เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๗ เม.ย. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เห็นไหม วันนี้วันครอบครัว ให้ครอบครัวมั่นคง ครอบครัวอบอุ่น ถ้าครอบครัวอบอุ่น ประเทศชาติก็จะอบอุ่น ในครอบครัวเรามีปู่ย่าตายาย มีพ่อแม่ มีลูกมีหลานเห็นไหม ความเห็นของลูกหลาน ความเห็นพ่อแม่ปู่ย่าตายายนี่ ความเห็นต่างๆ กันเลยนี่ แต่เวลาปู่ย่าตายายจะพูดกับเด็ก เห็นไหม ต้องทำความเข้าใจเราให้เหมือนเด็กเลย เพราะอะไร? เพราะเราเคยผ่านการเป็นเด็กมาก่อน

เวลาเด็กจะสื่อสารกับเรา เราจะสื่อกับเด็กได้ เวลาเด็กมันจะสื่อสารอย่างนี้ แล้วมันไร้เดียงสา ไร้เดียงสานะไม่ใช่บริสุทธิ์ บริสุทธิ์นี่ไม่ใช่ไร้เดียงสาหรอก บริสุทธิ์นี่มันเป็นสิ่งที่สติพร้อมเลย เห็นไหม คนบ้ากับพระอรหันต์นี่อยู่ใกล้ๆ กัน เพราะคนบ้าขาดสตินะ คนบ้านี่ไม่มีสติเลย ทำอะไรโดยขาดสติสัมปชัญญะ แสดงออกไปโดยสัญชาตญาณ แต่พระอรหันต์นะสติพร้อม เคลื่อนไหวมีสติพร้อม แต่รู้เท่าทันไปหมด เห็นไหม นี่คนบ้ากับพระอรหันต์อยู่ใกล้กัน

ไร้เดียงสาก็เหมือนกัน การไร้เดียงสานี่ไม่ใช่บริสุทธิ์หรอก เพราะการไร้เดียงสา ดูสิ เวลาเขาต้องการเขาก็ยังเรียกร้องของเขาเลย เด็กๆ นี่มันเรียกร้องของมันนะ มันต้องการอะไรนี่มันจะร้องไห้บีบบังคับพ่อแม่ ต้องยอมจำนนกับลูกหมดล่ะ ความรักของพ่อแม่เห็นไหม ต้องยอมกับลูกหมดเลย นี่ความไร้เดียงสา เราเห็นความไร้เดียงสานั้นดูแล้วมันน่ารัก แต่ถ้าผู้ใหญ่ไปทำอย่างนั้นน่ารักไหม ผู้ใหญ่ทำอย่างนั้นมันแบบว่าผู้ใหญ่ มันไม่สมกับวัยไง

ความเป็นคนสมวัย ทีนี้การสมวัย การประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน เริ่มต้นจากการทำความสงบของใจ เห็นไหม บอกเลย เมื่อคืนบอกว่า “รู้ว่าว่าง รู้ว่าว่าง” เห็นไหม เหมือนกับพ่อแม่เลี้ยงลูก ลูกนี่ไปเล่นมา สกปรกมาอะไรมา พ่อแม่ก็จับอาบน้ำทำความสะอาดมา ลูกนี่สะอาดสวยงามมาก ว่าง ว่าง เห็นไหม ตัวพ่อแม่เองน่ะเหงื่อไคลเต็มตัวเลย

จิตก็เหมือนกัน มันรู้ว่าว่างไง เพราะอารมณ์ความรู้สึกไม่ใช่จิต อารมณ์ความรู้สึกนี่ความคิดนี่ไม่ใช่จิตหรอก จิตนี่เป็นพลังงานเฉยๆ เวลาจิตสงบเข้าไป เห็นไหม ถ้าพ่อแม่ล้างอาบน้ำทำความสะอาดให้ลูก ลูกก็สะอาด ลูกเนื้อตัวสะอาดลูกก็มีความสุข ไอ้พ่อแม่ก็มาถึงหน้าที่ของเรา เราก็ทำความสะอาดของเรา เราอาบน้ำร่มเย็นของเรา ความร่มเย็นของเรามันคือสมาธินะ ความร่มเย็นของลูก ความร่มเย็นของความคิด ความคิดนี่เป็นลูก ความคิดนี่ไม่ใช่จิต ความคิดนี่เกิดจากจิต มันเป็นความคิด เห็นไหม

