เทศน์เช้า วันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เวลามันเป็นภาระ เห็นไหม เขาก็เป็นภาระรับผิดชอบไว้ พอมันปล่อยไปแล้ว เราบอกเป็นเหมือนภูเขาเลย เราแบกไว้หนักมาก เวลาปล่อยแล้วหลุดหมดเลย พวกเราก็เหมือนกัน เราแบกของเรากันไว้นะ พวกเราทำอะไรไว้ เราจะแบกของเรากันไว้ให้มันทุกข์มันยาก แต่ถ้าปล่อยได้ แล้วมันปล่อยได้ไหมล่ะ?
อำนาจทางเศรษฐกิจ อำนาจทางธรรม อำนาจทางโลก อำนาจมันอยู่ที่ไหน มันบังคับเรา แต่เราไม่รู้ตัวเองเลยว่ากิเลสมันบังคับเรานะ อำนาจในหัวใจเรามันบังคับเรา เราไม่รู้ตัวเลย อำนาจที่บังคับเราอย่างนี้ อันนี้ทุกข์มาก แล้วมันจะแก้ไขวิธีการใดล่ะ มันจะแก้ไขไม่ได้เลยถ้าเราไม่เข้าใจวิธีการของมัน
เวลาทำกันนะ เขาก็ทำกันไปแบบว่าลูบๆ คลำๆ เห็นไหม เราเข้าใจลูบๆ คลำๆ นะ ตอนนี้เหมือนกับเด็กๆ เลย เมื่อก่อนนี่เราเป็นผู้ใหญ่ เราทำงานกันมา เราเป็นเด็กมา พ่อแม่เราฝึกสอนเรามาอย่างหนึ่งนะ เดี๋ยวนี้เด็กเวลาเราจะสอน จะฝึกสอนมัน เด็กเห็นไหม เอาเด็กเป็นศูนย์กลาง เอาเด็กเป็นศูนย์กลาง แล้วเด็กมันรู้อะไรล่ะ?
เวลาความคิดว่าเอาเด็กเป็นศูนย์กลาง แล้วเอาเด็กเป็นศูนย์กลาง เด็กมันก็ต้องมีข้อมูลของเขา เอาเด็กเป็นศูนย์กลาง ดูสมัยเรา เห็นไหม เราจะมีข้อมูลของเรา อย่างสูตรคูณต่างๆ เราต้องท่องได้ก่อน ถ้าเป็นศูนย์กลางมันต้องคิดได้สิ เอาเป็นศูนย์กลาง ศูนย์กลางจะให้มันมีอำนาจเหนือเราเหรอ?
เห็นไหมลูกบังเกิดเกล้า จะทำให้พ่อแม่เป็นทุกข์มาก แต่ถ้าพ่อแม่บังเกิดเกล้าจะเลี้ยงลูกเราให้อยู่ในอำนาจของเรา อยู่ในอำนาจนะ ถ้าอำนาจเป็นธรรม ทุกคนจะยอมรับอำนาจที่เป็นธรรม อำนาจที่เป็นธรรมนะ มันยอมรับแต่ข้างหน้าไง เวลาเจอกัน เขามีอำนาจเหนือกว่า เราจะยอมรับเขา แต่ในหัวใจเรายอมรับเขาไหม ไม่ยอมรับเขาเลยเพราะอะไร เพราะอำนาจนี้อำนาจทุจริต อำนาจทุจริตมันบีบคั้นทำให้เรามีความทุกข์ความยาก ถ้าเราศึกษา เห็นไหม ยุติธรรม ความยุติธรรมเกิดจากเราก่อนนะ ในศาสนาเราสำคัญมาก สำคัญที่ย้อนกลับมาที่เรา ย้อนกลับมาเอาเราไว้ในอำนาจของเรา
