เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒o พ.ค. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

คนเรานะปรารถนาความสุข เห็นไหม เราปรารถนาความสุขกัน ที่เรามาเรามาเพื่ออะไรกัน เราเพื่อแสวงหานะ เราแสวงหาที่พึ่ง พวกเรานี่ไม่มีที่พึ่ง ที่พึ่งทางโลกพึ่งไม่ได้ ที่พึ่งทางโลกนี้เป็นแต่ว่าเป็นปัจจัยเครื่องอาศัยเท่านั้น สิ่งที่อาศัยเป็นของชั่วคราว มันไม่มีอะไรเป็นที่พึ่งได้จริงเลย เราถึงหาสิ่งที่เป็นที่พึ่งได้จริง ที่พึ่งได้จริงมันเป็นนามธรรม บุญกุศล นามธรรม แล้วมันจะจับต้องได้อย่างไร?

อากาศนี่มันใช้ประโยชน์ได้อะไร อากาศนี่ ออกซิเจน เขาใช้อะไรเขาต้องมีท่อออกซิเจน เขาถึงไปหายใจได้ใช่ไหม ไอ้นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เป็นบุญกุศลมันเป็นนามธรรม มันต้องแลกด้วยไง แลกด้วยการกระทำของเรา ถ้าเรากระทำขึ้นมา มันจะมีที่พึ่งของเราขึ้นมา เราหาที่พึ่ง เห็นไหม บอกคนมีบุญกุศล คนสร้างบุญกุศลมามาก มันจะลอยมาจากฟ้า ลอยมาจากฟ้า..

มันจะลอยมาจากฟ้ามีนะ ต้องคนทำบุญมหาศาล อย่างเช่น พระสมัยพุทธกาลนะ เวลาบวชถ้าสร้างกุศลมามาก เครื่องบริขารทิพย์มันมาเอง แต่เวลาพาหิยะฟังเทศน์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหนเดียวเป็นพระอรหันต์ แล้วขอบวชไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “บวชได้อย่างไร เธอไม่มีบริขาร?” คิดดูสิ พระอรหันต์นะ สำเร็จแล้ว ไปหาบริขาร ๘ หาไม่ได้ ให้ควายขวิดตาย เห็นไหม เพราะอะไร เพราะเขาสร้างของเขามาอย่างนั้นไง

มันอยู่ที่การสร้างสมมา การสร้างสมที่เราทำกันอยู่นี้ นี่หาที่พึ่ง หาที่พึ่งด้วยลงไปด้วยแรงกายแรงใจ แรงใจ เห็นไหม ว่าการนั่งสมาธินี่ได้ประโยชน์อะไร เขาว่าอยู่ทำบุญกุศลจะได้บุญกุศลมาก แล้วนั่งสมาธิเฉยๆ นั่งเฉยๆ จิตสงบ มันจะได้ประโยชน์ตรงไหน?

นี่เพราะเราไม่เคยทำสมาธิกันเลย คนเรานี่ดูเด็กสิ เด็กจะจับให้มันนิ่งหรือให้มันอยู่สงบ มันเป็นไปไม่ได้เพราะเด็กมันนิสัยของเด็ก เห็นไหม ผู้ใหญ่นี่นั่งให้นิ่งได้ เห็นไหม เราทำบุญกุศล ทำทานนี่ทำง่ายๆ เพราะมันเรื่องของการแสดงออกของน้ำใจ แต่เวลาทำความสงบของใจ มันต้องนั่งให้จิตสงบขึ้นมา มันพยายามนั่งแล้วให้จิตสงบเข้ามา มันเป็นเรื่องสิ่งที่ยากมาก แต่เรามองข้ามไปไง มองข้ามว่าไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรเลย แค่จิตสงบแค่นี้มันจะได้บุญกุศลที่ไหน? มันเอาบุญกุศลเอามาจากไหน?

