เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๙ พ.ค. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระ เห็นไหม พระพุทธรูป พระจากข้างนอก พุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พระจากในหัวใจ พระจากข้างนอก พระจากข้างในน่ะคนไม่เข้าใจนะ ดูสิ เวลาบอกเห็นไหม เวลาอยู่ที่บ้าน พระอรหันต์ในบ้าน พ่อแม่นี่เป็นพระอรหันต์ของลูก เป็นพระอรหันต์ของลูกนะ แต่ถ้าเป็นคนอื่นล่ะ เพราะคนอื่นเขาเป็นบุคคลธรรมดาใช่ไหม แต่เป็นพระอรหันต์ของลูกเพราะอะไร เพราะว่าให้กำเนิดมา เลี้ยงมา เชิดชูมา นี่พระอรหันต์ของลูก พระอรหันต์ต้องเป็นผู้ที่สิ้นกิเลสสิ..

แต่ถ้าตามธรรมนะ เป็นพรหมของลูก เป็นพรหมวิหาร ๔ พ่อแม่จะรักลูกมาก รักลูกด้วยความเมตตานะ รักลูกด้วยพรหมวิหารเลย ไม่ต้องการสิ่งตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น เห็นไหม เป็นพระอรหันต์ของลูกเพราะอะไร เพราะเวลาทำอนันตริยกรรม เห็นไหม ทำพระพุทธเจ้าให้ห้อเลือด ทำสังฆเภท ฆ่าพ่อฆ่าแม่ นี่เป็นอนันตริยกรรม เห็นไหม นี่พระอรหันต์ของลูก พระจากภายนอก

พระจากภายในของเรา ผู้ที่เรามาเกิด เกิดจากไข่ของมารดา ทางวิทยาศาสตร์บอกเราเกิดมาจากพ่อจากแม่ ใช่..เราเกิดจากพ่อจากแม่ ในโลกสมมุตินี่เราเกิดมาจากพ่อจากแม่ พ่อแม่เลี้ยงเรามา พ่อแม่มีบุญคุณมาก เห็นไหม เราเกิดจากพ่อจากแม่ แต่ถ้าเป็นโดยกรรมนะ จิตนี้มันเกิดมาจากกรรม เพราะจิตปฏิสนธินี่มาปฏิสนธิในไข่ของมารดา ถ้าไม่มีปฏิสนธิจิต ดูสิ ครอบครัวที่เป็นหมันนะ เขามีไข่เหมือนกัน เขาก็มีทุกอย่างพร้อมกัน แต่ทำไมไม่มาเกิดล่ะ? อันนั้นมันเป็นกรรมของแต่ละบุคคล กรรมนี้ไม่เหมือนกัน

ถ้ากรรมไม่เหมือนกัน พระจากภายในคือความรู้สึกของเรา พระจากภายในนี่ ถ้าเราชาวพุทธ เห็นไหม พระจากภายนอกเป็นประเพณีวัฒนธรรม ประเพณี เห็นไหม ประเพณีของโลก แล้วประเพณีของพระอริยเจ้า เห็นไหม ประเพณี อริยประเพณี

อริยประเพณี เห็นไหม ธุดงควัตร อริยประเพณี ประเพณีนี้เพื่ออะไร เพื่อย้อนกลับมา

“ค้ำโพธิ์” เวลาเขาค้ำโพธิ์กัน โพธินี่ค้ำโพธิ์ ค้ำโพธิ์ก็ค้ำมาเพื่อหัวใจของเรา ความรู้สึกของเราจะเกิดในหัวใจของเรา เรากราบพระๆ เห็นไหม เรากราบพระ กราบที่ไหน?