แต่ทางโลกเราต้องมีอำนาจ เป็นผู้มีอิทธิพล ถ้ามีอิทธิพล เวลามีอิทธิพลมากจนเกินไป มันก็คุมตัวเองเราไม่ได้ เห็นไหม นี่อิทธิพลในตัวเรา อิทธิพลคือความที่เราบังคับเราไม่ได้ แต่มันไม่มีใครเห็นกับเราสิ มันเป็นนามธรรม ความรู้สึกนี่เป็นนามธรรมนะ ศาสนานี่เป็นอาหารของใจ
ถ้ามีศีลมีธรรมขึ้นมา มันจะเริ่มควบคุมตรงนี้ไง ถ้ามีศีลของเรา เราควบคุมของเรา มันเทียบเคียงได้ ถ้าไม่มีศีลนะ เราก็คิดประสาเราเลยว่าสิ่งนั้นเป็นความถูกต้อง เราคิดอะไรก็เป็นความถูกต้อง เพราะคนเรานี่มันต้องเชื่อมั่นตัวเองมาก ความเชื่อมั่นตัวเองนะ แล้วข้อมูลของเรามีขนาดไหน เห็นไหม ข้อมูล ใครที่มีข้อมูลข่าวสารมาก คนนั้นจะปกครองโลก
เดี๋ยวนี้ไม่ใช่ เพราะข้อมูลข่าวสารมันอยู่ในคอมพิวเตอร์นะ แล้วไว้ในคอมพิวเตอร์ เห็นไหม ทุกคนจะเข้าไปล้วงข้อมูล อันนั้นจะเสียเปรียบ ความเสียเปรียบความได้เปรียบของเขาเมื่อก่อนมันอยู่ที่การปัญญาของใครมากใครน้อย ปัญญาอันนี้มาจากไหน?
ปัญญานี้มันอยู่การฝึกฝนนะ เชาวน์ปัญญา เห็นไหม ปฏิภาณไหวพริบมันเกิดมาจากอะไร เกิดมาจากการภาวนานะ เกิดมาจากการฝึกฝน ถ้าเราได้ฝึกฝนของเรา เราจะมีเชาวน์ปัญญา เราจะมีสติสัมปชัญญะ เราจะไม่ตื่นไปกระแสโลก เราจะไม่เป็นเหยื่อของโลก เป็นเหยื่อนะ เวลาเขาหลอกลวงกัน สิ่งนี้ทันสมัย สิ่งนี้ทันสมัย แล้วเราก็จะทันสมัยกับเขา ทันสมัยกับเขาเราได้อะไร เราเหนื่อยยากมากเพราะอะไร เพราะสิ่งต่างๆ ที่เราใช้ทรัพยากร เราต้องแลกมาด้วยเงินด้วยปัจจัยของเรา แล้วเราหามาจากไหน เราเหนื่อยมากเลยเพราะอะไร เพราะเรามาตอบสนองเรา
แต่เวลาดูพระเราสิ ฉันมื้อเดียว ใช้ปัจจัยเครื่องอาศัย ปัจจัย ๔ เห็นไหม สิ่งนี้ขาดไม่ได้ ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัย อาหาร เครื่องนุ่งห่มนี่ขาดไม่ได้เลย สิ่งนี้เพราะการดำรงชีวิตนะ นี้การดำรงชีวิต แต่! แต่ถ้าการดำรงชีวิตอย่างนี้มันเรื่องของโลก เห็นไหม มันเจือจานกันได้ มันช่วยเหลือกันได้
แต่ถ้าเรื่องของธรรมนะ เวลาเราทุกข์เราโศกขึ้นมา ใครจะช่วยเหลือเรา เห็นไหม ได้แต่ปลอบประโลมจากภายนอก แต่หัวใจมันดีดดิ้นของมัน อยู่ในหัวใจนี่มันจะเอาอะไรไปยับยั้งมัน?
