเข้าไป กำหนดเข้าไป มันมีสติควบคุม เห็นไหม

ครูบาอาจารย์เราบอกสติสำคัญมาก สติตัวยับยั้งไว้ แล้วปัญญาตัวใคร่ครวญขึ้นมา มันจะลึกซึ้งเข้าไป ลึกซึ้งเข้าไป แล้วประโยชน์จะเกิดตรงนี้ไง แล้วไอ้นิพพานๆ ที่เขาพูดเป็นชื่อ เป็นตำราอย่าไปสนใจ นี้เป็นกิริยา เป็นวิธีการที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมไว้ ถ้าเราศึกษาขึ้นมา เห็นไหม ใจสัมผัสธรรม ใจสัมผัสธรรม ความรู้สึกเรามันสัมผัสเอง สมาธิก็สัมผัสเอง ถ้าสมาธิปฏิบัติเข้าไปเหมือนเด็ก เด็กไม่เคยได้ผลงานสิ่งใด พอทำอะไรขึ้นมามันก็ต้องการให้ผู้ใหญ่ชื่นชมมันว่ามันทำผลงานได้

นี่ก็เหมือนกัน เราทำสมาธิได้เราก็เข้าใจว่าเป็นนิพพาน แล้วเดี๋ยวมันก็เสื่อมไป เพราะอะไร? เพราะสมาธิก็เป็นอนิจจัง สัพเพ ธัมมา อนัตตา สภาวธรรมที่เกิดขึ้นมาเป็นอนัตตา มันแปรสภาพหมด มันไม่มีอะไรคงที่เลย ไม่มี! ไม่มีอะไรคงที่เลย เว้นไว้แต่โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีนี่อกุปปธรรม.. กุปปธรรม อกุปปธรรม

สภาวะที่การเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การเปลี่ยนแปลงอะไร? เปลี่ยนแปลงในทางที่ดี เปลี่ยนแปลงในทางที่บวก เปลี่ยนแปลงในทางมรรค เปลี่ยนแปลงในทางลบ เปลี่ยนแปลงโดยกิเลส กิเลสมันเปลี่ยนแปลงไปตลอด นี่เกิดมาแล้วทุกข์ยากอยู่อย่างนี้ มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่ตลอดเวลานี่มันเปลี่ยนแปลงโดยมันเผาไหม้ตัวมันเอง ถึงเวลาแล้วมันต้องสิ้นไปเป็นธรรมดา สิ้นไปเป็นธรรมดาโดยที่เราไม่ได้ประโยชน์อะไรกับมัน

แต่เราตั้งสติขึ้นมา เราตั้งสติแล้วเข้าไปค้นคว้า เข้าไปดูแลมัน เข้าไปค้นคว้ามัน เห็นไหม มันเปลี่ยนแปลง.. เปลี่ยนแปลงโดยที่เราเข้าใจ เปลี่ยนแปลงโดยที่เราเห็น เปลี่ยนแปลงในแง่บวก เปลี่ยนแปลงโดยธรรม การเปลี่ยนแปลงอย่างนี้การเปลี่ยนแปลงโดยธรรม นี่คือธรรมจักร นี่จักรมันเคลื่อน ปัญญามันเคลื่อนขึ้นไป มันจะเห็นสภาวะของมันเข้าไป มันเป็นความจริงของเรา ไม่ใช่ความจริงในตำรา

ตำราเป็นตำรานะ ตำราเราเขียนขึ้นไปแล้วก็ตีความกัน เป็นตรรกะ เห็นไหม นิพพาน ๑๘ ฟังแล้วสะดุ้งเลยนะ นิพพาน ๑๘ นิพพานเป็นอย่างนั้น สร้างอารมณ์อย่างนั้น เราบอกโอ้โฮ.. นิพพานเป็นลิฟต์หรือวะ อ๋อ.. ขึ้นลิฟต์ได้เนาะ นิพพานเป็นลิฟต์ เอาลิฟต์ขึ้นมาเลย นี่จะบอกว่าโคนำฝูงที่ไม่มีปัญญา ศาสนานี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสุดยอดมาก ฟังสิ ฟังว่าพุทธวิสัยนะ เวลาตรัสรู้ขึ้นมาแล้วว่าจะสอนใครได้หนอ? จะสอนใครได้หนอ? มันลึกลับมหัศจรรย์

