เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๔ มิ.ย. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระ วันพระทีหนึ่งเรามาทำบุญกันทีหนึ่ง ทำบุญ เวลาทำบุญ เวลาเสียสละไป ถ้าใจมันตระหนี่ถี่เหนียวนะ สิ่งนี้เป็นของมีคุณค่า เวลาเราได้ ๕ ได้ ๑๐ มา ของอะไรที่เราหามาแล้ว เราต้องหาสิ่งดีๆ มาถวายพระไง ถวายพระเพราะอะไร? เพราะพระเป็นผู้ทรงศีล เราเชื่อกันว่าพระมีศีลมากกว่าเรา เราเชื่อว่าพระเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติดี

ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกบวชครั้งแรก เวลาไปถึงนครราชคฤห์ พระเจ้าพิมพิสารนึกว่ามีปัญหามา “เราให้กองทัพครึ่งหนึ่ง เพื่อไปเอาราชอาณาจักรคืน”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “ไม่ใช่ ปรารถนาจริงๆ ปรารถนาออกแสวงหาโพธิญาณจริงๆ”

“ถ้าอย่างนั้น ถ้าสำเร็จแล้วให้กลับมาสอนด้วย”

เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปทุกข์ยากอยู่ ๖ ปี กว่าจะสำเร็จตรัสรู้ขึ้นมาแล้ว แล้วกลับมาสอนพระเจ้าพิมพิสารเป็นพระโสดาบัน สั่งเสียกันเลยนะ ว่าถ้าสำเร็จแล้วให้มาสอนด้วย

นี่ก็เหมือนกัน เราก็หวังไงว่าพระเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ พระนี่ถ้าพูดถึงประพฤติปฏิบัติไปแล้วจะมีบุญกุศลมาเผื่อแผ่เราบ้าง เราเชื่ออย่างนั้น เราถึงว่ามีสิ่งใดดีๆ สิ่งใดเป็นประโยชน์ สิ่งใดที่เป็นของดีของโลก ถวายพระหมดเลย เห็นไหม เวลาพระใช้สอยของเขาแล้วมันต้องรู้จักตรงนี้ด้วย ถ้ารู้จักว่าสิ่งนี้เป็นประโยชน์กับเรา เป็นประโยชน์กับเราในการดำรงชีวิต

ดูสิ โลกเขากินด้วยกาม ด้วยเกียรติ ด้วยศักดิ์ศรี ภิกษุฉันอาหารเพื่อดำรงชีวิตเท่านั้น ดำรงชีวิตไว้เพื่อประพฤติปฏิบัติไง ดำรงชีวิตเห็นไหม ฉันอาหารเหมือนดังเราหยอดล้อเกวียนไม่ให้มันเสียงดังออดแอดเท่านั้นเอง ล้อเกวียนถ้ามันไม่มีน้ำมันหล่อลื่นมันไปไม่ไหว น้ำมันหล่อลื่นแค่นั้น เห็นไหม นี่เราก็หล่อเลี้ยงชีวิตไปเท่านั้นนะ

เวลาเขาปรารถนา เขาอยากให้บุญกุศล เขาอยากปรารถนาให้พระได้ฉันของเขา ได้ใช้ของเขา แต่พระถ้าใช้ของเขาโดยที่ไม่มีสติปัญญานะ กินอิ่มนอนอุ่นมันก็ไปนอนหลับเป็นหมูนั่นน่ะ ถ้าเราอดนอนผ่อนอาหาร สิ่งใดที่มันเป็นประโยชน์แล้วนะ โลกเขาว่าดี ดีทางโลกเขาไง แต่ถ้าเป็นร่างกายเรามันได้ไขมัน ได้สิ่งต่างๆ เข้าไป เห็นไหมอาหาร อาหารอย่างหยาบ อาหารอย่างกลาง อาหารอย่างละเอียด พืชๆ ผักๆ นี่อาหารอย่างละเอียด เพราะอะไร? เพราะฉันแล้วมันไม่ง่วงเหงาหาวนอน

สิ่งนี้ของเขาเป็นบุญของเขา ถ้าคนไม่มีสตินะ ไม่มีสติไม่มีความเข้าใจสิ่งนี้ มันจะประมาทนะ ถ้าประมาทขึ้นไปแล้วนี่ เวลาการประพฤติปฏิบัติไปมันจะขัดแย้งไปหมดเลย เห็นไหม สิ่งใดๆ รู้ไปหมด เวลาศึกษามารู้ไปทุกอย่างหมดเลย แต่ไม่รู้เรื่องของกิเลสไง ไม่รู้เรื่องของตัวเอง หน้าที่ของคนอื่นต้องทำๆๆ แต่หน้าที่ของตัวเองไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะหน้าที่ของเราคือเอาตัวเองให้รอดจากวัฏฏะ ในวัฏฏะมันเวียนตายเวียนเกิดนะ จะมีสภาวะแบบนี้ เวียนตายเวียนเกิดอย่างนี้

