เทศน์เช้า วันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ทางโลกเขาว่าโลกจะเจริญเจริญด้วยการศึกษา ใช่ เจริญเพราะการศึกษานะ ดูทางประวัติศาสตร์สิ ยุคโบราณน่ะ ทั่วโลกเลยทำกสิกรรมด้วยแรงสัตว์ ไม่มีเครื่องจักรไง ไม่มีปฏิวัติอุตสาหกรรม พอปฏิวัติอุตสาหกรรมขึ้นมานี่ โอ้โฮ โลกเจริญ แค่สองสามร้อยปีนี่โลกเปลี่ยนแปลงไปมหาศาลเลย ถ้าวิทยาศาสตร์ยิ่งเจริญขนาดไหนนะ โลกจะเปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก ทำลายทรัพยากรมาก โลกจะหมุนเปลี่ยนแปลงไป เห็นไหม แล้วนี่บอกว่าโลกมันจะเปลี่ยนแปลง แล้วความเป็นไปความเป็นประโยชน์ของมนุษย์มันจะเปลี่ยนแปลงไป ตอนพระพุทธเจ้าพูดอีกอย่างหนึ่งนะ เพราะสมัยนั้นเป็นสังคมเกษตรกรรม จะที่ไหนก็แล้วแต่ใช้แรงงานสัตว์ทั้งหมด เกษตรสมัยโบราณต้องเป็นสภาวะแบบนั้นหมดเลย
แต่ยิ่งย้อนกลับไปนะ ตั้งแต่ทำเกษตรไม่เป็นนะ หาอยู่หากินโดยธรรมชาติ ความเปลี่ยนแปลงนี่วิทยาการมันจะช้ามาก แต่เดี๋ยวนี้วิทยาการมันจะเร็วขึ้นมา แล้วเราก็ไปรับซับรู้ตรงนี้ไง เวลาเราศึกษาขึ้นไปนี่ต้องเป็นวิทยาศาสตร์ๆ ก็เลยตีธรรมะไปก็เป็นวิทยาศาสตร์ ตีธรรมะเป็นวิทยาศาสตร์ เห็นไหม
ดอกไม้พลาสติกนะ กับดอกไม้ตามธรรมชาติ พืชเกษตรกรรมธรรมชาติมันต้องเกิดขึ้นมาเอง เห็นไหม เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ตั้งแต่มันเพาะพันธุ์ของมันขึ้นมา แล้วตั้งแต่เม็ดพันธุ์ของมัน มันผสมพันธุ์ของมัน แล้วมันจะแตกของมันขึ้นมา จะออกเป็นผลขึ้นมานี่มันต้องอาศัยธรรมชาติ อาศัยกว่ามันจะผลิดอกออกผลนะ มันมีชีวิตไง แต่ถ้าดอกไม้วิทยาศาสตร์ มันเป็นดอกไม้พลาสติก เห็นไหม มันมาต่างกันนะ มันอยู่ที่การกระทำ เห็นไหม ดอกไม้ธรรมชาตินี่เวลามันจะเพาะพันธุ์ มันต้องได้อาหาร มันต้องได้อากาศ มันต้องได้แดดของมันขึ้นมา มันถึงจะผลิพันธุ์ของมันขึ้นมา
ไอ้นี่ก็เหมือนกัน ถ้าวิธีการ เห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศน์ออกมานี่ ถ้าเทศน์ออกมาโดยธรรมชาติ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นธรรมชาตินะ มันเป็นสิ่งที่มีชีวิตไง มันเป็นสิ่งที่พัฒนาการของใจไง ใจมันพัฒนาการขึ้นมาเพราะอะไร เพราะอย่างพระโพธิสัตว์ต้องสร้างสมบุญญาธิการมา ๔ อสงไขย ตอนที่สร้างบารมีนี่ตัดแต่ง ก็ตัดแต่งพันธุกรรมกัน แต่นี่มาตัดแต่งจิต เห็นไหม เพราะมีความปรารถนา มีความพอใจทำ ทำด้วยความพอใจนะ ไม่ใช่ทำด้วยความอัดอั้นตันใจ
