เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๔ เม.ย. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาเราไปทำบุญกัน เห็นไหม เราไปทำบุญ เวลานักขัตฤกษ์เราทำบุญเพื่ออะไร? ทำบุญเพื่อเราก่อน แต่เราว่าทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับปู่ย่าตายาย ให้กับเจ้ากรรมนายเวร อันนั้นมันเป็นผลที่ ๒ นะ ทำบุญเพื่อเราก่อน แต่พวกเราน่ะลืมเราทุกคนเลย ทุกคนลืมเราไง อยากให้คนอื่นมีความสุขๆ อยากให้คนอื่นมีความสุขนั่นเพราะคิดถึงคนอื่น แต่จริงๆ คือมันคิดถึงเรา เห็นไหม บุญกุศลเป็นสภาวะให้เรารู้สึกตัวเราเองก่อน

ถ้าเรารู้สึกตัวเราเองก่อน ถ้าเราเป็นคนดี เราเป็นจุดยืน เราเป็นที่พึ่งของสังคม เราเป็นที่พึ่งของญาติพี่น้อง เห็นไหม สิ่งนี้มันเป็นเหมือนกับร่มโพธิ์ร่มไทร ถ้าร่มโพธิ์ร่มไทรนกกาจะอาศัย ความสุขเกิดจากที่ไหน? ความสุขเกิดจากที่หัวใจเรานี่ แต่เรามองกันเองว่าความสุขเกิดจากความร่ำรวย เห็นไหม ความร่ำรวย ความมั่งมีศรีสุข ไอ้นั้นมันเป็นหน้าที่การงานนะ ความร่ำรวยหรือไม่ร่ำรวยนี่มันอยู่ที่เราทำแล้ว ถ้าร่ำรวยแล้วมีความสุขด้วย สุดยอดเลย แต่ถ้าร่ำรวยแล้วเราคิดว่ามันทุกข์ยาก เราไม่เอาหรอก อย่างนั้นสภาวะแบบนั้น เรามีความสุขหัวใจเราดีกว่า

เพราะชีวิตนี้สำคัญมากนะ สำคัญมากตรงไหน? ตรงที่ว่าเราเกิดมาชีวิตหนึ่งมันสั้นนะ ไม่ยาวหรอก แต่เราเพลินกันในชีวิตเราไง แต่ถึงที่สุดแล้วนะ พอถึงที่สุดพอแก่ชราไปแล้วมันไปไหนล่ะ มันเป็นสภาวะแบบนี้ มันเป็นปกติเป็นธรรมดา มันเป็นปกติเป็นธรรมดานะ แต่เราตื่นเต้นไปกับเขา เราตื่นเต้นไปกับโลกเขา

โลกนี่ ตอนนี้ถ้าคนโง่ เห็นไหม เป็นเหยื่อของคนฉลาด ถ้าคนฉลาดเขามีการประชาสัมพันธ์ เขามีการตลาด ถ้าอะไรมันติดตลาดไป เขาจะไปยังสู่สภาวะหนึ่ง พอหมดแรงขับไปแล้วนะ สิ่งนั้นก็ไม่มีค่า แล้วเราก็ตามไปสภาวะแบบนั้น

แล้วมนุษย์เรานี่ตามเขาโลกไปทั้งหมดเลย ลืมดูว่าความสุขความทุกข์คือตัวเรา บุญกุศลใจเป็นคนรับนะ อาหารเรากินเข้าไปนี่มันยังขับถ่ายทิ้งเลย อาหารเรากินจะรสดีขนาดไหน จะราคาแพงขนาดไหนก็แล้วแต่ มันก็ขับถ่ายทิ้งทั้งนั้นล่ะ แต่ความดีมันไม่ขับถ่ายทิ้งนะ มันติดกับจิตเราไป จิตนี่มันรับสภาวะสิ่งนี้ไปด้วย เวลามันตายไปนี่อะไรตายไป เวลาตายไปจิตนี้ออกจากร่างไป ความรู้สึกนี่มันตายไม่ได้ ความรู้สึกนี้ออกจากร่างไป แล้วเวลาคนช็อกคนสลบไปนี่ มันตายหรือยัง? ยังไม่ตายหรอก คนช็อก คนสลบไป มันสลบไปแต่พลังงานนี้ยังอยู่ เพราะจิตนี้ยังอยู่ เห็นไหม