ถ้ากราบพระนะ กราบถึงพระองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบถึงพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ กราบถึงเมตตาคุณ ธรรมคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่โดยสมมุติ เราต้องมีสมมุติที่ไปกราบใช่ไหม ต้องมีพระพุทธรูป ถ้าเราไม่มีพระพุทธรูปจะไปกราบอะไร เราไม่มีที่หมาย เห็นไหม หมายตรงนั้นว่าที่นี่เป็นตัวแทนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นรูปเคารพ แต่เวลากราบขึ้นมา เรากราบถึงเมตตา ปัญญา เมตตาคุณ ปัญญาคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะอะไร เพราะวางธรรมวินัยไว้ให้สังคมร่มเย็นเป็นสุข ให้พ่อแม่ ให้ครอบครัวนี้มีความร่มเย็นเป็นสุข สิ่งนี้มาจากไหน? มาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยไว้

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ตรัสรู้ธรรมมีวิมุตติสุข ใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพ้นจากทุกข์ไปก่อน แล้วประเพณี.. เพราะสร้างสมบุญญาธิการมากถึงเป็นพระพุทธเจ้า เห็นไหม พระโพธิสัตว์สร้างบุญญาธิการมหาศาล ถึงว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ องค์ทำอย่างไร? ประเพณีทำอย่างไร?

ถึงออกบิณฑบาต วางธรรมและวินัยไว้เพราะอะไร เพราะให้ภิกษุได้ค้นคว้า ภิกษุเป็นนักรบ เห็นไหม ไม่มีอาชีพ อาชีพของเราสัมมาอาชีวะคือมรรคในหัวใจ แต่เวลาเลี้ยงชีพ เลี้ยงชีพด้วยการบิณฑบาต เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง

เวลาเป็นคฤหัสถ์ขึ้นมา เห็นไหม เรานึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราจะทำบุญกุศลของเราเพื่ออะไร เพื่อทานบารมี ทานบารมีเพื่อเปิดความหมักหมม ของใจ ถ้าใจมีความหมักหมม ใจมีความทุกข์ยากหัวใจ ใจจะมีความหมักหมม ความทุกข์เกิดจากที่นี่ เวลาเราปล่อยออก เราเปิดออก เราสละออกไป สละทานออกไปก็เหมือนสละความตระหนี่ถี่เหนียว สละความที่คับแค้นในหัวใจออกไป การสละทานอย่างนี้ สละทานมา สละทานเพื่อบุญกุศลของเรา เพราะเวลาเราสละทาน เราต้องนบใส่ศีรษะ เห็นไหม ของนี่ถวายพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ของนี่เพื่อบูชาคุณองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วถวายพระสงฆ์ไปเป็นตัวแทน เห็นไหม พระสงฆ์ได้ยังชีพจากทาน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ประเสริฐมาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ปัญญาเลิศมาก เห็นไหม ให้ทุกๆ คนได้ประโยชน์มาจากศาสนา ให้ทุกๆ คนได้ประโยชน์จากศาสนานะ ศาสนา..ทุกคนได้ประโยชน์จากศาสนา แล้วได้อยู่ทุกๆ คน

ภิกษุ เวลาทำขึ้นมาแล้ว บิณฑบาตเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง แล้วทำความสงบของใจขึ้นมาไหม? แล้วได้เปิดปัญญาในหัวใจขึ้นมาไหม? ถ้าเปิดปัญญาหัวใจขึ้นมา ดูสิ พระเจ้าพิมพิสาร เห็นเจ้าชายสิทธัตถะออกมาจากราชวัง เห็นไหม ถึงกรุงราชคฤห์ พระเจ้าพิมพิสารคิดว่ามีปัญหาขึ้นมา ให้กองทัพครึ่งหนึ่ง บอก “ไปเอาราชบัลลังก์คืน” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “ไม่ใช่! นี่ออกมาแสวงหาโมกขธรรมโดยแท้จริง” พระเจ้าพิมพิสารขอสัญญาไว้ข้อหนึ่ง

“ถ้าตรัสรู้แล้วขอให้กลับมาสอนด้วย”

เวลาเจ้าชายสิทธัตถะออกไปค้นคว้าอยู่ ๖ ปี เวลาย้อนกลับมาสอนพระเจ้าพิมพิสาร เห็นไหม จนพระเจ้าพิมพิสารเป็นพระโสดาบันขึ้นมา เป็นพระโสดาบันขึ้นมาก็เข้ากระแส เห็นไหม สิ่งที่เข้ากระแส สิ่งที่เราเป็นภิกษุ เราเลี้ยงชีพขึ้นมา แล้วเราทำอะไรขึ้นมาในหัวใจของเรา ถ้าปัญญานะ ภาวนามยปัญญาเกิดขึ้นมาจากหัวใจของเรา เห็นไหม วิธีนะ

