เทศน์เช้า

เทศน์ค่ำ

๓ มี.ค. ๒๕๕o

 

เทศน์ก่อนเวียนเทียน วันมาฆบูชา
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจนะ ตั้งใจฟังธรรม นี่วันนี้วันสำคัญทางศาสนา เราถึงจะมาบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ การเวียนเทียนนี่เป็นการบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เพราะศาสนามีความสำคัญ วันนี้วันสำคัญทางศาสนา เราถึงจะมีความสำคัญนะ ถ้าเราเห็นความสำคัญของศาสนา เราจะทำบุญบูชาพระพุทธเจ้า ทำบุญบูชาไง

เพราะสิ่งที่ได้ความร่มเย็นเป็นสุขอยู่นี้ เราได้มาจากใคร เราได้มาจากพื้นฐานของศีลธรรม จริยธรรมนะ ถ้าพื้นฐานของศีลธรรมจริยธรรมดี เห็นไหม เราปลูกต้นไม้ กว่าต้นไม้มันจะออกดอกออกผลให้เราเก็บผล เราใช้เวลากี่ปี มนุษย์คนหนึ่งกว่าจะเกิดมา เห็นไหม แล้วหัวใจของเขาตั้งแต่เด็ก จนกว่าเขาจะโตขึ้นมา เราจะต้องฝึกฝนเขา เพื่อจะให้มีจิตสำนึกสาธารณะ

จิตสำนึกสาธารณะจะเกิดได้อย่างไร จิตสำนึกสาธารณะจะเกิดได้ตั้งแต่มีศีลธรรม มีศีลธรรมนะ ศีลธรรมไง คำว่าธรรมคือความเสมอไง เขาไม่เห็นแก่ตัวนะ ในครอบครัวของเรา พ่อแม่พี่น้องปู่ย่าตายายมีความสมานฉันท์ มีความร่มเย็นเป็นสุข เห็นไหม สิ่งนี้เป็นความสุข เกิดมาจากไหนล่ะ เกิดมาจากศีลธรรม จริยธรรม ศีลธรรม เห็นไหม แล้วถ้าเป็นวันสำคัญทางศาสนา เรามาเวียนเทียน เวียนเทียนเพื่ออะไร เพื่อให้หัวใจมันเข้มแข็ง หัวใจนี่เข้มแข็งนะ

เวลาพูดถึงศาสนา มันเป็นเรื่องสิ่งที่เราคาดไม่ได้ เราหมายไม่ได้ อะไรคือศาสนา ทุกคนจะบอกว่าเรานี่ทำความดีมามาก เราทำบุญกุศล เราสร้างความดีมาทั้งนั้นเลย ทำไมชีวิตเรามีแต่ความทุกข์ล่ะ เห็นไหม มันไปคิดกันอย่างนั้นไง ว่าถ้าเราทำบุญกุศล แล้วจะต้องตอบสนองตามความต้องการความปรารถนา ความปรารถนา เห็นไหม ฟังสิ! คำว่าความปรารถนามันเป็นตัณหาความทะยานอยาก ตัณหาความทะยานอยากนะ ทะยานอยากมาแล้วมันไม่สมความต้องการ ไม่สมความทะยานอยากนั้น เราก็เป็นทุกข์ในหัวใจ

แต่ถ้าเป็นมรรคล่ะ เป็นมรรค เห็นไหม เราทำคุณงามความดี เราปลูกต้นไม้ เราหมั่นรดน้ำพรวนดิน สิ่งที่ออกมาเป็นผลมันออกมาจากไหน มันออกมาจากปลายนะ เรารดน้ำที่โคน ผลมันจะออกที่ปลาย

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราทำคุณงามความดี ความดีก็เพื่อความดีไง เราทำเพื่อเรานะ เราทำเพื่อเรา ความดีเกิดจากเรา ถ้าเรามีความเสียสละ เห็นไหม จิตใจสาธารณะเราเกิดขึ้น ถ้าเราเกิดขึ้นนะ สิ่งนี้มันก็เป็นเรื่องของสังคม เรื่องของโลก หัวใจเราไม่ว้าเหว่จนเกินไป ไม่ว้าเหว่นะเพราะอะไร?

