เทศน์เช้า วันที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
นี่ธรรมะ ธรรมะนี่ของจริง แต่เวลาพูด เห็นไหม สถิตในใจของใคร ถ้าใจของใคร ใจของใครเอาธรรมะนั้นมาใช้ประโยชน์อะไร แล้วเวลาพูดถึงธรรมะ เขาบอกเขากำหนดเหมือนกัน เขาปฏิบัติมาทุกแนวทาง แล้วมันปล่อยวาง มันปล่อยวางอย่างนี้ไม่ถูกเหรอ ยังไม่วิปัสสนาเหรอ
เพราะเราก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นหมอนะ เราถึงบอกว่า แม้แต่หมอนี่นะ เราพูดอย่างนี้เลย แม้แต่หมอผ่าคนไข้ทุกวันๆ นี่เห็นกายไหม หมอนี่ผ่าคนไข้ทุกวันเลย ไม่เห็นกายหรอก การจะเห็นกายนะ มันต้องแบบว่าจิตเห็น ไม่ใช่ตาเนื้อเห็น ถ้าจิตเห็นนี่จิตมันต้องจิตสงบก่อน ถ้าจิตไม่สงบมันเป็นสัญญาเห็น มันเป็นอาการของใจเห็น ไม่ใช่จิตเห็น ถ้าไม่ใช่จิตเห็นนี่มันเป็นสัญญา ถ้าเป็นสัญญามันจะเป็นวิปัสสนาไปได้อย่างไร
เขาพยายามจะบอกว่า เป็นวิปัสสนา
บอกเป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เลย ถ้าจะวิปัสสนานะ ต้องมี ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าไม่มีสมาธิ มันจะเอาอะไรไปเห็น ถ้ามีสมาธิเพราะสมาธินี่มันจะทำให้ตัวตนเรานี่มันสงบตัวลง แล้วมันจะเห็นโดยสัจจะความจริงคือปัจจุบันไง นี่แล้วการเห็นนั้น เห็นไหม เวลาเห็นมันสะเทือนกิเลสเพราะอะไร เพราะว่ามันไม่มีเราเข้าไปคิดไง ถ้ามีเราเข้าไปคิด มันเป็นไปไม่ได้
แล้วบอกถ้าจะเป็นวิปัสสนาต้องจิตเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม นี่ถ้าพูดถึงเวทนาไม่มีนี่เราร้องไห้ทำไม เราเจ็บปวดทำไม ที่เราเจ็บปวดกันนี่ เราเจ็บปวดนั้นเป็นเวทนาไหม? เป็นเวทนา แล้วเราเจ็บปวดขนาดนี้ แล้วเราได้วิปัสสนาไหม? มันเป็นวิปัสสนาไหม? ทำไมเราไม่พ้นกิเลสไปล่ะ เวลาเราเจ็บปวด เราเจ็บช้ำน้ำใจ เราเจ็บช้ำน้ำใจมากนะ ถ้าเจ็บช้ำน้ำใจนี่มันเห็นเป็นเวทนานี่ เพราะมันเป็นเวทนาจริงๆ แต่เห็นหรือเปล่าล่ะ มันเห็นโดยสัญชาตญาณ เวลาเจ็บปวด เวลาเราสุข มันเป็นเวทนา เป็นการสื่อความหมาย เห็นไหม มันไม่ใช่เป็นวิปัสสนา
ถ้าเป็นวิปัสสนาจิตมันต้องสงบก่อน เพราะมันเห็นเวทนามันจับเวทนาได้ เวลาเราเจ็บช้ำน้ำใจนี่ เราเจ็บหรือว่าเจ็บช้ำน้ำใจมันเป็นเวทนาของจิต แต่เราเจ็บไข้ได้ป่วยนี่มันเป็นเวทนาของกาย นี่เวทนามันก็มีเวทนากาย เวทนาจิต เวทนากาย เห็นไหม เวลาเราไปอุบัติเหตุนี่เราจะเป็นเวทนากาย แต่ถ้าเราไม่มีบาดแผลเลย เราเจ็บปวดหัวใจ มันเป็นเวทนาของจิต อันนี้มันเป็นการสื่อความหมาย เห็นไหม
แต่ถ้าจิตมันสงบเข้ามา เราหัดสงบเข้ามาบ่อยครั้งเข้า ขณะที่มันสงบ เวลาเราไปนั่งนี่มันเจ็บแข้งเจ็บขา มันก็เป็นเวทนา มันก็ทำให้สมาธิเราแตกได้เหมือนกัน เพราะมันจะไม่ให้เข้า เห็นไหม แต่ถ้าเราใช้ปัญญาใคร่ครวญเวทนา ใครเป็นเวทนา เวลาไม่นั่งทำไมมันไม่ปวด เวลานั่งมันปวดเพราะอะไร มันปล่อยอย่างนี้ มันปล่อยแบบบ่วงของมารไง มันปล่อยขันธ์ ๕ เข้ามาไง