เราอยู่ในบ้านของเรา เห็นไหม เราเช็ด เราถู เราทำความสะอาดในบ้านของเรา เราเป็นคนทำความสะอาดในบ้านของเราใช่ไหม บ้านของเราถ้าใครเป็นคนที่มีนิสัยเรียบร้อย นิสัยดี จะทำให้บ้านเรือนตัวเองสะอาด ใครที่ไม่รู้จักวิธีรักษาบ้านตัวเอง ไม่รู้จักรักษาบ้านของตัว ไม่เคยจะทำความสะอาดในบ้านของตัว บ้านตัวเองจะสกปรกโสโครกในบ้านของตัวเอง

ใจก็เหมือนกัน เห็นไหม ภิกษุเวลาเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้งขึ้นมา แล้วรักษาใจของเราให้สะอาดหรือเปล่า? ถ้ารักษาก็เหมือนทำความสะอาดในบ้านของเรา เห็นไหม ต้องมีศีล มีสมาธิ มีปัญญาขึ้นมา ถ้าบ้านของเราสะอาด บ้านของเราน่ารื่นรมย์ ใครผ่านมาบ้านของเราเขาก็อยากอยู่อาศัย อย่างว่าบ้านคนนี้ใครเป็นคนเจ้าของรักษา ใครเป็นคนดูแล แล้วถ้าเป็นคนดูแล เราจะเก็บกวาดอย่างไร เราทำอย่างไร เราสอนเขาได้ เรามีเครื่องมือทำความสะอาด เรามีเครื่องดูดฝุ่น เรามีทุกอย่าง ทำความสะอาดในบ้านของเราได้หมดเลย

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตของเรา ถ้าเราทำความสะอาดบ้านของเราแล้ว ทำไมเราจะสอนคนอื่นไม่ได้ นี่ปัญญามันเกิดขึ้นมาอย่างนี้ไง ปัญญามันเกิดขึ้นมาจากใจดวงนี้ พุทโธ พระในหัวใจ มันทำความสะอาดพระในหัวใจให้สะอาดขึ้นมา เห็นไหม นี่ผู้สว่างผู้ไสวในหัวใจของเรา ถ้าผู้สว่างผู้ไสวในหัวใจของเรา เราทำความสะอาดบ้านของเรา ทำไมเราจะสอนคนอื่นทำความสะอาดบ้านของเขาไม่ได้

ถ้าบ้านสกปรก ดูสิ มีแต่ความรกรุงรังในหัวใจ หยากไย่เต็มไปในหัวใจเลยเพราะมีแต่ความทุกข์ความร้อน ในหัวใจมีแต่ความเจ็บปวดแสบร้อนในหัวใจ เกิดมามีแต่ความทุกข์ๆๆๆ ทั้งนั้นเลย แล้วเราจะไปสอนใครให้พ้นจากทุกข์ล่ะ เพราะหัวใจเราก็ทุกข์ ความสะอาดเห็นไหม

พระในหัวใจจะเกิดขึ้นมาด้วยการกระทำของเรา ถ้าเกิดจากการกระทำของเรา เราเกิดมาในศาสนานี้ เห็นไหม เราเกิดมา การเกิดขึ้นมาเกิดมาพบพุทธศาสนา เกิดเป็นมนุษย์นี่เป็นอริยทรัพย์ ทรัพย์อันนี้สำคัญมาก เกิดเป็นคนนี่สำคัญมากเลยเพราะอะไร เพราะร่างกายมันบีบคั้นตลอดเวลา

เกิดมาเป็นคนนี่นะ โรคหิวมันมีประจำตัวเราตลอดไปนะ มันต้องหาเครื่องอาศัยตลอดไป เห็นไหม นี่เฉพาะโรคหิวนะ แต่เวลาโลกเขาเกิดขึ้นมาแล้ว เขาไปมองแต่สมบัติจากภายนอก เห็นไหม มันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัยทั้งหมดเลย แต่ถ้าโรคหิวอันนี้มันบีบคั้นเข้ามาให้เรามีสติ เห็นไหม นี่เราจะค้นหาพระจากภายในของเรา เพราะอะไร?