ทำด้วยความพอใจเพราะอะไร เพราะสิ่งนี้รู้จักประโยชน์ของมันไง ประโยชน์ของมัน อนาคตของมันที่จะทำให้เรามีอำนาจวาสนา ทำให้เราบรรลุธรรมขึ้นมานี่ สิ่งนี้มันตัดแต่งมา เห็นไหม สิ่งที่ตัดแต่งมานั่นมันเป็นพันธุกรรมมาตั้งแต่บุพเพนิวาสานุสติญาณ อดีตชาติ สิ่งที่เป็นอดีตสร้างสมมา นี่มันมาสภาพนั้น
แล้วในปัจจุบันนี้เวลาเกิดขึ้นมา เห็นไหม เกิดจากใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันมีอะไรบ้างล่ะ นี่ไปฝึกฝนกับเจ้าลัทธิต่างๆ นี่ ฝึกฝนขนาดไหนมันก็เป็นไปไม่ได้ ทั้งๆ ที่เป็นธรรมชาติเหมือนกัน เป็นธรรมชาตินะ เพราะอะไร เป็นวิธีการฝึกจิตนี่แหละ วิธีการฝึกจิตมันฝึกผิดวิธีไง แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ถูกวิธีขึ้นมานี่ เห็นไหม มันทำให้โรคของพืชพันธุ์นั้นไม่งอกงามตลอดไป นี่มันงอกงามด้วย แล้วมันออกผลด้วย นั้นมันออกผล นี่มันไม่ออกผล เห็นไหม นี่วิธีการไง
เวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศน์ออกมานี่ วิธีการถ้ามันเบี่ยงเบนไปเพราะอะไร เพราะทางวิทยาศาสตร์น่ะ เรากลัวว่าถ้าเราพูดอย่างนั้นไป เห็นไหม ดูสิ นรกสวรรค์ก็พูดไม่ได้ อาย อายนะ พูดถึงนรกสวรรค์น่ะกลัวจะเสียเครดิต จะพูดถึงมรรคผลนิพพานนี่ไม่กล้าพูดถึงอีกเลย แล้วพอมีความเชื่อขึ้นมา เชื่อทางวิทยาศาสตร์เพื่ออะไร พูดขึ้นมาด้วยวิทยาศาสตร์ พูดขึ้นมาด้วยสถานะของวิทยาศาสตร์ ของความรู้ทางจิตไง รู้ทางจิตที่เป็นสัญญา ที่ศึกษามาตามทฤษฎี ทฤษฎีคือวิทยาศาสตร์ แล้วอธิบายธรรมะมันก็อธิบายธรรมะเป็นวิทยาศาสตร์ออกมา วิทยาศาสตร์ออกมามันก็เป็นดอกไม้พลาสติก เห็นไหม
การเกิดเกิดต่างกันนะ ดอกไม้พลาสติก ดอกไม้กระดาษ เห็นไหม ต้องตัดที่กระดาษ ต้องใช้ลวด ต้องใช้กระดาษพัน ต้องใช้กาว ต้องกาวผูกแล้วพันขึ้นมา วิธีการก็ต่างกัน ถ้าวิธีการต่างกันการเทศน์ออกมาก็ต่างกัน ถ้าเทศน์ออกมาต่างกันผลมันก็ต้องต่างกัน ผลมันไม่เหมือนกันหรอก ผลมันเป็นไปได้อย่างไร เห็นไหม
แต่พอผลออกมานี่ ดอกไม้พลาสติกหรือดอกไม้ธรรมชาตินี่ เดี๋ยวนี้เขาทำจนดูแทบไม่ออกเลย เราดูไม่ออกน่ะ เราดูไม่ออกนะ แต่ถ้าลองใช้กาลเวลาสิ กาลเวลา เห็นไหม ดอกไม้ธรรมชาติมันต้องเหี่ยวเฉาไปเป็นธรรมดา อันนั้นมันจะอยู่คงที่ของมันอยู่อย่างนั้นน่ะ คงที่อย่างนั้นนะ แต่มันก็ต้องย่อยสลายไปเป็นธรรมดา แต่มันต่างกัน มันต่างกัน เห็นไหม วิธีการก็ต่างกัน ผลก็ต่างกัน แต่ว่าเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
