เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๒ พ.ค. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

จิตใจคน เห็นไหม ถ้าจิตใจคนอ่อนแอ จิตใจคนเข้มแข็ง ดูสิ นกน้อยสร้างรังแต่พอตัว เรามาสร้างรังกันนะ สร้างเป็นที่อยู่อาศัย ศาสนวัตถุ ศาสนธรรม ศาสนะ เห็นไหม ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าหัวใจเข้มแข้ง ทำอะไรมันก็จะมีเหตุมีผลนะ ถ้าหัวใจอ่อนแอ เหมือนร่างกายเลย ร่างกายคนอ่อนแอนี่ทำอะไรไม่ได้เลย เห็นไหม ร่างกายคนอ่อนแอ

แล้วสิ่งที่อ่อนแอหรือคนเข้มแข็ง เห็นไหม เขาทำวิจัยกัน ว่าคนฉลาดเป็นคนรวยน้อยนะ คนฐานะปานกลางเป็นคนรวยก็มีมากเพราะอะไร เพราะคนฉลาดใช้จ่ายฟุ่มเฟือยมาก คนฉลาด คนใช้จ่ายฟุ่มเฟือย แต่ถ้าคนปัญญาปานกลาง แต่รู้จักกระเหม็ดกระแหม่ รู้จักมัธยัสถ์ คนนั้นจะเป็นคนมีฐานะนะ

คนรวยๆ ไม่ใช่คนฉลาดทั้งหมดหรอก คนฉลาดเอาตัวไม่รอดก็มีเพราะอะไร เพราะใช้จ่ายเกินตัว การใช้จ่ายเกินตัว เห็นไหม นี่จิตใจว่าเข้มแข็ง เข้มแข็งของใคร ถ้าเข้มแข็งของกิเลส มันก็เห็นแก่ตัวไง มันจะเบียดเบียนคนอื่นไง เบียดเบียนคนอื่น คำว่าเบียดเบียนคนอื่นมันเป็นเรื่องโลกๆ นะ แต่ถ้าเป็นธรรมนะ มันเบียดเบียนตัวเองเพราะอะไร?

เพราะทุกข์มันอยู่ที่เรา เราจะทำอะไรก็แล้วแต่ สิ่งนั้นมันต้องย้อนกลับมาที่เรานะ ใครทำสิ่งใดต่างๆ สิ่งนั้นมันเป็นคนที่กระทำ เพราะความคิดมาจากไหน? ความคิดมันมาจากใจนะ ความคิด การกระทำมาจากไหน มาจากความรู้สึกทั้งหมด แล้วความรู้สึกอันนี้มันเป็นผลลัพธ์ไง มันเป็นผลลัพธ์ที่ว่าสิ่งต่างๆ ที่สนองตอบเข้ามา มันต้องเป็นผลลัพธ์อันนี้

ร่างกายของเรา ดูสิ คนเราเกิดมาแล้วตายไป เห็นไหม คนนี้ทำความบาดหมางไว้ในสังคมแล้วตายไป ผลนั้นไปอยู่ที่ไหน ก็มาอยู่ที่โลกนี้ แต่จิตของเขาที่รับอันนี้ เรามองไม่เห็นไง เรามองไม่เห็น เราคิดว่าทำเสร็จแล้วหมดชีวิตหนึ่งแล้วหมดสิ้นไป หมดสิ้นไปนะ แล้วเวลาเกิดขึ้นมา เราเกิดขึ้นมาคาบช้อนเงินช้อนทองมาก็มี เกิดมาทุกข์มายากก็มี

ในพระไตรปิฎก มีเศรษฐี ๒ คน เห็นไหม เป็นเศรษฐี เป็นสามีภรรยากัน ทำบุญทำทานมามหาศาลเลย แต่เวลามาผิดใจกันตอนจะเสียชีวิต ภรรยาไปเกิดเป็นลูกเศรษฐี สามีไปเกิดเป็นนายพรานป่า เวลาเกิดในชาติปัจจุบันนี้เป็นเศรษฐีด้วยกัน แต่เวลาตายไปคนหนึ่งไปเกิดเศรษฐี อีกคนหนึ่งไปเกิดเป็นนายพรานป่า แต่ก็ไปได้กันอยู่ เห็นไหม แล้วไปมีลูกมีเต้ากันจนเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเทศนาว่าการ

