เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๗ ก.พ. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ประเพณีวัฒนธรรม วันนี้วัฒนธรรมของคนจีน แล้วคนจีนเขาขยายไปทั่วโลกนะ วัฒนธรรมนี่เก่าแก่ เห็นไหม วัฒนธรรมในการกตัญญูกตเวที ขงจื้อเลือกให้มีการกตัญญูกตเวที เป็นครอบครัวใหญ่ เห็นไหม มีการนับถือผู้อาวุโส มีการดูแลกัน

เวลาถ้าเขาถือเคร่งนะ เวลาพ่อแม่ตาย เขาจะนอนเฝ้าศพถึง ๓ ปี ๔ ปีเลย ต้องนอนเฝ้าศพนะ ถ้าไม่นอนเฝ้าศพถือว่าไม่กตัญญู ถ้าเรามาคิดดูในปัจจุบันนี้ทำไม่ได้หรอก เพราะอะไร เพราะว่ากาลเวลาสำคัญมาก ในปัจจุบันนี้นะเวลาเป็นเงินเป็นทองหมดเลย ๓ ปีนะ ต้องนอนเฝ้าอยู่ ๓ ปี จนครบ ๓ ปีแล้วถึงได้ออกจากฮวงซุ้ยนั้นมา นั่นประเพณีไง

แล้วดูสิ เวลาประเพณีแต่งงาน เห็นไหม มีชุดเล็กชุดใหญ่ ประเพณีคนรวยก็ชุดใหญ่ คนจนก็ชุดเล็ก ประเพณี...เพราะเราเป็นประเพณีมันเป็นสิ่งที่ดีนะ วัฒนธรรมประเพณีเป็นของที่ดี เพราะวัฒนธรรมทุกคนน่ะมันก็พยายามทำให้คนมีความสุข แต่ความสุขได้แค่นั้นไง ความเห็นแค่นั้น

แม้แต่ในศาสนาพุทธเราก็เหมือนกัน ในการให้ทานนี่มันก็เป็นประเพณีนะ ดูเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ ในอนุปุพพิกถา เห็นไหม เรื่องทาน เรื่องศีล เรื่องเนกขัมมะ เรื่องสวรรค์ นี่ต่างๆ ขึ้นไป มันก็ต้องพัฒนาขึ้นไปไง แต่ในศาสนาพุทธเรา เวลาพัฒนาขึ้นไปแล้วมันถึงที่สุด

เวลาเรื่องในลัทธิต่างๆ เขาปฏิเสธกัน ปฏิเสธพระเจ้า พระเจ้าหลายองค์ พระเจ้าองค์เดียว นี่เขาก็โต้เถียงกัน แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธหมดเลย ปฏิเสธพระเจ้า ปฏิเสธการพึ่งพาอาศัยทั้งสิ้น พึ่งพาอาศัยตัวเราเองไง แต่การจะพึ่งพาอาศัยตัวเราเองขึ้นมา มันก็ต้องตั้งแต่ทานขึ้นมา เห็นไหม ตั้งแต่ทาน ทานไปไหนล่ะ ทานเวลาทำบุญกุศลกัน เราทำทานสละให้ใคร ก็สละให้พ่อแม่ปู่ย่าตายายของเรา เราสละทานเพื่อใคร ก็เพื่อชีวิตของเรา เพื่อจิตของเรามันได้บุญกุศล ได้ทานอันนี้มันก็ไปเกิดดีเกิดชั่ว เกิดดีก็เกิดในวัฏฏะ เกิดเป็นบุญกุศลขึ้นมา มันก็เกิดดี นี่มันมีไง

ถึงว่าในโลกนี่ โดยสามัญสำนึกของทั่วโลกทุกลัทธิทุกศาสนาเลยกลัวผี เริ่มต้นตั้งแต่ถือผีถือสางถือกันมาทั้งนั้นเลย เพราะอะไร เพราะยังไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว ก็ถือตรงนี้ขึ้นมาเหมือนกัน เพราะอะไร เพราะจิตวิญญาณก็คือผี จิตวิญญาณ เห็นไหม ว่าศาสนาแก้เรื่องจิตวิญญาณ เรื่องของจิตวิญญาณนะ เพราะความสุขความทุกข์ของจิตวิญญาณ