เวลาเกิดมา เห็นไหม ถ้ายังหนุ่มยังสาวชีวิตยังสดใสอยู่ สดใสที่ไหน มันหนุ่มสาวอย่างนี้มากี่รอบแล้ว แล้วมันก็แก่ตายชราคร่ำคร่าไป แล้วต้องพลัดพรากไป พลัดพรากไปก็เสียอกเสียใจเห็นไหม ความดีใจ ความเสียอกเสียใจนี่ มันซับสมใจมาจนเป็นจริตเป็นนิสัยมา แล้วก็ต้องเจอสภาพแบบนี้อีก

แล้วถ้าไม่มีสติสัมปชัญญะนะ เราแยกออกสิ ดูสิ เห็นไหม เขาจะฝึกสัตว์ สัตว์ที่เขาจะเอาไปใช้งานเขาต้องแยกไปฝึก ฝึกให้มันเป็น ดูสิ ช้างเวลาเขาฝึกกัน ฝึกใช้งานมัน เขาฝึกกว่าจะฝึกมันได้ ต้องแยกออกมาฝึก ฝึกเป็นแล้วถึงจะใช้งานมัน

นี่ก็เหมือนกัน เวลาหัวใจของเราถ้าอยู่ในส่วนรวม อยู่ในหมู่คณะนี่มันนอนใจทั้งนั้น เวลาสังคม ดูสิ สิ่งที่อำนวยความสะดวก เมื่อก่อนคนทุกข์คนยาก สมัยปัจจุบันนี้เทคโนโลยีเจริญมาก จะสะดวกมาก สะดวกจนคนอ่อนแอไปหมดเลย สะดวกจนคนจะช่วยตัวเองไม่ได้เลย เห็นไหม ทำให้คนเป็นคนอ่อนแอไปหมด

แต่ถ้าเราช่วยตัวเราเอง “อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” มันเป็นที่พึ่งตรงไหนล่ะ ก็ที่พึ่งตั้งแต่ตรงนี้ ตั้งแต่ชีวิตของเรานี่ ลมหายใจเข้าและลมหายใจออก สติสัมปชัญญะเรามีกับเราตลอดไป ลมหายใจเข้าและลมหายใจออก ไม่รับรู้อะไรเลย รับรู้แต่เราจะได้อะไร เราจะแสวงหาอะไร เราจะอยู่กับเขาอย่างไร มันจะเรียกร้องอย่างเดียวเลย แต่ไม่เคยคิดถึงว่าหน้าที่ของเรา ถ้าเราตายลงเดี๋ยวนี้ สิ่งที่เราเรียกร้องมานี่เราเก็บไว้ให้ใครล่ะ มันเป็นภาระคนอื่นนะ เป็นมรดกตกทอดต้องให้คนเก็บรักษาอีกต่างหาก เรื่องนี้เรื่องของโลกๆ ปัจจัยเครื่องอาศัยพอดำรงชีวิตเท่านั้นล่ะ

แต่ถ้าเรื่องของเรา เห็นไหม นี่ผู้ประเสริฐ ถ้าผู้ประเสริฐ ประเสริฐในหัวใจ ถ้าหัวใจมันประเสริฐนะ มันจะเป็นที่พึ่งให้เขา มันจะจุนเจือคนตลอดไป ดูสิ คนตกทุกข์ได้ยาก เราเห็นแล้วเราก็เศร้าอกเศร้าใจ เศร้าใจนะ ถ้าเจือจานได้ แล้วรักษาได้ เราช่วยเหลือได้เราจะช่วยเหลือเขา ถ้าเราช่วยเหลือเขาไม่ได้อันนี้มันก็สุดวิสัย เห็นไหม นี่พรหมวิหาร ๔ ของผู้บริหารไง ถ้ามีพรหมวิหาร ๔ นะ ถึงที่สุดแล้วมันเรื่องกรรมของสัตว์ สัตว์มันมีกรรมของมันเป็นดำรงเผ่าพันธุ์ของมันนะ กรรมของมัน มันสร้างของมันมาอย่างนั้น ถึงเวลากรรมให้ผลแล้วนี่

เวลาเขาทำความชั่วของเขา เวลาเขาทำบาปอกุศลของเขา เราจะไปบอกเขาได้อย่างไร เวลาเราจะช่วยเหลือเขา เราก็บอกนี่สิ่งนี้เป็นกรรม อย่าทำนะๆ เขาก็ไม่เชื่อ เขาก็ทำของเขา เวลากรรมมันให้ผลมา ก็มาโอดโอยว่าทำไมเขาเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนั้นเพราะสิ่งที่มันตอบสนองมาเห็นไหม สิ่งที่ตอบสนองมา