คำนี้เป็นคำขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้ในพระไตรปิฎก เพราะอะไร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาไปโปรดเทศนาว่าการแล้วดึงเขากลับมาแล้ว พระภิกษุนี่จะวิจารณ์กันว่าทำไมมันเป็นอย่างนั้น มันเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ไง พระพุทธเจ้าบอกว่า “มันไม่มหัศจรรย์หรอก มันมีเหตุผลมาอย่างนี้ มาอย่างนี้ มาอย่างนี้ไง”

นี่ก็เหมือนกัน เขาทำของเขามา แต่มันมีเหตุการณ์เห็นไหม นี่ก็เหมือนกัน บอกถ้าเราทำไปแล้ว มันเป็นเรื่องของโลกๆ ที่ว่าเราได้เปรียบ เราเพื่อประโยชน์ของเรา ประโยชน์ของเรานี่มันเป็นเรื่องวัตถุนะ แต่เรื่องที่การกระทำมันเรื่องของใจ ใจมันรับผลทั้งนั้น ถ้าหัวใจเข้มแข็ง มันจะไม่ทำสิ่งนั้นไง มันจะเสียสละ ดูสิ เราเสียสละ เราช่วยเหลือเขา ทางโลกบอกว่าเราเสียเปรียบ เราเป็นคนให้เขา เราเป็นคนดูแลเขา เราเป็นคนจัดการเขา สิ่งนี้หัวใจเข้มแข็งเพราะอะไร?

เพราะสิ่งนั้นโลกเขาต้องการกัน แต่เราได้ความเข้มแข็งของใจ เพราะใจมันอยู่กับคุณธรรม เห็นไหม ธรรมกันในหัวใจ มันจะดูแลกัน มันจะรักษากัน มันจะดูใจคนอื่นไง เหมือนกับเราเป็นพ่อเป็นแม่ดูแลลูกเรา เราจะรักลูกเรามาก แต่เรารักลูกของเรานะ ทำไมไม่รักเสมอภาคล่ะ ลูกคนอื่นต้องรักด้วยกันสิ รักเสมอภาคไปหมดเลย

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเป็นจิต จิตมันเสมอกัน เห็นไหม หลวงตาท่านพูด “ให้เห็นหน้าว่าเป็นคนเท่านั้นพอ เห็นว่าเป็นคนด้วยกันนี่พอ” คนต้องช่วยเหลือกัน แม้แต่คนสัญชาติใด คนเป็นหมู่คณะใด คนอะไร เราจะไม่ช่วยเหลือกันเลย คนเราต้องช่วยเหลือกัน เว้นไว้แต่! เว้นไว้แต่คนพาล เห็นไหม เวลามงคล ๓๘ ประการ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก

“อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา คบคนพาลเป็นทุกข์อย่างยิ่งเลย”

เวลาบ้านใกล้เรือนเคียงเรา ถ้ามีปัญหานี่น่าเบื่อไหม แล้วมีแต่การเบียดเบียนกัน คนพาลไง คบคนพาลเป็นน่าเบื่ออย่างยิ่งเลย เพราะคนพาลมันมีแต่พาลหาเรื่องกับเราตลอดไป แต่ถ้าคบบัณฑิตล่ะ คบบัณฑิต บัณฑิตจะพาไปสิ่งที่สิ้นกิเลสเชียวนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้เลยว่า “คบมิตรดีนี่คบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า”

ทีนี้ปัจจุบันนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีแล้ว เห็นไหม เพราะท่านปรินิพพานไปแล้ว แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ไว้

“ธรรมและวินัยจะเป็นศาสดาของเรา”

ธรรมและวินัยไง คือคำสั่งสอน เราเอาข้อนี้เตือนใจเรา เพราะอะไร เพราะเวลาเราคิด เราคิดถูกหมดล่ะ คนคิดเราต้องถูกต้องหมดเลย แต่ถ้าคิดถูกหรือผิดน่ะ เอาศีลธรรมมาเป็นเครื่องตรวจสอบไง ถ้าอยู่ในศีล ๕ ปาณาติปาตา ไม่รังแกกัน ไม่เบียดเบียนกัน ไม่ลักของเขา อย่างนี้ถึงถูกต้อง

ถ้าถูกของเรา เห็นไหม มันก็พอใจทั้งนั้นล่ะ ถ้าเราได้เปรียบ..ถูก ถ้าเราเสียเปรียบ..ผิดหมดเลย เห็นไหม แต่ผิดถูกมันต้องเอาศีลมาเป็นการกางกั้น ศีลมันจะกางกั้นเราว่าถูกหรือผิด ถ้าถูกหรือผิดอันนี้ เราจะอยู่ในวงของศีล แล้ววงของสมาธิ วงของปัญญามันจะเกิดขึ้นมา สิ่งนี้กางกั้นขึ้นมาเพื่อให้ใจเราพัฒนาขึ้นมา จิตถ้ามันพัฒนาขึ้นมา มันจะเป็นผู้ที่เข้มแข็งขึ้นมาตลอดไป ถ้าเข้มแข็งนะ มองเห็นหมดนะ สิ่งต่างๆ เพราะอะไร เพราะมันเกิดกับเรา เราเคยสุขเคยทุกข์มา เราเคยผ่านโลกมา