นี่บ้า ๕๐๐ จำพวก ถ้าใครสนองตัณหาของตัวเองได้ คนนั้นก็มีความสุข เห็นไหม ความสุขของประเพณีวัฒนธรรมไง ประเพณีวัฒนธรรมและความเชื่อ

ความเชื่อ เห็นไหม ศรัทธาความเชื่อ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดนะว่านี่เป็นอริยทรัพย์ ถ้าไม่มีความเชื่อ ไม่มีศรัทธาเลย เราจะทำอะไรไม่ได้เลย ถ้าเราไม่มีความนึกคิด เราไม่มีความศรัทธา ไม่มีความจงใจ เราจะทำอะไรได้ เราจะไม่เชื่ออะไรสิ่งใดเลย ความเชื่อ เห็นไหม แต่ความเชื่อนี่เป็นศรัทธา เป็นหัวรถจักรดึงให้เราเข้ามาสร้างคุณงามความดี แล้วคุณงามความดีของใคร?

ดูในครอบครัวของเราสิ ลูกคนนี้เป็นลูกที่ดี กตัญญูกตเวที ลูกคนนี้เป็นลูกที่เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ ลูกคนนี้ดีมากเลย ในสังคมจะยกย่องเชิดชูว่าเด็กคนนี้เป็นคนดี นี่เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ ทำคุณงามความดีในบ้านนี่เป็นความดี ความดีก็เป็นความดีของโลกๆ ไง โลกเป็นสภาวะแบบนี้

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “พระอรหันต์ในบ้าน” เห็นไหม พระอรหันต์ เราไปหาพระอรหันต์กัน พระอรหันต์ที่เราไปแสวงหากัน พระอรหันต์ในหัวใจนี่ นี่มันมีธรรมโอสถ สิ่งนั้นมันเป็นสิ่งที่ว่าจะทำให้เรา เป็นสิ่งที่ถ้าทำให้จิตวิญญาณมีความสุข

แต่ถ้าพระอรหันต์ในบ้าน เห็นไหม เราเกิดมาจากพ่อจากแม่ พ่อแม่นี่ให้ชีวิตเรา ให้ร่างกาย ให้ชีวิตเรา นี่เป็นพระอรหันต์ ให้การเกิด ถ้าไม่มีเรา ไม่มีจิตวิญญาณอันนี้ เราจะไปแสวงหาพระอรหันต์ข้างนอกได้อย่างไร? พระอรหันต์ในบ้านของเราคือพ่อแม่ของเรา แล้วพ่อแม่ของเราเป็นพระอรหันต์ในบ้าน เพราะอะไร เพราะสิ่งที่ว่ามาตุฆาต เห็นไหม ทำลายพระอรหันต์ ฆ่าน่ะมีศักดิ์ศรีเท่ากัน แล้วพระอรหันต์ของเราในบ้านของเรา พระอรหันต์ของเราแล้วให้ชีวิตเรามา พระอรหันต์ในบ้านเรากิเลสเต็มหัวใจเลย เพราะอะไร

พระอรหันต์ในบ้านก็เรื่องจิตวิญญาณ ก็ยังมีความสุข มีความเรียกร้อง เห็นไหม สิ่งนี้มันเป็นเรื่องโลก เรื่องสืบต่อ เรื่องการพัฒนา พระอรหันต์ในบ้านของเรานะ ถ้าเราอุปัฏฐาก เราดูเราแลของเรา เพราะบุญคุณ.. บุญคุณการเกิดนี่สำคัญมากนะ เลี้ยงคนนี่แสนยาก เกิดมาแต่ละคนกว่าจะถนอมรักษามา เห็นไหม ดูสิ “เลี้ยงตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย” เลี้ยงดูแลมา ความรักของพ่อแม่เป็นความรักที่บริสุทธิ์ ไม่ต้องการสิ่งใดๆ จากลูกเลย ต้องการให้ลูกนี่มีที่ยืนในสังคม มีที่อาศัย เห็นไหม นี่พระอรหันต์ในบ้าน เพราะมีอันนี้มา นี่พัฒนามา แล้วพัฒนาขึ้นมา

