เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๘ เม.ย. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาเราไปงาน เห็นไหม เราไปงานครบรอบครูบาอาจารย์ ดูหลวงปู่มั่นเสียมาแล้ว ๕๐ - ๖๐ ปี ครูบาอาจารย์ล่วงแล้ว หลวงปู่ลีนี่ ๔๐ กว่าปี ๔๐ ปี ๕๐ ปี เห็นไหม เราไประลึกถึงคุณงามความดีของครูบาอาจารย์ของเรา มันก็ถูกต้องนะ เพราะอะไร? เพราะเวลาเราเคารพบูชา เห็นไหม วันสงกรานต์ วันเช็งเม้ง เราเคารพพ่อแม่ของเรา พ่อแม่ของเราให้ชีวิตเรามานะ

ครูบาอาจารย์ก็เหมือนกัน พ่อแม่ของเราให้ชีวิตเรามา แต่ครูบาอาจารย์ให้ เห็นไหม “พ่อแม่ครูจารย์” พ่อแม่เลี้ยงเรามานะ ดูสิ ความขัดแย้งระหว่างครอบครัว ความขัดแย้งในหัวใจนะ รูปลักษณ์ภายนอกไม่ขัดแย้ง เพราะอะไร? เพราะพ่อแม่ให้ชีวิตเรามา แต่ถ้าความขัดแย้งในใจ มันน้อยเนื้อต่ำใจ ดูสิ เวลาทางยุโรปเขา เวลาเขาวิปริตในหัวใจนี่ เขาทำลายสังคม เขาทำร้ายสังคมจนเดือดร้อนไปหมดเลย ความวิปริตของในหัวใจคือหัวใจมันโต้แย้งไง นั่นคือเรื่องของกรรม เห็นไหม

แต่ถ้าเป็นพ่อแม่ครูจารย์ เห็นไหม พ่อแม่ครูจารย์ นี่พ่อแม่ก็เป็นพ่อแม่ ครูจารย์นี่รู้พยายามอบรมบ่มนิสัย ถ้าอบรมบ่มนิสัยนะ นิสัย เห็นไหม ถ้าคนเป็นพ่อแม่ครูจารย์ได้มันจะเห็นเรื่องอาการความรู้สึก ความคึกคะนองของใจมันแสดงออกมาในความรู้สึก ความคิดการกระทำนี่มันออกมาจากใจ ถ้าใจสมควร ใจเป็นธรรมนะแสดงออกมาจะเป็นธรรม เว้นไว้แต่เวลาเป็นอุบาย กลอุบาย เห็นไหม

กุศโลบาย...กุศโลบายคือการล่อหลอกกัน แต่กุศโลบายการสอนเด็ก กุศโลบายในการจะรักษา เห็นไหม รักษาคุณงามความดีของเรา มันจะมีกุศโลบายนะ เพราะอะไร? เพราะป้อมค่ายตีแตกจากภายใน กิเลสมันอยู่ในหัวใจของเรา ถ้ากิเลสอยู่ในหัวใจของเรานี่ ใครจะว่าอย่างไร “ฮื้ม... ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ” ถึงว่าศาสนาพุทธเราเป็นศาสนา...ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน “อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ถ้าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เวลาตนติเตียนตนเองนี่ กิเลสมันจนตรอกที่จะโต้แย้งได้ไง ถ้ากิเลสมันจนตรอก เห็นไหม เวลาตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เวลาเราติเตียนเราเองนี่มันเป็นสิ่งที่ประเสริฐมาก

แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์มันก็ยังจะมีการโต้แย้ง เห็นไหม จะมีการโต้แย้ง แต่! แต่เพราะครูบาอาจารย์ของเราได้ผ่านชีวิตมา ได้ผ่านประสบการณ์อันนั้นมา ประสบการณ์ของหัวใจนะ ประสบการณ์ตีป้อมค่ายอันนี้แตก ธรรมเวลาเกิดขึ้นมา เห็นไหม ทำความสงบของใจ มีปัญญาเกิดขึ้นมานี่เป็นครั้งเป็นคราว แต่ป้อมค่ายนี่เชื้อไขอวิชชามันอยู่ในหัวใจ เพราะอะไร? เพราะตัวจิตนี่ตัวเกิด ตัวเกิดคือตัวอวิชชา เห็นไหม เพราะมันโง่ มันไม่เข้าใจตัวมันเอง มันถึงต้องเกิดตลอดไป เพราะมันโง่ ฟังสิ! เพราะมันโง่

แล้วใครยอมรับตัวเองโง่บ้าง ไม่มีใครโง่เลย ทุกคนเป็นผู้ที่ฉลาดมาก เป็นนักปราชญ์ เป็นนักปราชญ์ทั้งนั้นล่ะ เป็นนักปราชญ์ทำไมทุกข์ล่ะ เห็นไหม เป็นนักปราชญ์เป็นการแสวงหาอาชีพ เป็นวิชาชีพอย่างนี้ เป็นโอกาสเป็นจังหวะ นี่มันคือบุญกุศล เราสร้างบุญกุศลของเราขึ้นมานี่ เห็นไหม เราสร้างบุญกุศล บุญกุศลให้ผลเป็นอามิส ให้ผลเป็นโอกาส เป็นอำนาจวาสนา นี่บารมีธรรม บารมีธรรมเกิดจากการเสียสละ เราเสียสละมาเพื่อใคร? เราเสียสละเพื่อเรา เห็นไหม

แต่ถ้าทางโลกมันมองไม่ได้ เสียสละไม่ใช่เพื่อเรา เพราะเราสูญเสีย เราเสียสละออกไป ไม่ใช่ของเรา เห็นไหม การเสียสละออกไป เสียสละเพื่อบุญกุศล เพื่อทานของเรา แต่บุญกุศลนั้นขึ้นมาในหัวใจของเรา นี่อำนาจวาสนาอยู่ที่การยอมรับ ดูสิ พอมันมีการเสียสละ มันมีการฝึกซ้อมของมันขึ้นมานี่ ใจมันจะพัฒนาขึ้นมา ใจจากคนที่มันตระหนี่ถี่เหนียว ใจที่มันคับแคบ ใจที่มันดีดดิ้นในหัวใจไง

ใจคับแคบมันมีความหวาดระแวง มันมีความระแวง มีความอึดอัดในหัวใจ นี่ใจคับแคบ ถ้าใจกว้างขวาง เห็นไหม สิ่งนั้นเป็นเรื่องของเขา การกระทำนี่เรื่องของเขา เรื่องของเราคือรักษาใจของเราให้ได้ มันเกิดมาจากไหนล่ะ? เกิดมาจากการเปิดกว้างของใจ ถ้าใจมันเปิดกว้างขึ้นมา นี่อำนาจวาสนามันเกิดตรงนี้ไง ถ้าเกิดตรงนี้ทำให้การประกอบสัมมาอาชีวะของเราก็ประสบความสำเร็จ

เวลาเราทุกข์เรายากนี่ ทำดีได้ดีมีที่ไหน คนกระทำชั่วเขาได้ดีมีถมไป ความชั่วอันนั้นมันต้องมีสิ่งรองรับนะ เห็นไหม นี่วันนี้มาจากไหน? มาจากเมื่อวานนะ เรานั่งอยู่นี่มาจากไหน มาจากเมื่อวานนี้ การกระทำสิ่งที่ดีขึ้นมามันจะส่งเสริมมา แต่ในวันนี้ทุกข์ไหม? ทุกข์สิ ทุกข์เพราะอะไร? เพราะชาติปิ ทุกขา การเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง เพราะอะไร? เพราะการหายใจ การดำรงชีวิตนี่เป็นเรื่องความสืบต่อ การรักษาอยู่ เห็นไหม