นี่ธรรมะปฏิรูปไง ถ้าไม่มีธรรมะจริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะปลอมๆ นี้มาจากไหนล่ะ? มันปลอมๆ เพราะมันอ้างอิงได้ แต่ถ้าไม่อ้างอิง ผู้รู้จริงมี เห็นไหม หลวงปู่มั่นเวลาท่านเทศนาว่าการ ท่านถึงไม่ค่อยพูดถึงผลไง แล้วเวลาครูบาอาจารย์ หลวงตาอย่างนี้ ครูบาอาจารย์ของเราบอกว่า ผลของธรรมนี่ในพระไตรปิฎกไม่มีหรอก ในพระไตรปิฎกจะบอกไว้แต่เหตุนะ เหตุคือวิธีการบอกให้พวกเราทำ เหมือนกับการเพาะปลูก การเตรียมดิน เห็นไหม การเพาะปลูก การเตรียมดิน ดูวัชพืช เห็นไหม ถ้าเราจะไถเพื่อกลบให้เป็นปุ๋ยขึ้นมาก็ได้ แต่ถ้าเขาจะเผาก่อนไถ... เห็นไหม
นี่ก็เหมือนกัน วิธีการมันก็ลงที่ดิน ลงที่การเพาะปลูกนั้น นี่ปัญญาวิมุตติ เจโตวิมุตติไง ถ้าปัญญาวิมุตตินี่มันเผาก่อน มันอะไรก่อน นี่มันใช้ปัญญา มันออกไปทางปัญญา วิธีการ ถ้าเป็นวิธีการมันก็เป็นวิธีการที่เป็นการทำเกษตรที่ออกมาเป็นพืชเป็นข้าวปลาอาหารให้ได้กิน แต่วิธีการทางวิทยาศาสตร์มันเป็นพลาสติก มันเป็นสิ่งที่กินไม่ได้ เห็นไหม สิ่งที่เราใช้ประโยชน์ไม่ได้ มันใช้ประโยชน์แต่ความสวยงามไง ใช้ประโยชน์ทางโลก นี่จริตนิสัย ความสวยงาม แต่ผลของใจล่ะ ผลของใจมันมีไหม ถ้าผลของใจมันมี มันจะย้อนกลับมาทำลายกิเลส เห็นไหม ถ้าทำลายกิเลสขึ้นมา กิเลสของใครล่ะ กิเลสมันอยู่ในหัวใจ
ถึงบอกว่าในพระไตรปิฎกพูดไว้แต่วิธีการ แนวทาง แล้วเปิดไว้กว้างๆ เปิดไว้กว้างๆ นะ แต่เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติน่ะมันรู้จริง ไม่ใช่เคล็ดลับนะ เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ไม่มีกำมือในเรา ถ้าสัจจะความจริงนี่เป็นสัจจะความจริง คือไม่มีเคล็ดลับ บอกตรงๆ บอกจะๆ นี่ยังทำไม่ได้เลย ทำไม่ได้หรอก เพราะอะไร เพราะกิเลสมันอ้างอิง เห็นไหม ธรรมะปฏิรูปนี่มันจะปฏิรูปขึ้นมา กิเลสมันจะอ้างอิง เป็นดอกไม้พลาสติกไปหมดเลย
เพราะการกระทำมันต้องกลับไปทำที่ดิน ต้องกลับไปทำการเพาะปลูกที่ดิน ไม่ใช่กลับมาเพาะปลูกออกมาจากบนโต๊ะ ออกมาจากสิ่งที่ในตู้ในไหที่เราเก็บไว้เรียบร้อยแล้ว นี่มันจินตนาการไปอย่างนั้น สภาวะผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ จากวิทยาศาสตร์ จากความเจริญที่เขาว่าปัญญาๆ ไง
ครูบาอาจารย์ถึงว่า คนที่อ้างว่ามีปัญญา คนที่อ้างว่าฉลาดนี่โง่ ๒ ชั้น ๒ ชั้นเพราะอะไร เพราะว่าปัญญาของเรานี่ปัญญาเกิดจากสถิติ ปัญญาเกิดจากโลก เกิดจากสัญญา มันไม่ได้เกิดจากความรู้สึกจากภายใน มันเข้าไปชำระกิเลสไม่ได้ โลกทัศน์ เห็นไหม ความแวดล้อม ความเปลี่ยนแปลง ความแวดล้อมต่างๆ นี่นิสัย ขอนิสัย เวลาไปอยู่กับครูบาอาจารย์ต้องขอนิสัย ๕ ปีถึงพ้นนิสัย เห็นไหม แต่ต้องฉลาดด้วย ถ้าไม่ฉลาดร้อยปีก็ไม่พ้นนิสัย เพราะอะไร เพราะเอาตัวรอดไม่ได้ไง เอาตัวรอดได้ ขอนิสัยนี่มันเป็นสิ่งที่เอาตัวรอด เป็นเครื่องอาศัย เห็นไหม