ลูก! ลูกเปิดใจพ่อใจแม่ เห็นไหม ดูสิพระเจ้าสุวรรณสาม หาบพ่อหาบแม่ไว้คนละข้างเลย อุปัฏฐากตลอดเวลา แต่ถ้าเราอุปัฏฐากพ่ออุปัฏฐากแม่ อุปัฏฐากด้วยการพาทำบุญกุศล พาทำบุญกุศลนะ เพราะอะไร เพราะสิ่งที่แสวงหามา พ่อแม่ก็รักลูก ลูกก็รักพ่อแม่ ถ้ารักพ่อแม่ สิ่งใดในตระกูลของเราก็สงวนรักษาสิ่งนี้ไว้ให้เป็นสมบัติของตระกูล

เป็นสมบัติของตระกูล...สมบัติของโลกนี้นะ แต่ถ้าพากันออกแสวงหา ออกทำบุญกุศล สร้างบุญกุศล เพราะอะไร เพราะทุกคนเกิดมาแล้วต้องตาย การตายไปมันจะได้บุญกุศลต่อไป เห็นไหม การตายไป

สมัยพุทธกาลนะ เวลาพวกคหบดีที่ทำบุญกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วไปเกิดเป็นเทวดา นี่ซึ้งบุญซึ้งคุณนะ “เราได้อันนี้มาเพราะใคร? ได้อันนี้มาเพราะใคร?” เห็นไหม บุญนี้ได้มาเพราะใคร? “เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” เราทำบุญกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าส่งผลอันนี้ขึ้นมาไง ส่งผลขึ้นมาให้เราไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เห็นไหม นี่เลี้ยงข้ามภพข้ามชาติ เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่นี่เลี้ยงข้ามภพข้ามชาติเลย

แล้วดูสิ ดูอนาถบิณฑิกเศรษฐี เห็นไหม เลี้ยงลูก เป็นเศรษฐีให้สมบัติทางโลกเยอะแยะให้เท่าไหร่ก็ได้ สมบัติแก้วแหวนเงินทอง ตัวเองก็เป็นพระโสดาบัน แล้วก็พยายามชักจูง ลูกสาวก็เป็นพระสกิทาคามีด้วย แต่ลูกชายไม่เอาอะไรเลย ไม่เอาอะไรเลยนะ จ้าง! จ้างให้ไปฟังเทศน์นะ จ้างให้ไปอยู่ที่วัดก่อน พอจ้างอยู่วัด นี่ได้เงินมา เห็นไหม มาถึงก็มาเบิกเงิน วันนี้ไปวัดมาแล้ว ได้เงินมา เห็นไหม เข้าไปสัมผัสก่อน

เสร็จแล้ว เอ้า..เริ่มต้นนะ ต่อไปนี้ขอให้จำคำพูดสักคำหนึ่ง ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดว่าอะไร พอไปจำคำพูดนี่มันเอาเนื้อหาสาระ พอเนื้อหาสาระนี่มันสะเทือนใจ มันสะเทือนใจเพราะอะไร เพราะสิ่งนี้มันธรรมโอสถ มันสะเทือนหัวใจจนเป็นพระโสดาบันนะ

พอเป็นพระโสดาบัน กลับไปบ้าน เห็นไหม ถึงเวลาต้องไปเบิกตังค์กับพ่อทุกวันเลย กลับจากวัดจะเอาตังค์นะ คราวนี้ไม่กล้าไปเอาเลย เพราะเงินข้างนอกมันจะมีคุณค่าอะไรเท่ากับเงินในหัวใจ จะเท่ากับอริยทรัพย์จากภายใน อาย! อายมาก! อายพ่ออายแม่มากเลย “พ่อแม่เลี้ยงดูเรามาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย ให้สมบัติมา สมบัติจะเอาเท่าไหร่ก็ได้ แต่ไม่เข้าใจสมบัติสิ่งที่เป็นอริยทรัพย์เลย” พอได้มานี่มันอาย ไม่กล้าไปรับเงินนะ นี่พ่อแม่เลี้ยงลูก นี่เลี้ยงลูกจากภายนอกจากภายใน

ในศาสนาของเรา ประเพณีวัฒนธรรมก็ส่วนเป็นประเพณีวัฒนธรรม มันต้องมีประเพณีวัฒนธรรมเป็นรูปธรรมที่จะให้เริ่มต้นขึ้นมา อย่างเช่นเราจะเริ่มภาวนา “จิตคืออะไร? จิตคืออะไร?” ไม่รู้จักอะไรกันหรอก ต้องให้คำบริกรรมพุทโธ พุทโธ พุทโธ

