เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๖ เม.ย. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาพูดถึงธรรมะ เห็นไหม เวลาธรรมะ พูดถึงธรรมะแล้วก็มองด้านเดียว ถ้าพูดถึงโลกเราก็มองโลกด้านเดียว อยู่กับโลกด้านเดียวเลย แต่ความจริงมันมี ๒ ด้าน กุศล-อกุศล ธรรมะขาวกับธรรมะดำ นี่ความทุกข์ก็เป็นธรรม ทุกอย่างก็เป็นธรรม แต่มันเป็นสิ่งที่ไม่ปรารถนา เห็นไหม แต่สิ่งที่ปรารถนามันก็ไม่อยู่กับเรา มันเป็นสมุทัย “ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค”

นี่ฟังประวัติอาจารย์จวน เห็นไหม ว่าเข้านิโรธๆ นิโรธเข้าไม่ได้ นิโรธอย่างนั้นเป็นนิโรธโดยสัญญา นิโรธโดยโลกไง ถ้าคำว่า “นิโรธ” มันต้องมีเหตุมีผล ถ้ามีเหตุมีผลมันชำระของมันไปเอง แล้วมันเป็นนิโรธมันดับสนิท มันดับจริงๆ นั่นนิโรธแท้ในอริยสัจ แต่เวลาเข้าฌานสมาบัติ เข้านิโรธสมาบัติ เข้าว่ากันไป มันเป็นนิโรธปลอมๆ ไง มันเป็นนิโรธปลอมๆ มันก็ดับด้วยปลอมๆ ความทุกข์เราต้องการดับ มันดับไม่ได้

แล้วเราก็ห่วงกัน ห่วงอนาคตนะ ทุกคนมองห่วงอนาคตแต่ไม่คิดถึงปัจจุบันเลย ถ้าเป็นปัจจุบัน ถ้าสุคโตตอนนี้สุคโต ถ้าปัจจุบันนี้เรามีความสุขเรามีจุดยืนนะ อนาคตมันก็พอไปได้ แต่นี่เราไปห่วงอดีตอนาคตกัน แต่ถ้าธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าให้แก้ที่ปัจจุบันนี้ ถ้าแก้ปัจจุบันนี้เราก็แก้กันในปัจจุบันนี่ ปัจจุบันของเรานี่ก็เป็นสมมุติ สมมุตินะ เพราะมันเคลื่อนตลอดเวลา

แต่ถ้าจิตมันเข้าไปเป็นสมาธินี่ มันเป็นสากล สิ่งที่เป็นสากลอันนี้เข้าไปแก้กันตรงนั้น เพราะอะไร? เพราะมันมีโอกาสไง เพราะอะไร? เพราะขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ อัปปนาสมาธิมันจะละเอียดลึกซึ้งเกินไป เราเข้าไปจนทำอะไรไม่ได้ต้องถอนออกมา พอถอนออกมา เห็นไหม คำว่าเข้าไปและถอนออกมานี่มันมีเจริญแล้วเสื่อม ขณะที่มันเจริญขึ้นมาแล้วมีโอกาสที่ได้วิปัสสนานี่ ตรงนั้นมันมีโอกาสได้ทำ มันถึงเป็นปัจจุบันไง มันเป็นปัจจุบันเพราะอะไร? เพราะมันเป็นสมาธิใช่ไหม มันไม่มีอดีตอนาคต มันเป็นปัจจุบันอยู่ มันถึงไม่มีกาลเวลาเห็นไหม

เวลาเราเข้าฌานสมาบัติกันหรือว่าเข้าสมาธิกันนี่ ไปนรกสวรรค์สิ ไปเห็นนรกสวรรค์กันนี่เพราะอะไร? เพราะมันเข้าไปถึงตัวจิตเดิมแท้ ตัวจิตที่ว่ารู้ รู้ต่างๆ นี่ ความรู้อันนี้มันไปเกิดที่ไหนก็ได้ มันเป็นไปก็ได้ แต่ถ้าพอออกมารู้โดยสมมุติ เห็นไหม พอสมมุติแล้วเป็นมนุษย์ไง มนุษย์เรานี่ ๒๔ ชั่วโมง มนุษย์ของเทวดา ของอินทร์ ของพรหม มนุษย์เป็นสมมุติหมดนะ เทวดา อินทร์ พรหม เป็นสมมุติหมดเลยเพราะอะไร? เพราะเขามีวาระของเขา เขาต้องเปลี่ยนแปลงวาระของเขา