ดูสิ เราแสวงหาสิ่งใดมานี่เป็นเรื่องความทุกข์อันหนึ่ง แต่การเก็บสงวนรักษาก็เป็นทุกข์อีกอันหนึ่งนะ ดูสิ เราทำงานทำการขึ้นมาเป็นทุกข์ไหม? ทุกข์ทั้งนั้นแหละเราแสวงหามา แต่เราได้เงินได้ทองขึ้นมานี่ เงินทองขึ้นมาเราต้องจัดการอีกแล้ว เราต้องรักษา เห็นไหม อันนี้เป็นเรื่องของอามิส

แต่ถ้าเป็นเรื่องของบุญกุศลล่ะ ทำแล้วได้เลย เพราะอะไร? เพราะเราเสียสละไป ใครจะรู้กับเราไม่รู้กับเราไม่เป็นปัญหา เพราะปัญหาคือใจที่เสียสละออกไป สละออกไปมันก็เข้ามาอยู่ที่ใจ มันสะสม แล้วป้อมค่ายมันโดนทำลายไหม เพราะมันเข้ามานี่มันเข้ามาอยู่ร่วมอาศัยกับป้อมค่าย คือสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเรา คืออวิชชาไง อวิชชามันก็ยังลังเลสงสัย จะได้อย่างนั้นไหม? จะได้อย่างนี้ไหม? มันมีความลังเลสงสัยตลอดไป

เพราะเราไม่จริงกับตัวเราเอง เราไม่จริงจังกับธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราถึงไม่ได้ของจริง แต่ถ้าเรามีความจริงกับตัวเราเอง เห็นไหม ของจริงเข้ากับของจริง ดูสิ เพชรพลอยต่างๆ มีคุณค่านี่มันเข้ากับใครล่ะ ก็เข้ากับคนที่แสวงหามันมาได้ ของเรานี่เราหาได้อะไรมา ก้อนกรวดมหาศาลเลย ไม่มีใครสนใจ เพราะมันมีมากมายแล้วไม่มีคุณค่า

นี่ก็เหมือนกัน ความไม่จริงไม่จังของเรา ความไม่ถนอมรักษาหัวใจของเรา เราปล่อยปละละเลยของเรา เราไม่จริง ธรรมะเป็นของจริง มันถึงเข้ากับเราไม่ได้ ถ้าธรรมะเป็นของจริง เห็นไหม เรามีสัจจะ เรามีความจริงของเราขึ้นมา การกระทำนี่งานจากภายนอก งานจากภายในนะ นี่งานจากภายใน ดูสิ การนั่งสมาธิเฉยๆ การรักษาหัวใจเฉยๆ นี่ ความรู้สึกที่มันดีดดิ้นในหัวใจนี่ ให้มันสงบเข้ามา

ถ้ามันไม่สงบเข้ามา ป้อมค่ายอยู่ไหนล่ะ หาป้อมค่ายไม่เจอนะ คนหาป้อมค่ายไม่เจอ จะไปตีเขาที่ไหน เราจะมีข้าศึก ดูสิ นี่เราโดนเขารังแกมาตลอด แล้วใครรังแกเรา เราไม่รู้เลยว่าใครรังแกเรา เราหาใครไม่เจอเลย แล้วเขารังแกเราตลอดมา ข้าศึกเรามองไม่เห็นไง แต่ถ้าเราทำความสงบของใจเข้ามา เห็นไหม ข้าศึกมันอยู่ที่นี่ เพราะเวลามันคิดมันคิดมาจากที่นี่ เวลามันคิดคิดมาจากหัวใจคิดมาจากเรา

ความทุกข์ทุกข์มาจากที่นี่ แล้วเวลาเกิดก็ที่นี่ไงพาเกิด แต่ยังไม่มีใครมองเห็นนะ ในศาสนาเท่านั้นที่จะมองเห็นความรู้สึกอันนี้ ความรู้สึกอยู่กับเราแต่เราไม่เห็นความรู้สึกของเราเอง เราไปหาเหตุจากภายนอก เห็นไหม ธรรมะสอนที่นี่ไง เราไปเห็นธรรมะกันใช่ไหม นี่ศาสนวัตถุ วัดวาอารามนี่สูงสง่ามาก โอ้โหย...วัดไหนก็สวยงาม นี่วัดเป็นอย่างนั้น

