เทศน์เช้า วันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เพราะธรรมวินัยนี่เพื่อความสะอาดนะ เพื่อความสะอาดของสังคม เพื่อความสะอาดของหมู่สงฆ์ ธรรมและวินัย เห็นไหม การซักฟอก เวลาว่าสิ่งที่สกปรกในทะเลมันจะซัดเข้าหาฝั่ง สิ่งที่จะเข้าหาฝั่ง นี้เราก็ซัดเรื่องใจของเรา ซัดเรื่องใจนะ เรื่องใจ สิ่งที่เขาซักสะอาดแล้ว เขาเก็บไว้มันจะสะอาดนะ เวลามาใช้สอย เห็นไหม มันสกปรกเพราะว่าเอามาใช้สอยกับร่างกายเรา สิ่งที่มันสกปรก สกปรกเพราะร่างกายเราสิ่งสกปรกนี้มันกระทบ แต่ของที่สะอาดแล้วสะอาด
แต่หัวใจไม่เป็นอย่างนั้นนะ หัวใจเดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ทุกข์ เดี๋ยวก็ร้อน เห็นไหม สบายใจ สบายใจมาก ทำความสงบของใจสงบมาก แล้วมันยังทำไมทุกข์อยู่ล่ะ? เพราะจิตนี่มันพลิกแพลง มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มันไม่สะอาดถึงที่สุด ถ้าสะอาดถึงที่สุด มันต้องวิปัสสนา แต่ก่อนวิปัสสนา เราว่าวิปัสสนากัน มันก็โดนหลอกนะ โดนกิเลสหลอก เห็นไหม เอาธรรมะของพระพุทธเจ้า ธรรมะของพระพุทธเจ้านี่ลึกซึ้ง เห็นไหม ตรรกะไม่ได้ ตรึกเอาไม่ได้ ใช้ปรัชญาไม่ได้ แก้กิเลสไม่ได้ ธรรมะนี่ ปัญญาเข้าไปชำระได้ด้วยภาวนามยปัญญา
แต่เราก็ตรึกเอา เราก็ใช้ปัญญากัน ใช้ปัญญาอย่างนี้ว่าเป็นปัญญาในศาสนา เพราะปัญญาศาสนาอย่างนี้ แล้วความชะล่าใจ ความวางใจ แล้วพอมันตีกลับขึ้นมา มันกลับสกปรกอีก เห็นไหม ใจของเรามันไม่สะอาดทีเดียวหรอก มันจะเดี๋ยวสะอาด เดี๋ยวผ่องใส เดี๋ยวเศร้าหมอง เดี๋ยวนี่ มันเดี๋ยวอยู่ตลอดเวลา แล้วมันพลิกแพลงตลอดเวลา เราถึงประมาทไม่ได้ นี่เรื่องของเราเอง เรื่องของกิเลสเราเองนี่ เรายังไม่เข้าใจกิเลสของเราเองเลย แต่ครูบาอาจารย์ท่านเข้าใจเพราะอะไร?
ไม่ใช่ว่าท่านจะเก่งไปกว่าเราหรอก ท่านเข้าใจเพราะท่านเคยประสบการณ์อย่างนี้มาไง จิตใจที่มันเคยผ่องใส จิตใจที่มันเคยเศร้าหมอง จิตใจที่เคยเจริญแล้วเสื่อม ใครบ้างไม่เคยประสบ แล้วเราเอง เราภาวนาขึ้นมา พอเราเห็นว่าความผ่องใส ความสะดวกสบาย แล้วเราก็ว่าสิ่งนั้นเป็นธรรม สิ่งนั้นเป็นธรรม เพราะเรายังไม่เคยเสื่อม เราขึ้นมาถึงจุดนั้น
แต่จิตทุกดวงใจนะ การประพฤติปฏิบัติมา มันต้องผ่านอุปสรรคมามหาศาลเลย มันเคยสะอาด มันเคยผ่องใส มันเคยเศร้าหมอง มันเคยกลับกลอก มันเคยเป็นมาตลอดนะ แล้วคนที่เคยกลับกลอก เคยเป็นมานี่ แล้วเห็นการประพฤติปฏิบัติของเรา ทำไมเขาจะไม่รู้เรื่องในหัวใจของเราล่ะ?
จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง ถ้าใจดวงนั้นเคยประสบการณ์ตรงมาแล้ว เห็นสภาวการณ์ เคยเศร้าหมอง เคยผ่องใส เคยทุกข์เคยยากมา สิ่งนี้มันจะเตือนเรา เหมือนเลย เหมือนเรานี่ดูแลเด็กเลย เด็กมันจะตก เด็กมันจะหกล้มหกลุก เห็นน่ะ เด็กมันสนุกของมันนะ มันไม่เข้าใจหรอก มันสนุกของมัน แล้วผู้ใหญ่เป็นทุกข์เป็นร้อน แบกหนักในหัวใจนะ
แบกหนัก ถ้าเป็นความแบกหนัก แต่ถ้าไม่แบกหนัก มันก็เรื่องของเขานะ มันเรื่องของเขาเพราะอะไร เพราะเดี๋ยวเขาจะประสบการณ์ใจของเขา เดี๋ยวของเขาจะต้องเสื่อมของเขาเป็นธรรมดา เพราะ! เพราะ สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา มันเป็นอนัตตา มันแปรสภาพ มันไม่เป็นความจริง
แต่ถ้าเป็นความจริงนะ อกุปปธรรม ไม่แปรสภาพ อกุปปธรรมน่ะสะอาด สะอาดจริงๆ ก็มี ถึงคราวที่สะอาดจริงๆ แล้วสะอาดเลย แล้วมันจะไม่กลับกลอกอีกเพราะอะไร เพราะมันขาดไปแล้ว สิ่งที่เป็นเชื้อของความสกปรกไง ดูสิ เวลาเราเอาเสื้อผ้ามานุ่งห่ม เราห่มจีวร เห็นไหม นี่มันสกปรกเพราะอะไร เพราะว่าของเสียในร่างกายมันขับออกมา
อันนี้ก็เหมือนกัน กิเลสในหัวใจของเรา อวิชชา ของเสียมันอยู่ในหัวใจของเรา แล้วเราตัดมันออกไปเป็นชั้นเป็นตอนนะ ตัดออกไปนะ ตัดความเห็นผิดในร่างกาย ตัดความเห็นผิดเรื่องกามราคะ ตัดกามราคะขาดเลย ตัดความไม่รู้จักตัวเอง อวิชชาคือไม่รู้จักตัวเอง ตัดความไม่รู้จักตัวเอง เห็นไหม กามราคะเพราะไม่รู้จักตัวเอง แล้วเกิดกามราคะ มันถึงออกไปแสวงหาของมัน
แต่กามราคะตัดออกไปแล้วนะ แต่มันก็ยังไม่รู้จักตัวมันเอง เพราะตัวเราเองหลง ถึงได้ไปในความโลภ ความโกรธ ความหลง เห็นไหม เพราะตัวมันเองหลง มันถึงไปเรื่องของกามราคะ เป็นเรื่องของปฏิฆะ แต่พอมันตัดออกมาแล้ว ตัวมันเองก็ไม่รู้จัก
ถ้ามันไม่รู้จักตัวมันเอง ทำความสะอาดถึงที่สิ้นสุด เห็นไหม สะอาดอย่างนี้สะอาดแบบบริสุทธิ์เลย แต่สะอาดเป็นวรรคเป็นตอนเข้ามา นี่อกุปปธรรม อกุปปธรรมเป็นสภาวะแบบนี้ มันเกิดมาจากไหน?