เวลามันคิดขึ้นไปมันก็เดือดร้อนไปหมดเลย เวลามันปล่อยวางเข้ามา ปล่อยวางเข้ามา มันก็ว่าง แล้วเราก็ไปรู้ว่าว่างๆ มันไปรู้ว่าว่าง ไม่ใช่ตัวเองว่าง ใครจะมาก็ว่าง..ว่าง.. ว่าง.. มันไปรู้ว่าง อารมณ์ว่าง อารมณ์ความรู้สึกนี่เป็นความว่าง แต่เราน่ะ ใครไปรู้ว่าว่างล่ะ เห็นไหม

แต่ถ้าเรานี่ ลูกเรา เราทำความสะอาดให้ดี เราดูแลได้ดี มันก็มีความสุขของเขา เราก็เลี้ยงไปตามประสาเราในครอบครัวใหญ่ แล้วเขาไม่งอแง เพราะว่าเราเท่าทันความคิด เห็นไหม ถ้าเท่าทันความคิดมันก็หยุดหมด หยุดหมดแล้วตัวเองล่ะ ตัวเองมีความสุขหรือยัง ถ้าย้อนกลับมา มันจะสงบเข้ามา ถ้ากำหนดพุทโธ ก็พุทโธๆ เข้าไป ถ้าใช้ปัญญาอบรมสมาธิก็ใช้ปัญญาแยกแยะ แยกแยะเข้าไปว่าความคิดมันให้คุณหรือให้โทษ

ความคิดให้โทษ ให้โทษเพราะอะไร? ให้โทษเพราะเราไม่รู้เท่ามัน เราถึงไปคิดมัน คิดออกไปก็เป็นเด็ก คิดออกไปก็เป็นอารมณ์ความรู้สึก ถ้ามันปล่อยความรู้สึกเข้ามาหาตัวเอง ถ้าตัวเองว่างนะไม่พูดอย่างนั้นเลย ว่างน่ะ “เอ๊อะๆ” ตัวรู้ ตัวเราเป็นตัวรู้ เห็นไหม สักแต่ว่ารู้ คำว่า “สักแต่ว่ารู้” รู้ตัวเองๆ ไม่ใช่รู้ว่าว่าง รู้ว่าว่างจิตมันออกไปแล้ว เห็นไหม

นี่เริ่มต้นแค่นี้เอง ก็ยังสับสนกันอยู่เลย แล้วว่ายังเข้าไม่ถูกเลย ความว่าง ความว่าง ความว่างอย่างนั้นน่ะเราไปว่าง เราไปรับรู้ เราไปจับเด็กให้นั่งสะดวกสบาย เราเองน่ะหัวปั่นเลย ดูแลลูกเรา เห็นไหมมันซน มันวิ่งเต้น อู้ฮู...จับกันหัวปั่นเลย

นี่ก็เหมือนกัน ความคิดอยู่ข้างนอก วิ่งเต้นจับความคิดหัวปั่นไปหมดเลย แล้วพอจับให้มันอยู่ได้ แล้วมันเป็นเราหรือยัง ถ้าไม่เป็นเรา มันจะแก้เราได้อย่างไร นี่แค่ไร้เดียงสานะ เริ่มต้นจากไร้เดียงสาแล้วขึ้นไป เห็นไหม ตั้งแต่มันจะเห็นจริงเห็นอย่างไร ถ้าเห็น.. ไปเห็นกายเห็นอย่างไร เห็นจิตเห็นอย่างไร ความเห็นนะ เห็น ดูสิ เวลาจิตเราลง เห็นไหม “ว่างๆ ครับ ทำอย่างไรต่อครับ ว่างๆ ครับ” มันไม่รู้ตัวมันเอง เห็นไหม ถ้าไปเห็นนิมิต นิมิตมันคืออะไร เห็นแต่ไม่รู้ ถ้ารู้มาถามทำไม รู้งงทำไม งงไปหมด ไปเห็นน่ะงงไปหมดเลย เห็นแต่ไม่รู้เห็นไหม