เพราะพระมันทุกข์ พระเรานี่ ความรู้สึกนี่มันทุกข์ หัวใจนี่มันทุกข์ ถ้าหัวใจมันทุกข์ ทุกข์นี่มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร แล้วทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ แล้วทุกข์ดับไป ทุกข์ต้องดับไปได้ ถ้าทุกข์ดับไปไม่ได้ ถ้าพูดถึงมรรคผลในสมัยพุทธกาลนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา แล้วในปัจจุบันนี้ทำไม่ได้แล้ว หมดกาลหมดสมัย แล้วเรามีทุกข์ไหมล่ะ? เราต้องมีความเจ็บปวดแสบร้อนในหัวใจไหมล่ะ?

สิ่งใดที่เกิดขึ้นมาได้ สิ่งนั้นต้องทำความสะอาดได้ใช่ไหม ทุกข์เกิดขึ้นมาหัวใจของเราได้ ทุกข์ก็ต้องหายไปจากหัวใจของเราได้โดยมรรคญาณ แต่นี่มันไม่ใช่อย่างนั้นสิ เราไม่เข้าใจแล้วเราไม่ยอมรับ บ้านเราสกปรก แล้วเราก็เอาแต่ความสกปรกทับถมเข้าไป แล้วบ้านมันจะสะอาดขึ้นมาได้อย่างไร?

เวลาทำบุญขึ้นมาก็ทำบุญประเพณี เห็นไหม ประเพณีนี่เป็นเครื่องบอกเครื่องชี้นำเข้ามาในหัวใจ เพราะประเพณีเห็นไหม ยิ้มสยาม ยิ้มมาจากไหน ยิ้มจากหัวใจของเรา ยิ้มมาจากชาวพุทธนะ เราออกมาจากหัวใจ พวกเราทำทุกอย่างมาจากหัวใจ มันออกมาจากความรู้สึก ออกมาจากความจริงใจ เห็นไหม เราไม่ได้เสแสร้ง เราไม่ได้ปั้นแต่งออกมา มันถึงออกมาจากความจริงใจ

แล้วถ้าความจริงใจอย่างนี้ เห็นไหม ประเพณีวัฒนธรรมแล้วย้อนกลับไง เราย้อนกลับเพราะเราจะค้นคว้าขึ้นมา ไปวัดวัดกันที่ไหน วัดกันที่หัวใจไง หัวใจข้อวัตรปฏิบัติ ดูสิ วัดไหนสะอาดร่มเย็น วัดไหนน่ารื่นรมย์น่าอยู่ เห็นไหม เพราะข้อวัตรปฏิบัติเขาดี ถ้าวัดไหนเขามีแต่ความสกปรก มีแต่ความโสโครกเพราะเขาไม่สนใจเขาเลย เขาเอาแต่ตัวเขารอด เห็นไหม ตัวเขารอดจะรอดได้อย่างไร มันรอดไปไม่ได้หรอก เพราะคนสังคมมนุษย์ สังคมพึ่งพาอาศัยกัน

“สังฆะ” สังฆะ เห็นไหม สงฆ์ ๔ องค์ขึ้นไปเป็นสงฆ์ เวลาสงฆ์ขึ้นมา ทำสังฆกรรมขึ้นมา สังฆกรรมเห็นไหม เป็นสังฆกรรม เป็นสิ่งต่างๆ เวลาทำบุญกุศลขึ้นมา เราทำกุศล ทำตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่บุญมากที่สุด เป็นเนื้อนาบุญของโลก เนื้อนาบุญนะ! เราทำบุญกัน เราต้องการเนื้อนาบุญ เวลาเราหว่านพืชไป เราต้องการที่ปลูกพืชที่ดี นี่ก็เหมือนกัน เป็นเนื้อนาบุญของโลก เห็นไหม เนื้อนาบุญของโลกของเขา นี่ตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลงมา พระปัจเจกพุทธเจ้าลงมา พระอรหันต์สาวก พระอรหันต์ต่างๆ ลงมา จนถึงที่สุดแล้วถ้าสงฆ์.. ในการประพฤติปฏิบัติ เราไม่มีที่พึ่ง เห็นไหม สังฆะๆ ที่ว่านี่