นี่ก็เหมือนกัน การศึกษาจากภายนอกมันก็ศึกษาจากภายนอก มันเปลี่ยนแปลงได้ เปลี่ยนแปลงได้จากจริตนิสัยจากภายนอก แต่กิเลสมันเปลี่ยนแปลงได้ไหมล่ะ กิเลสมันเปลี่ยนแปลงไม่ได้เพราะอะไร เพราะมันไม่เข้าถึงไง เพราะเราไม่ได้ทำลงไปที่ดิน เราไม่ได้ทำไปถึงที่ใจ แต่ใจมันเพาะปลูกขึ้นมา มันเปลี่ยนแปลงไปยังไง เห็นไหม ดูสิ เราไถแปลงดินของเรา มันจะไถกลบไถอะไร เพื่อหมักให้เกิดปุ๋ย
ประสบการณ์ก็เหมือนกัน อย่างพระโพธิสัตว์ เห็นไหม แต่ละภพละชาติขึ้นมานี่ ภพชาติหนึ่งก็ไถกลบหนหนึ่ง ภพชาติหนึ่งก็ไถกลบหนหนึ่ง สร้างบุญญาธิการหนหนึ่ง ชาติหนึ่งสร้างบุญบุญญาธิการหนหนึ่ง ภพไปๆ เห็นไหม นี่มันเปลี่ยนแปลงไปสภาวะแบบนั้น พอเปลี่ยนแปลงไปมันดีขึ้นมา พัฒนาการขึ้นมานี่ เวลาเราทำขึ้นมามันก็ย้อนถึงจิตไง มันน่าสลดสังเวชนะ
สลดสังเวชที่ไหน สลดสังเวชตอนที่มันไม่เข้าถึงจิต มันไม่เข้าถึงการกระทำอันนั้น ถ้ามันไม่เข้าถึงการกระทำอันนั้นมันจะเป็นธรรมไหม ถ้ามันเข้าถึงการกระทำอันนั้นนะ มันเป็นสิ่งจากภายนอก สิ่งที่เป็นภายนอกมันเป็นภายนอกอยู่ ภายนอกมันเป็นอาการของใจ มันเป็นสิ่งต่างๆ อย่างนี้ มันเป็นการเพิ่มอำนาจวาสนา เพิ่มวาสนา
ถ้าเราประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม ดูสิ เราตายไปแล้วก็ไปเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม เห็นไหม เป็นเทวดา อินทร์ พรหม เป็นปุถุชนก็มี เป็นอริยบุคคลก็มี อริยบุคคลเพราะจิตมันพัฒนาขึ้นมาๆ แล้ว จิตมันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว จิตเปลี่ยนแปลงมันเป็นความเป็นไป แต่เวลาพูดกัน เห็นไหม ไม่กล้าพูด นรกสวรรค์ก็ไม่กล้าพูด สิ่งใดก็ไม่กล้าพูด พูดไม่ได้เลย แล้วพูดสภาวะแบบนั้นเสียเครดิตๆ มันอายกิเลสไง
นี่เวลาครูบาอาจารย์ท่านว่านะ ต้องขออนุญาตกิเลสก่อนแล้วค่อยเทศน์ ถ้าขออนุญาตกิเลสก่อน ถ้าพูดออกไปนี่มันจะเสียเรา ถ้าขออนุญาตกิเลสก่อน เห็นไหม นี่สิ่งนี้เราไม่เข้าใจ นี่ครูบาอาจารย์ว่ามา มันไม่กล้ายันออกมาจากจิตไง ถ้ามันเป็นความจริงนะ มันจะออกจากจิตเพราะอะไร เพราะ นี่มันไปที่ไหนล่ะ สวรรค์ในอก นรกในใจนี่ มันก็เป็นความจริงอันหนึ่ง สวรรค์ในอก นรกในใจ มันก็เป็นผู้ที่รับผล เห็นไหม
สวรรค์ในอก นรกในใจ เพราะมันไปจากที่นี่ แล้วถ้ามันไปสะอาดที่ใจล่ะ? พอสะอาดที่ใจ เพราะมันไปที่ไหนล่ะ เชื้ออันนี้มันพาไปไง ไปเกิดนรกก็เชื้อนี้มันพาไป แล้วมันทำลายเชื้อมันแล้ว ทำลายสิ่งที่ไม่มี เหมือนเรามีสิทธิแล้วเราสละสิทธิ์อันนั้นไป เราสละสิทธิ์นั้นเป็นทางโลกนะ อันนี้มันทำลายสิทธิ์เลย ไม่ใช่สละ ทำลายเลย ทำลายเลย ทำลายจนมันสะอาด สวรรค์ในอก เห็นไหม ถ้าสุคโตที่นี่ ไปไหนมันจะไม่สุคโตล่ะ มันสวรรค์ในอกแน่นอน มันพร้อมจะไปอยู่แล้ว แล้วพอไปถึงสถานะของมัน