แต่ถ้าจิตมันสงบแล้วมันไปเห็นเข้า เห็นกายนะ เห็นอริยสัจนะ คนเรานี่คิดผิด ว่าถ้าเห็นกายเห็นเป็นอสุภะนี่คิดว่าไปเห็นผี ไม่ใช่หรอก ผีเป็นจิตวิญญาณ จิตวิญญาณเราไปเห็น จิตวิญญาณนี้มีนะ ถ้าจิตวิญญาณไม่มี เรานั่งอยู่นี่นั่งอยู่ด้วยอะไร เรานั่งด้วยจิตวิญญาณของเรานะ ด้วยใจของเรา เพราะเรามีหัวใจ เรานั่งอยู่นี่ร่างกายมันมีพลังงานตัวนี้ อบอุ่นอยู่นี่ร่างกายยังไม่เสียไป ถ้าจิตออกจากร่างไป ร่างกายนี้มันจะเน่ามันจะเสียทันทีเลย เห็นไหม

เรานั่งอยู่นี่ ผีตัวนี้คือความรู้สึก ตัวใจเรานี่มันมีอยู่ แล้วถ้ามันเคลื่อนออกไปมันก็เป็นผีข้างนอก เห็นไหม ถ้าเห็นผีเห็นจิตวิญญาณอย่างนั้น เจ้ากรรมนายเวรต่างๆ นี่ พ่อแม่ปู่ย่าตายายนี่มันสื่อสารกันได้ โดยข้อมูล โดยเทคนิคของเรื่องของความรู้สึก สิ่งนี้มีแต่เราจะพิสูจน์ได้อย่างไร เห็นไหม สิ่งนี้มันเป็นเรื่องผี

แต่เรื่องอริยสัจล่ะ ถ้าเรื่องอริยสัจเห็นไหม พอจิตมันสงบเข้ามา พอจิตสงบเข้ามานี่นะ จิตมันเป็นสากล จิตนี่มันเป็นความรู้สึกที่มหัศจรรย์มาก แล้วมันน้อมไปเห็นอริยสัจ ไปเห็นกาย เห็นกายไม่ใช่เห็นผี เห็นกายไปเห็นอริยสัจนะ สติปัฏฐาน ๔ เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครเห็นกายขึ้นมาไม่ใช่เห็นผี แต่เราไปตกใจกันเองว่าเห็นผี ใช่ มันจะเห็นเป็นก้อนเนื้อ บางทีเห็นนะแล้วแต่คนจะเห็น เห็นเป็นก้อนเนื้อ เห็นเป็นกะโหลกศีรษะ เห็นเป็นท่อนแขน เห็นเป็นเส้นผม แล้วแต่ต่างคนจะเห็น

ถ้าคนจะเห็น นี่ๆ อำนาจวาสนาของคนไม่เหมือนกัน แล้วถ้าเห็นสิ่งใดแล้วจะเห็นต่อๆ ไปก็ไม่เหมือนกัน เพราะมันเป็นปัจจุบัน เช่น อาหาร วันนี้เรากินอาหารอย่างนี้ แล้วมื้อกลางวันเรากินอาหารอย่างหนึ่ง ตอนเย็นกินอีกอย่างหนึ่ง อาหารแต่ละมื้อมันไม่เหมือนกัน ความเห็นก็ไม่เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าเห็นเส้นผมต้องเส้นผมตลอดไป เห็นอะไรตลอดไป ไม่ใช่อย่างนั้นนะ นี่คือเห็นอริยสัจ

ถ้าเห็นอริยสัจอย่างนี้มันสะเทือนอะไร? มันสะเทือนจิตใต้สำนึกเราไง เพราะจิตมันสงบใช่ไหม มันเป็นตัวพื้นฐานของจิต นี่ทั้งรู้ทั้งเห็นไง รู้ด้วย รู้ด้วยตัวเองสงบเข้ามา รู้ด้วยตัวเองมีพลังงาน รู้ด้วยตัวเองเห็นอะไร พอเห็นปั๊บมันสะเทือนหัวใจเพราะอะไร? เพราะจิตใต้สำนึกนี่เราเข้าใจผิดกัน เข้าใจผิดว่าสรรพสิ่งนี้เป็นของเรา เราเกิดมานี่เรานั่งนี่ร่างกายเป็นของเรา นึกว่าเป็นของเรา ใช่ จริงตามสมมุติ จริงๆ นะ เป็นเราจริงๆ แต่มันชั่วคราวไง