พอบอกพุทโธก็สบประมาทนะ พุทโธมันหยาบ ไม่ใช่..ต้องใช้ปัญญา นี่มันไปอวดดีอวดเก่งกับธรรมะไง ต้องเป็นธรรมะ ต้องเป็นปัญญา ปัญญานี่โลกียปัญญา ปัญญาวิชาชีพอย่างนี้ปัญญากิเลสพาใช้ทั้งนั้น แล้วถ้าปัญญากิเลสพาใช้ มันก็วนอยู่ในอ่าง

เรือเวลาออกไปทะเล ไม่มีหางเสือ ไปมันไม่มีหางเสือ ไม่มีเข็มทิศ ก็วนอยู่กลางทะเล พอออกไปนะ น้ำจืดก็เอาไปพร้อม ทุกอย่างก็เอาไปพร้อม มันจะไปน้ำหมดนะ เสบียงหมด มันจะไปตายกันกลางทะเลนะ

นี่ก็เหมือนกัน เวลาประพฤติปฏิบัติ มันไม่มีสติ ไม่มีคำบริกรรม ไม่มีจุดยืน ใช้ปัญญาๆ มันก็เหมือนเรือไม่มีหางเสือ ออกไปทะเลนะเดี๋ยวมันก็ไปล้มเลิกที่นั่นไง เพราะอะไร เพราะภาวนาไปแล้วมันไม่ได้อะไรไง เริ่มต้นก็ตั้งใจภาวนากัน เริ่มต้นก็ตั้งใจ อู๋ย..จะทำคุณงามความดีกัน เสร็จแล้วไปไม่รอด ทำอะไรก็ไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่ได้ผล ทำอะไรก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย เพราะอะไร

เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน ว่าเริ่มต้นตั้งแต่ให้มีคำบริกรรมก่อน ติดหางเสือให้มัน ถ้ามันเป็นเรือสมัยโบราณก็มีเรือใบ ชักใบขึ้น ดึงหางเสือขึ้น แล้วมีเข็มทิศเดินไปตามนี้ มันจะเข้าฝั่ง พาเรือเข้าฝั่งให้ได้ เห็นไหม ฝั่งคืออะไร ฝั่งโอฆะ โอฆะคือโลกไง โลกธรรม สิ่งต่างๆ เห็นไหม ในโอฆะ ในสิ่งที่การเกิดการตาย กามราคะ โอฆะให้เกิดให้ตาย นี่มันจะพาเข้าฝั่ง

ถ้ามีภาวนามยปัญญา ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติจะสลดสังเวชเรื่องอย่างนี้มากเลย เพราะปัญญาพาใช้นี่ ถ้าปัญญาพาใช้ที่เขาใช้กันอยู่นี่มันเป็นปัญญาอบรมสมาธิเท่านั้นล่ะ ปัญญาที่ใช้กันอยู่นี่ ที่ว่าปัญญาๆ สิ้นสุดกระบวนการของปัญญาคือเป็นการปล่อยวาง สิ้นสุดกระบวนการของปัญญาคือสมถะ เพราะอะไร เพราะเริ่มต้นจากมือสกปรก ถ้าเราล้างสะอาดแล้ว ถ้าล้างมือสะอาดก็มือสะอาด แล้วมือนี่มันยังมีมืออยู่

จิตก็เหมือนกัน จิตที่มันคิดๆ อยู่ ที่ว่าความคิดนี่ ปัญญาๆ นี่ พุทโธนี่ไม่มีปัญญา ต้องใช้ปัญญา มันอันเดียวกันนั่นน่ะ เพียงแต่ว่าเป็นปัญญาอบรมสมาธิ แต่ถ้าพุทโธนี่มันเริ่มต้น เห็นไหม พูดถึงน่ะมันได้บุญกุศลมหาศาล ครูบาอาจารย์ท่านบอก “กำหนดพุทโธคำเดียวสะเทือนสามโลกธาตุ”

เพราะเรานึกถึงพุทโธสิ ดูอนาถบิณฑิกเศรษฐีอีก เห็นไหม ไปเยี่ยมญาติ เห็นที่บ้านเขาเตรียมอาหารกันจะเลี้ยงพระพุทธเจ้า

“นี่ทำอะไรกันอยู่? มีงานอะไร? มีงานอะไร?”

