เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๘ มี.ค. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ในเมื่อทางโลกร้อน เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลย “โลกนี้ ในสโมสรสันนิบาตทุกดวงใจว้าเหว่” โลกนี้ร้อนมากนะ เวลาโลกร้อน ร้อนเพราะคนที่มีทุกข์ถึงจะร้อน แต่คนที่เขามีความสุข เขาว่าเขามีความสุขนะ ความเข้าใจว่าเขามีความสุข เขาเพลิดเพลินของเขา แต่ถ้าคนมีธรรมในหัวใจมันสะเทือนหัวใจนะ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเตือนสติ “ในสโมสรสันนิบาตทุกดวงใจว้าเหว่” เห็นไหม ถ้าทุกดวงใจว้าเหว่ เพราะอะไร เพราะสัจจะความจริง ของอย่างนี้มันของชั่วคราว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปรียบชีวิตเหมือนพยับแดด เพราะมันชั่วคราวจริงๆ นะ เพราะมันเป็นการเวียนตายเวียนเกิด ใครจะเชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่ สิ่งนี้มันเป็นไป

เราดูสัตว์สิ ดูสัตว์ ดูสิ่งที่อายุมันสั้น เห็นไหม มันเกิดตายเกิดตาย ยิ่งเห็บ เห็นไหม เกิดชั่ววันเดียวมันตายแล้ว สิ่งนี้มันเป็นเรื่องวัฏฏะ ถ้าเรามีความสะเทือนใจของเรา มันจะหยิบฉวยจับไปได้ ออกจากบ้านมานี่ ปัจจุบันนี้โยมมาจากบ้านกัน เอาอะไรติดเนื้อติดตัวมาบ้าง? จับอะไรติดไม้ติดมือมา นั้นสิ่งที่เราเอาฉวยออกมาจากบ้านของเรา ในชีวิตก็เหมือนกัน เราเกิดมาในชีวิตอย่างนี้ เวลาเราตายไป เราหยิบฉวยอะไรจากชีวิตปัจจุบันนี้ติดมือติดไม้เราไปบ้าง ถ้าเราหยิบฉวยติดไม้ติดมือเราไป คือบุญกุศลที่มันติดไม้ติดมือไปนะ

ดูรถสิ เรามีรถใหม่ขึ้นมา รถใหม่มันไม่ต้องบำรุงรักษามาก รถพอมันเก่ามันแก่ขึ้นมา เราใช้งานมัน เราต้องบำรุงรักษา เห็นไหม เวลาเครื่องยนต์เหมือนกัน ถ้าเครื่องยนต์นะ แหม..เวลามันติดแล้วมันสะดวกสบาย เห็นไหม เวลาเครื่องยนต์เก่าๆ เราต้องบำรุงรักษา

ชีวิตคนก็เหมือนกัน ชีวิตคน เห็นไหม ถ้ารถมันใหม่ ออกมาแล้วมันใหม่ แต่คนไม่เป็นอย่างนั้นสิ เพราะคนเราเวลาเกิดมา พ่อแม่ต้องประคับประคองเลี้ยงดูมานะ เพราะมันไม่ใช่รถใหม่ มันใช้งานไม่ได้ มันต้องประคับประคองมาจนกว่ามันจะเอาตัวรอดได้นะ เอาตัวรอดได้ ชีวิตวัยทำงานช่วงหนึ่ง แล้วชีวิตเวลาชราภาพไปแล้วล่ะ เห็นไหม รถเก่าอีกแล้ว

เวลารถใหม่ขึ้นมา รถเขาออกมาใหม่ๆ ออกมาจากอู่ เขาใช้เป็นประโยชน์ของเขาได้ รถของเรา เกิดออกมาจากครรภ์ของมารดา ยังต้องพ่อแม่เลี้ยงดู เห็นไหม แล้วเวลาจะไปทำงานอีกส่วนหนึ่ง เวลาแก่เฒ่าขึ้นมา อันนี้มันเรื่องของโลกๆ ที่มองเห็นนะ

แล้วหัวใจล่ะ หัวใจ เห็นไหม เวลามีความสุขของเรา ปลื้มอกปลื้มใจของเรา แล้วเวลามันทุกข์มันร้อน มันเหมือนเครื่องยนต์ เวลามันเก่ามันชราคร่ำคร่า แต่เครื่องยนต์เวลาเก่าคร่ำคร่า มันหมดอายุของมันนะ