เรานี่ลงทุนลงแรง เราสละ เสียสละขนาดนี้ แต่บุญกุศลได้น้อยกว่า เพราะอะไรรู้ไหม เพราะว่านี่มันเรื่องของเด็กๆ เรื่องของอนุบาล เรื่องของทาน เรื่องของศีล เรื่องของภาวนา การภาวนานี่มันต้องให้ใจตั้งมั่น ถ้าใจมันตั้งมั่นขึ้นมา กว่ามันจะสงบเข้ามา มันสงบขึ้นมา มันจะรู้จักตัวตนของตัวเอง ถ้าเราจิตสงบเข้ามา มันมีฐานที่ตั้งของเรา ที่พึ่งมีที่นี่แล้ว เราจะไม่ตื่นกระแส

ดูสิ ดูอย่างกระแสโลกที่มันหมุนเราไป เราเป็นชาวพุทธกัน แล้วมาตื่นอะไรกันตอนนี้ ในสังคมเขาตื่นอะไรกัน เห็นไหม มันตื่นผีตื่นสาง มันออกไปจากตัวเราเองแล้ว เพราะอะไร เพราะไม่มีหลักไง แล้วถ้ามีหลักขึ้นมา มันจะเกิดปัญญา ถ้าคนมีหลักของใจ มีสมาธิขึ้นมา คนจะมีเชาวน์ปัญญา คนจะมีที่ตั้ง ถ้าคนมีที่ตั้ง คนมีเชาวน์ปัญญา มันจะไปโดนครอบงำจากเขาได้อย่างไร?

สิ่งที่ปัจจุบันนี้เราโดนครอบงำเพราะเราอ่อนแอไง ความคิดเราอ่อนแอ หัวใจเราอ่อนแอ อะไรเหยื่อผ่านมาหน้ากินหมด เห็นไหม โมฆบุรุษตายเพราะลาภ ตายเพราะเหยื่อ แล้วเขาก็เอาเหยื่อมานะ จะได้ลาภ จะได้สักการะต่างๆ เราก็เชื่อเขาๆ โดยที่ว่าไม่มีจุดยืนเลย ถ้าเรามีจุดยืนของหัวใจของเรา

นี่เขาว่า “นั่งสมาธิแล้วได้อะไร?” นั่งสมาธิขึ้นมาก็ร่างกายเราแข็งแรงขึ้นมาไง จิตใจเราเข้มแข็งขึ้นมาไง ถ้าจิตใจเราเข้มแข็งขึ้นมา เราจะไม่ตื่นไปกับกระแสโลกไง เราจะเป็นปัจเจกบุคคลก็ได้ ถ้าปัจเจกบุคคลนะ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาองค์เดียวก่อนในโลก พระปัญจวัคคีย์ เห็นไหม

“อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ”

ปัญจวัคคีย์น่ะ ๕ องค์ แล้วฟังเทศน์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมกัน ทำไมพระอัญญาโกณฑัญญะรู้ก่อนเพื่อนล่ะ? รู้ก่อนเพื่อนเพราะได้สร้างบุญกุศลมามากกว่าเขา เห็นไหม อยู่ที่การสร้างบุญกุศล เราสร้างบุญกุศลนี่เหมือนกับวิชาชีพ ถ้าคนมีวิชาชีพเดียวกัน ผู้ที่มีชำนาญการจะอธิบายถึงการกระทำวิชาชีพนั้น ไอ้คนที่เรียนวิชาชีพนั้นมาจะเข้าใจ

นี่ก็เหมือนกัน พอเราเอาเรื่องของทาน เรื่องของศีล เรื่องของภาวนา ถ้าจิตของเรามันพร้อม เห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์แสดงธรรมขึ้นมา มันจะแทงใจนะ ธรรมนี่มันสะเทือนหัวใจมาก แต่ถ้าทางโลกนะบอกว่าพูดกัน สนทนากัน ต้องถนอมน้ำใจกัน อย่าทำให้สะเทือนใจกัน