เวลาจิตออกจากร่างมันยังกลับเข้าร่างได้ มันยังไม่ถึงที่สุด ถ้าถึงที่สุด เห็นไหม จิตนี่ออกจากร่างไปเลย ปั๊มอย่างไรก็ไม่ขึ้นแล้ว ชีวิตนี่พอตายไปแล้วปั๊มไม่ขึ้น แล้วจิตล่ะ จิตมันก็ออกจากสภาวะนี้ไป สิ่งนี้ความสุขความทุกข์มันยังอยู่ที่ความรู้สึก ถ้าความรู้สึกนี่ ถ้าเราจะทำความรู้สึกให้เราเข้าใจ แล้วมันเข้าใจได้ยาก

ดูสิ อย่างร่างกายของเรา อย่างความเป็นไปของเรานี่มันคุ้นชินไง ความคุ้นชินความชินชามันเลยไม่เห็นมีค่า ของอะไรได้ใหม่ๆ มามันจะมีคุณค่ามากนะ ของที่ได้ใหม่มาสิ่งนั้นมีคุณค่ามากเลย พอมันเก่ามันชราคร่ำคร่าก็อยากได้ใหม่ตลอดไป เห็นไหม นี่มันเป็นอนิจจังไปทั้งหมดเลย ใจเราก็เป็นอนิจจัง แต่ตัวธาตุไม่เป็นอนิจจัง ตัวธาตุมันมีของมันสภาวะแบบนั้น เห็นไหม มันถึงไม่เคยตายไป มันไม่เคยบุบสลายไป เวลาตายไป มันก็เกิดตายๆ สภาวะแบบนั้น มันไม่เคยบุบสลายไป มันถึงเข้าได้กับนิพพานไง

นิพพานมันเป็นความคงที่ของความรู้สึกอันนั้น ความรู้สึกที่ไม่แปรปรวน แล้วเป็นไปได้ไหม ความรู้สึกที่ไม่แปรปรวน ความรู้สึกของเรา เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เดี๋ยวมีความคิดฟุ้งซ่าน เดี๋ยวมีอะไรนี่ มันเคยคงที่ของมันไหม สุขขนาดไหน ดีขนาดไหน มันก็ไม่อยู่อย่างนี้ตลอดไป แต่ถ้านิพพานมันคงที่นะ คงที่เพราะอะไร? เพราะมันเอาสิ่งนั้น เอาความพร่องออกจากใจทั้งหมด จิตนี้มันพร่อง พอจิตมันพร่องมันก็แปรสภาพแปรปรวนตลอดไป ถ้ามันอิ่มเต็ม อิ่มเต็มด้วยวิธีการใดล่ะ นี่วิธีการเห็นไหม

ในการประพฤติปฏิบัตินี่เวลาทำบุญกุศล ทาน ศีล ภาวนา ทานเห็นไหม ทานคือการสละออก คือการไม่ให้ความกดดันในหัวใจ สิ่งที่มันทุกข์มันยากอยู่นี่ เพราะหัวใจมันมีสิ่งกดดัน มันเหมือนกับเป็นฝีเป็นหนองเลย แล้วมันไม่มีการระบายออกไป เห็นไหม นี่ทาน การสละออก มันเป็นการดึงออกไป พอทาน สิ่งวัตถุเราจะสละออกไป ใครเป็นคนเสียสละ วัตถุนี่นะ จะมีคุณค่าหรือไม่มีคุณค่ามันอยู่ที่คนมั่งมีหรือคนทุกข์คนเข็ญใจ คนทุกข์คนเข็ญใจของเขาเล็กน้อยก็มีคุณค่ามากนะ คนที่มันร่ำรวยมากขนาดของเขาน่ะมันก็มีคุณค่า เห็นไหม