“นี่จะเลี้ยงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า”

“พุทธะ.. พุทธะมีแล้วเหรอ? พุทธะตรัสรู้แล้วเหรอ?” อู๋ย.. ดีใจจนนอนไม่หลับเลย

เขาแสวงหาขนาดนั้นนะ ดีใจมาก เพราะอะไร เพราะเหมือนกับเรา เห็นไหม โรคร้ายที่ไม่มียารักษา ถ้ามียารักษาเราพอใจไหม?

นี่ก็เหมือนกัน มันต้องการแสวงหาอยู่ แต่มันยังไม่มีอยู่ แล้วเรานึกถึงคำว่าพุทโธ เพียงแต่ว่าเดี๋ยวนี้พุทโธ พุทโธ กลายเป็นพุทโธ่ กลายเป็นเรื่องเหนื่อยหน่าย เรื่องน่าอนาถไง พุทโธไม่ใช่พุทโธ่! พุทโธ พุทโธของเรา พุทโธ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

เราเอ่ยถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราพูดถึงคนดี เรานึกถึงในหลวง เราคิดถึงคนที่มีศักยภาพในทางบารมี มันเป็นความชุ่มชื่นใจ เห็นไหม ชุ่มชื่นใจของเรา พุทโธ พุทโธนี่ระลึกถึงพระพุทธเจ้า แล้วพระพุทธเจ้าคืออะไรก็ไม่เคยเห็น ถ้าเรานึกถึงพุทโธ พุทโธ เรานึกถึงพระพุทธเจ้า เห็นไหม เทวดา อินทร์ พรหมต่างๆ ที่เขาเคยสัมผัสมา เขารู้เลยคนนี้บ่นบริกรรมถึงอะไรอยู่ สิ่งนี้เป็นคุณงามความดีของเรา เริ่มต้นมันสะเทือนอย่างนี้ไง

นี่กระดาษขาวนะ กระดาษนี่เวลาเราเขียนหนังสือไปบนกระดาษ มีตัวอักษรใช่ไหม นี่ก็เหมือนกัน จิตมันเป็นปกติของมัน มันไหลไปตามธรรมชาติของมัน เรากำหนดพุทโธ พุทโธ เราเขียนสิ่งที่พุทโธ เขียนสิ่งที่ดีขึ้นไป เทวดารู้เทวดาเห็นแน่นอน สิ่งนี้มันเป็นประโยชน์กับเรา เห็นไหม นี่พุทโธ พุทโธ พุทโธไป เราคิดถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เวลาเราคิดถึง เราระลึกถึง แก้วสารพัดนึก ถ้าเรานึกได้นะ ถ้าเรานึกได้..

เรานึกไม่ได้ เรานึกไม่ออก เรานึกไม่เป็น เวลาบอกวิญญาณาหาร วิญญาณมันเป็นเรื่องของความรู้สึก อย่างนี้นึกเอา ก็การทุจริตก็นึกเอา ถ้าคนไม่เป็นมันนึกเอาได้ไหม ความคิดนี่มันอยู่ในกรอบของขันธ์ ๕ กรอบของข้อมูล กรอบของสัญญา มันคิดมากไปกว่านี้ไม่ได้หรอก

จินตนาการก็เป็นจินตมยปัญญา การจินตนาการไปถูกหรือผิดล่ะ ถ้ามันมีสมาธิ มันมีสติ การจินตนาการขึ้นมานะ มันเป็นการจินตนาการการเบิกกว้างไปก่อน แล้วการทดสอบพิสูจน์ การทดสอบพิสูจน์น่ะมันภาวนามยปัญญา การที่ใช้ปัญญาเป็นภาวนามยปัญญาเกิดขึ้นมา มันต้องจิตสงบขึ้นมา เห็นไหม แล้วคิดในอะไร ถ้าเขาคิดในเรื่องวิชาการต่างๆ วิชาการมันเป็นเรื่องอะไร มันเป็นเรื่องขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม?