เพราะมันมีหลักใจเป็นที่ยึด ถ้าคนเราไม่มีหลักใจเป็นที่ยึด มันว้าเหว่นะ มันว้าเหว่ มันเรียกร้องในหัวใจ หน้าตานี่ดูสดชื่น แต่ในหัวใจมันว้าเหว่ สิ่งที่ว้าเหว่ มันเอาอะไรไปเติมมันล่ะ เห็นไหม สิ่งที่เติมมัน เราถึงต้องสะสมของเรา

ถ้าศาสนา เรามาใกล้ชิดศาสนา ถ้าถึงวันสำคัญทางศาสนา เห็นไหม เรามาบูชา บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พุทธะอยู่ที่ไหน พุทธะ เห็นไหม พุทธะคือความรู้สึกของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้นิพพานไปไหนเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่กลางหัวใจของเรา แต่เราก็ไม่รู้จักว่าพระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม ตรัสรู้ธรรมขึ้นมาที่ใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” แล้วถ้าใครปฏิบัติธรรมขึ้นไป ต้องไปกราบเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเข้าใจกันนะ เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาสอนนะ สอนบริษัท ๔ เวลาพระอานนท์ถามว่า

“ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว บริษัท ๔ ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าควรจะไปที่ไหน?”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “ให้ไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔” เห็นไหม ที่เกิด ที่ตรัสรู้ ที่เทศน์ธัมมจักฯ ที่ปรินิพพาน เราก็ไปอินเดียกัน เราก็จะไปเฝ้ากัน เราจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่มันก็เป็นไปนะ เวลาคนเขาไปเขาบอกว่าจะมีความระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะทำให้มีความศรัทธา เห็นไหม เราไปเฝ้าวัตถุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่ไหนมันก็มี ต้นโพธิ์ เห็นไหม เราว่าปลูกที่เมืองไทย ที่ไหนมันก็มี เห็นไหม แล้วสิ่งที่เขาจำลองมาสร้างในเมืองไทยก็มหาศาลเลย

แต่เวลาหัวใจของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีชีวิต องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เรียกร้องให้พวกเราค้นคว้าหาอยู่ แล้วมันอยู่กลางหัวใจของเรา สิ่งนี้ถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราจะได้เฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีชีวิตนะ สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีชีวิต มันโดนกิเลส มันโดนตัณหาความทะยานอยากในหัวใจนี่ปกคลุมไว้ แล้วเราก็เรียกร้อง

ดูสิ ทางโลกเขา เขาเรียกร้องความเป็นธรรมกัน หัวใจของเรานี่ก็เรียกร้อง เรียกร้องให้เราช่วยเหลือ เรียกร้องให้เราเป็นผู้ที่มีศรัทธา เรียกร้องให้เราหาอาหารของใจ เห็นไหม สิ่งที่อาหารของใจขึ้นมา ความดีอย่างนี้มันเป็นความดีจากนามธรรม สิ่งที่นามธรรม เห็นไหม แล้วถ้าไม่มีรูปธรรม ไม่มีศาสนพิธี มันจะเข้าไปถึงหานามธรรมอย่างนี้ได้อย่างไร นี่เราถึงต้องฝึกฝน

ถึงบอกว่าจิตสำนึกในสาธารณะจะเกิดขึ้นมา เราถึงต้องมีประเพณีวัฒนธรรมไว้เพื่อจะให้อนุชนรุ่นหลังได้ทรงไว้ซึ่งศาสนา สิ่งที่ทรงไว้ซึ่งศาสนานะ แต่ถ้าทรงอย่างนั้น เราทรงขึ้นมา เห็นไหม มันเป็นบันได เรามีบ้าน เราทำบ้านเรือน เราต้องมีบันไดขึ้นบ้าน เห็นไหม แม้แต่ในบ้านของเรายังต้องมีประตู ยังต้องมีชั้น เห็นไหม นี่ก็เหมือนกัน หัวใจถ้ามันยกระดับขึ้น เห็นไหม สิ่งนี้มันเป็นเครื่องยกระดับ ธรรมและวินัย ข้อวัตรปฏิบัตินี่ให้พระปฏิบัติปฏิบัติเข้ามาถึงใจ