แล้วถ้านิพพานล่ะ? นิพพานมันไม่ใช่สวรรค์ในอก นรกในใจ เพราะถ้ามีสวรรค์ในอก นรกในใจนี่ มันมีผู้เป็นเจ้าของ มันมีภวาสวะ มันมีพื้นดิน ถ้าทำลายพื้นดินหมด เห็นไหม นี่ดิน ถ้ามันมีอยู่นี่ ทุกอย่างสร้างบนดิน ภวาสวะคือภพไง คือใจไง ถ้าทำลายตรงนี้ไปแล้วมันจะตั้งอยู่ที่ไหนล่ะ? มันไม่มีดิน ไม่มีอะไรทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งใดๆ เลย ในหัวใจนี่ว่างหมด ว่างหมด ว่างแบบไม่มีด้วย จะอ้างสิ่งใดๆ ก็ไม่ได้เลย อันนั้นเป็นสัจจะความจริงไง
แต่ถ้าเป็นความหลอกลวงเห็นไหม นี่อ้างๆ เป็นความว่าง ความว่างก็มีเจ้าของไง ไม่เสวยอารมณ์ รักษาความว่างไว้ รักษาต่างๆ อันนั้นน่ะภวาสวะ เพราะว่ามันเป็นนามธรรม ใจมันเริ่มเป็นนามธรรม พื้นดิน ทำลายพื้นดินหมด ไถออกมามันก็เป็นหลุมเป็นบ่อ เห็นไหม
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราบอกว่าไม่มีสิ่งใดๆ เลย แล้วใจนี่คืออะไร? ความว่างใครเป็นคนพูด แต่ถ้าเป็นสัจจะความจริงนะ มันไม่มีอะไรเลย แต่มีอยู่ มีอย่างไรล่ะ? นี่ถ้าไม่รู้พูดไม่ได้ ไม่รู้พูดไม่ได้หรอก ถ้าถึงสัจจะความจริง ถึงบอกว่าถ้าพูดโดยสัจธรรมปฏิรูป เห็นไหม เพราะมีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมจริงอันนี้มีอยู่ มันเลยอ้างอิงกันออกมา
เริ่มต้นวิธีการผิดหมด ผลออกมามันเป็นฌานโลกีย์ พอฌานโลกีย์ก็รักษากันไว้ไง ถ้าเริ่มต้นเริ่มถูกเข้าไป เห็นไหม มันเป็นอริยมรรค นี่มรรค เห็นไหม ถึงบอกว่า มนุษย์ไง มนุษย์ได้พลอย เห็นไหม ถ้ามนุษย์ที่ยังโง่อยู่ก็ไม่รู้จักพลอย เห็นพลอยอยู่แต่วางพลอยไว้ตามธรรมชาติของมัน แล้วปฏิเสธนะ สักแต่ว่า สักแต่ว่า แต่ถ้าเป็นมนุษย์ที่ฉลาด เห็นไหม รู้จักพลอย เก็บไว้ก่อน ถ้าเป็นพลอยที่ดิบๆ ก็ต้องเจียระไนขึ้นมา... ถ้าเก็บขึ้นมานี่ มันถึงเป็นมรรค เห็นแล้วเข้าไปชนเลย แต่ก็ยังไม่รู้จักมัน แล้วก็เก็บขึ้นมาเป็นประโยชน์ไม่ได้ เห็นไหม
นี่ก็เหมือนกัน อริยสัจไง เวลาจิตมันสงบขึ้นมาแล้วนี่ เป็นความรู้จริงนี่แหละ แล้วเข้าไปเห็น เห็นแล้วยังยกขึ้นวิปัสสนาไม่ได้ ยกขึ้นวิปัสสนาไม่ได้มันก็เป็นสักแต่ว่า แต่ถ้าเป็นสัจจะความจริงนะ มันเป็นสักแต่ว่าเพราะเชื้อมันขาด เพราะมันทำลาย มันสักแต่ว่าเพราะต่างอันต่างจริงต่างหาก มันต่างอันต่างจริง มันไม่เข้าถึงจิต จิตนี้มันเลยไม่ไปยึด เพราะไม่มีกิเลส มันใช้คำสักแต่ว่า มันเป็นของมันต่างหาก จิตเป็นของจิตต่างหาก