แล้วพอจิตมันสงบเข้าไปแล้วนี่ มันออกมันรู้เวทนาอีกทีหนึ่งนี่ มันจับเวทนาได้ไง อย่างเช่น เราจะตีเหล็ก เห็นไหม เหล็กนี้มันเป็นเหล็กที่เราเผาอยู่ในเตาแดงๆ เราไม่มีเครื่องมือไปจับเหล็กเอาออกมาตีนี่ เราจะตีเหล็กได้ไหม แต่ถ้ามันเป็นปกตินี่ เหล็กนี่มันเป็นเรา ขณะที่มันเป็นเวทนา เวทนาเป็นเรา เราไม่เห็นหรอก แต่ถ้าขณะเหล็กที่เราจะตีนี่มันอยู่ในเตาหลอม เห็นไหม แล้วเอาคีมไปคีบจับเหล็กเข้ามา แล้วเราตีเหล็กนั้นให้เป็นมีด เป็นอะไรก็ได้ เห็นไหม
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตมันเหมือนเครื่องมือนั้น จิตมันเข้าไปจับเหล็กตัวนั้นมา คือจิตมันจับเวทนาได้ มันใคร่ครวญเวทนาได้ เห็นไหม มันถึงเป็นวิปัสสนา แต่ถ้าตัวเราเป็นเหล็ก เห็นไหม มันร้อนอยู่ตัวเราเองนะ ตัวเราเป็นเหล็ก เวทนาเป็นเรา เราเป็นเวทนา นี่ มันเป็นเรื่องของปุถุชน เห็นไหม จากปุถุชนเป็นกัลยาณปุถุชน พอเป็นกัลยาณปุถุชนนี่คือจิตสงบเข้ามา มันควบคุมตัวได้ กัลยาณปุถุชนมันถึงย้อนไปกาย เวทนา จิต ธรรม ถ้ามันย้อนไปกาย เวทนา จิต ธรรม ถ้ามันจับตรงนั้นได้แล้วมันก็ไม่เหมือนกัน
เขามา ๒ คน เราพยายามอธิบายให้เขาเห็นว่า เรา ๓ คนนี่ต่างคนต่างมีความเห็น จริตต่างๆ กัน เห็นไหม จะจริตต่างๆ กัน ความเห็นก็จะต้องต่างๆ กัน นี่เขายอมรับหมด พูดถึงความเห็นต่างๆ กันแล้วจะให้เหมือนกัน เป็นไปไม่ได้ สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แล้วการกระทำของจิตดวงใด ก็ต้องเป็นของจิตดวงนั้น เห็นไหม จิตดวงของเรา มันก็ต้องแก้กิเลสของเรา จิตของคนอื่นก็แก้กิเลสของคนอื่น
เห็นคนอื่นเขาแก้กิเลสอยู่ เห็นไหม แล้วเราจะไปแก้กิเลสตามเขา เหมือนเขาทำอะไรเขาสนุกเพลิดเพลินของเขา อย่างการละเล่น เขามีความสนุกเพลิดเพลินของเขา เราก็จะสนุกเพลิดเพลินอย่างนั้น มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ เพราะเราไม่ชอบ เราชอบการเพลิดเพลิน เราชอบมหรสพสิ่งใดเราก็จะชอบสิ่งนั้น เห็นไหม ดูอย่างทางโลกเขาออกเป็นธุรกิจของเขานี่ เขาต้องมีหลายหลากให้คนเลือก เห็นไหม
นี่ก็เหมือนกัน การภาวนามันต้องเป็นสภาวะแบบนั้น แล้วมันต้องเป็นศีล สมาธิ ปัญญา ไม่ใช่ว่าไปคิดเอาเองอย่างนั้น ถ้าไปคิดเอาเองอย่างนั้น ดูสิ เรากินไก่ เรากินปลาเราจะกินทั้งก้างได้ไหม นี่ก็เหมือนกัน พยายามกดไว้ไง กดไว้ให้มันเป็นสภาวะแบบนั้น มันกินไก่ทั้งก้างนะ เราไม่กินไก่ทั้งก้าง เช่น เขาบอกเขากำหนดนามรูปอยู่อย่างนี้ แล้วมันก็ว่างได้เหมือนกัน แล้วทำไมไม่เป็นวิปัสสนา
บอกเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้เลย การที่กำหนดนามรูปว่างอย่างนั้น มันเป็นเรื่องของเรา เวลาเราทุกข์ขึ้นมา เห็นไหม มันเป็นสัจจะความจริง เหมือนกับเวลาพายุเกิดขึ้นมานี่รุนแรงมากเลย แล้วพายุจะอยู่อย่างนั้นตลอดไปได้ไหม พายุมันก็ต้องสลายไปใช่ไหม นี่ก็เหมือนกัน อารมณ์เราเกิดขึ้น เราทุกข์ขึ้นมา เราทุกข์ขึ้นมามันเป็นอนิจจังไง มันแปรสภาพไป เห็นไหม
นี่ก็เหมือนกัน เวลาภาวนาขึ้นไปนี่ เวลาเราภาวนาบ่อยครั้งเข้า มันเป็นไปได้ แต่เป็นไปได้อย่างนี้ มันไม่มีสติควบคุม แล้วเราควบคุมได้ไหม เหมือนกับเงินนี่ไม่ใช่ของเรา เราเห็นหมดเลย ในบัญชีธนาคารชาติมีกี่หมื่นล้านๆ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเราล่ะ มันเป็นของสาธารณะ มันเป็นของประเทศ ไม่ใช่ของเรา แต่ถ้าบัญชีของเรา เห็นไหม เราทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำ เรามีเงินของเรา เราฝากในบัญชีของเรา เราจะเบิกจ่ายในบัญชีของเราได้ตลอดไปใช่ไหม เราควบคุมได้ใช่ไหม แล้วถ้าคนที่ไม่รู้จักการใช้จ่าย มันก็ใช้จ่ายจนติดลบ เห็นไหม ถ้าคนที่รู้จักบริหารจัดการบำรุงรักษา มันจะเพิ่มมากขึ้น
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรามีสติ เรามีสติกำหนดคำบริกรรม นี่จุดยืนนี้สำคัญมาก บอกเขาว่าจุดยืนนี้สำคัญมาก คนต้องมีจุดยืน คนต้องมีหลักการ ถ้าคนมีหลักการจะทำอะไรก็ได้ คนไม่มีหลักการมันจะไปตามกิเลส แล้วกิเลสมันอ้างธรรมนะ เวลาอ้างธรรม เห็นไหม นี่ธรรมะ เราบอกว่า ใช่ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่มันเป็นโลกียปัญญา โลกียปัญญามันมีตัวตนนะ เราบอกว่าปัญญาขี้ข้า ปัญญาขี้ข้าคือปัญญาของเรานี่มันเป็นขี้ข้ากิเลส พอเป็นขี้ข้ากิเลสมันก็อ้างธรรมะ นี่อ้างธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เวลาฟังมันเป็นเหมือนกับพื้นฐานไง เหมือนกับเด็กเรามันต้องมีการศึกษาขั้นพื้นฐาน ถ้าขั้นพื้นฐานเราเป็นชาวพุทธเราก็ต้องรู้ขั้นพื้นฐาน ว่านรก สวรรค์มี ขั้นพื้นฐาน มันเป็นพื้นฐานของชาวพุทธนะ มันไม่ใช่ปัญญาที่ฆ่ากิเลส เห็นไหม มันก็มีปัญญาอย่างหยาบๆ ขั้นพื้นฐาน คนมีการศึกษาขั้นพื้นฐานนี่เขาก็ดำรงชีวิตของเขาได้ แต่ถ้าเราจะศึกษาขึ้นไป เราต้องมีวิชาชีพ เราจะศึกษาแขนงไหนล่ะ
นี่ก็เหมือนกัน พอเราโตขึ้นมาเราจะปฏิบัติของเราขึ้นมานี่ มันเป็นปัญญาอีกขั้นหนึ่ง เห็นไหม สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา มันคนละขั้นตอน เห็นไหม ถ้าคนละขั้นตอนแล้วเราไปศึกษาธรรมอย่างนั้นนะ เราก็จะศึกษาขั้นพื้นฐานตลอดไป พื้นฐานเพราะอะไร เพราะเป็นสมบัติคนอื่นไง ไม่ใช่สมบัติของเราไง ถ้าเป็นสมบัติของเรา มันจะแก้กิเลสของเรา มือเราสกปรก ร่างกายเราสกปรก เราจะทำความสะอาด ต้องทำความสะอาดที่ร่างกายของเรานะ นี่ก็เหมือนกัน มือเราสะอาด มือเราสกปรก ร่างกายเราสกปรก แต่เราไปดูคนอื่นเขาทำความสะอาดกัน แล้วเราสะอาดได้ไหม มันเป็นไปไม่ได้หรอก