การสละออกไปจากใจ ใจมันตระหนี่ เวลามันสละออกไป มันจะดึงสิ่งนี้ออกไป เหมือนฝีเหมือนหนองนี่ ให้น้ำฝีน้ำหนองไหล เราเปิดออก มันทำให้ความเจ็บความปวดนั้นมันจางลง

นี้ก็เหมือนกัน ความที่ตระหนี่ถี่เหนียวในหัวใจนี่ ทานมันสภาวะแบบนั้น ทานมันเริ่ม เพราะวัตถุมันมาเองไม่ได้ มันต้องคนเสียสละ คนเสียสละเอาอะไรมาสละล่ะ มันก็เอาพลังงานของเรา เราทำงานทำหน้าที่การงานมา เราได้ปัจจัยมา เราไปแลกเปลี่ยนมา เราแสวงหาของเรามานี่ แล้วสละออกไป สละออกไปมันก็หมุนเวียนออกไปในหัวใจ นี่ทาน

ขณะที่ว่าเป็นทาน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์นะ “อานนท์ บอกเขานะ ให้ปฏิบัติบูชา” เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานไง มีพวกกษัตริย์พวกอะไรนี่ เอาดอกไม้ธูปเทียนมากราบอ้อนวอนพระพุทธเจ้าให้ดำรงชีวิตต่อไปหนึ่ง พระพุทธเจ้าจะพลัดพรากจากไปนี่มีความทุกข์ความยาก เห็นไหม เพราะของที่มีอยู่กับเราจะพลัดพรากจากมือเราไป แล้วถ้าเรามีพ่อมีแม่มีครูบาอาจารย์ของเราคอยชี้นำอยู่ มันก็อบอุ่นใจ เวลาจะพลัดพรากไปนี่ทุกคนจะเศร้าใจเสียใจ เห็นไหม แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “ให้ปฏิบัติบูชา”

ถ้าเราทำสิ่งใดๆ ได้ เราทำได้หมด เรารับหน้าที่แทนพ่อแม่ เรารับหน้าที่ได้หมด เห็นไหม เรื่องอย่างนี้มันเรื่องธรรมดา เรื่องธรรมดาคือการเกิดและการตายเป็นธรรมดา เราทำหน้าที่ต่อของเราได้ ศาสนามันก็เจริญเติบโตมา เจริญงอกงามมาถึงเราอนุชนภายหลัง เราได้รับสภาวะสิ่งนี้ไว้แล้วเราจะสืบต่อไปอย่างไร เห็นไหม ถ้าปฏิบัติบูชามันปฏิบัติได้ มันทำได้ แล้วปฏิบัติบูชาปฏิบัติอย่างไร ปฏิบัติบูชา การให้ทานก็เป็นปฏิบัติบูชาอันหนึ่ง เพราะอะไร?

ดูสิ สมัยโบราณเรานี่มันไม่มีหรอก การซื้ออาหารนี่ เราต้องทำเองทั้งหมด เห็นไหม ตั้งแต่เราจะทำอาหารไปใส่บาตรนี่ เราคิดตลอดไปว่าเราจะทำอะไรไปใส่บาตร ความคิดในเรื่องดีๆ จิตมันก็สัมผัสแต่เรื่องดีๆ ถ้าจิตสัมผัสสิ่งที่ว่ามันเป็นความเบียดเบียนใจ เห็นไหม คิดถึงความโกรธ ความไม่พอใจนี่ มันเบียดเบียนใจนะ มันเบียดเบียนเราก่อน มันทุกข์ร้อนนะ หงุดหงิด ความหงุดหงิดในหัวใจ เห็นไหม สิ่งนี้มันเบียดเบียนหัวใจ

มันเบียดเบียนหัวใจ แล้วใจทำไมชอบคิดล่ะ มันชอบคิดเพราะอะไร? เพราะมันชอบไง เวลาเราเป็นแผล เวลาเราโดนน้ำเกลือ โดนสิ่งที่เค็มนี่ มันจะกัดมันจะเจ็บมันจะแสบ อย่างนี้เราพยายามจะหลบหลีกมันเพราะมันแสบจากภายนอก แต่มันมีกิเลสมันพอใจจะคิดไง เพราะคิดยิ่งเจ็บยิ่งชอบคิด แต่สิ่งที่ดีๆ คิดไม่ได้เลย