แต่ถ้าเรามีการฝึกฝนของเรา เราเชื่อในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมอันนี้มันจะเข้าไปเจือจานตรงนี้ไง แล้วถ้าเราฝึกฝนของเรามา เห็นไหม ปฏิภาณไหวพริบมันจะทำให้เราได้ฉุกคิด คนเราถ้าถามชีวิตนี้คืออะไร เกิดมาทำไม ชีวิตนี้เป็นอย่างไร สังคมเขาเป็นกันอย่างไร นี่เราไปตื่นกับเขานะ เพราะอะไรรู้ไหม
เพราะมันเป็นของอนิจจัง มันเป็นของชั่วคราวนะ ๑๐๐ ปี ไม่เกิน ๑๐๐ ปี ทุกคนเกิดมานี่ต้องตายหมดเลย แล้วเวลาตายไป เราเกิดมาแล้ว เรามีโอกาสในชีวิตหนึ่ง เราจะทำคุณงามความดีอะไร ถ้าคุณงามความดีของโลก คนก็เกิดตายเกิดตายกันอยู่นี้ การเกิดตายถ้าเป็นคนดีเกิดนะ มันเกิดขึ้นมาแล้วสร้างสมบุญญาธิการ เห็นไหม อำนาจวาสนาบารมี เชาวน์ปัญญามันจะเกิดตรงนี้
แต่ถ้าเราเกิดมา เราไม่เคยทำอะไรเลย เอาเปรียบแต่เขา แล้วเราใช้ทรัพยากรอย่างนี้ เวลาเราไปเกิดใหม่ๆ ปัญญาเราจะด้อยไปๆ เพราะอะไร เพราะเราทำของเราเองนะ เราทำของเราเอง สิ่งที่เราเป็นไปนี่เราทำตัวเองทั้งนั้น คนที่มีเชาวน์ปัญญา เขาก็สร้างของเขาขึ้นมา เวลาเราภาวนาขึ้นมา เห็นไหม คนอยากพ้นทุกข์
เวลาเราศึกษาธรรมกันนะ ปัจจุบันนี้ถ้าเราศึกษาธรรม เรามีศาสนาในหัวใจ เราจะเชื่อในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่ามรรคผลมีนะ แต่ถ้าคนเขาไม่เชื่อนะ เขาไม่เชื่อหรอก เราแสวงหาขนาดนี้ เรายังทุกข์ยากขนาดนี้เลย เวลาเราดำรงชีวิตเรายังทุกข์ยากขนาดนี้ แล้วเป็นไปได้อย่างไรที่พระไปอดๆ อยากๆ แล้วจะมีความสุข?
พระนี่ไปอดๆ อยากๆ นะ เราแสวงหาของเรา เห็นไหม ในสมบัติ ในเครื่องใช้เรา ในบ้านเรา ทุกอย่างพร้อมเลย มีความสุขมาก ร่มเย็นเป็นสุข ขนาดมันร่มเย็นเป็นสุขในวิทยาศาสตร์นะ แต่หัวใจยังเร่าร้อนเลย แล้วไปอดๆ อยากๆ จะมีความสุข เป็นไปได้อย่างไร มันไม่เชื่อ เห็นไหม
อำนาจวาสนาอยู่ตรงนี้ไง ลองถ้าไม่เชื่อของมัน มันก็ยิ่งห่างศาสนาไปเรื่อยๆ พอยิ่งห่างศาสนาไปเรื่อยๆ มันก็ยิ่งร้อนไปเรื่อย ยิ่งร้อนไปเรื่อย เวลามันเร่าร้อนในหัวใจ แล้วมันก็บีบคั้นในหัวใจ ทุกข์ทั้งนั้น หน้าชื่นอกตรมนะ เวลาหน้าตานี่ทำชื่นบานกัน ว่าฉันมีความสุข ฉันมีความสุข แต่ในหัวใจอกตรมทั้งนั้น
แต่ถ้าเรามีธรรมในหัวใจ ดูสิ เวลาอดๆ อยากๆ เห็นไหม อยู่โคนไม้ อยู่ป่าของเรา ถ้ามันพอใจนะ เราจะไม่ต้องสะสมสิ่งใดเลย เราต้องไม่เป็นภาระสิ่งใดเลย เช้าออกไปบิณฑบาตเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง นี่เราไปเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เขาจะใส่อะไรมาก็เป็นสภาวะที่เขาจะให้มาแล้วแต่กำลังของเขา เขามีอะไรให้มา เขาก็ทำทานของเขา เขามีกำลังแค่ไหน เขาทำแค่นั้น