แต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เป็นอย่างนั้น! ทิ่มเข้าไปที่หัวใจมัน! เพราะกิเลสมันอยู่ในใจ! สะเทือนในหัวใจนะ ขนพองสยองเกล้า เทศน์ไปน้ำตาไหลพรากเลย เพราะอะไร เพราะมันสะเทือนหัวใจ เห็นไหม ถ้าสะเทือนหัวใจมันมีการเปลี่ยนแปลงไง

ถ้าโปรแกรมของใจ ดูสิ เรามีความคิดของเรา เรายึดทิฏฐิของเรา เห็นไหม ใครจะพูดอย่างไรเราก็ไม่ฟัง แต่ถ้าเรามีความเห็น เราไปเปลี่ยนแปลงความเห็นของเรา เปลี่ยนแปลงโปรแกรมอันนี้ เพราะอะไร เพราะธรรมมันเข้าไปสะเทือนในหัวใจ ถ้าธรรมมันทิ่มเข้าไปในหัวใจ แล้วมันเปลี่ยนแปลงโปรแกรมอันนี้ได้ นี่มันการเปลี่ยนแปลง เห็นไหม มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด ความเห็นหยาบๆ ความเห็นเด็กๆ อย่างนี้ เรายึดว่าของเราถูกต้อง ของเราถูกต้องนะ

เราเดินทางอยู่ แล้วเอาปุ๋ยมา เห็นไหม ปุ๋ยคอก แล้วเราแบกหามมาไกล พอไปข้างหน้าไปเจอเหล็ก ไปเจอเงิน ไปเจอทอง เราจะทิ้งไหม บุรุษ ๒ คนไปด้วยกัน คนหนึ่งเขาทิ้งนะ เขาเปลี่ยนไป ไปถึงบ้าน คนที่ทิ้งมาให้หมด ไปถึงบ้านเขา ภรรยาเขาได้ทองคำ เพราะเขาถือสิ่งที่ทองคำ แต่เราแบกของเรามา เราไม่ยอมทิ้ง เห็นไหม เราก็แบกของเราไปตลอดไป เพราะอะไร เพราะเราทิฏฐิของเรา

แต่ถ้ามันสะเทือนหัวใจ มันสะเทือนใจมากนะ ธรรมนี่สะเทือนหัวใจเพราะอะไร เพราะกิเลสมันอยู่ที่ใจ การแสดงธรรมครูบาอาจารย์เรามันสะเทือนหัวใจ มันนึกเปลี่ยนแปลงได้ไง มันเปลี่ยนแปลงคนได้ มันเปลี่ยนแปลงความคิดได้ มันเปลี่ยนแปลงได้ มันเปลี่ยนแปลงได้เปลี่ยนแปลงได้ด้วยใคร?

เปลี่ยนแปลงด้วยธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครแสดงแล้วแต่ เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เข้าสะเทือนในหัวใจของเรา ธรรมนี่เข้าไปชำระใจของเรา แล้วธรรมๆๆ คำว่า “ธรรม” ธรรมอะไร ธรรมคือเหตุและผลไง เหตุและผล อริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เห็นไหม

“ทุกข์” ทุกข์อยู่ที่ไหน ทุกข์นี่ไม่เห็นเลย เห็นแต่อาการของทุกข์ ทุกข์แล้วน้ำตาไหลพราก มีแต่ความเจ็บช้ำน้ำใจ ทุกข์ๆๆๆๆ แล้วมันเกิดจากอะไร?

ทุกข์ เห็นไหม ทุกข์ควรกำหนด เหตุให้เกิดทุกข์ ตัณหาความทะยานอยากไง เราปฏิเสธ เราผลักไส สิ่งที่เกิดขึ้นมาในปัจจุบันนี้ มันเป็นกรรมของเรา เราสร้างมาอย่างนี้ ถ้าเราไม่สร้างมา เราเกิดเป็นคนได้อย่างไร มานั่งอยู่นี่มันมาจากไหน มันมาที่นั่งอยู่นี่ มันมาจากกรรมของเรา กรรมๆๆ กรรมอยู่ที่ไหน?