แต่เราไปเอามานะ นี่เดี๋ยวนี้มีปัญญา พวกเราปัญญาชนมีปัญญา เอามาตีแผ่กัน เขียนเป็นตรรกะแล้วก็ศึกษากัน ก็ศึกษากันด้วยเปลือกไง แล้วก็ติดที่เปลือกไง ติดในกรอบ ขยับไม่ได้เลยนะ ขยับซ้าย ขยับขวาผิดหมดเลย.. ก็คนมีชีวิต ก็คนมีความทุกข์ ทำไมขยับไม่ได้ มันต้องขยับสิ ขยับเข้าไปฆ่ามัน ไม่ใช่เขียนเป็นกรอบขึ้นมาแล้วก็ยึดตรึงตัวเองไว้เลยนะ ห้ามขยับเลยแล้วก็ว่านิพพาน ๑๘ แล้วก็นิพพานสวมหัวให้มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้เลย

ถ้าเป็นความจริง เห็นไหม ความจริงในการกระทำของเรา เราต้องทำจริงขึ้นมา แล้วมันจะรู้จริง แล้วคนรู้จริงมา สิ่งนั้นไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย มันเป็นปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ นี้ปริยัติแผนที่มันชี้ผิด เห็นไหม เข้ากรุงเทพฯ เขาบอกกรุงเทพฯ ชี้ลงใต้ แล้วก็เข้ากรุงเทพฯ ก็ไปเรื่อย ไปเรื่อย แล้วเมื่อไหร่จะถึงกรุงเทพฯ ล่ะ? กรุงเทพฯ มันต้องไปรอบโลกไง ลงไปถึงรอบโลกเลย วนกลับมากรุงเทพฯ นู่นน่ะ

นี่ในเมื่อปริยัติ ทฤษฎีมันผิด นิพพาน ๑๘ นิพพานเป็นแล้ว นิพพานไม่มี ไม่มีใครนิพพาน พระอนาคามียังไม่เข้าใจเรื่องนิพพานเลย แล้วนิพพานมันมาจากไหน? นิพพาน ๑๘ นิพพาน ๑๘ ไม่มีหรอก แต่ถ้าเป็นความจริงขึ้นมามันเป็นสมถะ มันเป็นความว่าง มันเป็นอะไร ความว่างมันก็ต้องมีสติ ความว่างก็ต้องมีเจ้าของ ความว่างต้องมีการควบคุม มันก็จะได้ประโยชน์กับเราขึ้นมา เราจะทำอะไรขึ้นมาเราต้องรู้จริงเห็นจริงนะ ทำจริง รู้จริง เห็นจริง แล้วเป็นประโยชน์จริงขึ้นมาจะเป็นประโยชน์กับเรา

นี่มันลึกซึ้งอย่างนี้ มันลึกซึ้งมากในหัวใจ แต่ถ้ามันมีครูบาอาจารย์ เห็นไหม จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง ใจดวงหนึ่งที่สูงกว่าไม่เข้าใจในสิ่งนั้นจะเอาอะไรไปสอนเขา แล้วสอนขึ้นมามันจะเป็นความจริงนะ ถ้าใจจริงนี่สอนจริง ถ้าใจมันโง่ ใจมันมืดบอด มันก็สอนมืดบอดนั่นแหละ ตาบอดคลำช้าง คลำกันไป นิพพาน ๑๘ คลำอยู่นั่นแหละ คลำจนนิพพานมันจะเน่าอยู่คาหัวใจ ชีวิตนี้สิ้นไปโดยไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย เอวัง