แต่จิตนี้มันไม่เคยหมดอายุไง มันเกิดมันตายไง เวลาชราคร่ำคร่า เห็นไหม ตกนรกอเวจีขนาดไหน เวลาหมดกรรมขึ้นมาแล้วมันก็มาเกิดอีกนะ ขึ้นไปบนสวรรค์บนพรหมขนาดไหน หมดอายุขัยมันก็หมุนเวียนมา เห็นไหม วัฏฏะมันเป็นอย่างนี้นะ ไม่มีสิ่งใดคงที่ มันแปรสภาพตลอดไป แต่มันแปลกที่ว่าจิตมันคงที่ จิตคงที่หมายถึงว่าตัวสสาร ตัวธาตุรู้นี่มันคงที่ แต่มันแปรสภาพตามแรงขับเคลื่อน

แล้วถ้าเราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมาอย่างนี้ นี่จะทำความสิ่งที่แปรสภาพ เราเลาะ เราปลดสิ่งต่างๆ สิ่งที่มันแปรสภาพคือเหตุที่มันขับเคลื่อนตัวจิตตัวนี้ ถ้าเหตุขับเคลื่อนตัวจิตตัวนี้ออกไปจนหมดสิ้น เห็นไหม จิตตัวนี้ที่มันไม่เคยตาย มันก็เป็นสิ่งที่สะอาดขึ้นมา ถ้ามันไม่เป็นสิ่งที่สะอาดขึ้นมา มันก็เวียนตายเวียนเกิดไปตามกระแสโลก เห็นไหม ธรรมะสำคัญตรงนี้ไง

ถ้าธรรมะสำคัญตรงนี้ ถ้าในกระทำ ดูสิ เวลาทำบุญทำกุศลกัน เด็ก.. ให้ทำบุญกุศลนะ ได้ของที่ชอบใจมันก็พอใจแล้ว คนเรานะ ถ้าทุกข์มันยากนะ ถ้าใครมีช่วยเหลือเจือจาน จะนึกถึงคุณของคนนั้นนะ เวลามันทุกข์มันยาก มันต้องการสิ่งที่ดำรงชีวิต เวลามันทุกข์มันยาก ฟังสิ! เวลามันทุกข์มันยาก คนถ้ามั่งมีศรีสุข ไม่มีคุณค่าสิ่งนี้เลย

เวลาพระเราธุดงค์กรรมฐาน เวลาอดอาหารกัน เราไม่ใช่อดอาหารเพื่ออยากจะอดอาหารนะ เราอดอาหารไม่ใช่เราทุกข์เรายาก เราไม่มีจะฉันนะ เราบิณฑบาตมา เห็นไหม บิณฑบาต ในเมื่อประเพณีวัฒนธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ เห็นไหม ภิกษุ เวลาถ้าออกบิณฑบาต อย่างน้อยมันก็ได้มาเพราะอะไร เพราะมันประเพณีไง ประเพณี สิ่งที่เป็นชาวพุทธเราจะทำบุญกุศลกัน จะตักบาตร เห็นไหม พระเราก็อาศัยสิ่งนั้น แล้วสละออกมา บิณฑบาตมาแล้วยังไม่ขบไม่ฉันเพราะอะไร?

สิ่งที่ไม่ขบไม่ฉันเพราะอะไร เพราะจะดัดแปลงตนไง จะดัดแปลงกิเลสอันนี้ไง ถ้าหัวใจ เห็นไหม เครื่องยนต์กลไก ถ้ามันบำรุงรักษาดี มันก็จะเป็นของดีขึ้นมา หัวใจขึ้นมา ยิ่งปรนเปรอมันขนาดไหน มันยิ่งอ่อนแอ เห็นไหม เชื้อไขที่มันเป็นแรงขับเคลื่อนมันยิ่งมากขึ้น