ไอ้ของเรา เห็นไหม แพ้เรื่องของกิจกรรมในศาสนาไง วันสำคัญทางศาสนานี่เรายังต้องระลึกถึงไง ถ้าระลึกถึง เห็นไหม จิตใจสาธารณะ ระลึกถึงว่าสิ่งนี้เป็นวันสำคัญทางศาสนา มันก็เท่ากับระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะจิตที่ว่าพระพุทธเจ้าที่มีชีวิตอยู่คือความรู้สึกของเรา แต่เราไปหลงเพ้อกันเองไง เราไปค้นหาแต่สิ่งข้างนอกไง เราไปเที่ยวค้นหาแต่สิ่งที่ปัจจัยเครื่องอาศัยไง ถ้าเรามีสิ่งใดสมบูรณ์พูนผล สิ่งนั้นเราว่าเป็นศักยภาพ

ศักยภาพนะ คนดี ถ้ามีศักยภาพ มีปัจจัยเครื่องอาศัย เขาก็มีความสุขของเขา แต่ถ้าเขามีความทุกข์ขนาดไหนมันก็เป็นความทุกข์ ทุกข์จนเข็ญใจขนาดไหน ถ้ามีคุณธรรมในหัวใจนะ มันอยู่เย็นเป็นสุขไง เห็นไหม ความสุขแท้ๆ มันอยู่ที่ความรู้สึกอันนี้ ถ้าเป็นวัตถุมันก็คือวัตถุนะ มันไม่มีชีวิต สิ่งที่คนที่มีชีวิตไปเป็นเจ้าของใช่ไหม?

เราไปเป็นเจ้าของสมบัติต่างๆ โลกนี้มีเพราะมีเรา เพราะมีเรานะ ถ้าเราตายไป โลกก็เป็นอย่างนี้ สิ่งที่เป็นอยู่ เราก็เห็นกันอยู่ เห็นไหม เราก็เห็นคนเกิดคนตายอยู่ตลอดเวลา เขาตายไปแล้วเราก็อยู่กันได้ แล้วเขาเกิดมาเขาใช้ทรัพยากร แล้วสิ่งที่เกิดที่ตายอยู่นี่มันเป็นใคร มันมีบุญมีกรรมกันมานะ มีสายบุญสายกรรม ถ้าเราไม่มีบุญกรรมต่อกัน เราจะไม่มาเกิดเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูกกันหรอก มันจะเกิดขึ้นมา มันจะเกิดลอยๆ ไม่ได้หรอก ไม่มีสิ่งใดเกิดลอยๆ เห็นไหม สิ่งที่เกิดขึ้นมา มันต้องมีบุญมีกรรมสัมพันธ์กันมา

สิ่งที่สัมพันธ์กันมา ดูสิ เวลาลูกเรา เวลาครอบครัวของเรา คนนี้เรามีความผูกพันลึกซึ้ง คนนี้เรามีความผูกพันปานกลาง คนนี้เรามีความรู้สึกเป็นปกติธรรมดา สิ่งผูกพันอย่างนี้มันมีนะ นี่เวรกรรมที่ลึกตื้นต่างกัน เห็นไหม สิ่งที่ลึกตื้นต่างกันอยู่ในหัวใจ สิ่งนี้ถ้าเราเข้ามาจากภายใน เห็นไหม ความรู้สึกอันนี้ นี่สิ่งที่มีคุณสมบัติมาก

ในศาสนาพุทธของเรามีตั้งแต่เริ่มต้นตั้งแต่เรื่องทาน เรื่องศีล เรื่องภาวนา ถ้าไม่มีตั้งแต่เรื่องทาน แล้วไปเริ่มตั้งแต่เรื่องภาวนา ถ้าภาวนา เห็นไหม ต้นไม้นะ ถ้าไม่มีแก่น ถ้าไม่มีกระพี้ ไม่มีเปลือก มันจะอยู่ได้อย่างไร ต้นไม้ก็ต้องมีแก่น เห็นไหม มีแก่น แก่นของศาสนา รากของศาสนาเป็นเรื่องของอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