กรรมมันแฝงอยู่ที่จิต จิตนี่มันเป็นสถานะ มันเป็นภพ มันเป็นสถานะ มันเป็นธาตุ แล้วมันมีสภาวะกรรม เห็นไหม แล้วมันเคลื่อนไป เคลื่อนไปมาเกิดเป็นเราแล้วนั่งกันอยู่นี่

ดูสิ ดูสถานะของคนก็ไม่เหมือนกัน สังคมก็ไม่เหมือนกัน ความเห็นก็ไม่เหมือนกัน เวลาประพฤติปฏิบัติ ฟังธรรมก็ไม่เหมือนกัน ฟังปัจจุบันนี้ก็ไม่เหมือนกัน บางคนเข้าถึงซึ้งถึงน้ำใจมาก บางคนฟังแล้วขี้โม้ โม้ไม่โม้ท้าพิสูจน์สิ

ดูทางโลกเขาบอกเลย เขาบอกว่าจะต้องเชื่อถือสิ่งที่พิสูจน์ตรวจสอบได้ มันพิสูจน์ตรวจสอบได้จริงๆ อย่าเชื่อ อย่าเชื่อสิ่งที่เหนือการพิสูจน์ เห็นไหม แล้วเราพิสูจน์ได้อย่างไร มันอ่อนแอ ดูเด็กสิ เด็กมันพิสูจน์ได้อย่างไร เด็กมันทำอะไรไม่ได้เลย เพราะเด็กใจมันอ่อนแอ เห็นไหม มันพิสูจน์ได้จริงๆ ถ้าพิสูจน์ได้จริงๆ มันจะแก้กิเลสได้จริงๆ

ถ้าผู้รู้ มันรู้ออกมาจากใจ ธรรมนี้มาจากไหน ธรรมนี้มาจากไหน ถ้าธรรมมาจากพระไตรปิฎก ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจำมา ก็เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเป็นธรรมของเรา มันพร้อมเสมอไง มันพร้อมเสมอ มันออกมาจากหัวใจ มันเกิดจากการกระทำขึ้นมา เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของใจ การเปลี่ยนแปลงของใจนะ

ถ้าใจมันเปลี่ยนแปลงจากปุถุชนเป็นกัลยาณปุถุชน จากกัลยาณปุถุชน ถ้ามีอำนาจวาสนาย้อนมาวิปัสสนาได้ นี่กัลยาณปุถุชน ปุถุชน กัลยาณปุถุชนต่างกันอย่างไร?

ปุถุชนคนหนาไปด้วยกิเลส มีอะไรผ่านมาข้างหน้าไปหมดเลย เป็นเหยื่อของสังคมไปทั้งหมดเลย เพราะอะไร เพราะมันไปตามกระแสของโลก รูป รส กลิ่น เสียงเป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร ปุถุชนน่ะ บอกว่าสิ่งนั้นมันเป็นสิ่งที่บูชาเรา เป็นสิ่งที่สมบัติของเรา

แต่ถ้ากัลยาณปุถุชนบอกว่าบ่วงของมาร บ่วงของมาร เครื่องล่อของมาร มันจะไปยุ่งกับเขาทำไมล่ะ แต่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ใช่ไหม เราต้องพึ่งพาอาศัยในปัจจัยเครื่องอาศัย เราก็อาศัยเขา อาศัยด้วยความรู้เท่า อาศัยความรู้เท่านะ เราอาศัยเขา เราเป็นเจ้านายเขา ถ้าเราไปเป็นขี้ข้าเขา เราจะไปถนอมรักษาเขา เราอาศัยเขาได้นิดหน่อย แต่เขาจะใช้คุณสมบัติเขาเหยียบย่ำหัวใจเรา

ถ้าเป็นกัลยาณปุถุชนมันจะเข้าใจสภาวะแบบนี้ แล้วมันปล่อยวางไว้อย่างนี้ จิตในเมื่อมันไม่มีสิ่งเร้า คือสิ่งบ่วงของมาร พวงดอกไม้แห่งมารดึงไป จิตมันตั้งมั่น มันมีหลักมีเกณฑ์ เหมือนเรา ถ้าทำสมาธิกัน จิตมันตั้งมั่น มันมีปัญญาขึ้นมา มันเป็นหลักเป็นเกณฑ์ของมันขึ้นมา มันจะไม่ไปตามกระแสโลก