มันเกิดมาจากว่าเราต้องปล่อยวาง เห็นไหม เราต้องปล่อยวางของเราให้ได้ ปล่อยวาง ดูสิ ทาน ทานนี่เริ่มต้นต้องมีศรัทธา มีความเชื่อ เราถึงสละทาน แต่เราไปติดในทานนะ เราไปกอดไว้กับทาน มันก็ไปไม่ได้ เห็นไหม มันก็ต้องไปศีล
ศีลคือความปกติของใจ ถ้าศีลคือความปกติของใจ มันก็ไม่แบกรับเรื่องของทาน ไม่แบกรับเรื่องของทานให้เป็นเรื่องของความหนักหน่วง เห็นไหม มันมีศีลเป็นปกติ ไอ้เรื่องของทานเป็นเรื่องธรรมดา จะทำด้วยความธรรมดาไง ทำด้วยไม่ติดยึดไง มันปล่อยวางไง ทำเป็นสัจจะความจริง มีโอกาสก็ทำ ไม่มีโอกาสก็คราวหน้า คราวต่อไป มันไม่ติด
แต่ถ้าไปติดในทานนะ ไม่ได้ทำนะ เป็นความเดือดร้อน เห็นไหม มันไม่ปล่อย มันแบกไว้ มันเป็นความทุกข์ เห็นไหม นี่ถึงว่ามรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด ถ้ามันปล่อยมามันก็เป็นศีล ถ้าศีลมันเป็นปกติของใจ ปกติของใจก็ปกตินี่ ว่างๆ ว่างๆ ธรรมดา มันไม่เป็นสมาธิหรอก มันยังไม่เป็นสมาธิ มันเป็นปกติเฉยๆ ปกติมันเป็นสมาธิ ถ้าสมาธิ มันต้องมีกำลังของมัน
ถ้าสมาธินะ คนเรานี่มีเงินล้นเหลือนะ มันทำอะไรก็เป็นประโยชน์กับเรา คนมีเงินล้นเหลือ จะทำอะไรไม่ต้องเดือดร้อนกับใครเลย เพราะมันมีเงินล้นเหลือที่เราจะเป็นการใช้ประโยชน์กับเรา แต่ถ้าเราไม่มีอะไรมันเป็นปกติ ก็ปกตินี่ แต่ปกติไม่มีอะไรเลย ปกตินี่แห้งแล้ง ปกตินี่มีแต่ความเศร้าหมอง ปกติทำไมเศร้าหมองล่ะ
เพราะปกติอยู่ เพราะมันไม่รู้ทำอะไรมันก็เศร้าหมอง อย่างเรานี่เราปกติ เราอยู่ของเรา แต่เราทำอะไรไม่ได้ เราขยับเขยื้อนไม่ได้ เหมือนเราเข้าไปติดในซอกเหลือบ แล้วเราขยับตัวไม่ได้ มันยิ่งทุกข์เข้าไปใหญ่ เห็นไหม นี่ปกติไม่มีกำลัง แต่ถ้ามีกำลังนะ ติดซอกเหลือบไหน มันเอามือผลักทีเดียวหลุดหมดล่ะ นี่ปกติถ้ามีกำลัง เห็นไหม
นี่สัมมาสมาธิกับมิจฉาสมาธิไง ว่าว่างๆ ว่างๆ นั่นน่ะ สิ่งที่ว่างๆ มันเป็นว่างเพราะความกดไว้ ว่างเพราะว่าเราศึกษามา เข้าใจว่าว่าง เขาบอกว่าธรรมะคือความว่าง ก็ว่าว่าง ว่างแล้วก็เป็นปกติ เห็นไหมปกติ แต่ไม่มีกำลัง แต่ถ้าเป็นสัมมาสมาธินะ มันมีกำลังของมันนะ มันสดชื่นของมันนะ เหมือนเรามีเงินมหาศาล คนมีเงินทองมหาศาล ใครๆ ก็ต้องเข้าไปทำธุรกิจด้วย เพราะว่ามันเป็นเรื่องผลประโยชน์ทั้งนั้นเลย