แต่แล้วเวลาเราปฏิบัติบูชาล่ะ ปฏิบัติบูชา เห็นไหม สิ่งที่เป็นแผลจากภายในหัวใจนี่ ทำความสงบของมันให้ได้ ถ้าความสงบของใจเข้าไป คือมันละจากแผลนี้ทำแผลให้หายเป็นปกติ ถ้าจิตใจเป็นปกติ เห็นไหม ศีล ความปกติของใจ ถ้าความปกติของใจนี่มันเป็นความสงบของปุถุชน เห็นไหม ปุถุชน กัลยาณปุถุชน ความสงบมันลึกเข้ามาเห็นไหม นี่กองทัพแตกจากภายใน ตีเมืองหลวง ตีประเทศแตกจากภายใน ถ้าตีแตกจากภายในคือออกจากความรู้สึกจากภายใน

นี่ก็เหมือนกัน กิเลสมันแก้จากภายในนะ แต่เวลาเราศึกษากัน เราศึกษาจากภายนอก เราศึกษาจากข้างนอกเข้ามา เห็นไหม เรายกทัพเข้าตีนี่ มีแต่ป้อมค่าย เราตีแต่ป้อมค่ายตีไม่เข้า นี่เหมือนกัน เราทำตัวเราเองไม่ได้ เราทำความสงบของใจเราไม่ได้ สิ่งที่ว่าเป็นภายในหัวใจนี่ สิ่งนี้สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลย ถ้าชนะตน ชนะใครหมื่นๆ แสน ชนะขนาดไหนมันก็มีโทษมีภัยต่อกัน ถ้าชนะตนเองนี่ประเสริฐมากที่สุดเลย

เพราะอะไร? เพราะการชนะตัวเองเหมือนมือเราสกปรก เราได้ล้างมือเราแล้วนี่ แล้วคนอื่นเขามือสกปรก เราจะแนะนำวิธีการล้างมือให้เขาได้หมดเลย หัวใจมันสกปรก เห็นไหม แล้ววิธีการล้าง ล้างอย่างไร ล้างไม่ได้ ยิ่งล้างยิ่งสกปรก เพราะอะไร? เพราะมันมีกิเลสอยู่ในหัวใจ เหมือนน้ำสกปรก น้ำล้างสิ่งสกปรกมันก็สกปรกกันอยู่อย่างนั้น

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่ทำความสงบของใจเข้ามา มันสกปรกอยู่นี่เราทำให้สะอาดได้อย่างไร ถ้าเราล้างมือเราสะอาดชั่วคราว สะอาดขึ้นมาด้วยสัมมาสมาธิแล้วเราใคร่ครวญเข้ามา ถ้าเราล้างมือเราสะอาดได้ วิธีการล้างมือสะอาด ทำไมเราจะอธิบายให้คนอื่นล้างมือสะอาดไม่ได้ จากใจดวงหนึ่งให้กับใจดวงหนึ่ง ใจของเรานี่รักษาใจของเราแล้ว เรายื่นให้ใจดวงไหนก็ได้ แต่ใจดวงนี้มันมืดบอดอยู่เลย มือเราก็สกปรก ทำอะไรก็สกปรกไปหมดเลย แล้วก็จะให้ล้างสกปรก มันก็เลยสกปรกออกไปตลอดมา เห็นไหม

นี่เหมือนกัน การประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสกปรกล่ะ คนเรานี่ คิดอย่างหนึ่ง ทำอย่างหนึ่ง สอนเขาอย่างหนึ่ง คิดอย่างหนึ่งนะ คิดจะเอาลาภสักการะ สอนเขาสอนวิธีการอย่างหนึ่ง แล้วผลออกมาได้ไม่ได้ล่ะ