แต่ถ้ามันเป็นประสบการณ์ของเรา เป็นความทุกข์ของเรา เป็นความลังเลสงสัยของเรา มันปลดเปลื้องความลังเลสงสัยของเรา ปัญญารอบรู้ในกองสังขาร ปัญญามันรู้ปัญญา ปัญญารู้ในปัญญา ปัญญาที่คิดๆ อยู่นี่ปัญญาคิดโดยกิเลส แล้วมีปัญญาที่ปลดเปลื้องขึ้นมา ปลดเปลื้องขึ้นมา เห็นไหม ปัญญาเข้าไปปลดเปลื้อง เพราะอะไร เพราะว่ามันติดไง มันติดในอะไร มันติดในกาย เวทนา จิต ธรรม

ถ้ามันปลดเปลื้องขึ้นมา ปัญญาอย่างนี้มันแยกแยะออกไป แยกแยะออกไปมันเห็นอะไร มันเห็นการปล่อยวาง ปล่อยวางอะไร ปล่อยวางโดยเชื้อโรคไง ปล่อยวางโดยพิษไข้ไง การที่กำหนดพุทโธ พุทโธ หรือการที่ปัญญาอบรมสมาธิแค่นี่มันล้างมือให้สะอาด เห็นไหม สะอาดตัวเชื้อ ตัวมือนี่มันอยู่ ตัวใจมันอยู่ มันได้แก้ไข แต่ถ้าปัญญาในกองสังขารมันแยกมันแยะออกไป

ในมือนี่ ตัวมือนี่มันประกอบด้วยอะไร ตัวมือนี่มันจะทำลายจนมือนี่นะหมดๆ มือนี่ทำลายหมดเลย ทำลายความยึดมั่นถือมั่นในมือนี้ไง ความรู้สึกในมือนี้คือตัวใจไง ตัวใจมันยึดในมือนี้ ความรู้สึก! ทำลายความรู้สึก รู้สึกนั้นโดนทำลายไป ความรู้สึกโดนอวิชชาทำลายไป มือก็อยู่อย่างนั้นนะ

นี่ป่ารกชัฏคือกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจ นี่ตัดป่าแต่ไม่ได้ทำลายสิ่งใดๆ เลย เห็นไหม ตัดป่า ตัดกิเลส เพราะความคิด เห็นไหม เวลาพระอรหันต์ ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์ เวลาเป็นปุถุชนกันน่ะขันธมาร กิเลสมันเป็นมารมันอยู่ในขันธ์นั้น มันก็เลยทำให้มือนี้มันทำทุจริต แต่ถ้ามือมันสะอาดแล้วขันธ์ก็มีอยู่อย่างนั้นล่ะ เห็นไหม ขันธ์

นี่ตัดป่า ตัดกิเลสตัณหาความทะยานอยากในความคิดนั้น แต่ไม่ได้ทำลายมืออันนั้น เห็นไหม นี่ตัดกิเลสความรกชัฏออกไป ตัดป่าแต่ยังอยู่ครบ ทุกอย่างไม่ได้บุบสลายไปเลย แต่ตัดกิเลสตัณหาความทะยานอยาก นี่ภาวนามยปัญญาเป็นอย่างนี้ มันภาวนาเกิดขึ้นมา มันพัฒนาขึ้นมาจากประเพณีวัฒนธรรมนะ

ถ้าเราแสวงหาอย่างนี้ เห็นไหม เราแสวงหา พระอรหันต์ในบ้านก็พ่อแม่เราไง พ่อแม่เรานี่พระอรหันต์ในบ้าน ทำให้เราเกิดมา ท่านเลี้ยงดูเรามา

พระอรหันต์ในหัวใจ นี่พุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ในหัวใจเรา เรารักษาเอง เราค้นคว้าเอง พระอรหันต์เกิดมาจากใจของเรา ถ้าพระอรหันต์เกิดมาจากใจของเรานะ นี่อภิชาตบุตร เบิกทางให้พ่อให้แม่ได้ เข้าใจพยายามทำหัวใจให้เปิดกว้าง ทำหัวใจให้หูตาสว่าง เห็นไหม หูตาสว่างจากภายในนะ มันจะเปิดกว้างมาก มันจะไม่เข้าไปติดกับในวัฏฏะ มันจะพ้นออกไป

เวลาทั่วไปเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม ผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินะ ถ้าไปเกิดเป็นอย่างนั้นเศร้าใจนะ เพราะอะไร เพราะมันเสียเวลาเปล่า เสียเวลาเปล่านะ เราไปเสวยสุขแล้วสุขมันเป็นอนิจจัง ทุกอย่างเป็นอนิจจังหมด มันเป็นของชั่วคราว มันมีวาระ มันหมดวาระมันแล้วมันต้องหมุนเปลี่ยนแปลงไป ความเปลี่ยนแปลงไปอย่างนี้มันก็ต้องสุขต้องทุกข์ไปอย่างนี้ เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวกันไปอย่างนี้