ศาสนาเป็นเรื่องวัตถุ... ไม่ใช่เลย เป็นที่อาศัย เป็นอารามไง เป็นคนที่ออกจากเรือน เห็นไหม เราอยู่ในเรือน เราสร้างเรือนขึ้นมา เรามีที่อยู่อาศัยของเรา แต่ภิกษุ ภิกษุผู้ที่แสวงหานี่ ออกจากเรือนมา มาอยู่ที่ไหนล่ะ? ออกจากเรือนมาก็อยู่วัดอยู่อาราม อยู่ที่อาศัยของผู้ทรงศีล แล้วผู้ทรงศีลน่ะทำหัวใจขึ้นมานะ นี่ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่คือศาสนธรรม นี่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

พระธรรม เห็นไหม ดูสิ ดูอย่างเทวดาที่ว่าเป็นชาวพุทธเรา เทวดานี่ทำไมมาฟังธรรมล่ะ เราปฏิเสธนะ บอกว่าสิ่งนั้นไม่มี ไอ้นี่มันเป็นความคิดของเราทั้งนั้นล่ะ ความคิดว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะอะไร? เพราะเวลามันดูผู้ที่กระทำ สิ่งนี้ความประพฤติอย่างนี้หรือ ที่ว่าจะเป็นที่พึ่งของเทวดา อินทร์ พรหม แต่เราไม่ไปเห็นครูบาอาจารย์ของเราล่ะ เวลาหลวงปู่มั่นอยู่ในป่าในเขา ทำไมพวกนี้มาฟังเทศน์ล่ะ ฟังเทศน์เพราะอะไร? เพราะเขาไม่รู้อริยสัจ

คำว่า “อริยสัจ” ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เราก็ท่องบ่นกันปากเปียกปากแฉะ เราก็ไม่เคยเห็น เราก็ไม่เคยรู้ ทุกข์อยู่ที่ไหนล่ะ ทุกข์เกิดจากไหน? ทุกข์เกิดจากตัณหาความทะยานอยาก เป็นสมุทัย สิ่งที่เป็นสมุทัยคือ... เห็นไหม ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ แล้วทุกข์มันอยู่ที่ไหน ทุกข์มันเกิดมาได้อย่างไร แล้วเวลาเราว่าทุกข์ๆๆๆ อยู่นี่ บ่นกันแต่ว่าทุกข์ บ่นกันไปนะ แต่ไม่เคยรู้จักว่าทุกข์ไง เพราะอะไร? เพราะทุกข์มันเกิดแล้วเราถึงไปรับสนองอารมณ์ของมัน

ตัณหาความทะยานอยากเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ความแสวงหา ความดิ้นรนของใจเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ แล้วทุกข์เกิดขึ้นมาแล้วก็หดหู่หัวใจ แล้วหดหู่หัวใจก็แสวงหาใหม่กันไป มันเป็นอดีตอนาคตปิดบังปัจจุบันอันนี้ไว้ จึงไม่มีใครเห็นทุกข์ เทวดา อินทร์ พรหม สิ่งต่างๆ นี่ เขาศึกษามา ในศาสนาเรา ในศาสนาพุทธของเราองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่องค์ที่ ๔ แล้วผู้ที่ทำบุญกุศลมาไปเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม เขาก็ฟังธรรมมา เขาก็รู้เรื่องนี้กันหมด เขารู้เหมือนกัน รู้เหมือนเรานี่แหละ แต่รู้เหมือนเรารู้โดยปริยัติ รู้โดยสัญญาความจำ