แต่ถ้าเป็นสัจจะความจริง เห็นไหม ครูบาอาจารย์ของเรานี่อยู่ป่าอยู่เขา สิ่งนี้มันเป็นเรื่องนิวรณธรรมนะ สิ่งที่มันการคลุกคลีกันมันเป็นนิวรณ์ทั้งนั้นล่ะ หลวงปู่มั่นอยู่ในป่าในเขาตลอดมาเลย ทำไมคนศรัทธาความเชื่อล่ะ ถ้ามีศรัทธาความเชื่อการพูดสิ่งใดมันก็จะฟัง เห็นไหม ถ้าไม่มีศรัทธาความเชื่อ มันเป็นการตลาดไง เราก็เห็นคนมากๆ ทำไมคนไม่พอใจสิ่งนั้น การตลาดอย่างนั้นมันก็เป็นเรื่องของการตลาดอย่างนั้นล่ะ

แต่ถ้าเป็นสัจจะความจริงล่ะ สัจจะความจริงนะ ดูสิ ถ้าคนที่ล้างมือสะอาดมาแล้วนี่ มือนี่สกปรกมาก กว่าจะล้างได้มันแสนทุกข์แสนยาก เห็นไหม ดูเราเลี้ยงลูกแต่ละคนสิ นิสัยเขาเป็นอย่างนี้ เราจะแก้ไขนิสัยเขานี่ เป็นชาติๆ นะ มันเป็นภพชาติขึ้นมา แล้วเวลาเราจะแก้กิเลสมันจะง่ายๆ อย่างนั้นมันเป็นไปได้อย่างไร ถ้าครูบาอาจารย์เคยล้างมือมาแล้ว มันจะว่า “การล้างมือการล้างใจมันล้างแสนยาก ถ้าการล้างใจแสนยากนี่เราต้องเริ่มต้นตั้งแต่มีข้อวัตรปฏิบัติเข้ามาเลย ตั้งแต่ความปกติของใจ ตั้งแต่ดัดแปลงตนเข้ามา” ดัดแปลงนะ

ถ้าเราดัดแปลงตนนะ กิเลสมันคืออะไร? กิเลสมันคือความพอใจของเรา ถ้าเราได้ขัดแย้งความรู้สึกของเรานี่ เราได้ขัดกิเลส เห็นไหม เราได้ขัดกิเลส เราได้ต่อสู้กับกิเลส นี่เราไม่มีอะไรที่ว่าจะขัดแย้งกับตัวเราเองเลย ปรนเปรอมันตลอดเลย ต้องทำอย่างนั้น ต้องทำให้สะดวกสบายอย่างนั้น ต้องทำเรียบง่ายอย่างนั้น มันไปปรนเปรอกิเลสทั้งหมด มันขออนุญาตกิเลสก่อนแล้วค่อยปฏิบัติ แล้วปฏิบัติโดยกิเลส แล้วกิเลสมันก็พาไปอย่างนั้น การล้างมือโดยน้ำสกปรกอย่างนั้น มันจะสะอาดได้อย่างไร แต่การล้างมือด้วยน้ำสะอาด เห็นไหม เราต้องดัดแปลง เราต้องแก้ไข นี่ก็เพราะการประพฤติปฏิบัติ

ดูสิ ดูเวลาครูบาอาจารย์เราอยู่ป่าอยู่เขา เห็นไหม ธุดงควัตร ธุดงควัตรนี่นะมันเป็นการขัดเกลากิเลส มันเป็นการขัดเกลาเฉยๆ แต่ขณะที่เราจะทำจะขัดเกลากิเลส เราว่าสิ่งนี้เป็นความลำบากแล้ว เห็นไหม ทำอะไรก็ต้องให้เรียบง่าย ทำอะไรก็ต้องให้สะดวกสบายสิ อันนี้เป็นอัตตกิลมถานุโยค ความคิดมันเป็นอย่างนั้นไปหมดเลย ถ้าความคิดเป็นอย่างนั้นนี่มือสกปรกล้างด้วยน้ำสกปรก ถ้ามือสกปรกล้างด้วยน้ำสกปรกแล้วมันได้อะไรขึ้นมา มันก็ได้ความเคลิบเคลิ้มกันไปไง เคลิบเคลิ้มกันไปนี่ปฏิบัติธรรมๆ ปฏิบัติธรรมด้วยกิเลส เห็นไหม