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตมันมีกำลังของมัน มันเป็นสัมมาสมาธิ มันมีกำลังของมัน มันจะย้อนกลับไปวิปัสสนา นี่ไง ถ้าวิปัสสนา วิปัสสนาเพราะมันชำระจิตไง เราชำระความสะอาดจากภายนอก เห็นไหม ทำความสะอาดจากภายนอก เห็นไหม สิ่งที่ภายนอกเราทำความสะอาด มันสะอาดเลย สะอาดเลยเราเก็บไว้ ถ้ามาใช้อีกมันก็เป็นสกปรกอีก
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตมันบอกมันสะอาดชั่วคราว มันปกติชั่วคราว มันมีกำลัง พอมีกำลัง มันทำความสะอาดของมัน ถ้ามันยังเป็นตทังคปหานอยู่ มันก็กลับมาสกปรกอีก เพราะตทังคปหานมันยังมีเชื้ออยู่ ความสะอาดยังไม่สะอาดบริสุทธิ์ ความสะอาดมันยังมีเชื้อ มันยังไม่ได้กำจัดออกไป เห็นไหม ต้องวิปัสสนาซ้ำๆๆ การทำซ้ำนะ แล้วการทำซ้ำนี่
ดูสิ เสื้อผ้าหรือจีวรซักแล้วสะอาดต้องเป็นอย่างนี้ จีวรมันก็เป็นจีวรนี่ เสื้อผ้าก็เป็นเสื้อผ้า สะอาดก็คือสะอาดเลย แต่ถ้ากิเลสไม่เป็นอย่างนั้น ซักคราวนี้เป็นอย่างนี้ ว่างอย่างนี้ อารมณ์เป็นอย่างนั้น ปล่อยวางอย่างนี้เพราะเหตุอย่างนั้น มันซักนะ มันซักแล้วซักเล่านะ มันซักแล้วมันไม่ออกมาเป็นจีวรอย่างนี้หรอก มันซักแล้วนะ เดี๋ยวจีวรอย่างนี้ เอ้า..ทำไมตรงนี้มันมีปัญหาล่ะ เอ้า..จีวรตรงนี้ทำไมมันต้องซ่อมตรงนี้ล่ะ เอ้า..จีวรตรงนี้ทำไมมันไม่สมบูรณ์ล่ะ เอ้า.. เหมือนกัน วิปัสสนาไปมันไม่ออกมาเป็นสูตรสำเร็จ ถ้าออกเป็นสูตรสำเร็จนี่เป็นสัญญา แต่ถ้าเป็นสัจจะความจริง มันจะออกไปเป็นเพราะอะไร?
เพราะกิเลส เพราะความเห็นมันต่างๆ กัน เพราะความสงสัย ความลังเลมันมีเล่ห์มีเหลี่ยมของมัน เห็นไหม มันออกทีหนึ่งมันก็เห็นผลทีหนึ่ง ออกทีหนึ่งเห็นผลทีหนึ่ง ซ้ำแล้วซ้ำไป เห็นไหม สิ่งนี้เหมือนกัน วิปัสสนาต้องเป็นอย่างนั้น มันไม่เป็นสูตรสำเร็จ ไม่เป็นว่าต้องเป็นอย่างนั้นตลอดไปนะ
ถ้าเป็นอย่างนั้นตลอดไปเขาเรียกติด เห็นไหม ไม่วาง ถ้าติดไม่วางนะ เหมือนกับเรากินอาหารมื้อแรกนี่อร่อยมาก พอมื้อ ๒ มื้อ ๓ มันไม่เห็นอร่อยเหมือนมื้อแรกเลย เพราะมันเคยชิน มันคุ้นเคยแล้ว ความรสชาติมันคุ้นแล้ว มันไม่ประทับใจเหมือนครั้งแรกเลย
นี่ก็เหมือนกัน เวลามันปล่อยแล้วก็จะเอาสิ่งที่ประทับใจครั้งแรกมาเป็นเป้าหมายนะ ตายเลยนะ มันจะทำให้เราย่ำแล้ว มันเป็นนิวรณ์แล้ว พอนิวรณธรรม เห็นไหม มันกางกั้นแล้ว พอกางกั้นเราก็หัวหกก้นขวิดแล้ว นี่กิเลสมันหลอกเรา ทั้งๆ ที่ทำงานอยู่ ทั้งๆ ที่ซักจีวรอยู่ ทั้งๆ ที่ซักทำความสะอาดของเราอยู่ ขณะที่ทำสะอาด ถ้ามันสะอาดเข้ามาเป็นชั้นเป็นตอน ให้เป็นสะอาดของมันเอง มันเป็นของมันเอง ธรรมะนี่เป็นสัจธรรม มันเป็นอย่างนั้น สัจธรรมมันต้องเป็นของมันขึ้นมาโดยสัจธรรม