แต่การประพฤติปฏิบัติถ้ามันได้ผลขึ้นมาแล้วนี่ เขาจะได้อริยภูมิขึ้นมา ถ้าได้อริยภูมิขึ้นมาเขาจะไปเกิดอย่างนั้นอีกไหม เขาไม่ไปเกิดอย่างนั้นหรอก ที่เขาไปเกิดอย่างนั้นเพราะบุญกุศลอย่างเรานี่แหละ ฟังเทศน์ฟังธรรมนี่แหละ สิ่งนี้ศึกษาขึ้นมา เห็นไหม ถึงว่าผู้ที่รู้อริยสัจจริง อริยสัจที่ว่าอริยสัจ อริยสัจอยู่ที่ไหน เขาถึงว่าต้องมาฟังธรรม เตือนไง เตือนหัวใจของเรา เตือนหัวใจนะ ว่าสิ่งการกระทำนี่ ให้รู้จักตัวตนของเรา เตือนเราให้รู้จักเรา เตือนเราให้เรารู้จักคุณงามความดีของเรา คุณงามความดีอยู่ที่ไหน อยู่ที่เราควบคุมใช่ไหม

ดูสิ เวลานั่งสมาธินี่ มันได้บุญมากไหม เวลาเราทำบุญกุศลต้องแสวงหา ต้องหาวัตถุมา ถึงได้การเสียสละทานออกมา เห็นไหม ทำบุญสละทานร้อยหนพันหนไม่เท่ากับถือศีลบริสุทธิ์หนหนึ่ง ถือศีลบริสุทธิ์ร้อยหนพันหนไม่เท่ากับเกิดสมาธิหนหนึ่ง มีสมาธิร้อยหนพันหนไม่เท่ากับเกิดปัญญาขึ้นมาหนหนึ่ง แล้วเรานั่งสมาธินี่นั่งเพื่ออะไร? นั่งสมาธินี่ นั่งธรรมดานี่ แล้วบุญมันเกิดมาจากอะไร? เกิดมาจากเราบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มันอยู่ที่ไหน?

เวลาไปวัดกราบพระพุทธรูปนี่กราบอะไร พระพุทธรูปนี่สมมุตินะ สมมุติว่าเป็นพระพุทธรูป หล่อขึ้นมาเป็นพระพุทธรูปเป็นตัวแทนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วตัวพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ที่ไหน ความรู้สึกน่ะพุทธะ ผู้รู้ไง ความรู้สึกของเรานี่คือตัวพุทธะ ความรู้สึกเรานี่คือพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านั่งอยู่กลางหัวใจแต่ไม่เคยเห็นไง เราไม่เคยเห็นพระพุทธเจ้าของเรา เราไม่เคยถนอมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา เราไปหาแต่สิ่งจากภายนอก เห็นไหม นี่เรานั่งสมาธินั่งเพื่อใคร เรานั่งขึ้นไปเพราะเราจะไปกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม เวลาพระอานนท์ถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

“เวลาพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว เวลาระลึกถึงพระพุทธเจ้าไปหาที่ไหน?”

“ให้เป็นสังเวชนียสถานทั้ง ๔”

เป็นที่เกิด ที่ตรัสรู้ ที่ปรินิพพานนั่น ที่ปฐมเทศนา เราก็ไปไหว้กัน เราชาวพุทธเราไปไหว้กัน