แล้วเราอยู่ป่าอยู่เขาของเรา เขาจะมีอะไรมาให้เรา เขาก็มีตามประสาของเขา แต่มันดำรงชีวิตได้ ปัจจัยเครื่องอาศัย เห็นไหม อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย เห็นไหม ปัจจัยเครื่องนี้มันอาศัยของเราได้ อาศัยของเราได้ เราก็ไม่ตื่นเต้นไปกับเขา แต่ที่ว่าโลกนี้ โลกข้อมูลข่าวสารต่างๆ ต้องมีปัญญาอย่างนั้น อันนั้นมันบริหารจัดการนี่เป็นเรื่องของโลก
คำว่าเรื่องของโลก เรื่องของธรรม เรื่องของโลกคือว่าเวลาเราออกไป ดูสิ เราต้องทำธุรกิจการค้ากัน เราก็ต้องมีหน้าที่การงานของเรา หน้าที่การงานอันนี้เพราะว่างานอันนี้ทำให้เราให้พัฒนาหัวใจไง การฝึกฝน การปฏิบัติสังคม เห็นไหม เราได้ประสบการณ์ทุกวัน ออกไปเผชิญกับสังคม เราจะรู้จักคนโน้นคนนี้ มันจะมีข้อมูลต่างๆ ในหัวใจ มันจะฝึกใจตลอดเวลา
นี่งานข้างนอก งานข้างใน ข้างในมันก็ได้ฝึกฝนใจของมัน ข้างนอกก็หน้าที่การงานขึ้นมาเพื่อสัมมาอาชีวะ เพื่อเลี้ยงชีพของเรา สิ่งนี้เป็นงานปัจจัยจากเรื่องของโลกๆ โลกที่เขาบริหารจัดการกัน แต่เรื่องของใจล่ะ? ถ้าเรื่องของใจนะ บริหารอย่างไรมันยิ่งฟูไปนะ ถ้าคนมีธรรม มันหยุดได้ ถ้าคนไม่มีธรรม มันหยุดไม่ได้เลย ถ้าหยุดไม่ได้นะ มันจะแบกโลก แบกโลกให้ใจหนักหน่วงมาก แต่ถ้ามันปล่อยวางเข้ามา ปล่อยวางเข้ามา ปล่อยวางเข้ามานี่เป็นเรื่องโลกๆ นะ โลกียปัญญา
แล้วถ้าโลกุตตรปัญญาล่ะ มันต้องทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจมันสงบเข้ามา มันจะเกิดปัญญาอีกอันหนึ่ง ปัญญาอันนั้นน่ะ ปัญญาที่ชำระกิเลสในหัวใจของเรา เราถึงต้องหาที่สงบสงัดไง ถ้าสงบสงัด เห็นไหม ว่าพระนี่ไม่จริง ถ้าผู้ที่ปฏิบัติ ถ้าจริง อยู่ที่ไหนมันต้องทำได้สิ ทำได้ต่อเมื่อคนที่ทำงานเป็น คนทำงานเป็น วิกฤติอย่างไรเขาก็ทำงานของเขาได้นะ ถ้าคนทำงานไม่เป็นนะ ขณะที่ว่าเริ่มฝึกฝนน่ะทำได้ แต่พอไปเจอวิกฤติต่างๆ ทำอะไรไม่ได้ ถ้าหัวใจที่มันมีหลักมีเกณฑ์แล้วอยู่ที่ไหนก็อยู่ได้
แต่ถ้าผู้ฝึกใหม่ มันต้องอาศัยสิ่งนี้ก่อน เห็นไหม ความสงบสงัด สงัดจากภายนอก ความสงบจากภายนอกเข้ามา ถ้าจิตมันสงบเข้ามาก่อน กายวิเวก จิตวิเวก ถ้าจิตวิเวกได้ขึ้นมา นี้พอกายวิเวก จิตมันไม่วิเวกสิ เพราะกายมันวิเวก เห็นไหม เข้าไปอยู่ป่าอยู่เขา แต่จิตมันยิ่งดิ้นรนนะ