ถ้าปฏิบัติธรรมด้วยสัจจะความจริง มันต้องดัดแปลง มันต้องต่อสู้กับกิเลส ครูบาอาจารย์ของเราถึงบอกว่า “การประพฤติปฏิบัติได้มาแต่ละองค์นี่มันฟากตายๆ” ฟากตายตรงไหน เพราะถึงที่สุดแล้วมันเอาความตายมาขวางหน้า ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องตายอย่างนั้น มันทำให้เราขยับตัวไม่ได้เลย แล้วถ้าเรามีจุดยืน เห็นไหม ตายอะไรตายก่อน ขอดูว่าตายก่อน ความตายก็เป็นสัญญาอารมณ์ของเรามันสร้างขึ้นมา ถ้ามันจะตายจริงของมัน ถ้าตายจริงถึงอายุขัยมันก็ตายไปธรรมชาติของเขา ธรรมชาตินะ ตายธรรมชาติแต่บุญกุศลก็ติดหัวใจนั้นไป บาปกุศลติดหัวใจนั้นไป

แต่การประพฤติปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติบูชา เห็นไหม ความเข้มแข็งอย่างนี้กิเลสมันยอม ถ้าเรายอมกิเลส กิเลสคือเรานี่ แพ้ตนตลอดเลย การแพ้เรานี่แหละ เวลาเราคิดขึ้นมานี่ กลัวเป็นกลัวตาย กลัวไปหมดเลย แล้วไม่มีอะไรต่อสู้ ไม่มีความเข้มแข็งเลย เห็นไหม ถ้าเรามีความเข้มแข็งของเรา เรามีจุดยืนของเรา ใครมันจะมาเหนือ ความคิดเรายังครอบคลุมเราไม่ได้ ความคิดยังหลอกเราไม่ได้ ความคิดของเราเองนี่หลอกเราไม่ได้ จะครอบงำเราไม่ได้ แล้วใครจะครอบงำเรา

แต่นี่เพราะความคิดเราครอบงำเราได้ เห็นไหม กระแสของมนุษย์ กระแสของสังคม กระแสของการตลาดตื่นตรงนี้ไง ถ้าคนคนหนึ่งชอบ มันก็ชอบต่อๆๆๆ กันไป ตื่นคนนี่สำคัญมากเลย แต่ถ้าเราไม่ตื่นไปกับเขา เรามีจุดยืนของเรา กระแสเป็นอย่างนั้น เราจะไปตื่นอะไรกับเขา สิ่งนั้นมันเป็นเรื่องของโลก มันเป็นเรื่องของวัฏฏะ มันเป็นไป ดูสิ ลมพัดมา พายุมาทีหนึ่งมันก็ชั่วคราว มันก็หายไป

นี่ก็เหมือนกัน กระแสของนี่มันก็หายไป มันไม่มีอะไรจริงจังหรอก เห็นไหม นี่มายา โลกนี้เป็นมายา โลกนี้คือละคร เราเกิดมานี่ แสดงละครกันคนละฉากคนละชีวิตหนึ่ง แล้วละครนี่เราจะเล่นบทไหนล่ะ ถ้าเราเล่นบทปฏิบัติธรรม ถ้าปฏิบัติธรรม ปฏิบัติของเราได้ประโยชน์กับเราขึ้นมา มันจะเป็นประโยชน์กับเราขึ้นมา นี่ติดไม้ติดมือไป หลวงตาท่านบอกนะ “โลกนี้เหมือนห้างสรรพสินค้า” ในศาสนาเรานี่ใครเข้าไปในศาสนาแล้วจะหยิบอะไรติดไม้ติดมือออกมา เราเข้าไปในห้างสรรพสินค้าเราได้อะไรมา ไม่ได้อะไรมาเลย