เรามองเด็กสิ เห็นไหม เรามองเด็กๆ กิริยาอย่างนี้ต้องการอย่างนั้น ต้องการอย่างนั้น เราจะเข้าใจเด็กไปหมดเลย เพราะเด็กมันไร้เดียงสา มันแสดงออกตามสัญชาติของมัน แต่เราเป็นผู้ใหญ่ เรามีมารยาทสังคม เราจะแสดงออกอย่างนั้นไม่ได้ เราแสดงออกไม่ได้มันก็ต้องมองอีกชั้นหนึ่ง มองอีกชั้นหนึ่งว่าเราแสดงออกมาอย่างนี้ เราต้องการอะไร ถ้าแสดงออกมาอย่างนี้ ผลประโยชน์ตกกับใคร ใครได้ผลประโยชน์อันนั้น เห็นไหม มันก็เป็นสภาวะแบบนั้น

นี่การส่งออกนะ จิตที่ส่งออก แล้วจิตของเราล่ะ แล้วความคิดของเราเราส่งออก ส่งออกหมายถึงว่าถ้าคิดน่ะ ส่งออกหมดเลย ความคิดที่คิด ถ้าจิตมันคิดคือส่งออกแล้ว เพราะจิตไม่ใช่ขันธ์ ขันธ์คืออารมณ์ความรู้สึกเกิดมาจากจิต แล้วจิตมันส่งออกมา มันก็ส่งออกไป เห็นไหม

แต่ถ้าเราทำความสงบของใจเข้ามา เวลาเห็นมันเสวยอารมณ์ เสวยอารมณ์คือเวลามันคิด เวลาคิดเราจับตรงนี้ จับการที่ว่ามันเกี่ยวเนื่องกันอย่างไร อุปาทานความยึดกับความคิดที่มันเกิดกับเรา เวลาเราคิดขึ้นมาเราเจ็บปวด เห็นไหม เวลาเราคิดขึ้นมา เรามีอารมณ์กับความรู้สึก ความคิดมันเกิดมาจากไหน? แล้วสิ่งใดไปยึดมัน?

ยึดความคิด สิ่งที่ไปยึดความคิด พลังงานไปยึดความคิด เห็นไหม เพราะความคิดมันเกิดดับ ถ้าความคิดเป็นเรานะ เราคิดมา เมื่อคืนนี้เราคิดเรื่องอะไร เมื่อกี้นี้คิดเรื่องอะไร มันต้องอยู่กับเราตลอดไปสิ ต้องไม่ลืมสิ คิดอะไรไอเดียดีๆ ขึ้นมา เดี๋ยวลืมแล้ว ต้องจดใส่สมุดบันทึกไว้ เดี๋ยวจะลืมไป เห็นไหม ความคิดมันเกิดดับเกิดดับ มันไม่ใช่เรา

แต่ถ้าไม่ใช่เรา แล้วทำไมเรามีลมหายใจอยู่ล่ะ ทำไมเรายังมีชีวิตอยู่ล่ะ?

จิตนี้เป็นเรา เห็นไหม แต่ความคิดมันเกิดจากจิต มันเป็นสมมุติทั้งหมด นี่ส่งออก แต่ถ้าจิตมันทำความสงบของใจเข้ามา ใช้ปัญญาอบรมสมาธิก็ได้ พุทโธก็ได้ เข้ามา สงบเข้ามา เห็นไหม นี่มันเข้มแข็งเข้มแข็งอย่างนี้ นี่โลกกับธรรม

โลกเป็นเรื่องการบริหารจัดการ เรื่องของการบริหารจัดการ เรื่องของการใช้ปัญญา เรื่องของโลกียปัญญานี่มันปัญญาของโลกๆ แล้วก็ใช้ปัญญาอย่างนั้นกัน แล้วส่งเสริมกันนะ สรรเสริญกันว่าสิ่งนี้เป็นประโยชน์มากๆ แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “เรื่องนี้เป็นเรื่องโลกๆ ไม่ใช่เรื่องของธรรม!”