เวลาเขาไปถามว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร ตรัสรู้ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นี่เป็นปริยัตินะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตัดกิเลส อาสวักขยญาณในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่างหาก ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคนี้เป็นอริยสัจ หัวใจนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ อริยสัจนี้เป็นวิธีการ เพราะมันยังสืบต่อ มันยังคุย มันยังเป็นวิธีการที่เราจะอธิบายได้นะ

แต่เวลาจิตมันกลั่นออกมาจากอริยสัจ มันพ้นออกไปเป็นวิมุตติสุข พ้นจากกิเลสไป เห็นไหม สิ่งนี้ต่างหากที่เป็นคุณธรรมในศาสนาของเรา นี่มันทำได้

ถ้าทำได้ เพราะขนาดที่ว่าเรื่องของปัจจัยเครื่องอาศัย เรายังเอามาเป็นความเป็นภาระพะรุงพะรังกับชีวิตของเราเลย แล้วสิ่งนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกนักรบ เห็นไหม ผู้ที่ออกประพฤติปฏิบัติให้สละให้หมด ให้มีบริขาร ๘ สิ่งที่บริขาร ๘ มันเป็นความจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต ถ้าดำรงชีวิตนี้เพื่ออะไร เพื่อค้นคว้าหาธรรม เพื่อค้นคว้าหาธรรมนะ ถ้าค้นคว้าหาธรรม ต่อสู้กับใคร ต่อสู้กับกิเลสในหัวใจของเรา เห็นไหม นี่มันละเอียดอ่อนเข้ามาไง

แต่เราไปมองกันมองแต่วัตถุนะ พระก็ต้องอยู่ที่ความร่มเย็นเป็นสุข ต้องร่มเย็นเป็นสุขของใคร ถ้าร่มเย็นเป็นสุขของโลกก็ต้องอำนวยความสะดวกกัน เห็นไหม ถ้าร่มเย็นความเป็นสุขของโลก กิเลสมันก็ตัวใหญ่ มันก็อ้วน มันก็ทับถมหัวใจ นี่ที่ว่ากิเลสมันปิดบังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในหัวใจมันเป็นอย่างนี้

ถ้ากิเลสมันปกคลุมในหัวใจของเรา ปกคลุมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราจะเอาวิธีการอะไรไปค้นคว้ามัน?

เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรื่องของทาน เราสละทาน เราสละทานเพื่อฝึกฝนใจ ถ้าใจของเรานะ น้ำถ้ามันสกปรก เห็นไหม น้ำถ้ามันน้ำเสีย เขาต้องพยายามทำความสะอาดมันเพื่อจะเอาน้ำเสียนี่ปล่อยออกไปเพื่อเป็นประโยชน์ต่อไป เพื่อใช้สอยต่อไป ต่อไปน้ำจะหายาก

หัวใจของเราก็เหมือนกัน หัวใจของเรานี่มันมีความคิด เห็นไหม ถ้า! ถ้ามีการเกิดที่ไหน มันต้องมีเชื้อไขของมัน มันต้องมีเหตุของมัน เหตุที่พาให้เกิด แล้วเหตุที่พาให้เกิด เห็นไหม เราไม่รู้เลย ถ้าเราจะกำจัด เราจะค้นคว้าในเรื่องการปฏิบัติ เห็นไหม แล้วน้ำเราน้ำสกปรก น้ำของเรามันมีเชื้อไข แล้วของสกปรกจะไปล้างสิ่งที่สกปรก มันจะเป็นไปได้ไหมล่ะ

สิ่งนี้มันเป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็นไปไม่ได้ เราจะทำอย่างไร? ถึงนี่ทาน ศีล ภาวนา..

ถ้าเรื่องของทาน มันเริ่มตั้งแต่การเปิด เปิดให้มีการแก้ไข เปิดให้หัวใจมันได้ทำความสะอาดในหัวใจของมัน การเสียสละนี่เพราะอะไร เพราะสิ่งต่างๆ เป็นสมบัติของเรา คนทุกข์คนยากนะ ของเล็กน้อยก็มีคุณค่า คนมั่งมีศรีสุขนะ ของมากขนาดไหนเขาก็ดูเป็นของเล็กน้อย

สิ่งที่เล็กน้อยจะสละออกไปจากใจ คนทุกข์คนยากกว่าจะหามาเพื่อปากเพื่อท้อง มันก็เป็นเรื่องความลำบากลำบนพอสมควรแล้ว แล้วเราต้องสละออกไป เห็นไหม การสละออกไป มันสละสิ่งที่ว่ามันเป็นสิ่งที่มีคุณค่ากับความเป็นอยู่ของเรา แล้วถ้าเป็นสิ่งที่มีคุณค่ากับความเป็นอยู่ของเรา เราคือใคร เราคือร่างกายนี้เหรอ เราคือหัวใจไง ถ้าคนตายน่ะ คนตายมันมีความรู้สึกอะไร?