แต่ถ้าเข้าใจถึงสัจธรรมแล้ว ความไม่เปลี่ยนแปลงความคงที่นะ วิมุตติสุขนี่คงที่ ความคงที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ความไม่มีการเปลี่ยนแปลงมันอิ่มในตัวมันเอง ความสุขที่ว่าไม่ร้อนไม่หนาวไปกับเขา มันมีความสุขอย่างยิ่งในหัวใจอย่างนี้ นี่พระอรหันต์ในหัวใจของเรา

เราเกิดมาจากพระอรหันต์ในบ้าน เราฟังธรรมของครูบาอาจารย์ ฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ที่เทศน์อยู่ก็ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดล่ะ เพราะพุทธปัญญาครอบทั้งหมด สาวก สาวกะนี่แตกแขนงเป็นกิ่งก้านออกมา สิ่งนี้แล้วเราฝึกฝนขึ้นมาจนเป็นพระอรหันต์ในหัวใจของเรานะ

ใครจะสบประมาทว่าพูดถึงคำว่าอริยทรัพย์นี่แล้วมันน่าหัวเราะน่าเยาะเย้ยนะ ไอ้นั่นมันเรื่องของกิเลสตัณหาความทะยานอยากนะ เรื่องของความมืดบอด สุขทุกข์มันก็บอกอยู่กับใจ สุขก็สุขที่ใจ ทุกข์ก็ทุกข์ที่ใจ แล้วถ้ามันเกิดวิมุตติสุขขึ้นมา มันทำไมจะเป็นไปไม่ได้?

เชื้อมันมี ฐานะมันมี เหตุผลมันมี สิ่งที่มีอยู่แล้วปฏิเสธว่าไม่มี เป็นไปได้อย่างไร? ถ้าเราทำของเราขึ้นมา ใครหัวเราะเยาะเพราะจิตเขาหยาบ จิตเขาเข้าไม่ถึง เห็นไหม เขาพัฒนาไปเขาก็เข้าได้ถึงแค่ประเพณี ถือผีถือสางไป ถ้ามันดีขึ้นมาก็เป็นเทวดา อินทร์ พรหม ถ้าพิจารณาขึ้นมาเป็นอริยทรัพย์จากภายใน

นี่ศาสนาพุทธสุดยอดและประเสริฐ! สุดยอดและประเสริฐ เพียงแต่วิวัฒนาการ พัฒนาหัวใจ วุฒิภาวะขึ้นมาเป็นชั้นเป็นตอน ผีก็ไม่ปฏิเสธ เพราะอะไร เพราะคนต้องเริ่มต้นจากผี ผีคือตัวเรา ผีคือจิตวิญญาณนี่ พัฒนาขึ้นมาจนมันเป็นอริยภูมิขึ้นมา จนมันเป็นความสุขขึ้นมาจากภายในหัวใจ

สิ่งนี้เกิดจากเรา สิ่งนี้เกิดในพุทธศาสนา ประเพณีวัฒนธรรม วัฒนธรรมต่างๆ การปะทะของวัฒนธรรมเรารับรู้ไว้ ต้องเคารพทุกอย่าง ดูมันมีคุณค่าทั้งหมด เพียงแต่เราหยิบเป็นคุณค่าหรือจะมองเป็นโทษ ถ้ามองเป็นโทษนะ ถ้าพัฒนาขึ้นมาแล้วเป็นโทษ เห็นไหม เพราะอะไร เพราะมรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด แต่ถ้าขณะที่เริ่มต้นเป็นประโยชน์กับคนที่เริ่มก้าวเดิน

สะพาน ถนนหนทาง เป็นประโยชน์กับผู้สัญจรทั้งนั้น แล้วสะพาน ถนนหนทางของใครแคบกว้างต่างกัน แล้วถ้าไปถึงเป้าหมายเป็นประโยชน์ที่สุด ถ้าถึงเป้าหมายนะ แล้วยกขึ้นสูง ไปถึงถนนไม่ขาด ถนนไม่ชำรุดต่างๆ เราพัฒนาของเราไป เป็นข้อวัตรปฏิบัติเข้าไปถึงใจของเรา ถ้าถึงใจของเราก็ถึงตัวเรา ถึงพุทธะของเรา ถึงนิพพานในหัวใจของเรา เอวัง