ถ้าเรื่องของธรรม เห็นไหมต้องให้มันสงบเข้ามา จิตเราสงบเข้ามา เห็นความคิดของเราเข้ามา เห็นตัวตนของเรา เห็นจิตของเรา แล้วจิตมันเสวยอารมณ์อย่างไร จับความเสวยอารมณ์ จับการสัมพันธ์กัน เหมือนกับฟ้าแลบ ฟ้าแลบมันมีไฟฟ้าใช่ไหม ไฟฟ้าบวกลบมันสัมผัสกันใช่ไหม มันทำสันดาปกัน มันออกมาเป็นไฟฟ้า

นี่ก็เหมือนกัน ความคิดที่มันเกิด มันเกิดอย่างไร สิ่งนี้มันเกิดอย่างไร จับ.. เพราะถ้าจับได้นะ ปัญญาอย่างนี้ ปัญญาเห็นการเป็นไปของใจ เหมือนกับปัญญา เห็นไหม ดูสิ อาหารที่เราทำสำเร็จรูปมาแล้ว เห็นไหมที่เราตั้งกัน แกงต่างๆ นี่เป็นอาหารมาใช่ไหม มันผสมด้วยอะไร มันทำจากวัตถุดิบอะไร

จิตก็เหมือนกัน มันทำอย่างไร มันมีปฏิกิริยาอย่างไร เราจะเห็นของมัน แล้วเราแยกแยะ เราเข้าใจ ถ้าคนทำอาหารเป็น เห็นไหม แกงชนิดนี้ทำด้วยอะไร ต้มชนิดนี้ทำด้วยอะไร สิ่งผสมใช้อะไร

นี่ก็เหมือนกัน อารมณ์ความรู้สึกเกิดจากอะไร เกิดจากสัญญา เกิดจากสังขาร เกิดจากเวทนา บางคนเกิดจากความรู้สึกความทุกข์ความสุขนี่เกิดจากเวทนา บางคนเกิดจากข้อมูล เกิดจากความฝังใจ เกิดจากสัญญา เกิดจากการปรุงแต่งของเรา เกิดจากสังขาร นี่อาหารที่ปรุงออกมาเป็นรสชาติอะไรเป็นอะไร เราแยกแยะเข้าไป เห็นไหม

วิปัสสนาเข้าไปเห็นความเป็นไปของจิต มันจะย้อนกลับทำลายของมัน นี่ปัญญาเกิดอย่างนี้ นี่คือโลกุตตรปัญญา ปัญญาในศาสนาเรานี่ลึกซึ้งมาก ไม่ใช่บริหารจัดการที่เขาโม้ๆ กันนั่นหรอก บริหารจัดการมันเป็นเรื่องของโลกๆ เขา แล้วเราทำไม่ได้ จ้างใครทำก็ได้ แต่หัวใจเรานี่เราจะแก้ไขอย่างไร เราจะรักษามันอย่างไร มันจะโตขึ้นมาอย่างไร มันจะทำความสะอาดของมันอย่างไร

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ใจเข้มแข็ง ใจอ่อนแอ ถ้าเขาว่าเขาเข้มแข็ง เขาบริหารจัดการ เขาบริหารทางโลกไปน่ะอ่อนแอมาก อ่อนแอเพราะมันเหยียบหัวตนเองขึ้นไป คือไม่เห็นประโยชน์ของตนไง สมบัติของเราอยู่กับเรานี่มีประโยชน์มาก เวลาอยู่กับความเคยชิน จะไม่มีคุณค่าอะไรเลย แต่เวลาทำหลุดจากมือเราไป จะมีคุณค่ามาก

นี่ก็เหมือนกัน ชีวิตนี้ถ้ายังไม่ตาย ยังไม่มีคุณค่า ยังไม่เห็นคุณค่าชีวิตหรอก เวลาจิตออกจากร่างไป ดูเทวดา อินทร์ พรหมเขาย้อนกลับมาดูมนุษย์สิ เขาสงสารมากนะ เพราะเทวดาเขาอวยพรกัน เวลาเขาจะตายนะ ขอให้ได้เกิดเป็นมนุษย์เถิด พบพระพุทธศาสนา จะได้ทำบุญกุศล

นี่เราเกิดเป็นมนุษย์ เรามีโอกาส แล้วเราลืมตัวอย่างนี้ บริหารจัดการเป็นเรื่องของโลกๆ แล้วแบกรับ แบกโลกไง แต่ลืมตัวเอง ลืมคุณค่าของชีวิต ลืมคุณค่าของหัวใจ ลืมคุณค่าของการบริหารจัดการหัวใจ ลืมคุณค่าของการย้อนกลับมาดูความสุขความทุกข์ แล้วดูคุณค่าของการวิปัสสนา ดูคุณค่าของหัวใจ ดูคุณค่าของธรรมะ ดูคุณค่าของการกระทำ เห็นไหม