ในปัจจุบันนี่เราก็เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แต่เราไม่เห็น เราไม่เห็นแล้วเราไม่เข้าใจ เห็นไหม พอเราไม่เห็นแล้วเราก็ไม่เข้าใจ เราก็จะแก้อะไรไม่ได้เลย เพราะสิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่บังตาไว้ สิ่งนี้บังตาไว้ให้เราเคลื่อนไปตลอดเวลา มันไม่เป็นปัจจุบัน มันถึงแก้กิเลสไม่ได้ มันไปรู้ไปเห็นธรรมะของคนอื่นไง ถ้าเป็นธรรมะของคนอื่นมันจะแก้ไขเราได้ไง เหมือนกับเห็นสมบัติของคนอื่น สมบัติของคนอื่นเป็นสมบัติของเขา สมบัติของเราเป็นสมบัติของเรา

แล้วสมบัติของเราล่ะ ถ้าสมบัติของเราปั๊บนี่ มันก็เป็นปัจจุบันนี่ มันก็ว่าเป็นเราแต่มันก็ห่วงอนาคต เห็นไหม ว่าจะเป็นอย่างนั้นจะเป็นอย่างนี้ ทุกข์ยากไปหมดเลย แล้วถ้าปัจจุบันมันดีนะ อนาคตมันเป็นไปตามธรรม ตามกรรมต่างๆ ที่มันสภาวะมา กรรมดีมันก็ไปทางที่ดี แล้วปัจจุบันมันแก้ไขตรงที่ดีนี่ ถ้าทางที่ดีสิ่งที่มันเป็นไปดีนะ ไปดีแต่ถึงสภาวะที่มันเกิด

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พราหมณ์นิมนต์ไว้ เห็นไหม ต้องฉันข้าวกล้องที่เขาเลี้ยงม้านะ เวลาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีวาระที่ว่ามันมีผลของกรรม เห็นไหม ถ้าวาระของเรา กรรมมันมาสภาวะแบบนั้น เราก็เป็นสุคโตอยู่

อย่างเช่น ในปัจจุบันนี้เราเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมานี่มันมาจากไหนล่ะ เราถึงว่ามีการเจ็บไข้ได้ป่วย แล้วในปัจจุบันนี้นะ ดูสิ ในร่างกายเรามันแปรสภาพตลอดมันป่วยไหมล่ะ มันก็ป่วยของมัน มันก็แปรสภาพของมันตลอดเวลา แปรสภาพแบบนี้ถ้าเรารักษาของเราได้ เราออกกำลังกายของเรา เรารักษาร่างกายของเรา ร่างกายเราแข็งแรงนี่ อย่างนี้มันก็อยู่สุขสบายขึ้นมาพักหนึ่ง อยู่สุขสบายชั่วคราวนะ เพราะถึงที่สุดแล้วมันต้องพลัดพราก ไม่มีสิ่งใดคงที่ตลอดไป เป็นไปไม่ได้ สิ่งที่จะคงที่นี่เป็นไปไม่ได้

แต่เราอาศัยมันไป เพราะคำว่าอาศัยเราก็ห่วง ห่วงแต่สิ่งที่เป็นภายนอก แล้วสิ่งที่ไปรักษาเขาล่ะ สิ่งที่รู้สึกว่าร่างกายของเรา สิ่งที่แปรสภาพนี่มันคืออะไร? มันคือความรู้สึก เห็นไหม ความรู้สึกนี่ที่ว่ามันเป็นนามธรรม ที่มันจับต้องไม่ได้นี่ แต่ถึงจริงๆ แล้วนี่ถ้าควบคุมมันได้ มันรู้ตามตลอดไป เห็นไหม รู้ตามนะเวลามันรู้ออกไปสิ่งต่างๆ นี่ ถ้าย้อนกลับไปมันหยุดของมันได้