ถ้ากัลยาณปุถุชน แล้วจิตมันน้อมขึ้นมา มันเป็นตัวของมันเอง แล้วน้อมไปวิปัสสนา มันเห็นจากตาของใจ ถ้าใจมันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม มันจะสะเทือนหัวใจมาก การเห็นของเรา เห็นไหม เห็นแล้วก็เฉยๆ เห็นมันเป็นโลกียปัญญา มันสลดสังเวช มันสลดไง

ธรรมสังเวชกับความสังเวชของโลกๆ ต่างกัน ธรรมสังเวชเพราะมันมีกระแสของธรรม ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เราบัญญัติกันขึ้นมา มันสะเทือนหัวใจของเรานะ ถ้ามันสะเทือนหัวใจของเรา นี่โสดาปัตติมรรค ถ้าเป็นโสดาปัตติมรรค เพราะต้องเป็นกัลยาณปุถุชนก่อน ถ้าเป็นปุถุชนจะเห็นโสดาปัตติมรรคไม่ได้ เพราะอะไร?

เพราะมือมันสกปรก สิ่งที่สกปรก ใจเราสกปรก มันมีความเห็นของเราบวก ความเห็นของเรา ความเห็นของเรา ความรู้สึกของเราในหัวใจนี่ ต้องเป็นอย่างนี้ ต้องเป็นอย่างนี้.. มันคาดหมายทำกันไปก่อนไง แต่ถ้าเป็นกัลยาณปุถุชน จิตมันเป็นสากล มันไม่มีเรา มันเป็นธรรมชาติ เพราะถ้ามันมีความคิดของเรา มันมีความเห็นของเรา มันจะเป็นสมาธิไม่ได้

สิ่งที่จิตมันสงบเข้ามาเป็นสมาธิ สมาธิเป็นสากล ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน เข้าปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน อากาสานัญจายตนะ สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา เป็นพระอรหันต์ เวลาจะปรินิพพาน ทำไมมาเข้าสมาบัติล่ะ?

สมาบัติอย่างนี้มันไม่ใช่ใจ เห็นไหม เพราะมันมีตัวใจอยู่ มันถึงเข้าสมาบัติได้ แล้วเวลาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะไปอยู่กับอาฬารดาบส เห็นไหม เข้าสมาบัติ ๘ ได้

“เจ้าชายสิทธัตถะเข้าสมาบัติ ๘ ได้ มีความรู้เหมือนเรา ให้เป็นศาสดาของเรา”

เจ้าชายสิทธัตถะไม่ต้องการเลย สิ่งนี้เป็นเรื่องโลกๆ แต่ถ้าเป็นปัญญาล่ะ?

สิ่งที่เป็นปัญญา ถ้าจิตมันสงบก่อน แล้วมันย้อนเข้าวิปัสสนา สิ่งวิปัสสนามันเข้ามาชำระกิเลสไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาจะปรินิพพาน ทำไมต้องเข้าสมาบัติล่ะ ระหว่างรูปฌาน-อรูปฌาน แล้วจิตนี่ออกจากขันธ์ ท่านนิพพานตั้งแต่ตรงนั้นเลย สิ่งนี้เกิดขึ้นจากคนที่ไม่มีกิเลส

แต่ถ้าเรามีกิเลส คนเรานี่เป็นปุถุชน เข้าสมาบัติได้ สิ่งที่เข้าสมาบัติ ฤๅษีชีไพรเวลาเหาะเหินเดินฟ้าไปเห็นสิ่งกระทบกันนี่เสื่อมหมดเลย เสื่อมเพราะอะไร เพราะกิเลสมันตัวเร้า เห็นไหม ปุถุชน กัลยาณปุถุชนไง