แต่ถ้ามันเป็นคนโง่ สักแต่ว่าโดยไม่รับรู้ สักแต่ว่าโดยวางไว้ สักแต่ว่าแต่ปาก แต่กิเลสมันไม่ได้ขาดเลย แล้วจะรู้สำนึกเวลาถ้ามันตายไป ตายไปไปเกิดบนพรหมขึ้นมา ถ้าเป็นสมาธิอย่างนั้นไปเกิดเป็นพรหมขึ้นมา มันจะรู้จักมันเลยว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ธรรมะเลย สิ่งนี้เป็นเรื่องของฤๅษีชีไพรที่เขาประพฤติปฏิบัติมา แต่เพราะบุรุษนั้นมันโง่ เห็นไหม
นี่วิธีการนี่มันจะฟ้อง ฟ้องเวลาเทศนาว่าการ เวลาแสดงธรรมออกมานี่มันฟ้องหมดเลย เพราะอะไร เพราะรู้แค่ไหนก็พูดแค่นั้น มันจะพูดเหนือความที่ตัวเองสัมผัส เหนือความรู้ของตัวเอง เป็นไปไม่ได้ มันต้องพูดจากความรู้ของมันเอง นี่สัจธรรมปฏิรูปไง วิธีการก็ผิด ผลก็ผิด แล้วมันจะเอาผลมาจากไหนล่ะ
นี่ถึงว่าในการเทศนาว่าการ ในวงกรรมฐานนะ การเทศนาว่าการนี่สำคัญที่สุด เพราะอะไร เพราะมันออกมาจากประสบการณ์ตรงของตัว แล้วก็วิธีการปฏิบัติไง เวลานั่งสมาธิตลอดรุ่ง เวลาอดนอนผ่อนอาหาร เวลาเดินจงกรมนี่ สิ่งนี้พิสูจน์กันตรงนี้ ถ้าเข้มแข็ง เห็นไหม เข้มแข็งทำสัจจะความจริงนั้นได้ มันก็มีเหตุว่าจะไปถึงธรรมอันนั้นได้
นี่สิ่งนี้ถึงพิสูจน์กันด้วยความเพียรชอบ แล้วผลที่เกิดจากความเพียรชอบนั้นคืออะไร? สิ่งนี้เป็นสัจจะความจริงนะ อริยสัจเกิดที่นี่ แล้วผู้รู้มี ถึงกลัวกันที่ผู้รู้ แล้วก็อ้างอิงว่าผู้รู้ค้ำประกัน ผู้รู้รับรอง ใครรับรอง? องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารับรองใคร เห็นไหม เพียงแต่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ครูบาอาจารย์บอก เห็นไหม แสดงธรรมมาสิ แล้วเพียงแต่เราฟังว่าใช่หรือไม่ใช่เท่านั้นเอง ไม่สามารถไปรับรอง ไม่สามารถไปการันตีใครหรอก เพราะสิ่งนั้นมันเป็นสัจจะความจริงของแต่ละบุคคล เพียงแต่ถึงที่สุดไม่ถึงที่สุดนี่มันอำนาจวาสนา แล้วการประพฤติปฏิบัติ สิ่งนี้มันเกิดมา มันเกิดมีนะ
สิ่งนี้มีเพราะมีเรา เพราะเรามีเราถึงพยายามประพฤติปฏิบัติ อย่าชะล่าใจ ต้องหมั่นตรวจสอบ หมั่นพิสูจน์ตรวจสอบใจของตัวเองตลอดเวลา สิ่งที่ตรวจสอบเพราะเรา สิ่งที่เราตรวจสอบ เห็นไหม ธรรมสมควรแก่ธรรม ธรรมสมควรแก่ธรรม สมควรของเด็กๆ เห็นไหม สมาธิก็สมควรเด็กๆ นะ วิปัสสนาขึ้นมาวัยทำงานก็ทำงานอยู่นะ ผลถึงเวลาเกษียณแล้วนี่ มันตรวจสอบมาตลอด แล้วมันจะมีความรู้จริงของใจขึ้นมา ใจอย่างนี้มันถึงว่า เราเกิดมาแล้วไม่เสียชาติเกิด เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เหยียบบนแผ่นดินของชาวพุทธ แล้วเราได้ลิ้มรสของธรรมด้วย อันนี้ประเสริฐที่สุด เอวัง