ถ้ามันหยุดของมันได้ สิ่งที่มันหยุดของมันได้ นี่มันหยุดเฉยๆ นะ หยุดเฉยๆ เพียงแต่ว่าเราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ เรารู้ทันความคิดของเรา แล้วความคิดอันนี้มันแก้ไขออกไปอีกเห็นไหม มันจะบอกว่า ตั้งแต่ความคิดนี่ มันจะคิดมันขยับไปนี่เราบริหารจัดการได้หมด ถ้าบริหารจัดการได้หมดมันจะไปไหนล่ะ มันก็อยู่ในอำนาจจัดการของเรา นี่ชำนาญในวสี

ถ้าชำนาญในวสีแล้วมันพิจารณาของเราไป ถึงที่สุดของเรา ถ้าปัจจุบันมันดี มันเห็นเป็นเรื่องของสมมุติไง ถ้าผู้ใหญ่เห็นเด็กเล่นเป็นเรื่องของสมมุตินี่มันเห็นแล้วมันสลดใจนะ แต่เด็กมันสมมุติของมันไป แล้วมันก็ยึดมั่นของมันไป มันก็มีอารมณ์ความรู้สึกของมันไป สิ่งสภาวะแบบนั้นอันหนึ่ง นี่เห็นไหม อยู่กับโลกเขา ถึงว่าสิ่งนี้เป็นสมมุติ มันถึงสมมุติเราก็ต้องอยู่กับเขา อยู่กับเขานะจนถึงที่สุดมันสละทิ้งออกไป ออกไปด้วยความสุคโต

แต่ถึงที่สุดสละทิ้งออกไปด้วยความห่วงหาอาวรณ์ สละทิ้งออกไปด้วยมันจำเป็นต้องสละทิ้งไป เห็นไหม จำเป็นต้องสละทิ้งไป เพราะอนาคตข้างหน้าใครจะไปรู้มัน อนาคตข้างหน้านะ เรายังมีชีวิตอยู่นี่เรามีพรุ่งนี้มะรืนนี้ เรามีถึงปีหน้าปีต่อไป เราจองสถานที่ จองจัดงานกันน่ะอนาคตไปกี่ปีๆ คาดหมายไปตลอดเลย

แล้วเวลาจิตมันออกจากร่างไปนี่ เรารู้ไหม เรารู้ว่ามันจะไปไหน เรารู้ว่าเป็นสภาวะแบบใด เพราะอะไร? เพราะสิ่งนั้นมันเป็นสัจจะความจริง สัจจะนะ สัจจะตามกรรม ถ้ากรรมดีใครทำดีทำชั่ว ถ้ากรรมดีไปตามความดีของมัน สัจจะความจริงมันไปตามกรรม ไม่มีใครไปแปรสภาพมันได้เลย แต่ในอนาคตของเรานี่ เราจะยกเลิกอะไรก็ได้ เราจะทำก็ได้ เราไม่ทำก็ได้ เห็นไหม เรายกเลิกได้เพราะมันเป็นสิทธิของเรา เห็นไหม

ในปัจจุบันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเราคิดสภาวะแบบนี้ปั๊บเราย้อนกลับมาในปัจจุบันนี้เลย ถ้าเรารักษาของเราในปัจจุบันนี้ ถ้ามันดีในปัจจุบันนี้ เห็นไหม ปัจจุบันนี้มันดีขึ้นมานี่รักษาความรู้สึกอันนี้ไว้นะ ความรู้สึกมันเปลี่ยนแปลงตลอด อารมณ์ความรู้สึกเรานี่เปลี่ยนตลอดเลย ถ้าความรู้สึกเราสิ่งที่ดีเรารักษาไว้ได้ สิ่งนี้มันเป็นปัจจุบันเรานี่ ปัจจุบันเรานะ ชีวิตเราจะมีความรื่นเริงอาจหาญนะ ชีวิตจะมีความรื่นเริง ชีวิตมีความสุขมาก ความสุขที่ว่าเห็นเขาไปมาทั่ว เห็นเขาเป็นไปมาน่ะมันก็ต้องไปซับสิ่งต่างๆ มาเห็นไหม