ชีวิตนี้เหมือนกัน นี่ว่าปฏิบัติธรรม พูดกันแต่ปากนะ ทำงานด้วยปาก เอาปากทำงานกันแล้วไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย แต่ของเรานี่ ดูสิ พระเวลาปฏิบัติ เห็นไหม งานของพระคืออะไร? งานของพระคือนั่งสมาธิปฏิบัติ ปฏิบัติอะไร? ปฏิบัติที่ใจไง งานง่ายๆ กลับทำยากที่สุด งานที่อาบเหงื่อต่างน้ำ งานแบกหามเขาทำกัน เขาว่าทุกข์เขาว่ายาก เวลาบังคับตัวเองให้อยู่เฉยๆ นี่ บังคับใจให้ไม่กระสับกระส่าย บังคับอย่างนี้ งานอย่างนี้มาจากไหน นี่ความเป็นไปของชีวิตไง

เราถึงบอกว่า “ถ้าเราเห็นความสุขของโลก เราเห็นความสุขในเรื่องของอามิส เราก็จะตื่นไปกับโลก ถ้าเราละเอียดอ่อนเข้ามานะ เราเข้าไปในศาสนา ใจเราละเอียดอ่อนขึ้นมานี่ มันจะเห็นความรู้สึกจากภายใน” เห็นไหม ถ้าความรู้สึกจากภายใน เวลาเราไปทำบุญกุศลกัน เขาจะตื่นขนาดไหน เราก็ไปกับเขา ทำบุญกุศลเราอนุโมทนาทานก็ได้ เราจะไม่ไปตื่นกระแสขนาดนั้น จิตมันสงบไง จิตมันรู้สึกว่าอะไรเป็นความดี อะไรเป็นของดี ปกติเราไปวุ่นวายกับเขา มันจะได้ดีอะไร เห็นไหม

ถ้าความดีอย่างนั้นมันยิ่งทำให้โลกไป แต่สิ่งที่มันมีไว้มันเป็นประเพณีวัฒนธรรม เป็นประเพณีนะ ถ้าไม่มีประเพณีไม่มีพิธีการนี่ มันจะเคลื่อนไหวกันได้อย่างไร คนเราเกิดมานี่ เดี๋ยวนี้คนว่าคนอายุมาก คนชราจะมีมากกว่าคนวัยทำงานนะ เป็นภาระของสังคม เห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน คนที่เข้ามาในศาสนา คนที่เข้ามารู้จริง เข้ามาประพฤติปฏิบัติ เราก็ต้องดึงต้องทอดสะพานให้เขาเข้ามา ถ้าเข้ามาอย่างนี้มันก็สืบต่อศาสนาไป เห็นไหม พิธีกรรมมันก็ตรงนั้นน่ะ ตรงให้ผู้ที่มีศรัทธาใหม่ ถ้าเราเป็นศรัทธาเก่าแล้วเราจะไปยืดไปแย่งกับเขาทำไม เราก็เปิดโอกาสให้ศรัทธาใหม่เขาเข้ามาเป็นบริษัท ๔ ให้บริษัทมั่นคงแข็งแรง

แล้วเราทำของเรา เราก็ลึกเข้าไป ลึกเข้าไป ลึกเข้าไปในหัวใจของเรา ความละเอียด ละเอียดอย่างนี้ไง ละเอียดคือการดูใจ ละเอียดคือการรักษาใจ ถ้าใจมันปกติ ปกติโดยสัมมานะ ไม่ใช่ว่ารักษาใจๆ โดยกิเลส รักษาใจโดยกิเลสมันก็ประสามันน่ะ นั่งอิจฉาตาร้อนอยู่ในหัวใจน่ะ หัวใจลุกเป็นไฟ ข้างในลุกเป็นไฟ เห็นไหม คิดอย่างหนึ่ง ทำอย่างหนึ่ง พูดอย่างหนึ่ง อยู่อย่างนี้

แต่ถ้าเป็นสัจจะความจริง เป็นซื่อสัตย์กับตน คิดอย่างไรพูดอย่างนั้น ทำอย่างนั้น เห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์บอก “พูดได้ ทำได้ ปฏิบัติได้” ถึงจะเป็นครูบาอาจารย์ของเรา มือสะอาดแล้วจะสอนเราได้ มือสกปรกจะไปสอนใคร เอวัง