เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๘ ม.ค. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราบวชมานะ เรามาหาธรรมะกัน ธรรมะต้องเป็นธรรมะนำ ไม่ใช่โลกนำ ถ้าโลกนำจะเป็นสภาวะอย่างนั้น ในสมัยพระเจ้าตากนะ ตอนเริ่มต้นออกกู้ชาติแล้วสั่งเลยนะ สั่งเวลาออกซ้อมรบ ให้ทหารฝึกซ้อมออกรบ เอาปลายเสาลง เอาโคนเสาขึ้น แล้วแม่ทัพทำไม่ได้ แม่ทัพบอกว่าเป็นไปไม่ได้ ก็เลยเอาโคนเสาลง เอาปลายเสาขึ้น พระเจ้าตากมาตรวจนะ เพราะสั่งแล้วไม่ฟังไง ตัดหัว จับแม่ทัพตัดหัวเลย พอตัดหัวปั๊บ สั่งปั๊บ เพราะก่อนออกรบมันต้องฟังหัวหน้า มันต้องฟังแม่ทัพ เพราะการกู้ชาติมันต้องฟังแม่ทัพ ไม่ใช่ว่าแม่ทัพสั่งแล้วไม่ทำตาม เอาแต่ดุลยพินิจของตัวเข้าไปตัดสินไง เพราะท่านสั่งด้วยการฝึก ให้เอาปลายเสาลง สร้างค่ายไง

ค่ายสมัยโบราณนี่ เขาเอาเสาทำค่ายรบ เอาโคนเสาขึ้น เอาปลายเสาลง เพราะว่าสั่งแล้วให้เป็นเอกภาพ ให้กองทัพนั้นเชื่อฟังแม่ทัพ พอแม่ทัพคนนี้ใช้ปัญญาของตัวเอง มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ มันขัดกับหลักความจริง ไม่เชื่อ พอไม่เชื่อก็เอาโคนเสาลง เอาปลายเสาขึ้นทำเป็นค่ายรบอย่างดีเลย พอมาตรวจงานนะ สั่งตัดหัวเลย เห็นไหม แล้วกู้ชาติสำเร็จ แต่ถ้ามันไม่ฟังกันกู้ชาติไม่สำเร็จ การกู้ชาติไม่สำเร็จ นี่เรื่องโลกๆ นะ

แล้วมาเป็นธรรมะนี่ เราจะเอาโลกนำหรือจะเอาธรรมนำ ถ้าเอาธรรมนำนะ โลกนี่เป็นโลก สิ่งที่การปลูกสร้าง การก่อสร้างกันนี่ วัด อาราม อารามเป็นที่อยู่ของผู้มีศีล อารามนะ อนาถบิณฑิกเศรษฐีเอาเงินนี่ปูสร้างวัดเลย วัดของนางวิสาขาสร้างไว้ เดี๋ยวนี้เหลืออะไร เดี๋ยวนี้ในอินเดียเหลืออะไร เหลือแต่พระสงฆ์นะ พระสงฆ์เหลือ ในเมืองไทยธรรมะยังอยู่นะ ธรรมยังอยู่ แต่ที่อาศัยมันหมดแล้วไปแล้ว นี่พันๆ ปีนี่มันย่อยสลายไปแล้ว คนเราเกิดมาต้องมีที่อาศัย นกต้องมีรวงมีรังนะ นกนี่ต้องอาศัยรังเลย

การก่อสร้าง การบุญกุศลนี่มันเป็นเรื่องโลกๆ เรื่องของโลกๆ มันก็ต้องฟังผู้นำสิ ถ้าผู้นำจะเป็นธรรมต้องฟังธรรม อย่าเอาโลกมาเป็นใหญ่ ถ้าโลกเป็นใหญ่มึงจะสร้างวัดให้พระเป็นขี้ข้าเหรอ ถ้าพระเป็นหัวหน้า พระเป็นผู้นำ เรื่องของธรรมะมันละเอียดอ่อนมาก ละเอียดอ่อนมากเพราะอะไร เพราะสิ่งที่เอ็งคิดกันอยู่นี่เรื่องกิเลสทั้งนั้น ถ้าให้กิเลสนำยังทนไม่ได้เลย กิเลสนำก็นำโลกๆ เห็นไหม