เราอยู่ในสังคม เราจะมองเห็นสิ่งต่างๆ เราจะไม่เห็นความเป็นไปของสังคมเลย พอเราแยกตัวออกไปนะ นั่นก็น่าแก้ไข นี่ก็น่าแก้ไข เวลาผู้บวชใหม่จะเป็นอย่างนี้หมดเลย เวลาบวชเข้าไปอยู่ในความสงบสงัดนะ จะเห็นความบกพร่องของตัวเองนะ ตอนที่เรายังไม่ได้บวชนะ เราอยู่ในฆราวาส เราจะมีจุดบกพร่องอย่างนั้นๆๆ
พอเวลาถ้าเราออกไป เราสึกออกไปนะ เราจะได้ประกอบไปทำสิ่งที่บกพร่องให้สมบูรณ์ขึ้นมา แต่เวลาออกไปแล้วไม่เป็นอย่างนั้นเลย เห็นไหม ดูสิ กิเลสมันหลอก มันเอาอดีตอนาคตมาหลอกเรา หลอกให้เราต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนั้น แต่ในปัจจุบันนี่มันมองข้ามไป ในศาสนาเราแก้ไขกันในปัจจุบันนี้ ถ้าปัจจุบันนี้มันปกติขึ้นมา เห็นไหม ปัญญามันจะเกิดขึ้นมา ไอ้นั่นมันเป็นอดีตอนาคตแล้ว สิ่งที่เราเข้ามา เราแยกจากสังคมมา เรามีที่สงบสงัดขึ้นมา มันจะเห็นความบกพร่องของสังคม แต่ถ้าเราอยู่ในสังคมนั้น มันก็มืดบอด
นี่ก็เหมือนกัน พอเราเข้าป่าเข้าเขา เรามากำจัดใจของเรา มันก็จะดิ้นรนขึ้นมา ถ้าดิ้นรนขึ้นมา อันนี้เราจะได้เห็นตัวของเราเอง เห็นไหม เวลาเราไปเที่ยวป่าช้า เวลาเข้าไปในป่าช้า กลางคืนสงัดนี่มันจะกลัวมากเลย ความกลัวนี่เกิดมาจากไหน กลางวันเป็นอย่างหนึ่ง กลางคืนเป็นอย่างหนึ่ง เข้าไป ๔-๕ คนเป็นอีกอย่างหนึ่ง อารมณ์ต่างๆ กันตลอดไป
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตมันสงบเข้ามาเป็นฐานของเขา ฐีติจิตนี่เป็นความเห็นของเรา เห็นไหม เป็นอำนาจวาสนาของเรา เป็นบารมีของเรา ถ้าจิตมันสงบ ถ้าคนมีอำนาจวาสนา มันจะเห็นกาย เห็นกายนะ เพราะเห็นกายด้วยอำนาจวาสนา เพราะได้สร้างสมบุญญาธิการมา
ถ้าไม่เห็น.. ถ้าไม่เห็นจิตมันสงบเข้ามามีกำลังของเขา น้อมไปเห็นไหม เหมือนกับเรา ในสมบัติของเรามีมากมีน้อย บางคนมีสมบัติมาก มันใช้จ่ายได้สะดวกสบาย คนมีสมบัติน้อยแต่รู้จักใช้จ่ายมันก็ได้ประโยชน์ขึ้นมา คนมีสมบัติมากมีสมบัติน้อยแล้วแต่ ใช้จ่ายไม่เป็น ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย จะได้ไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย
จิตสงบเข้ามาแล้วควบคุมไม่เป็น ยกขึ้นวิปัสสนาไม่เป็น มันจะเป็นอนิจจัง เห็นไหม สรรพสิ่งนี้ สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา มันเป็นอนัตตา มันจะจับจ่ายใช้สอยฟุ่มเฟือยไป มันจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย มันจะยกวิปัสสนาไม่ได้