นี่ถ้าไปศึกษาธรรมะ นี่สุตมยปัญญา แต่เขาเคลมกันนะ ในการปฏิบัตินี่ ตอนนี้มันเลยกลายเป็นปริยัติในปฏิบัติไง ขณะที่ปฏิบัตินะ แต่มันเป็นปฏิบัติโดยสัญญา ปฏิบัติโดยความคิดว่าเราปฏิบัติไง มันถึงไม่เป็นการชำระความสะอาดของร่างกาย ไม่เป็นความสะอาดกับมือของเรา เห็นไหม นี่คิดไป เห็นไป ความเปลี่ยนไป เพราะอะไร เพราะมันขาดสมาธิ ถึงบอกต้องทำสมาธิ
เขาบอก เขาทำสมาบัติไม่ได้ เขาทำสมาธิไม่ได้เลย เขาทำไม่ได้เลย
ถ้าทำไม่ได้ก็เป็นปัญญาอบรมสมาธิไง เพราะอะไร เพราะจริตนิสัย เห็นไหม นิสัย เห็นไหม นี่ปัญญาวิมุตติ เจโตวิมุตติ ถ้าเจโตวิมุตติต้องกำหนดพุทโธเข้ามา กำหนดพุทโธเข้ามานี่จิตมันสงบเข้ามา ถ้าเป็นปัญญาวิมุตติ เห็นไหม มันใช้ปัญญาเป็นตัวนำ ปัญญานี่เราสอนปัญญาอบรมสมาธิไป ว่านี่ให้ปัญญาตามไป เวลาปัญญามันคิดขึ้นมาให้ตามไป ไม่ใช่ดูจิตเฉยๆ การดูอยู่มันดูเฉยๆ มันเพ่งอยู่เฉยๆ เราไม่ได้ใคร่ครวญ ไม่ได้แยกแยะอะไร เราจะไม่รู้อะไรผิดอะไรถูก มันก็ดูไปเฉยๆ เห็นไหม แล้วมันดูไปเฉยๆ มันเหมือนกับกินไก่ทั้งตัวไง ขนก็ไม่ได้ถอน เชือดก็ไม่ได้เชือด จับไก่แล้วยัดใส่ปากเลย มันจะเป็นไปได้อย่างไร ไก่เขาต้องฆ่า เขาต้องต้ม เขาต้องแกงใช่ไหม เวลาเขากินเขาต้องคัดกระดูกออกใช่ไหม
นี่ก็เหมือนกัน เวลาใช้ปัญญาอบรมสมาธิมันเห็นโทษไง เห็นโทษว่าพอเราคิดไปนี่ความคิดมันให้โทษกับเราไหม เราทำอะไรไปมันให้โทษเราไหม โทษนี้เกิดเพราะใคร โทษนี้เกิดเพราะกิเลสเรา โทษนี้ไม่ได้เกิดเพราะใครนะ ไม่มีใครทำโทษให้เราได้เลย โทษนี้เกิดเพราะเราต่างหาก เห็นไหม นี่ปัญญามันตามไป พอเห็นโทษมันจะไม่คิดไง พอมันคิดนั่นๆๆๆ คิดอีกแล้ว ถ้ามันคิดมันก็จะปล่อยวางๆ ไป แล้วคนที่ตามความคิดมันเอาอาศัยอะไร ถ้าไม่มีสติมันจะตามความคิดได้ไหม
ถ้าไม่มีสติยับยั้งนะ มันจะเป็นเราหมดเลย ความคิดเป็นเรา เราเป็นเรา เราจะทุกข์โศกเพราะความคิดเรา แต่ถ้ามีสตินะทุกข์โศกเพราะใคร? ทุกข์โศกเพราะเรา เราหลงตัวเอง เราหลงข้อมูลของเราเอง แล้วข้อมูลเป็นอะไร มันเป็นโลกธรรม ๘ มันเกิดมากี่สิบปีกี่สิบชาติแล้วเรายังคิดอยู่เลย เห็นไหม เราโง่ไหม? นี่ถ้าเราโง่หรือฉลาด ตรงนี้มันจะเป็นปัญญาของเรา นี่ปัญญาอบรมสมาธิ
ถ้าอย่างนี้ขึ้นนะ มันเหมือนกับว่าไม่ใช่ว่าไปกินไก่ทั้งตัวไง มันรู้จักแยกจักแยะ จากแยกแยะนี่มันจะมีจุดยืนของมัน พอมีสติปั๊บมันจะมีจุดยืน นี่หลักการอย่างนี้ ปัญญาอบรมสมาธิไม่ใช่ดูจิต! การดูจิตคือดูเฉยๆ การดูจิตดูแบบกล้องวงจรปิดอย่างนั้น มันดูไปทำไม มันดูไปทำไม
นี่ก็เหมือนกัน ตอนนี้สอนกันอย่างนั้น แล้วทำกันอย่างนั้นนะ ทำกันอย่างนั้นแล้วมันจะได้ผลอะไร มันก็ได้ผลเหมือนกับว่าพื้นฐานบอกไม่รู้ก็คือรู้ คนมีการศึกษาพื้นฐานบอกไม่รู้อะไรไม่ได้ รู้บวกลบคูณหารได้หมดนะ รู้ แต่รู้แล้วทำประโยชน์อะไรได้ไหม ก็ได้แค่นี้