โลกที่เขาเป็นกันอยู่นี่ ที่พระเขาทำกันอยู่นี่ เอากิเลสนำ เห็นไหม ถ้าเอากิเลสนำมันจะเป็นสภาวะแบบนั้น เอาแต่ตัณหาความทะยานออกมาโชว์กัน นี่ได้สมาบัติ ได้นิโรธ ได้บ้าได้บอได้คอแตกกันไง ธรรมะมึงจะมาแลกกับเศษเงินเหรอ ธรรมะของเรานี่นะอยู่ในหัวใจ มันแก้ทุกข์ในหัวใจนะ มันเป็นสิ่งธรรมเหนือโลกนะ ถ้าธรรมเหนือโลก เหนือเงินทอง เหนือข้าวของ เหนือทุกอย่าง เหนือนรก เหนือสวรรค์ เหนือพรหม เหนือทุกอย่างเลย แล้วเอาเศษเงินนี่มาเหยียบหัวได้ยังไง! เศษเงินเท่านั้น! แค่เศษเงิน!

เห็นไหม อย่าเอาเศษเงินมาเหยียบหัว คนมานานนะ ถือว่ายกเลิกกันไป ยกเลิกกันไปนะ ดูสิ ดูธรรมะสิ ดูหลวงปู่มั่นมาค้นคว้าหาธรรมในหัวใจขึ้นมา ธรรมะในใจของหลวงปู่มั่นนะ คิดค้นขึ้นมา แล้วธรรมเห็นไหม สองพันกว่าปีนี่ศาสนาเจริญเจริญที่ไหน เจริญที่หัวใจ หัวใจนี้มาจากไหน หัวใจนี่มาจากเรา เพราะหัวใจเวลาเกิดนี่ปฏิสนธิจิต เกิดในครรภ์ของมารดาเป็นมนุษย์ แล้วก็ต้องฝึกฝนมันขึ้นมา เด็กนี่ต้องฝึกฝนให้มันมีวิชาการขึ้นมา

พระก็เหมือนกัน จะฝึกฝนขึ้นมาที่ไหน ฝึกฝนขึ้นมาที่ทางจงกรม ที่นั่งสมาธิภาวนา ที่พระฝึกพระฝึกที่ตรงนั้น เราถึงแค่หาที่ฝึก เหมือนกับนักกีฬานี่หาสนามฝึกซ้อม แค่สนามฝึกซ้อมนี่มันจะมีความหมายอะไรวะ ถ้าสนามฝึกซ้อมนี่ฝึกซ้อมไม่ได้ กูก็หาสนามอื่นก็ยังได้ สนามที่ไหนมันก็ฝึกซ้อมได้ แล้วทำไมต้องมาวุ่นวายกันขนาดนี้

เรานี่คล้อยตามมาตลอดนะ เราคล้อยตามทุกอย่างเลย เราเจ็บปวดมาก เพราะนิสัยมันไม่เป็นอย่างนี้ หลวงตาท่านพูดเลยคำเดียว เราพูดคำเดียวมาตลอดเลย แต่นี้เป็นผัดไทยเลย กูพลิกไปพลิกมา พลิกมาพลิกไปเลยเพื่อสังคม พลิกมาตลอดเลย เจ็บปวดมาก เจ็บปวดมาก อย่าให้มีอีก อย่าให้มีอีกนะ พูดไม่ออกเลย พูดไม่ออกเลย

อะไรนะให้มันฟังกัน เพราะอะไร เพราะเรื่องของโลกขวากหนามมันเยอะมาก กิเลสนี่มันร้อยเหลี่ยมพันคม แม้แต่กิเลสในหัวใจเราเรายังไม่ทันเลย แล้วเรื่องของเราเอกภาพ สนิมกันกร่อนเหล็กนะ เอกภาพจากภายใน นี่มันภัยจากข้างในเลย ไม่ใช่ภัยจากข้างนอกเลย ข้างนอกแก้ไขได้หมดนะ ถ้าออกไปแก้ไขมันจะมีอะไรบ้างที่เราแก้ไขไม่ได้ จะมีเหตุการณ์อุกฤษฏ์ขนาดไหน เราก็แก้ไขได้ทั้งนั้นเลย เราพยายามให้มันประสบความสำเร็จหมดเลย แต่ไอ้สนิมข้างในนี่มันแก้ไขไม่ได้ สนิมจากภายในนี่มันไม่ยอมรับ มันไม่ยอมรับ เห็นไหม