แต่ถ้าเรามีอำนาจวาสนา อำนาจวาสนานี้มันอยู่ที่... นี่ธรรมไม่เสมอกัน วินัยเสมอกัน เราเกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่ความคิดความเห็นต่างกัน ความรู้สึกต่างๆ ต่างกัน ปัญญาเกิดขึ้นมาต่างกัน เห็นไหม อันนี้อยู่ที่การฝึกฝนมา อยู่ที่การสะสมมา
ถ้าการสะสมมา คนเรามองสังคม มองเหตุการณ์ต่างๆ ขึ้นมา จะเป็นประโยชน์กับเราหมดเลย ถ้าเราไปอยู่ในเหตุการณ์อย่างนั้น เรามีความทุกข์อย่างนี้ เราจะมีความรู้สึกอย่างไร เรามีเหตุการณ์อย่างนั้น ถ้าเป็นเรา เราจะมีความรู้สึกอย่างไร แต่ถ้าเป็นคนไม่มีปัญญานะ นั่นก็ไม่ใช่เรื่องของเรา นี่ก็ไม่ใช่ มันปฏิเสธไปทั้งหมดเลย ทั้งๆ ที่มันมีเหตุมีผลอยู่ในเหตุการณ์นั้นทั้งหมด
ถ้าเรารู้จักใช้ รู้จักคิด รู้จัก.. มันจะย้อนกลับเข้ามาถึงหัวใจของเรา ย้อนกลับมาความประสบการณ์ของเรา เราจะไม่เป็นสภาวะแบบนั้น มันจะมีความชุ่มชื่นใจไง เราไม่มีความทุกข์ขนาดนั้น เราไม่ต้องลำบากลำบนขนาดนั้น ก็มีความสุขของเขามากมายขนาดนั้นเพราะเขาสร้างของเขามาจากขนาดนั้น แล้วมันเป็นคติเตือนใจเราตลอดเวลา
ผู้มีธรรมในหัวใจ สรรพสิ่งต่างๆ ที่กระทบเข้ามา มันจะเป็นประโยชน์กับเราหมดเลย แล้วสิ่งที่เป็นประโยชน์ แล้วย้อนกลับมาในหัวใจสิ ถ้ามันสงบขึ้นมา แล้วเราใช้จ่ายเป็น เราย้อนวิปัสสนาเป็น ถ้าไม่เห็นกาย เราก็วิปัสสนาไป มันก็แก้ไขเชื้อโรค เชื้อของใจ เห็นไหม เชื้อของใจที่มันขับไสเรามาตลอดเวลา
แล้วถ้าเกิดถ้ามันไม่เห็นกายขึ้นมา เราก็น้อมรำพึงไป ค้นคว้าไปๆ เพราะสิ่งต่างๆ การกระทำอย่างนี้มันไม่เหมือนกัน วิธีการของคนไม่เหมือนกัน อำนาจวาสนาของคนไม่เหมือนกัน สิ่งต่างๆ ไม่เหมือนกัน ถึงต้องเป็นสมบัติของเรา ถ้าเราทำของเราได้ เราแก้ของเราได้ นั่นคือสมบัติของเราทั้งหมดเลย
ถ้าปกติเราไปเฝ้ามองไว้เฉยๆ มันเป็นเหมือนกับ ดูสิ ดูกล้องวงจรปิด เห็นไหม กล้องที่เขาใช้กัน เรามีกล้องอย่างนี้เกลื่อนไปหมดเลย โทรศัพท์มือถือก็เป็นถ่ายรูปได้ เห็นไหม เราถ่ายมา มันไม่มีประโยชน์อะไรกับตัวกล้องนั้น ไม่มีประโยชน์หรอก เราเอาข้อมูลของมันมาใช้
นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่จิตมันสงบ สิ่งที่มันเห็นสภาวะต่างๆ ใครเป็นคนรู้สึก จิตต่างหากที่มันโง่ ที่มันไม่เข้าใจต่างๆ มันต้องแยกแยะ มันต้องเอามาเทียบเคียงเหตุและผล เหตุและผลนะ ทุกข์ อกุศล กุศล ถ้าเป็นกุศลถึงเป็นประโยชน์กับเรา ถ้าเป็นอกุศลก็เป็นความลากให้เราเป็นความทุกข์