เพราะสังฆะเป็นสาธารณะ สังฆะเป็นธรรมกับสาธารณะ เป็นเรื่องของสงฆ์ เป็นเรื่องของส่วนกลาง ไม่มีบุคคลเข้าไปยุ่งไง บุคคลเป็นผู้ที่เห็นแก่ตัว บุคคลเป็นผู้มีกิเลส เห็นไหม แต่ถ้าบุคคลวงการนั้นผู้ไม่เห็นแก่ตัว ผู้ไม่มีกิเลส ถ้าทำหัวใจของตัวเองให้สะอาดบริสุทธิ์ขึ้นมาได้ มันก็เป็นสงฆ์ขึ้นมา สงฆ์ๆ อยู่ที่ไหน?

สงฆ์อยู่ที่ใจไง สงฆ์อยู่ที่ความเป็นไป สงฆ์อยู่ที่ว่ามรรคญาณมันทำลายกิเลสออกมาจากหัวใจ แล้วตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปนี่เป็นสงฆ์ เห็นไหม สงฆ์องค์แรกของโลก เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธัมมจักฯ เห็นไหม พระอัญญาโกณฑัญญะเข้าใจ “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา” เห็นไหม ทุกข์มีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สรรพสิ่งนี้มีเป็นธรรมดา

“สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นต้องดับเป็นธรรมดา”

ธรรมดาเลย มันเป็นธรรมดาของเรา แต่เราเป็นทุกข์ เราไม่ธรรมดาเพราะเราแบกหาม เราแบกรับ เห็นไหม แต่มันไม่ธรรมดาเพราะอะไร เพราะเราเกิดมา เรามีตัวเราขึ้นมา ถ้าเราไม่มีตัวเราเอง ไม่มีความรู้สึก เราจะไปแก้ไขที่ไหน เราจะไปแก้ไขคนอื่น เราได้ประโยชน์อะไร

ดูสิ อากาศมันมีความทุกข์ความร้อนไปกับเราไหม ภูเขาเลากา ฝนตกแดดออก เห็นไหม ดูสิ ต้นไม้มันขึ้นมาเจริญงอกงามขึ้นมา มันเป็นทุกข์กับเราไหม ไม่มีใครเป็นทุกข์กับเราเลย! หัวใจเราต่างหากที่เป็นทุกข์! หัวใจเรานี่แบกรับ เห็นไหม ความทุกข์เกิดจากที่นี่ ถ้าย้อนกลับมาก็ย้อนกลับมาที่นี่ ย้อนกลับมาที่เรานะ

เรื่องของสังคม เรื่องของโลกนี่เป็นสภาคกรรม เกิดมาร่วมกัน เกิดมาสังคมเจริญรุ่งเรือง สังคมมีความร่มเย็นเป็นสุข เราเกิดมาในสังคมนั้นเราก็มีความร่มเย็นเป็นสุข สังคมนั้นมีแต่การแก่งแย่ง สังคมนั้นมีแต่ความทำร้ายกัน เราไปเกิดในสังคมนั้น เราก็เป็นความทุกข์ อันนี้เป็นสภาวะกรรมที่เราไปเกิดในสังคมอย่างนั้น

แต่ในปัจจุบันนี้เราเกิดในสังคมชาวพุทธ เห็นไหม ที่อื่นเขาจะเดือดร้อนขนาดไหน แต่สังคมของเราจะมีการให้อภัยกัน จะมีเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้อภัยต่อกัน เพราะเราเอาชนะตนเอง เอาชนะความเหยียบย่ำเขา เอาชนะหัวใจของเรา ถ้าชนะหัวใจของเราได้ เห็นไหม เราเห็นโทษของมันนะ คนอื่นชนะ ดูสิ บ้านเราสะอาด บ้านเราทำความสะอาด แล้วบ้านเขานี่เต็มไปด้วยความสกปรก มันต่างกันขนาดไหน?