มันก็ย้อนกลับมากิเลสเรานี่ ใช่ เราเคยภาวนามานะ กิเลสในหัวใจนี่สุดยอดมากเลย กิเลสเป็นเรา สรรพสิ่งเป็นเรา พอเป็นเราทำอะไรไม่ได้เลย เป็นอะไรไม่ได้เลย เพราะเราไม่กล้าทำอะไรเลย เห็นไหม ขนาดที่ว่าวิปัสสนาไปนี่ จิตเดิมแท้นี่ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส แม้แต่จิตเดิมแท้ยังต้องทำลายมันเลย เวลาครูบาอาจารย์ท่านว่าเห็นไหม เวลาจิตมันผ่องใสนี่ มันมองทะลุภูเขา โอ้โฮ จิตทำไมมันมหัศจรรย์ขนาดนี้ จิตนี้มันผ่องในมาก มันส่องทะลุไปหมดเลย นี่แล้วก็ไปถนอมมันไว้ไง นี่อวิชชามันยิ่งกว่านางสาวจักรวาล เห็นไหม

เราไม่กล้าทำลายจิตเรา เห็นไหม พอทำลายไปแล้วไอ้ความผ่องใส ความสว่างไสวนี่มันขี้หมา! มันขี้ดีๆ นี่เอง มันเป็นอวิชชา มันไม่ใช่ตัวธรรมหรอก ตัวธรรมผ่องใสไม่ได้ ผ่องใสมันคู่กับเศร้าหมอง สิ่งที่มันผ่องใส มันมืด มันสว่าง มันตรงข้ามหมด สิ่งใดที่เป็นของคู่อยู่ไม่ใช่ธรรม ธรรมะนี้หนึ่งเดียว หนึ่งไม่มีสอง ไม่ใช่ผ่องใส ไม่ใช่อะไรทั้งสิ้น ไม่ใช่ว่างเวิ้งทั้งสิ้น ว่างนี้เป็นบุคลาธิษฐาน ว่างนี้เอามาพูดกันเฉยๆ ว่าว่าง ว่าง

เพราะมันเปรียบเทียบอย่างนั้นจริงๆ เพราะว่างคู่กับไม่ว่าง ถ้าสิ่งใดมันตรงข้ามหมด เห็นไหม ซึ่งเป็นธรรมแท้แล้วเอ่ยออกมาจากปากไม่ได้เลย ธรรมแท้มันอยู่ในหัวใจ มันเป็นความรู้สึกจากภายใน แต่เวลาสื่อออกมาเพื่อจะสั่งสอนกัน เพื่อจะเป็นคติ เพื่อจะเป็นตัวอย่าง เพื่อสั่งสอนกันจากภายนอกเท่านั้น ถึงเป็นสมมุติไง สมมุติบัญญัติ ไม่ใช่วิมุตติ วิมุตติพ้นจากสมมุติไปทั้งหมด จะว่าว่าง จะว่าเป็นอะไร ไม่ใช่ทั้งหมด ไม่ใช่ทั้งหมดเลย แต่เป็นบัญญัติขึ้นมาเพื่อจะสื่อความหมาย เพื่อจูงคนตาบอดขึ้นมา คนที่อยู่บนฝั่งจะดึงคนจมน้ำขึ้นมา จะดึงขึ้นมาจะใช้อะไร ก็ใช้เชือก ถ้าคนไม่เข้าใจก็โดดมาอุ้มมันเลย ก็ตายทั้งคู่ ถ้าคนฉลาดเขาต้องหย่อนเชือกลงไป แล้วดึงมันขึ้นมา เพราะมันจมน้ำอยู่

ไอ้ที่หย่อนเชือกลงไปนี่สมมุติ ไอ้ว่างๆ ว่างๆ นี่มันเชือก สว่างไสวนี่มันเชือก ดึงขึ้นมาๆๆ ดึงคนขึ้นมาจากน้ำ มันไม่ใช่ตัวคนหรอก มันเป็นเชือก สมมุติบัญญัติไง แล้วเราก็ตื่นสมมุติบัญญัติกัน สมมุติบัญญัตินี่ โอ๊ย เป็นธรรมะๆ ก็บ้าบอคอแตกกันไป

เฮ่อ เราไม่เคยเป็น ถามพวกที่เคยอยู่โพธารามมาได้ เราไม่เคยเป็นแบบนี้ เราไม่เคยเป็นแบบนี้เลย! คำเดียวตลอด อยู่ไหนคำเดียวตลอดเลย แต่นี่ผ่อนๆๆ ผ่อนมาตลอดเลยนะ ผ่อนมาตลอด ถึงพูดให้ชัดเจนไปเลย ยกเลิก แล้วไปทำกันเอาเอง คนไหนเก่ง เชิญ เชิญ เชิญ ตามสบาย เอวัง!