เราแยกแยะสิ่งนี้ มันจะพัฒนาใจ เพราะพอมันมีเหตุผลมันแยกขึ้นไป มันเห็นสุขเห็นทุกข์ขึ้นมา มันอ๋อ..นี่สุข นี้ทุกข์ นี้เป็นเหตุเป็นผล ดึงให้เรามืดบอด อันนี้ทำให้เราหูตาสว่างขึ้นมา สิ่งนี้มันจะพัฒนา ใจมันพัฒนาอย่างนี้ คือใช้ปัญญาแยกแยะอย่างนี้ มันจะเกิดปัญญากับเรามาอย่างนี้ แล้วจิตมันจะพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ จนกว่ามันจะเข้าใจสัจจะความจริง เห็นไหมสัจจะความจริง เห็นสัจจะความจริง แล้วปล่อยวางไว้ตามความเป็นจริง วิปัสสนาเป็นอย่างนี้
เรามีเงิน แล้วเราใช้เงินเราเป็นประโยชน์ แล้วเราเจือจานคนไป แล้วเราวางไว้เป็นตามความเป็นจริงอย่างนั้น เราไม่ไปติดข้องอยู่กับสภาวะแบบนั้น ถ้าติดข้องมันก็ยังปล่อยไม่ได้ มันขาดไม่ได้ ถ้ามันขาดได้ เขาเป็นเขา เราเป็นเรา ทุกข์เป็นทุกข์ จิตเป็นจิต แยกออกจากกันเป็นสัจจะความจริง อันนี้มันจะพัฒนาขึ้นมา นี่มันถึงจะอิ่มเต็ม ใจมันถึงจะไม่ดิ้นรนไปกับโลกเขา สิ่งนี้เกิดจากเรานะ อำนาจวาสนามาจากเรา ถ้ามีความเชื่อ มีความศรัทธา โลกเขาเป็นกันสภาวะแบบนั้น เรื่องโลกกับธรรมต่างกันมหาศาลเลย โลกเป็นเรื่องของโลกๆ ถ้าเป็นธรรมเรื่องของเรา เอาชนะตนเองได้ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
ใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง ถ้าใจของเราปลอดโปร่ง ใจของเรามีความสุขแล้ว โลกเป็นอย่างนี้ เก้อๆ เขินๆ อยู่อย่างนี้ เราอยู่กับโลกไม่ติดโลก โลกเป็นอย่างนี้ แล้วเราเป็นเรา เราไม่ยุ่งกับโลก เราอยู่ของเราได้ ประโยชน์ของเราเกิดจากตรงนี้ นี่คือธรรม
ธรรมอยู่ที่ใจของเรา ไม่ต้องไปยุ่งกับเขา เห็นไหม อำนาจของธรรม อำนาจของเราเอาเราไว้ในอำนาจของเรา ถ้าอำนาจของโลก เห็นไหม บีบคั้นกัน อำนาจอย่างนั้นทำให้เราต้องยอมจำนนกับอำนาจของเขา
ถ้าอำนาจของเขา ดูสิ ทำไมเทวดา อินทร์ พรหม มาฟังเทศน์ครูบาอาจารย์เรา? ทำไมเทวดา อินทร์ พรหม? เพราะเทวดา อินทร์ พรหมไม่มีเรื่องอริยสัจ ไม่เข้าใจ เขาไปเฉพาะอำนาจบุญของเขา แต่เรื่องอริยสัจนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนในหัวใจ มันต้องฝึกฝนด้วยมรรคญาณที่เราจะฝึกฝนกันนี้ เรามีโอกาสอย่างนี้ ถ้าเรามีปัญญาอย่างนี้ มีสติสัมปชัญญะอย่างนี้ ชีวิตเราจะมีคุณค่า
คุณค่าเกิดจากเรานะ งานเป็นงาน ใจเป็นใจ ธรรมเป็นธรรม แยกออกจากกัน ไม่ใช่ว่างานเราต้องไปรับผิดชอบงานตลอดไป งานเป็นงานนะ ใจเป็นใจ เห็นไหม ใจถ้าไม่ได้ฝึกฝน มันก็เป็นอย่างนั้น แต่ธรรมถ้าฝึกฝนแล้วใจเป็นธรรม ประโยชน์อยู่ตรงนี้ เอวัง