ถ้ามันสละออกไปนะ มันมีความรู้สึกกระเทือนหัวใจ ถ้าหัวใจนี้ได้สละออกไป เห็นไหม เป็นผู้ที่ชนะ เป็นผู้ที่เปิดออกๆ การเปิดออกอย่างนี้บ่อยครั้งเข้า เห็นไหม ทาน ศีล ภาวนา เรื่องของทานน่ะทำให้หัวใจมันมีการพัฒนาของมัน นี่แค่เรื่องของทาน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาตรงนี้เป็นอุบาย เป็นศาสนพิธีเพื่อจะให้สร้างศาสนทายาทไว้ สร้างศาสนทายาทนะ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นคว้าธรรมนี่แสนทุกข์แสนยาก ๖ ปีนี่พยายามค้นคว้านะ ค้นคว้าด้วยบารมีของพระโพธิสัตว์ ได้สละมหาศาลเลย ค้นคว้าสิ่งนี้มันเป็นละเอียดลึกซึ้ง แล้วเวลาวางธรรมไว้ เห็นไหม แล้วจะถึงอนุชนรุ่นหลังอย่างไร จะเป็นผลประโยชน์อย่างไร

เวลาเราสวดมนต์กัน เห็นไหม ปัญญาคุณ เมตตาคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่มหาศาลมาก ปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์ไม่ใช่เอารถบรรทุกบรรทุกไปหรอก รื้อสัตว์ขนสัตว์คือรื้อหัวใจ ให้หัวใจแต่ละดวงสะอาดบริสุทธิ์ ถ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์ เห็นไหม เพราะสัตตะ สัตตะเป็นผู้ข้อง สัตตะยังต้องเกิด มันยังเป็นสัตว์ในวัฏฏะ แต่ถ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์ด้วยมรรคญาณ ถ้ามรรคญาณนี่ ด้วยกรรมวิธี ด้วยอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ที่ปริยัติเขาบอกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อริยสัจ อริยสัจ..

อริยสัจมันเป็นวิธีการ! ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เห็นไหม

นิโรธ นิโรธะ แล้วนิโรธคือใคร นิโรธคือภวาสวะ นิโรธคือสิ่งที่รับรู้อยู่ แต่พ้นออกจากนิโรธไปคือใคร สิ่งที่พ้นออกไปจากนิโรธ สิ่งที่พ้นออกไปจากอริยสัจต่างหากถึงจะเป็นผลอันนี้ขึ้นมา เห็นไหม แล้ววางสิ่งนี้ไว้ ถึงต้องมีเปลือกหุ้มไว้ไง มีเปลือก มีกระพี้หุ้มสิ่งนี้ไว้ สิ่งนี้ศาสนพิธี ถ้าเราทำกัน มันจะเข้าถึงจุดนี้ได้

การกระทำต่างๆ ในศาสนาพุทธของเรานะ ไม่มีสิ่งใดๆ ได้มาโดยไม่มีเหตุไม่มีผล จะต้องมีเหตุมีผล จะต้องมีที่มาที่ไป ไม่มีสิ่งใดลอยมาจากอากาศ นี่การกระทำของเราต่างๆ สิ่งที่เราสละออก สิ่งที่เราทำมันมีผลทั้งนั้น แต่ผลหยาบผลละเอียดมันอยู่ที่เจตนา อยู่ที่ความตั้งใจของเรา

วันสำคัญทางศาสนา ถ้าเราเห็นคุณค่าของศาสนา เราจะเห็นคุณค่าของใจของเรา เรื่องของ ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นนามธรรม แล้วมันจะเข้าถึงความรู้สึกของเราเพราะความรู้สึกของเราเป็นนามธรรม