ถ้ากัลยาณปุถุชนไม่ได้วิปัสสนา มันก็จะไม่เห็นสิ่งใดๆ เลย แต่ถ้าเข้าสมาบัติได้ สิ่งที่เข้าสมาบัติได้ เข้านี่มันมีกำลัง มันเป็นอภิญญา สิ่งที่เป็นอภิญญานี่เป็นอนิจจัง สิ่งที่เป็นอนิจจัง สิ่งใดเป็นอนิจจังสิ่งนั้นเป็นทุกข์ เพราะอะไร เพราะมันต้องรักษาไว้ ถ้าไม่รักษาไว้ มันจะเสื่อมสภาพ มันต้องรักษาไว้ มันเป็นความทุกข์อย่างหนึ่ง ต้องแบกหามไปอย่างหนึ่ง

ติดดี เราเป็นคนดี เราติดในความดีของเรา ความดีนี้มันติดหัวใจเรามาก เราแบกแต่ความดีของเรา แบกดีไปตลอด ก็แบกขี้ไปก้อนหนึ่งไง สิ่งต่างๆ อย่างนี้ถ้าเราย้อนกลับมา แล้วเราเข้าไปถึงวิปัสสนา ถ้าจิตมันเห็นนะ เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม มันจะขนพองสยองเกล้า ขนพองสยองเกล้าเพราะมันสะเทือนกิเลส

ถ้ามันสะเทือนกิเลส การวิปัสสนาไปมันจะแยกแยะออกไป จากอุคคหนิมิตเป็นปฏิภาคะ ความแยกส่วนขยายส่วน สิ่งต่างๆ นี้ไม่มีเลย สภาวธรรมก็เห็นมันไม่มีเลย มันเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง สภาวธรรมที่เกิดขึ้นมาแล้วเราแยกเข้ามา มันจะทำลายของมันขึ้นไป จิตทำลายเข้าไปถึงที่สุดแล้วมันปล่อยวางๆๆ ถึงที่สุดมันขาด เห็นไหม นี่สักกายทิฏฐิ ความเห็นผิด สักกายทิฏฐิคือเห็นผิดเท่านั้น เห็นผิดว่ากายนี้เป็นของเรา

กายนี้เป็นกายของเราโดยสมมุติ เราเกิดมาโดยกรรม กรรมพาให้เราเกิด เราจะได้อย่างนี้มา เห็นไหม ดิน น้ำ ลม ไฟนี่เป็นมนุษย์ แล้วถ้าเขาเอาดิน น้ำ ลม ไฟมากวนๆๆ ขึ้นมาเป็นคนไหม มันเป็นตุ๊กตาเห็นไหม มันเป็นหุ่นยนต์ มันไม่เป็นมนุษย์เพราะอะไร เพราะมันไม่มีจิตเข้าไปปฏิสนธิ จิตเข้าไปปฏิสนธิขึ้นมาแล้วเราวิปัสสนาของเรา จิตของเราทำของเรา เห็นไหม นี่ธรรม นี่ที่แสวงหากัน เราแสวงหากันอย่างนี้ เราแสวงหาทำบุญกุศลอย่างนี้ เพื่ออะไร เพื่อใจดวงนี้ไง เรานี่ เห็นไหม ครูบาอาจารย์ท่านพูด เห็นไหม “จิตดวงนี้น่าสงสารมาก เรียกร้องการช่วยเหลือ แต่โลกเขาไม่รู้จักการช่วยเหลือกัน”

แต่ในปัจจุบันนี้เราเป็นคนหูตาสว่าง เราเองเป็นคนช่วยเหลือเรา เราช่วยเหลือจิตของเรา เอาจิตของเรามาเป็นพื้นฐาน มาสร้างสิ่งที่เป็นคุณงามความดี ปลูกโพธิ์ไง ปลูกโพธิขึ้นมาที่จิตเรา ความเห็นสว่างให้เกิดมาจากเรา เรานี่ช่วยเหลือเราโดยครูบาอาจารย์เป็นผู้ชี้นำ ชี้นำนะ