คำว่าสมมุติคือมันไม่ยั่งยืน คำว่าสมมุติมันของชั่วคราว เห็นไหม ที่ว่าโลกนี้คือละคร เวลาเราเล่นบทอะไร ละครเห็นไหม นี่จริงกับเราอยู่ไป ๘๐ ปี จริงกับเราไป ๑๐๐ ปี จริงเท่านี้เอง แต่อริยสัจจริงคงที่ จริงตลอดไป ถ้าความจริงอย่างนี้เพราะความจริงอันนั้นมันเป็นความจริงในอริยสัจ แต่ความจริงของเรามันเป็นความจริงในสมมุติ ถ้าความจริงในสมมุตินี่พอเห็นอริยสัจมันสะเทือนหัวใจ

สะเทือนหัวใจเพราะอะไร? เพราะข้อมูลมันแย้งกัน กิเลสเรากับธรรมะมันขัดแย้งกัน พอธรรมะมันขัดแย้งกันมันเข้าไปทำลายข้อมูลอันนี้ เข้าไปให้ข้อมูลนี้มันถูกต้อง พอถูกต้องขนพองสยองเกล้า มันสะเทือนหัวใจมาก สะเทือนกิเลสมาก การสะเทือนกิเลสอย่างนี้มันถึงแก้ไขกิเลสไง เราเป็นเองหมด คนที่ทำเป็นเองหมดนะ คนอื่นไม่เป็นเหมือนเราหรอก ใครทำใครรู้ ถึงทั้งรู้ด้วย รู้ด้วยยังไม่เห็นแจ้ง ไม่เห็นแจ้งมันปล่อยวางไม่ได้ มันยังตทังคปหาน มันปล่อยวางชั่วคราวๆ ชั่วคราวตลอดไป เห็นไหม ถึงที่สุดมันไปปล่อยวางเป็นสัจจะความจริง นี่ทั้งรู้ทั้งเห็น ถ้ารู้เห็นนี่ไม่ต้องถามใครเลย

ดูสิ ครูบาอาจารย์บอกเลย “แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่งอยู่ต่อหน้าก็ไม่ถามนะ” ถ้าถามเราสงสัย ถ้าใครยังถามอยู่แสดงว่าไม่จริง ถ้าจริงทำไมต้องถาม ถ้าจริงทำไมต้องสื่อความหมาย เพียงแต่ว่าถ้าในหมู่คณะเรา เห็นไหม ดูสิ เราออกไปประกอบสัมมาอาชีพมาแล้วเรามาเจอกัน เห็นไหม ไปทำกินที่ไหน ทำกินอย่างไร ทำกินแล้วมันได้ผลกำไรตอบแทนมาขนาดไหน นี่ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ตรงนี้ไม่ได้ถามด้วยความสงสัย เพียงแต่ว่าเราประกอบอาชีพอะไรมา เราไปอยู่ต่างจังหวัดมา อยู่ต่างประเทศมา กลับมานี่มีประสบการณ์อย่างไร เล่าสู่กันฟังนะ

นี่ประสบการณ์ชีวิต ประสบการณ์ชีวิตมันจะทึ่งมาก ถ้าความจริงกับความจริงถึงกัน เขาไปเองมา เขาไปประสบของเขาเองมา ไปอยู่ต่างถิ่นมาแล้วเขามาเล่าถึงความเป็นไปของเขา เขาไปจริงๆ เขาเห็นจริงๆ เขาทุกข์จริงๆ เขาสุขจริงๆ เขาทำของเขาจริงๆ ขึ้นมา แล้วเขามาเล่าสู่กันฟัง ไอ้เราก็เป็นต่างถิ่นมาก็เล่าสู่กันฟัง เห็นไหม นี่ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ เป็นมงคล มงคลเพราะอะไร? เพราะมันประสบการณ์ชีวิตนะ

ถ้าเป็นการศึกษา เห็นไหมวิทยานิพนธ์ วิทยานิพนธ์ของใคร ของใครก็แล้วแต่ แล้ววิทยานิพนธ์นะ วิทยานิพนธ์เขามานี่คือผลมันตอบแทนดีไหม คนเราไปประกอบสัมมาอาชีวะมา ไปต่างถิ่นมา บางคนไปกลับมาแล้วนี่กลับมาตัวเปล่า บางคนกลับมาได้แต่ประสบการณ์กลับมา บางคนกลับมาแก้วแหวนเงินทองเต็มตัวมาเลย