เวลาเราออกไปวิเวกเหมือนกัน เวลาพระเรานี่ออกไปธุดงควัตร ออกไปธุดงค์เห็นไหม ธุดงค์ไปต่างๆ มันไปพบสิ่งใดมาล่ะ ถ้าเป็นสิ่งที่ดีมา ประสบการณ์ชีวิตก็อันนี้มา ถ้าไปประสบการณ์สิ่งต่างๆ สิ่งที่มัน... แล้วมันต้องมีหมด มันต้องมีการกระทบกระทั่ง การกระทบกระทั่งอันนี้มันเป็นเรื่องธรรมดาไง มันเป็นสัจจะความจริง แล้วเราเอามาเป็นคติเตือนใจเรา

ถ้าเอามาเป็นคติเตือนใจเรานี่ ชีวิตนี่ ดูสิ แม้แต่ในปัจจุบัน ในวันหนึ่งอารมณ์เรายังเปลี่ยนแปลงได้ขนาดนี้ ถ้าเรารักษาอารมณ์ของเราได้ดีขึ้นมา แล้วอารมณ์ตัวนี้มันจะย้อนกลับมาจากภายใน เห็นไหม งานภายนอก งานภายใน งานของพระ เราไปมองงานทางวัตถุกัน เราสร้างสิ่งต่างๆ กัน อันนั้นมันเป็นหน้าที่นะ มันเป็นหน้าที่ มันเป็นข้อวัตรปฏิบัติ ข้อวัตรเห็นไหม ข้อวัตรเครื่องดำเนิน

ถ้าเรามีข้อวัตรเหมือนกฎจราจรเลย ทุกคนรับรู้กฎจราจรนี้ เวลาขึ้นไปบนถนนหนทางแล้วนี่เราไปตามกฎนั้น มันไปตามนั้นมันก็ไม่มีอุบัติเหตุ เห็นไหม นี่ก็เหมือนกัน ข้อวัตรปฏิบัติมันก็เป็นกฎให้หัวใจนี่บังคับหัวใจนี่ไป แล้วเวลารถมันไปติด รถมันมีอุบัติเหตุ รถต่างๆ นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราทำหน้าที่การงานออกไปน่ะ มันจะมีอุบัติเหตุ มันมีอุปสรรคต่างๆ อันนี้เราก็แก้ไขของเราไป

ถ้าเราแก้ไขของเราไป ใจมันเห็นไง ใจมันพัฒนาขึ้นมาไง ถ้ามันเห็นสภาวะแบบนี้ นี่ข้อวัตรปฏิบัติ ดัดแปลงใจ แล้วใจไปทำซ้ำทำซาก เห็นไหม ดูสิ เวลาเราทำข้อวัตรปฏิบัติ มันมีวันจบสิ้นไหมล่ะ ในเมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ เรามีการใช้สอยอยู่ เราต้องใช้ประสบการณ์อย่างนี้อยู่ มันก็ต้องใช้อย่างนี้ไป ถึงที่สุด เวลาพระอรหันต์ในสมัยพุทธกาล เห็นไหม มีความวิตกขึ้นมาเราจะต้องลงอุโบสถไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่มาโดยฤทธิ์เลยนะ

“ถ้าเธอไม่ลงอุโบสถ เธอไม่ทำข้อวัตรปฏิบัติไว้นี่ แล้วใครจะทำล่ะ”