แต่ถ้าเราจะเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราล่ะ นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ที่กลางหัวใจ “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” ผู้ใดเห็นความสงบของใจก็นี่เห็นเงาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าผู้ใดเห็นธรรมจักร เห็นไหม ปัญญามันเกิด งานชอบ เพียรชอบ เกิดขึ้นมาจากหัวใจของเรา นี่ธรรมจักรมันเกิด ธรรมะเกิดแล้ว ธรรมะเกิด ธรรมะแสวงหาเข้าไปหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ที่ไหนล่ะ? นี่พอมันสงบขึ้นมา ถ้าใครประพฤติปฏิบัติ สงบจริงๆ นะ จิตสงบจริงๆ จะร้อง “โอ้โห! โอ้โห!” ความสุขเท่ากับจิตสงบไม่มี มันสงบมาก มันรู้ตัวของมันเองนะ ไอ้นี่มันไม่รู้ มันไปตื่นกับฤๅษีชีไพรไง มันไปตื่นเพราะรู้ว่าว่างๆๆ ว่างๆ แล้วไม่รู้จักตัวเอง คนเราเห็นภาพจิตรกรรมฝาผนัง เห็นสวยงามยังมีความซึ้งใจเลย เห็นภาพศิลปกรรม สวยงามนี่มันจะซึ้งใจมาก

อันนี้ทำไมเห็น รู้ว่าว่างแล้วทำไมตัวเองไม่รู้อะไรล่ะ ทำไมไม่รู้อะไรเลย ว่างๆ ว่างๆ ว่างๆ กันไปอย่างนั้น เพราะอะไร? เพราะตัวมันเองมันไม่ว่างไง มันไม่เข้าใจตัวมันเอง เห็นไหม นี่เวลาไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไปเฝ้าเงาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาศึกษาธรรม เวลาศึกษาพระไตรปิฎกก็เอากิเลสเข้าไปศึกษา เวลาว่านรกสวรรค์ก็ไม่มี อะไรก็ไม่มี นิพพานจะมีหรือไม่มี เพราะป้อมค่ายมันอยู่จากภายใน กิเลสมันอยู่ในหัวใจของเรา

สิ่งที่กิเลส ความไม่รู้ของมัน ตัวมันเองไม่รู้เรื่องอะไรเลย แล้วมันก็พยายามจะทำให้เราไม่รู้ด้วย เห็นไหม เราถึงไม่เห็นตัวเราเอง เราถึงไม่ได้เฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็ได้แต่เงา ได้แต่เงาก็ยังดีนะ เพราะยังเชื่อยังมีการกระทำอยู่

การทำคุณงามความดี จะบอกว่าไม่ต้องดิ้นรนขนาดนั้น ความดิ้นรนของเรา อยู่ที่ไหนก็ได้ขอให้จิตมันสงบเข้ามา ถ้าจิตสงบเข้ามาจะรู้จักตัวตนของเรา การฟังธรรมนี่ทำเพื่อเรา เพื่อให้จิตมันสงบเข้ามา ถ้าจิตสงบเข้ามานี่เรื่องของเขา เรื่องของเราแล้ว ความสุขความทุกข์ของโลกเขาก็เป็นเรื่องของโลกเขา ความสุขความทุกข์ของเราก็จะเป็นของเรา ความเห็นของเรา ปัญญาของเราจะเป็นของเรา ถ้าปัญญาของเรานะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน เห็นไหม พระอานนท์น่ะรำพึงรำพัน “ดวงตาของโลกดับแล้ว”

ถ้าเป็นความเห็นของเรา เราเข้าใจเรื่องในหัวใจของเรา เราได้เฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราได้รักษาพุทธะของเรา ตัวตนจิตนี้เป็นพุทธะขึ้นมาเอง ถ้าจิตเป็นพุทธะขึ้นมาเอง เวลาครูบาอาจารย์ท่านบอกสิ นั่งอยู่ท่ามกลางพระอรหันต์ทั้งหมด จะเข้าใจเรื่องของโลกหมดเลย เพราะอะไร? เพราะโลกเกิดมาจากไหน? โลกนี้มีเพราะมีเรา ถ้าเรากำจัดเราหมดแล้วนี่ เรากำจัดโลกทั้งหมดแล้ว กำจัดโลก อัตตะ โลกทัศน์ในหัวใจที่มันเป็นตัณหาความทะยานอยาก ที่เป็นอัตตะ ที่เป็นอัตตาในหัวใจ ไม่มีเลย เห็นไหม