แล้วหน้าที่ของเราคือมรรค ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ วิธีการดับทุกข์ เห็นไหม ทุกข์ดับเพราะวิธีการ ถ้าวิธีการดับทุกข์ เราทำวิธีการไป มรรคนี่มันทำไปแล้วผลของมันช่างมัน ผลที่มันจะเป็นอย่างไรช่างหัวมัน เพราะอะไร?
เพราะสิ่งต่างๆ มันไม่เหมือนกัน สิ่งที่เป็นวัตถุ เป็นจีวรนี่ เป็นวัตถุนี่ มันเหมือนกันหมดเลย แต่อาการของใจไม่เหมือนกัน บารมีอำนาจวาสนาไม่เหมือนกัน ความเห็นเป็นของใจไม่เหมือนกัน กิเลสไม่เหมือนกัน โทสจริต โมหจริต โลภจริต เห็นไหม จริตไม่เหมือนกัน ยาก็ไม่เหมือนกัน สิ่งที่เราไปแก้ไขก็ไม่เหมือนกัน การน้ำหนักของยาก็ไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนกันทั้งนั้น! ไม่ได้เหมือนกันเลย! ไม่มี! สิ่งที่ให้เหมือนกันมันก็ต้องไปให้เป็นสัจจะความจริงของใจดวงนั้นสิ
แล้วสิ่งนั้นมันจริตนิสัยเป็นอย่างไร เวลามันสร้างมรรคขึ้นมา มรรคก็ต้องสร้างขึ้นมาตามจริตนั้น พอจริตนั้นมันก็เข้าไปแก้ไขโรคนั้น ใครเป็นโรคอะไรก็ต้องใช้ยาที่กำจัดโรคนั้นเข้าไปแก้โรคนั้น ถ้าจิตมันมีอวิชชาเป็นอย่างไร มันมีความหลงอย่างไรก็เอามรรคญาณที่เราสร้างขึ้นมา เกลือจิ้มเกลือ เอาสิ่งที่ไม่ชอบเข้าไปทำลายมัน ทำลายอย่างนั้น
นี่จิตโดนทำลายอย่างนั้น รักษาความสะอาดอย่างนั้นเข้าไปบ่อยครั้ง ซักแล้วซักเล่า ซักแล้วซักเล่า มันต้องเป็นความจริงสิ ความจริงขึ้นมา ดูสิ เวลาอาหารเรากินเข้าไป ถ้าอิ่มแล้วนะ จนถึงคอนะ ขยับเขยื้อนมันก็ลงไปในคอไม่ได้ อัดอั้นด้วยนะ อิ่มแล้วยังฝืนกินเข้าไป มันเป็นโทษเลย
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตมันเป็นไปจริงแล้ว ให้มันเป็นพยานหลักฐานขึ้นมาจากหัวใจสิ ถ้ามันอิ่มเต็มขึ้นมานะ จนมันล้นคอมา นี่วิปัสสนาซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันจะเป็นอะไรไป มันจะเป็นผลของเราไง ผลอยู่ในหัวใจของเรา เรากำของเราได้ ผลของเราเกิดจากเรา
ถ้ามันปล่อยวางเข้ามา มันจะปล่อยวางมาอย่างนี้นะ อย่าไปยึดติด ถ้ายึดมั่นถือมั่น เห็นไหม ทานก็อยู่อย่างนั้น แล้วเราก็ไม่ขยับเลย จะมาถือศีล ศีลก็ต้องเป็นอย่างนั้นนะ เกร็งไปหมดเลย ยิ่งสมาธิแล้วยิ่งว่างๆ ว่างๆ มันเป็นสูตรสำเร็จ มันเป็นเอากิเลสมาครอบหัวไว้ แล้วก็เป็นชาวพุทธ แล้วก็ปฏิบัติ มันปฏิบัติจริงหรือเปล่า?