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราทำความสะอาดของเราในหัวใจของเราแล้ว มันไม่มีสิ่งต่างๆ จะเอารัดเอาเปรียบใคร มันจะไปเอาเปรียบใครได้ล่ะ มันก็เป็นความสะอาดบริสุทธิ์ มันเป็นความสิ่งต่างๆ ที่จะเจือจานคนอื่นได้ เราไม่มีสิ่งใดๆ เลย เราไม่มีอาหารในมือของเราเลย เราจะไปให้เด็กมันได้อย่างไร เราไม่มีอะไรในหัวใจของเราเลย เราจะเอาอะไรไปเจือจานเขา เราไม่มีสิ่งใดจะเจือจานเขา เราเองเราก็ทุกข์ร้อน เราเองเราก็กระหาย เราก็หิวกระหาย แล้วเราจะเอาอะไรไปเจือจานคนอื่นล่ะ?

แต่ถ้าหัวใจมันอิ่มเต็ม เห็นไหม อิ่มเต็มเพราะใคร? อิ่มเต็มเพราะความพอไง อิ่มเต็มเพราะความรู้สึกของหัวใจไง ไม่ใช่อิ่มเต็มเพราะกินอาหารนะ อาหารนี่มันเลี้ยงกระเพาะ อาหารนี่ ต่างๆ นี่ ปัจจัยนี่มันลงไปในกระเพาะอาหารเท่านั้นล่ะ แต่ความรู้สึกนี่มันยิ่งกว่าอาหารอีก มันอิ่มเต็มขึ้นมาได้ เห็นไหม นี่พระในหัวใจ

พระจากภายนอก เราก็กราบพระ เรากราบพระพุทธรูป เราทำความสะอาดนี่เราได้บุญกุศลนะ เรารักษา เราเคารพบูชาของเรา เคารพบูชานี่เคารพด้วยหัวใจ เวลาเรากราบพระ เราให้กราบถึงพระ ไม่ได้กราบไปที่วัตถุ เห็นไหม เป็นสิ่งที่เขาหล่อหลอมขึ้นมานั้นเป็นสมมุติ ต้องมีนะ ไม่ใช่ปฏิเสธว่าไม่มี ต้องมีที่สมมุติให้เคารพ เราถึงจะมีที่เป้าหมายไง เป้าหมายว่ากราบตรงนี้ๆ

แต่เวลาพระธุดงค์เรานะ ไปอยู่ในป่าไม่มีหรอก ใครจะแบกพระไปด้วย เวลากราบก็นึกสิ พระพุทธเจ้าอยู่ที่นี่ กราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กราบ เห็นไหม ตาเป็นเทียน นิ้วมือเป็นธูป สิ่งต่างๆ เป็นดอกไม้ธูปเทียน แล้วก็กราบไปด้วยหัวใจ หัวใจกราบให้ มันเคารพมันซึ้งในหัวใจ มันซึ้ง มันซาบซึ้งในหัวใจ ยิ่งอยู่ในความสงบสงัดยิ่งมีความสุขขึ้นมา มันจะซึ้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามหาศาลเลย

ความจริงจังออกมาจากใจ เห็นไหม พุทธะอยู่ที่นี่ พระในหัวใจของเราค้นหาให้เจอ นั่งกันอยู่นี่พระคนละองค์ เห็นไหม ความรู้สึกมีทุกๆ คน เห็นไหม แล้วหามาจากไหนล่ะ หามาจากที่นี่ วันพระ เคารพจากพระภายนอก แล้วเคารพจากพระภายใน แล้วเราจะเป็นคนที่ประเสริฐขึ้นมา แล้วเราจะมีความสุขของเราขึ้นมา เอวัง