แล้วเราพยายามฟื้นความรู้สึกของเราให้เข้ามากับธรรม ธรรมเหนือโลก ธรรมไม่ใช่โลก โลกเป็นโลกนะ โลกเขาดูสิ ปัจจัยเครื่องอาศัย แต่ธรรมคือความสุขใจ คือความพอใจ คือความตั้งมั่น แล้วจะไม่ไปตามกระแสโลก มันจะมีหลักมีเกณฑ์ของมัน

เราแสวงหากันอย่างนี้ มันถึงต้องมีทาน ศีล ภาวนา ถ้ายังปฏิบัติไม่ได้ก็อาศัยทานนี่เป็นพื้นฐาน เห็นไหม นายช่างหม้อ เขาจะปั้นหม้อปั้นไหเขา เขาต้องเตรียมดินของเขา เขาต้องนวดของเขา ทำของเขา นี่ของเรา ถ้าใจเราไม่มั่นคง เราก็เอาบุญกุศลนี่เพื่อนวดใจให้มันมีศรัทธา ให้มีความเชื่อ ให้มีความเข้มแข็ง ให้มีการควบคุมมันได้ ถ้าควบคุมได้ เราเป็นควบคุม เห็นไหม

ตอนนี้กิเลสควบคุมเรา กิเลสมันตัวอยากตัวเร้าเรา ถ้าธรรมควบคุมเรา ธรรมเข้ามาควบคุม ความรู้สึกของเราเข้ามาควบคุม เราควบคุมแล้วเราเป็นคนจัดการ เห็นไหม นี่มรรค มรรคคือการมีสติชอบ งานชอบ มันเป็นสัมมา สัมมาพยายามค้นคว้าเข้ามาในความรู้สึกของเรา เข้ามาในใจของเรา นี่ธรรมเกิดอย่างนี้ ในใจของเราจะเป็นประโยชน์กับเรา เห็นไหม เราช่วยเราเอง เราฉลาด

จากข้างนอกเข้ามานะ จากทาน ศีล ภาวนา จากการทำทาน การตั้งจิตของเราเพื่อประโยชน์กับเรา สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์กับเรา นี่เราช่วยเหลือเรา เป็นที่พึ่งได้ เห็นไหม จากที่พึ่งข้างนอกมันพึ่งไม่ได้ เราถึงต้องขวนขวาย ต้องตะเกียกตะกาย ต้องหาที่พึ่งของเรา แล้วเราทำความสงบของใจ เห็นไหม นั่งอยู่เฉยๆ จิตสงบกลางหัวใจเรา นี่ที่พึ่งของเรา แล้วเกิดวิปัสสนาขึ้นมา จะเห็นการเป็นไปของมันนะ แล้วจะเห็นที่พึ่งจริงๆ

ธรรมะพึ่งได้จริงๆ ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์รวมอยู่ที่ใจของเรา นี่พุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ความรู้สึกในหัวใจของเรา เราหากันไม่เจอ กราบพระพุทธเจ้ากราบแต่ภายนอก พุทธะในหัวใจไม่มีใครพบเห็น ถ้าเราพบเห็นพุทธะของเรา เรากราบพุทธะของเรา เราชำระความสะอาดของพุทธะของเรา เราจะมีความสุขจริงๆ เราจะเข้าใจโลกหมดเลย โลกทั้งหมด

โลกนี้มีเพราะมีเรา ชีวิตมีเพราะมีจิต จิตมีเพราะมีร่างกาย มีลมหายใจ ลมหายใจขาดไปจิตไปไหน จิตมันก็เวียนไปในวัฏฏะ แต่ถ้าสิ้นกิเลสแล้ว พอลมหายใจขาด เห็นไหม สอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่ พอลมหายใจขาดพั่บ! เป็นอนุปาทิเสสนิพพาน คือไม่มีเศษส่วน สุขล้วนๆ สุขที่ไม่มีอะไรสมมุติมาเจือปนเลย เอวัง