เราเกิดมานี่ ในประเพณีทางอีสาน เห็นไหม ผู้เฒ่า ถ้าผู้เฒ่านี่หมูบ้านเขาจะเคารพบูชา เพราะผู้เฒ่ามีประสบการณ์ชีวิต เห็นไหม ผู้เฒ่า ในหมู่บ้านถ้ามีความขัดแย้ง จะให้ผู้เฒ่าเป็นคนที่ไกล่เกลี่ย ผู้เฒ่าเป็นคนตัดสิน นี่ประเพณีของพื้นบ้านเขา เห็นไหม ผู้เฒ่าเป็นผู้ที่มีอยู่ราตรีนาน เข้าใจเรื่องของโลก

แต่เวลาจิตขึ้นมา ยิ่งอยู่นานขนาดไหน เห็นไหม นี่แรงขับเคลื่อน แรงสะสมของมัน มันยิ่งลังเลสงสัยนะ มันยิ่งเกาะกินหัวใจ แต่ถ้าเป็นเด็ก เห็นไหม เด็กมันไร้เดียงสา ให้นั่งสมาธิขึ้นมา มันทำขึ้นมา มันก็ทำของมันง่ายๆ เพราะอะไร เพราะมันไม่มีสิ่งใดที่มันเป็นยาพิษอยู่ในหัวใจมันมากนัก

ถ้าสภาวะแบบนี้ เราถึงต้อง เห็นไหม เวลามันทุกข์มันยาก ที่ว่ามันทุกข์มันยากมันต้องการอย่างนั้น เพราะจิตมันหิวโหย จิตมันทุกข์ยาก มันเป็นเรื่องกลับทวนกระแสนะ เรื่องของโลก เรื่องของธรรมต่างกันหมดเลย เรื่องของโลกนะ ถ้าเราได้สมตามปรารถนา สิ่งนั้นจะเป็นความสุขเป็นความพอใจของเรา ถ้าเป็นเรื่องของธรรมนะ ถ้าปรนเปรอขนาดไหน กิเลสมันยิ่งอ้วน มันยิ่งตัวใหญ่ขึ้นมา เห็นไหม มันต้องตัดรอน

ธุดงควัตรเป็นการขัดเกลากิเลส ธุดงควัตรนะ ธุดงควัตร เห็นไหม แต่โลกเขาถ้าได้การปรนเปรอ มันเป็นความสุขไง ถ้าขาดแคลนแล้วมันเป็นความทุกข์ไง เห็นไหม ถ้ามีความทุกข์ความยาก ใครมาเจือจานเรา จะมีความสุข จะนึกถึงคุณของเขาเพราะเขาเจือจานเราเพื่อจะให้พ้นจากทุกข์นี้เป็นเรื่องกับความชั่วคราว

จิตก็เหมือนกัน จิตถ้ามันหิวโหย จิตมันหิวโหย เห็นไหม เครื่องยนต์จากภายในไง เรื่องของจิตมันหิวโหย มันก็แสวงหาของมัน ยิ่งแสวงหาของมัน ยิ่งปรนเปรอมันขนาดไหน มันยิ่งไม่มีวันอิ่มวันพอ เห็นไหม ตัณหาความทะยานอยาก น้ำล้นฝั่งไม่เคยพอเลย แต่ต้องการขัดเกลา ต้องการศีลเข้าไปบังคับ ต้องการต่างๆ เข้าไปบังคับ เห็นไหม นี่การบำรุงรักษาเครื่องยนต์จากภายนอกภายในต่างกัน

การบำรุงรักษาเครื่องยนต์จากภายนอก การบำรุงรักษาเครื่องยนต์กลไกของเรา เราต้องบำรุงรักษามันเพื่อให้มันใช้งานได้คล่อง แต่ถ้าการบำรุงรักษาของใจนะ ยิ่งปรนเปรอขนาดไหน ยิ่งมีความทุกข์ นี่โลกกับธรรมต่างกันอย่างนี้ไง มันถึงต้องมีศีลมาเพื่อบังคับเรา เพราะบังคับเราขึ้นมาให้เรามีหลักมีเกณฑ์ของเรา ถ้าเรามีหลักมีเกณฑ์ของเราขึ้นมา จิตใจมีหลักเกณฑ์มันเห็นคุณค่า คนเห็นคุณค่านะ ถ้าเราไม่เห็นโทษนะ เราไม่รู้จักโทษ เห็นไหม ดูสิ อย่างอาหาร ถ้าเราไม่รู้จักว่ามันมีสารเจือปน เราจะกินได้ตามสบายเลย แต่ถ้าอาหารเราคิดว่ามันมีสารเจือปน สารที่ให้โทษกับร่างกาย เราก็ต้องปฏิเสธใช่ไหม? เพราะมันเห็นโทษของมัน