ถ้าปฏิบัติจริง มันเป็นสัจจะความจริงของเรา ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ธรรมของครูบาอาจารย์เป็นของครูบาอาจารย์นะ ธรรมของเราเป็นธรรมของเรา ธรรมของเราคือประสบการณ์ของเรา แต่วิธีการที่ฟังมานั้นมันเป็นคำสอน มันเป็นสมบัติของท่าน แล้วเราเอามาเป็นประเด็นในหัวใจของเรา แล้วเราพยายามทำของเราขึ้นมา จนเป็นประสบการณ์ตรงของเราขึ้นมา ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา นี่กรรมฐาน
เราเป็นลูกศิษย์กรรมฐาน เรากรรมฐาน ฐานของใจ กรรมฐาน เห็นไหม ไปวัดวัดใจ วัดความรู้สึก วัดสถานะ วัดความเป็นไปของจิตให้มันเจริญขึ้น วุฒิภาวะให้สูงขึ้น อย่าต่ำลง ถ้าสูงขึ้นนะ เราจะยืนมองกระแสโลกด้วยความทันหมดนะ กระแสมันเป็นไป เห็นไหม เราไม่เป็นเหยื่อ เราไม่ไปกับโลก เรามีจุดยืนของเรา ถ้าไม่อย่างนั้นเราเป็นเหยื่อนะ เป็นเหยื่อของโลก
ดูสิ ดูขนาดผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินะ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โมฆบุรุษ ตายเพราะเหยื่อ ตายเพราะลาภ ลาภสักการะนี่ทำให้พระตายหมดเลย แล้วปัจจัยเครื่องอาศัยต้องใช้สอยใช่ไหม แต่เราไม่ไปกับลาภไง เราใช้สอยไปเพื่อความจำเป็น เห็นไหม สิ่งที่ความจำเป็นต้องใช้สอยก็ต้องใช้สอย เพราะมันเป็นสัจจะความจริง จริงโดยสมมุติไง
ปัจจัยเครื่องอาศัยรักษาชีวิตนี้ไว้ เพื่อพยายามค้นคว้าหาธรรม ถ้าธรรมได้มาในชีวิตแล้วนะ นี่เข้าใจในชีวิต เข้าใจในชีวิตมันจะเข้าใจไปหมดเลย แล้วเราจะไม่ไปกับโลกเขา ไม่ไปกับโลกนะ อยู่กับโลก ไม่ติดกับโลก แล้วไม่แบก ปล่อยวางไว้ สัจจะความจริงต่างๆ ปล่อยวางให้หมด ปล่อยวางนะ แต่ห้ามปล่อยวางความเพียรชอบ ห้ามปล่อยวางสัจจะความจริง
การปล่อยวางปล่อยวางจากภายนอก เราไม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้ใคร แต่ในหัวใจเรางานมหาศาลเลย ธรรมจักรมันเคลื่อนมันหมุนนะ ปัญญาในหัวใจมันเคลื่อนไปนะ มันภายในนี่ งานนี่สุดยอดมาก ทำอย่างงานมหาศาล แล้วกำจัดกิเลสในหัวใจของเรา สิ้นสุดกระบวนการในการทำของเรา เอวัง