เห็นไหม เป็นคติเป็นตัวอย่าง แม้แต่ผู้ที่สิ้นกิเลสแล้วก็ยังต้องดำรงชีวิตอย่างนี้ไง ใช้ชีวิตอย่างนี้ไป แต่ใช้ชีวิตแบบผู้ที่ไม่ติดไม่ข้อง ผู้ที่รู้เท่าทันความจริง รู้เท่าทันความจริง เราใช้เขา แต่ถ้าเราไม่รู้เท่าทันความจริงนะ เขาใช้เรา เพราะเราต้องทำตามสภาวะแบบนั้น แล้วมันเหนื่อยหน่าย มันไม่อยากทำ มันต่อต้านไง มันต่อต้านเพราะกิเลสมันอยากสะดวกสบาย ข้อวัตรมันดัดแปลงอย่างนี้ ดัดแปลงว่าถ้ามันเหนื่อยหน่าย มันต่อต้านนี่ทำให้มันเป็นนิสัย ถ้าขอนิสัยแล้วได้ตามนิสัยนั้น นิสัยนั้นมันจะดัดแปลงตัวเองขึ้นมา เห็นไหม นี่อุปัชฌายวัตร อาจริยวัตร อาคันตุกวัตร

วัตรต่างๆ นี่มันข้อปฏิบัติ มันเป็นกฎจราจรที่รถมันจะไปด้วยความราบรื่น ถ้าไปราบรื่นมันก็มีความสมานฉันท์ เห็นไหม ในหมู่สงฆ์มีความร่มเย็นเป็นสุข สุขจากภายนอก ถ้าความสุขจากภายนอกมันไว้เนื้อเชื่อใจกัน นี่ธรรมะมันก็จะออกแล้ว ถ้าเราไว้เนื้อเชื่อใจกัน การสนทนาธรรมเป็นมงคลอย่างยิ่ง การสนทนาธรรม เวลาพูดถึงธรรมะขึ้นมานี่ ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ เราก็กล้าถามกล้าตอบกัน เพราะอะไร? เพราะมันผิดถูกมันตามข้อเท็จจริง ไม่ใช่ผิดถูกด้วยกิเลสตัณหาที่เราจะบังคับให้มันถูก ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก มันเป็นผิดถูกตามข้อเท็จจริง เห็นไหม

ถ้าข้อเท็จจริงนี่เราพัฒนาขึ้นมา ถ้าวุฒิภาวะเราไม่ถึงเราก็แก้ไขของเราไป การแก้ไขเห็นไหม มันก็แก้ไขเพิ่มมากขึ้น นี่คบมิตรดี มิตรแท้จะปกป้องเราต่อเมื่อแม้แต่เราผิดพลาด เราพลั้งเผลอ มิตรก็ยังคุ้มครองเรา คนเทียมมิตร เราดีขนาดไหนนะเขาก็ทำให้เราเสียหาย เพราะอะไร? เพราะเขาต้องการผลประโยชน์ มิตรแท้ มิตรเทียม เห็นไหม

แล้วเราคบบัณฑิตเห็นไหม ในหัวใจของเรานี่ ถ้าคบมิตรดีคบธรรมะ คบสัจจะความจริง แล้วเวลาสนทนาธรรมขึ้นมาแล้วนี่ สิ่งนี้มันไม่เป็นความจริง มันไม่จริงมันก็เป็นมิตรเทียม มิตรเทียมก็เทียมอยู่กับใจเรา มันเกาะอยู่กับใจเรามา แล้วเราสนทนาธรรม เวลาสนทนาธรรม แลกเปลี่ยนทัศนคติกัน แล้วครูบาอาจารย์คอยแก้ไข เห็นไหม เปลี่ยนจากมิตรเทียมให้มันเป็นมิตรแท้

มิตรแท้มันเป็นธรรมะ ธรรมะมันอยู่กับหัวใจของเรา มิตรเทียม เห็นไหม นี่ธรรม กุศล-อกุศล ธรรมะฝ่ายดำ ธรรมะทำให้เราเสียหาย ธรรมะทำให้เราเสียเวลา ธรรมเหมือนกันนะ เพราะโลกเป็นอย่างนี้ นี่ธรรมะๆ ธรรมชาติเป็นอย่างนี้ ธรรมชาติมันก็แปรปรวนตลอดเวลา ธรรมะมันก็ สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา มันก็เจริญแล้วเสื่อมในหัวใจอยู่ตลอดเวลา