กรรมที่ไปก็เหมือนกัน จิตมันได้ประโยชน์มาแค่ไหน เวลาสื่อสารกันมันจะรู้เลย นี่ถ้าเอาเงินออกมาเงินก็คือเงิน ทองก็คือทอง เอามากองก็เห็นเงินเห็นทองกองเหมือนกัน เราเอาเงินทองมากองกันเพราะเราประสบความสำเร็จมา เขามาเขาได้มือเปล่าๆ มา เขาเอามากองก็กองแต่มือเปล่าๆ เห็นไหม นี่ธมฺมสากจฺฉา แล้วก็แก้ไขกันไป ชักจูงกันไป หมู่คณะชักจูงกันไป

ครอบครัวใหญ่ ครอบครัวของกรรมฐาน ครอบครัวของหมู่คณะเรา เวลาประพฤติปฏิบัติกันมานี่ มีครูบาอาจารย์เป็นผู้นำ เห็นไหม แล้วเป็นครอบครัวๆ หนึ่ง เหมือนกับครอบครัวของเรา ถ้าครอบครัวของเรามีความสุข มีรื่นเริง มีความขัดแย้งกันบ้าง มันเรื่องของความเห็น ความเห็นนี่มันเรื่องปกติ เพราะอะไร? เพราะเวลาพระอรหันต์ เห็นไหม เอตทัคคะ ๘๐ ทาง ยังไม่เหมือนกันเลย เป็นพระอรหันต์เหมือนกันยังไม่เหมือนกัน ความเหมือนกันมันเป็นไปไม่ได้ แต่มีสิ่งใดเราก็แก้ไขกันไป โลกก็เป็นอย่างนี้ เห็นไหม มีความสุขเข้ามาในเรื่องของเรา นี่คือธรรม

สิ่งนี้เป็นอาหารของใจ ถ้านี่หล่อเลี้ยงใจ ดูสิ เวลาเขาก่อสร้างกัน อิฐ หิน ทราย ปูน ถ้าไม่มีน้ำผสมขึ้นมามันจะเป็นคอนกรีตขึ้นมาได้อย่างไร นี่ก็เหมือนกัน ถ้าไม่มีหลักของใจขึ้นมานี่ความเห็นของมันต่างแล้วจะสื่อสารกันได้อย่างไร ถ้าสื่อสารด้วยธรรมะขึ้นมานี่ธรรมะมันจะเข้ากันได้ เห็นไหม “น้ำอมตธรรม” ทุกดวงใจมีนะ

เวลาเราใช้น้ำต้องเปิดโอ่งนะ ตักออกจากโอ่ง ตักออกจากภาชนะที่บรรจุน้ำ ความรู้สึกตักออกมาจากใจ แล้วทุกดวงใจถ้ายังมีชีวิตอยู่นี่ มีความรู้สึกอยู่ทุกคน ความรู้สึกนี่สื่อสารกันได้นะ สื่อสารได้สูงต่ำแล้วแต่วุฒิภาวะของใจ ประพฤติปฏิบัติได้ขนาดไหน นี่ความสุขก็ต่างๆ กัน วิมุตติสุข เห็นไหม สุขจากปุถุชน สุขเกิดจากกัลยาณปุถุชน สุขจากอริยบุคคลแต่ละขั้นแต่ละตอนเข้าไป ความสุขนั้นมีต่างๆ กัน

เหมือนแก้วแหวนเงินทองที่เอามาวางต่อหน้ากัน เห็นไหม นี่ทั้งรู้ทั้งเห็นมันจะเป็นความจริง แล้วพูดมามันจะสัจจะความจริง นี่เราไปรู้ รู้ไปหมด ครูบาอาจารย์ที่ไหนก็รู้ รู้ไปหมดเลยแต่ไม่เคยเห็น ถึงรู้ก็ถาม เพราะอะไร รู้แต่อีกครึ่งหนึ่งสงสัย เห็นไหม เช่น เราอ่านพระไตรปิฎก เราอ่านมาเราศึกษามา เราก็เชื่อ เชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ก็...จะทำได้หรือเปล่าเนาะ มีจริงหรือเปล่าเนาะ สิ่งนี้มันยังมีอยู่ในหัวใจ เห็นไหม ต้องแก้ไขไปๆ

ถึงที่สุดแล้ว ในวิทยาศาสตร์ เห็นไหม นี่มันจะมีค่าที่ความไม่แน่นอน แต่ทางธรรม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ทางธรรมนี่เห็นไหม ปรมัตถธรรมนี่ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์! ต้องสะอาด ต้องบริสุทธิ์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ชำระได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วสิ่งนั้นจะเป็นความจริง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เอวัง