ใจก็เหมือนกัน ถ้าเราเห็นว่าสิ่งนี้เราปรนเปรอมันไปแล้ว มันจะเป็นโทษขึ้นมา เราก็จะถือศีล เห็นไหม ศีล ๘ ธุดงควัตรเพื่อไปขัดเกลามัน เพื่อบำรุงมัน เห็นไหม เพื่อบำรุงให้ใจตัวนี้มันมีที่พึ่งของมัน ใจของเราเอง ในศาสนาของเรา ชนะตนเองนี่สุดยอดที่สุดเลย แล้วเป็นการชนะที่ยากที่สุด

เรื่องของโลก เห็นไหม มีเงินมีทองนี่จ้างวานกันได้ทั้งนั้น บารมีสร้างขึ้นมาด้วยการเสียสละจากภายนอก อย่างนี้ยังทำกันได้ยากๆ เลย แล้วถ้าเอาบารมีจากภายใน จากใจของเรา ถ้าใจของเรา อินทรีย์แก่กล้า ต้องรอพละ รอกำลัง รอความฉุกคิด ถ้าไม่ฉุกคิดนะ คิดไม่ออก

พ่อแม่คนไหนบ้างที่ไม่รักลูก พ่อแม่คนไหนรักลูกทั้งนั้นแหละ แล้วเวลาพ่อแม่สอนลูก ลูกมันฟังไหม ลูกมันโต้แย้งทั้งนั้นล่ะ มันขัดแย้งของมัน แล้วพอลูกโตเป็นพ่อแม่ก็ไปสอนลูกอย่างนั้นเหมือนกัน เห็นไหม การสอนลูกอย่างนั้นน่ะ การสอนด้วยความรักของพ่อแม่นี่นะไม่มีโทษเลย ความรักของพ่อแม่นี่รักลูกมาก ความรักที่สะอาดบริสุทธิ์คือความรักของพ่อของแม่ ความรักอย่างนี้ เวลาลูกขึ้นมา มันยอมรับไหมล่ะ แล้วความรักของเราล่ะ ในธรรมของเราในหัวใจของเราล่ะ เราจะบำรุงรักษาอย่างไรล่ะ เห็นไหม มันเป็นเรื่องของเรา

การชนะตน เห็นไหม ขนาดว่าพ่อแม่กับลูก การบำรุงสั่งสอนอย่างนั้นลูกยังขัดแย้งเลย แล้วเวลาเราจะเอาธรรมขึ้นมาบีบบังคับใจของเรา ถ้ามันเอาชนะตนเองได้อย่างนี้ เห็นไหม มันละเอียดเข้ามาเป็นชั้นๆ เข้ามา ถ้าละเอียดเข้ามานะ ถ้าชนะตน สะอาดแล้วเห็นไหม สิ่งใดโลกนี้จะมีความหมายอะไร

โลกนี้มีเพราะมีเรา ถ้าตัวตนเราไม่มี แต่จิตมันมีอยู่ เห็นไหม ตัวตนไม่มีแต่ธรรมนี้มีอยู่ในหัวใจ ธรรมมีอยู่ ธรรมในหัวใจเรามีอยู่ โลกก็เป็นเรื่องของเขา เห็นไหม โลกนี้แม้สโมสรสันนิบาตเขาก็ว้าเหว่ แต่ใจดวงนี้ไม่ว้าเหว่ ใจของเรานี่มันอิ่มเต็มของเรา แค่อิ่มเต็มนะ นี่สัมมาสมาธิ พอสัมมาสมาธิเราย้อนกลับไง ย้อนกลับไปวิปัสสนา

นี่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าละเอียดอย่างนี้นะ ละเอียดลึกซึ้งมาก แต่ว่าเป็นปัญญาๆ ที่ว่าเราใช้ปัญญากัน ปัญญาอย่างนั้นปัญญาโดยกิเลส กิเลสมันพาขับพาใช้ กิเลสนะ ตัวตนของเรานี่คือกิเลส เพราะเราเกิดมาเป็นเด็ก เจ้าชายสิทธัตถะเกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะยังมีกิเลสเลย

แต่ขณะที่กิเลสฝ่ายดี มันเป็นมรรค มันเป็นแรงขับเคลื่อนที่ดี ถ้ามีอะไรสะกิดใจ เห็นไหม ทำสิ่งที่คุณงามความดี สิ่งที่ดีที่ดีขึ้นไป นี่ดีส่งเสริมกันไป แต่ดีขนาดไหน เวลามันพลัดพราก มันก็เศร้าใจนะ ความพลัดพรากมีความทุกข์ทั้งนั้น ชีวิตนี้คือการพลัดพรากเป็นที่สุด แล้วอารมณ์ที่มันพลัดพรากจากเรา สิ่งที่เราพอใจมันก็ไม่อยู่กับเรานาน สิ่งที่เราไม่พอใจมันก็อยู่กับเรานาน เห็นไหม สิ่งที่ไม่พอใจ สิ่งที่เจ็บปวดแสบร้อนนี่ไม่อยากจะคิด ไม่อยากจะทำเลย แต่ทำไมคิดตลอดเวลา?

เพราะมันเป็นเชื้อไง มันเป็นยางเหนียวไง มันเป็นสิ่งที่พอใจของกิเลสไง สิ่งที่เป็นธรรมนี่ต้องสะสม ต้องสร้างขึ้นมา ทำคุณงามความดีต้องสะสมขึ้นมา แล้วทำความดีทำไมไม่เห็นได้ดีเลย?

ความดีนี้มันไม่เข้ากับกิเลส กิเลสมันไม่ต้องการ มันพยายามจะไม่จดไปอยู่ในความทรงจำของมัน ถ้ามันจดอยู่ในความทรงจำของมัน มันนึกถึงขึ้นมาแล้วมันไม่พอใจของมัน แต่ถ้าเป็นกิเลสมันพอใจ ถ้าเป็นธรรมมันไม่พอใจ เห็นไหม เราต้องสร้างธรรมขึ้นมา ธรรมนี่มันเกิดชั่วครั้งชั่วคราว ชั่วคราวนะ ชั่วคราวๆ ชั่วคราวถ้าเราคิดดี มันก็มีสติสัมปชัญญะ ถ้ามีสตินะ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสั่งเสียไว้เป็นคำสุดท้ายเลย

“ภิกษุทั้งหลาย เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด”

ความประมาท ความเลินเล่อ ความไม่มีสติฉุกคิด ความนี่ ชีวิตเราจะหมดคุณค่าไปเลย หมดคุณค่าจริงๆ นะ ไปตามกระแสโลกไง โลกขับเคลื่อนไป ไปตามกระแสโลก ถ้ามีคุณค่า โลกก็เป็นโลก เราก็มีตำแหน่งหน้าที่การงานอย่างนี้ เราก็รับผิดชอบบ้านเราอย่างนี้ แต่มันมีสติยับยั้งไง ให้เราคิดถึงชีวิตของเรา จะมีอะไรติดไม้ติดมือเราไป จะมีอะไรติดหัวใจเราไป เห็นไหม ติดหัวใจเราไปนะ

ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด แล้วเราเกิดมาด้วยบุญกุศล เพราะเกิดเป็นมนุษย์นี่บุญกุศลนะ ดูถ้าไม่เกิดเป็นมนุษย์มันต้องเกิด จิตนี้ต้องเกิดแน่นอน พลังงานนี้มันต้องแสดงตัวแน่นอน แต่แสดงในสถานะอะไร สถานะของเทวดา อินทร์ พรหม มนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน มันต้องแสดงแน่นอน แล้วเรามีโอกาสตอนนี้ โอกาสอย่างนี้ มันเป็นเรื่องชีวิตเราจะเกิดมาจนวันตาย ให้เรามีโอกาสได้หยิบได้คว้า ได้หยิบเข้ามา หยิบเป็นโลกๆ ก็ได้เรื่องโลกๆ หยิบเรื่องธรรมก็ได้เรื่องธรรม หยิบเรื่องธรรมะในหัวใจ มันก็ได้ธรรมะในหัวใจ อยู่ที่การกระทำของเรา อยู่ที่สติสัมปชัญญะที่เราจะคิดขึ้นมา ถ้าพูดอย่างนี้ธรรมะจะไม่อยู่กับโลกเลยเหรอ อะไรก็จะให้สละ