ศาสนาที่ละเอียดคือศาสนาสอนเข้ามาที่หัวใจ มันจะเป็นจิตสำนึกที่เป็นสาธารณะ มันจะเห็นส่วนประโยชน์ของครอบครัวเรา มันจะเห็นประโยชน์ของพี่น้องปู่ย่าตายาย มันจะมีความเคารพพ่อแม่ มีความเคารพปู่ย่าตายาย มีความเคารพถ้าเป็นพระก็มีความเคารพครูบาอาจารย์ เพราะสิ่งที่พ่อแม่ครูจารย์ หาเลี้ยงชีพ เห็นไหม หาปัจจัยเครื่องอาศัยเพื่อเลี้ยงชีวิต ยังหาคุณธรรม หาธรรมเข้ามาเลี้ยงหัวใจของเรา

ถ้ามีจิตสำนึกเป็นสาธารณะ มันจะเผื่อแผ่คนอื่น ไม่เห็นแก่ตัว เห็นไหม แต่ถ้าเป็นเรื่องของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันจะเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง สิ่งที่เป็นที่ตั้ง เห็นไหม เราฝึกฝนกัน สังคมก็สะดวก สังคมก็สบาย ประเทศชาติก็สบาย บ้านเราก็สบาย สิ่งใดๆ สบาย สบายในบุญในกรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลย

“บุญ.. บุญคืออะไร?” บุญคือความสุขใจ ในครอบครัวเรายิ้มแย้มแจ่มใส มีความสุขในครอบครัว นี้คือบุญมหาศาล บุญที่เป็นตัวเลข บุญที่ต่างๆ นี่เราขาดตกบกพร่อง มีคนเจือจานได้ มีคนช่วยเหลือกันได้ แต่เรื่องของหัวใจ ฝึกคนนี้ฝึกแสนยาก การประพฤติปฏิบัติดัดใจเรานี้ดัดยากที่สุด เราเห็นในครอบครัวของเรา เราอยากให้เป็นสิ่งที่เป็นคนดี มันยากไหมล่ะ มันยากนะ แล้วยังย้อนกลับมา เห็นไหม

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์ตรงนี้ ถ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์ตรงนี้ เพื่อเป็นประโยชน์กับสังคม ไม่ใช่ประโยชน์กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ไม่ต้องการสิ่งใดๆ จากพวกเราเลย แต่วางศาสนาไว้เป็นให้เราก้าวเดิน

เราระลึกถึงศาสนาก็คือระลึกถึงเรา ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คือบูชาหัวใจของเรา แล้วถ้าใครทำสมาธิได้ เห็นไหม จิตสงบลงมา นั่นล่ะคือตัวใจแท้ นั่นล่ะคือตัวองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน แล้วผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานนี่เริ่มมรรคญาณ แล้วมาทำลายผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เห็นไหม ให้ทำลายสิ่งนี้ สิ่งที่เป็นภวาสวะ เป็นภพ เป็นที่ตั้ง เป็นต่างๆ นี่มันจะเป็นความมหัศจรรย์สำหรับผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ถ้ามีประพฤติปฏิบัติ มันถึงจะถึงเป้าหมาย

เราถึงว่าถ้าการกระทำของเราในวันสำคัญทางศาสนา ศาสนาจะมีชีวิตชีวา ศาสนาจะมีคุณธรรม ศาสนาจะเป็นประโยชน์กับเรา เพราะเราเข้าถึงศาสนา เราถึงยกตัวของเราขึ้นมา เห็นคุณค่าของเราเอง เห็นคุณค่าของการกระทำที่จะเป็นบุญกุศลที่เป็นนามธรรม

สิ่งที่เป็นวัตถุ เห็นไหม รัฐบาลตั้งงบประมาณมาช่วยเหลือเราได้ทั้งนั้น แล้วแต่ใครจะดึงกันไป แต่ถ้าคุณธรรมในหัวใจ มันมีขึ้นมาจากเรา เราเป็นคนสร้างขึ้นมา เราถึงว่าจงใจ ตั้งใจ เปิดเจตนาให้กว้างเพื่อประโยชน์กับใจดวงนี้ เอวัง