แต่ถึงที่สุดแล้วอกุปปธรรมนี่ อกุปปธรรม ธรรมะแท้มันเหนือธรรมชาติ เพราะอะไร? เรารู้สัจจะธรรมชาติแล้วเราปล่อยธรรมชาติไว้ตามความเป็นจริง เราปล่อย ฟังว่าเราปล่อยสิ ธรรมชาติมันเป็นธรรมชาติ เราปล่อยธรรมชาติไว้ให้เป็นตามความเป็นจริง แล้วเราอยู่เหนือธรรมชาติ ธรรมชาตินี่จะแปรปรวนไปไม่ได้ ถ้าเราเป็นธรรมชาติเราก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เราก็เวียนไปกับธรรมชาติ เห็นไหม

แต่เริ่มต้นธรรมะคือธรรมชาติ ก็ใช่ เพราะอะไร? การเกิดก็เป็นธรรม เห็นไหมนี่เกิดมา อุแว้ๆ เกิดมานี่พ่อแม่ดีอกดีใจ นี่ก็เป็นธรรม แล้วทุกข์ร้อนไหมล่ะ ก็ทุกข์น่าดูเลย แล้วพ่อแม่รักไหม พ่อแม่ปรนเปรอให้มีความสุขไหม ก็มีความสุขชั่วคราวเห็นไหม นี่ก็เป็นธรรม เป็นธรรมทั้งนั้นน่ะ แต่ธรรมของโลก ธรรมโดยสมมุติไง

แล้วธรรมโดยวิมุตติล่ะ ถ้าธรรมโดยสัจจะความจริงธรรมโดยวิมุตติขึ้นมานี่ สิ่งนี้มันแปรปรวนไป แล้วมันก็เหมือนกับพื้นดิน เหมือนแผ่นดิน เหมือนน้ำ เหมือนอากาศ ที่มันทำให้พืชพันธุ์ธัญญาหารเจริญงอกงามขึ้นมา ธรรมชาติอย่างนี้ก็ทำให้เรารู้กฎธรรมชาติ ทำให้รู้การแปรปรวนธรรมชาติ เห็นไหม สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา สมาธิก็เสื่อม ปัญญาเวลาเกิดขึ้นก็ชั่วคราวๆ นี่สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา มันเป็นอนัตตาอยู่แล้ว เห็นไหม

แล้วเราก็ว่าสิ่งนี้เป็นธรรม อนัตตาก็เรารู้แล้วเราก็ปล่อยวางแล้ว ปล่อยวางโดยสมมุติ เห็นไหม มันก็ไม่เป็นความจริง ถ้าปล่อยวางโดยสัจจะความจริง มันปล่อยวางมันขาด มันสมุจเฉทปหานเป็นอกุปปธรรม ถ้าเป็นอกุปปธรรมเป็นธรรมของเรา สัจจะความจริงของเรานี่ สมมุติกับวิมุตติมันก็อยู่กับใจเรานี่ เพราะใจเรามีความรู้สึกอยู่ ถ้ามันปล่อยวางได้จริงนะ ปล่อยได้จริงนะ ปล่อยได้จริง วางได้จริง มันก็เป็นความจริงขึ้นมา เห็นไหม

แล้วชีวิตนี้มันคืออะไรล่ะ? ชีวิตนี้คือไออุ่น ไออุ่นพลังงานตัวนี้มันเกิดมาแล้ว เราเกิดมาเรามีอำนาจวาสนาเพราะอะไร? เพราะเรามีร่างกายนี้บีบคั้น เรามีปัจจัยเครื่องอาศัยต้องบีบคั้น ถ้าเป็นเทวดา อินทร์ พรหม ของเขาเป็นทิพย์ เขาก็เพลิดเพลินไปของเขา เราเป็นมนุษย์ขึ้นมานี่เรามีบีบคั้นอย่างนี้ บีบคั้นให้เราตื่นตัวขึ้นมา บีบคั้นให้เรารู้สึกตัวขึ้นมา บีบคั้นให้เราแสวงหา เพราะเราอยู่เฉยๆ ไม่ได้ เราจะอยู่เฉยไม่ได้นะ ตัวนี้จะบีบคั้นตลอดไป สิ่งนี้มันบีบคั้นมันทำลายเราอยู่ตลอดเวลา