ไม่ใช่สละ! ธรรมอยู่อย่างนั้นแหละ แต่หัวใจมันมีความฉุกคิดขึ้นมา หัวใจมันสละขึ้นมา หัวใจมันไม่ติดข้องไง ชั่วคราวๆ ฟังสิ! คำว่าชั่วคราว อาศัยชั่วคราว มันไม่จริงนะ แล้วเราไปอาศัยมันจริงๆ ได้อย่างไร? ชั่วคราว อาศัยชั่วคราว แล้วความจริงอยู่ไหน? ความจริงถ้ามันสงบขึ้นมาก็สงบจริงๆ ธรรมเกิดขึ้นมาจากธรรมะจริงๆ เพราะจิตไม่เคยตาย จิตจับจริงๆ มันเป็นอริยทรัพย์ มันเป็นทรัพย์ที่ติดไปกับใจเลย แล้วใจดวงนี้จะไม่เกิดอีก มันอยู่ได้อย่างไร?

นี่โอกาสอย่างนี้มันควรแสวงหา โอกาสอย่างนี้มันควรจะเข้าใจ เห็นไหม เข้าใจให้ชีวิตมีคุณค่าตรงนี้ไง ทรัพย์ภายนอกทรัพย์ภายใน อวดกันอย่างนี้ ธรรมะ เวลาศาสนาพุทธ ทรัพย์ภายในๆ แล้วกิเลสภายในล่ะ ที่มันจะไปช่อโกงเขา กิเลสภายใน กิเลสที่มันหมักหมมในมหาโจรในหัวใจล่ะ

อย่างนั้นมันก็มี เราก็ต้องศึกษาเอา มันอยู่ที่การศึกษา อยู่ที่สติของเรานะ ถ้าคนมีสติ คนมีปัญญา มันปิดบังกันไม่ได้หรอก คนเรานะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกแล้ว “ศีลจะรู้ได้ต่อเมื่ออยู่ด้วยกัน ธรรมะจะรู้ได้ต่อเมื่อแสดงธรรม” เวลาอ้าปากออกมา มันมีขี้กี่กองถึงจะออกมาตามขี้นั่นน่ะ ถ้ามีธรรมก็ออกมาตามธรรมนั่นน่ะ ถ้าเราหมั่นสังเกต แล้วหมั่นพิจารณา เราจะไม่ผิดพลาด เราจะมีเข็มทิศที่เดินดีกับเรา

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเตือนไว้ เห็นไหม “พรหมจรรย์นี้เพื่อใคร?” เพื่อเราทั้งนั้นนะ เพื่อความสะอาดบริสุทธิ์ของเรา ไม่ได้เพื่อคนอื่น ไม่ใช่เพื่อจะให้ใครนับถือ ไม่ใช่ทั้งนั้นเลย ทำเพื่อเรา เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ชนะตนสำคัญที่สุด ชนะเรา ทุกคนเป็นคนดีหมด สังคมนี้เป็นคนดีหมด สังคมนี้ต้องดี เราไปห่วงแต่สังคมภายนอก..โลก มัวแต่ข้างนอกหมดเลย ข้างนอกต้องดีก่อน เราดีเป็นคนสุดท้าย

แต่ถ้าเป็นธรรมนะ เราต้องดีก่อน โลกจะเป็นอย่างไรเป็นเรื่องของเขา กรรมของเขา เขาจะหาบกรรมของเขาขนาดไหนก็เรื่องของเขา เขาจะกอบโกยกรรมก็เรื่องของเขา แต่ถ้าทำความดี เรื่องของเรา แล้วถ้าเขาเห็นคุณงามความดีกับเรา เขาทำกับเรา ไอ้นี่มันเป็นอำนาจวาสนาของแต่ละบุคคลที่เขาจะเห็น เห็นไหม ใจหยาบใจละเอียดมันจะเป็นประโยชน์กับบุคคลคนนั้น เอวัง