มันจะเข้าใจโลกนอกโลกใน เพราะเข้าใจโลกในมันจะเข้าใจโลกนอก เข้าใจโลกนอกแล้วมันจะเป็นที่พึ่งของใครล่ะ นี่ดวงตาของโลกอย่างนั้น โลกนี้มีเพราะมีเรา แล้วเรากำจัดเราหมดแล้ว โลกของเราไม่มี แล้วโลกนี้มันเข้าใจ เข้าใจโลกนี้เพราะว่าอะไร โลกนี้เป็นอจินไตย มันจะแปรสภาพอยู่อย่างนี้ตลอดไป มันจะไม่ตื่นเต้นไปกับโลกนี้ โลกนี้ไม่ตื่นเต้นไปกับเขา เราจะเกิดจะตายหมุนเวียนกันไปอย่างนี้ โลกนี้เป็นอนิจจัง สรรพสิ่งนี้เป็นอนิจจัง คนเกิดมานี่เกิดมาเพื่อใช้กรรม เกิดมาใช้กรรม

แล้วเกิดมาเราพบพระพุทธศาสนา พบครูบาอาจารย์ที่เป็นผู้ชี้นำของเรา เป็นดวงตาของโลก ชี้นำให้เราทำคุณงามความดี ทำคุณงามความดีจากภายนอก เห็นไหม ตั้งแต่สละทานเข้ามา แล้วก็ทำความปกติของใจ ทำความปกติของใจด้วยการบังคับไว้ด้วยศีล แล้วด้วยความสมัครใจ ด้วยศรัทธา ทำความสงบของใจด้วยสมาธิ สมาธิเป็นตัวสงบของใจ ถ้าใจสงบเข้ามา นี่ตัวป้อมค่าย เห็นป้อมค่ายแล้วทำลายป้อมค่ายให้ได้ ถ้าเข้าไปทำลายป้อมค่าย เห็นไหม จิตนี้ไม่เคยตาย คนเกิดคนตายนี่มาจากไหน นี่คนเกิดคนตาย เกิดมาจิตนี้มีหนึ่งเดียว เกิดได้ตลอดไป เวลาคนตายนี่ร่างกายหมดสภาพไป แต่จิตนี้มันก็ยังคงที่ของมัน

แต่เวลาเราทำลายป้อมค่ายแล้ว จิตนี้มันก็มีอยู่ของมัน แต่มันเป็นจิตที่ไม่มีอวิชชา จิตที่ไม่มีป้อมค่าย จิตที่ไม่มีอัตตา จิตที่ไม่มีต่างๆ อะไรมันก็ไม่หมุนเวียนไปสภาวะของมัน เห็นไหม สิ้นสุดกระบวนการของจิต สิ้นสุดกระบวนการของการเคลื่อนตัวไป ถ้าสิ้นสุดกระบวนการการเคลื่อนตัวไปมันก็คงที่ของมัน คงที่แบบมีอยู่ คงที่แบบนิพพาน

แล้วมันอยู่ที่ไหนล่ะ? มันก็อยู่ในหัวใจเรานี่ไง มันก็อยู่ที่ความรู้สึกเรานี่ไง มันอยู่ที่ความทุกข์ๆ นี้ไง ที่มันทุกข์ๆ อยู่นี่ มันแก้ไขได้ มันทำได้ ถ้าเรารู้จักตัวเรา รู้จักเรา แล้วเราแก้ไขที่เรา เราจะมีความสุขที่เรา นี่คือศาสนาที่มีความมุ่งหมาย ศาสนาที่มีความจริงของเรา แล้วเราเป็นชาวพุทธ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เราเป็นเจ้าของศาสนา ทำไมเราไม่ใช้ศาสนาให้เป็นประโยชน์กับเรา ทำไมเราไม่เข้าให้ถึงศาสนา ทำไมเราไม่ทำใจเราให้เป็นศาสนา ทำไมเราไม่เข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่หัวใจของเรา เอวัง