แล้วมันเตือนใจ นี่เห็นไหม เวลาเราตายไปพญายมถามว่า

“เห็นธรรมะไหมๆ”

“ไม่เห็นหรอก”

“ไม่เห็นคนเกิดหรือ? ไม่เห็นคนแก่หรือ? ไม่เห็นคนตายหรือ?”

เห็นตลอดเวลา นี่ธรรมะมันเตือนตลอดเวลา เราก็ต้องเป็นอย่างนั้นตลอดเวลา เห็นไหม ร่างกายของมนุษย์ สภาวะของภพมนุษย์มันบีบคั้นอย่างนี้ บีบคั้นให้เราแสวงหา บีบคั้นให้เราค้นคว้า ให้ทำให้เกิดขึ้นมาในหัวใจ ถ้าเราทำเราค้นเกิดมาในหัวใจ มันจะเข้าใจ ชีวิตคือไออุ่น ไออุ่นเฉยๆ ไออุ่นพลังงานเฉยๆ

แต่นิพพานล่ะ นิพพานนี่สิ่งนี้มันพ้นออกไป มันเข้าใจเรื่องชีวิตแล้วมันปล่อยวางชีวิต ธรรมนี่เหนือธรรมชาติ เหนือธรรมชาติเพราะรู้จริง เพราะเป็นอกุปปธรรม มันขัดแย้งกับธรรมชาติ เพราะธรรมชาติมันแปรปรวน แล้วนี่มันไม่แปรปรวนน่ะ มันคงที่ มันจะเป็นธรรมชาติได้อย่างไร มันเหนือธรรมชาติมันถึงไม่แปรปรวนไปตามธรรมชาติเขา มันพ้นออกไปจากธรรมชาติ

แล้วอยู่ที่ไหน? อยู่ที่ที่มันแปรปรวนนี้แหละ อยู่ที่ๆ มันทุกข์ยากอยู่นี่ อยู่ที่มันกำลังห่วงหาอนาคตอยู่นี่ ถ้ามันเข้าใจจริงมันจะปล่อยวางเดี๋ยวนี้ แล้วมันคงที่ของมันเดี๋ยวนี้ เห็นไหม นี่จากสมมุติ สมมุติทั้งนั้น นี่ธรรมะที่ครูบาอาจารย์แสดงอยู่ เป็นจริงของท่าน สมมุติของเรา เพราะเราจำมา เราฟังมา เดี๋ยวก็ลืม เดี๋ยวก็ตั้งใจ เดี๋ยวพยายามจะค้นคว้า พยายามจะคิดตามให้ทัน เห็นไหม สมมุติทั้งนั้นน่ะ

สมมุติไปก่อน สมมุติแล้วเราตั้งใจความจริงตามข้อวัตรปฏิบัติปฏิปทาเครื่องดำเนินไป ถึงที่สุดแล้วมันจะเป็นกำลังของเราขึ้นมา มันเป็นธรรมนะ สัจธรรมเกิดขึ้นมา ปัญญามันเกิดขึ้นมา มันทันนะ ทันความคิดตัวเอง ถึงที่สุดแล้วนะมันปล่อยวาง ปล่อยวางที่เรารู้ๆ นี่แหละ ถ้าเราไม่ปล่อยวางที่รู้ๆ นะ พาหนะที่เรามานี่ เราอยู่ในพาหนะเราจะขึ้นมาบนนี้ไม่ได้เลย เราจอดมันไว้ข้างล่าง เห็นไหม ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เหมือนกัน เป็นพาหะเครื่องดำเนินไป ถึงที่สุดแล้วปล่อยวางหมดเลย เรารู้จริงจากใจของเรา เอวัง