นี่ที่ว่าเทวดาเขาอวยพรกัน เวลาตายแล้วขอให้เกิดเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา เพราะเกิดเป็นมนุษย์แล้วถ้าไม่พบพระพุทธศาสนาก็เกิดเป็นมนุษย์เฉยๆ มนุษย์เฉยๆ ก็เท่ากับสัตว์ตัวหนึ่ง เพราะใช้ชีวิตเหมือนสัตว์ตัวหนึ่ง ถ้ามีคุณค่าของศาสนา มีคุณค่ากับทำพัฒนาหัวใจ จนเทวดา อินทร์ พรหมต้องมาฟังเทศน์ครูบาอาจารย์เรา เห็นไหม เทวดาต้องการอริยสัจ เทวดาต้องการความจริง เทวดามันรู้อะไร เทวดามันก็เป็นภพชาติหนึ่ง มันก็มีแบกทุกข์อันหนึ่งเหมือนกัน แต่ธรรมะนี่แก้ไขได้ จัดการได้

นี่เข้มแข็งอย่างนี้ รู้อย่างนี้ แล้วจะเข้าใจอย่างนี้ สิ่งใดทำเป็นประโยชน์ สิ่งใดทำเป็นโทษ แต่ถ้าประโยชน์มันมีมากกว่าแล้วเป็นประโยชน์นะ โทษมันทุกอย่างมันจะมีหมด เพราะ! เพราะคนนะ เหรียญมี ๒ ด้าน แม้แต่มุมมอง มุมมองของหัวใจหยาบๆ มันก็มองแล้วเพ่งโทษ มุมมองของหัวใจที่มีวุฒิภาวะ มองแล้วส่งเสริม

ดูสิ ครูบาอาจารย์องค์หนึ่ง บางองค์ศรัทธามาก โอ้โฮ..ครูบาอาจารย์ บางหมู่คณะเขาเหยียบย่ำเลยว่าครูบาอาจารย์ใช้ไม่ได้ เห็นไหม คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ โลกนี้เป็นธรรมชาติของเขา ฉะนั้นการกระทำของผู้ที่มีปัญญา เห็นไหม ครูบาอาจารย์สอนประจำนะ โลกนี้คนโง่มาก ถ้าเขาติฉินนินทา เรื่องคนโง่ พูดร้อยคนพันคนแสนคนก็เท่านั้น คนฉลาดคนเดียวพูดนะ คนฉลาดคนเดียวเตือนต้องฟังนะ เพราะคนฉลาดเขามีปัญญา เขาชี้ทางสว่างให้เรา ถ้าเราใช้อันนี้จะเป็นประโยชน์กับเรา

เรารู้จักเลือก รู้จักคัดแยก เราจะมีการก้าวเดินไป ถ้าไม่อย่างนั้นจะไปแบกสังคมนะ โลกธรรม ๘ ติฉินนินทาแล้วก้าวออกไม่ได้เลย ถ้ามันเป็นสิ่งที่คนโง่เขาติเตียน ฝ่าไปเลย! แต่ถ้าเป็นคนฉลาด หรือเขาติเพื่อก่อแล้วได้ประโยชน์ขึ้นมา อันนี้เราต้องเอามาใคร่ครวญ ใคร่ครวญเพื่อจะให้เรามีสติ เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน

“ภิกษุทั้งหลาย เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด”

คำว่า “ประมาท ประมาท” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากไว้เป็นคำสุดท้ายเลยว่าเราอย่าใช้ชีวิตด้วยความประมาท เราอย่าทำอะไรด้วยความประมาท ความประมาทนี่ทำให้ชีวิตเราเสียหาย ความประมาทเห็นไหม

ถ้าเรามีสติ เรามีความคิด เขาติเขาพูดเพื่อประโยชน์กับเรา เราติอันนี้มันเป็นประโยชน์กับเรา สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์กับเรา เราต้องใคร่ครวญ นี่คือธรรม นี่คือความรู้สึก นี่คือสิ่งที่เป็นอาหารของใจ อาหารของกายอย่างหนึ่ง อาหารของใจอย่างหนึ่ง นี้เราต้องเลือก ต้องคัดแยก แล้วเราจะเป็นผู้ที่มีความเข้มแข็งในหัวใจ เอวัง