แล้วสิ่งที่ปัจจุบันนี้ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะอย่างนี้ เราทำสิ่งที่ดี ดูสิ เวลาเราสละออกไป มันหลุดจากมือเราไปทั้งนั้น หลุดจากมือเราไปแต่เขายิ้มแย้มแจ่มใส หัวใจเราก็ชื่นบาน ถ้าหัวใจชื่นบาน ถึงเวลาคราวของเรา หัวใจเราก็ชื่นบาน มันเจอวิกฤตขนาดไหนนะ สิ่งต่างๆ มันผ่านไปได้ถ้าหัวใจเข้มแข็ง ถ้าหัวใจมันไม่เข้มแข็งนะ ไม่เจอวิกฤตเลยเจอแค่เศษฝุ่นมันก็ว่าหนักหนาสาหัสสากรรจ์แล้ว สิ่งนี้หนักหนาสาหัสสากรรจ์นี่มันก็ชีวิตไม่มีคุณค่าเลย นี่ใจอ่อนแอไง ถ้าจิตใจเข้มแข็ง สิ่งใดวิกฤตมันเคยมา

ดูสิ เวลาผู้นำขึ้นมา เวลาเกิดวิกฤตขึ้นมาต้องการผู้นำที่นิ่ง ผู้นำที่ไม่วอกแวก ถ้าเกิดวิกฤตขึ้นมาจะพาหมู่คณะไป พระโพธิสัตว์ เห็นไหม เวลาเกิดเป็นสัตว์ เกิดเป็นต่างๆ เจอวิกฤตขึ้นมาจะแก้ไขต่างๆ มาได้ การแก้ไขอย่างนี้ทำให้ใจเราคงที่ ทำให้ใจเรามีอำนาจวาสนา มีบารมีขึ้นมา ถ้ามีบารมีขึ้นมาการกระทำของเรามันก็เป็นประโยชน์กับเรา นี่สิ่งที่เป็นประโยชน์จากภายนอกนะ

แล้วเวลาเป็นประโยชน์จากภายใน ดูสิ เวลาเรานั่ง ๕ ชั่วโมง ๑๐ ชั่วโมง เรานั่งสมาธิภาวนานี่มันวิกฤตที่ไหน มันวิกฤตกับเรานี่แหละ เพราะไม่มีใครรู้กับเรานะ เวลาอยู่ในกุฏิ เราภาวนาของเรา ใครจะมาช่วยเหลือเราได้ การช่วยเหลือเห็นไหม การช่วยเหลือมันก็เรื่องของการส่งออก การช่วยเหลือกัน เห็นไหม เจ็บไข้ได้ป่วย ปลอบประโลมกันนะ เดี๋ยวก็หายนะ ช่วยทำตัวอย่างนี้เดี๋ยวจะดีขึ้น ปลอบประโลมกันจากภายนอก

แต่ถ้าภายในล่ะ ถ้าภายในใครจะปลอบประโลม เพราะกิเลสกับเรามันเป็นอันเดียวกัน ถ้ากิเลสกับเราเป็นอันเดียวกัน ทำอะไรไม่ได้เลยนะ เราจะฆ่ากิเลส เห็นไหม เราต้องฝืนมัน ถ้าฝืนกิเลสก็ฝืนเรานี่แหละ ถ้าฝืนเราอยากได้อะไร ไม่ทำ อยากเป็นอะไรนี่ ถ้าฝืนมันไปเรื่อยๆ

ดูศีลนี่ ผิดศีลนี่ ถ้าศีลปกติของใจ ถ้าสิ่งที่ผิดปกติ เราจะไม่ทำกับมัน ถ้าเป็นปกติ จิตมันก็ปกติ ถ้าจิตปกติขึ้นมา มันก็มีหลักของมัน เห็นไหม นี่ก็เหมือนกัน เวลาเข้าไปเจอวิกฤตขึ้นมา เวลามันเจ็บปวดขึ้นมา เวทนามาจากไหน สิ่งที่เวทนา สิ่งที่มันเหนื่อยหน่ายในหัวใจมันมาจากไหน ก็มันมาจากสนิม มาจากเหล็กนั้น ถ้าเหล็กมันดีขึ้นมา เห็นไหม นี่สแตนเลสมันไม่มีสนิม แต่สแตนเลสเดี๋ยวนี้มันก็มีสนิม สนิมของมัน สนิมมันเกิดจากใจ

นี่ก็เหมือนกัน ความคิดที่เหนื่อยหน่ายมันมาจากไหน ความคิดมันลอยมาจากฟ้าหรือ ความเหนื่อยหน่ายความเวทนานี่เขาเอามายัดเยียดให้เราหรือ มันไม่มีหรอก มันเกิดมาจากเราทั้งนั้น สนิมในเหล็ก เห็นไหม ถ้าเรารักษาของเรา เรารักษาเหล็กของเราให้ดี เราป้องกันสนิม สนิมก็ไม่เกิดกับเรา ถ้าเราป้องกันสนิมของเราได้ แล้วสนิมมันอยู่ที่ไหน? สนิมมันอยู่ในใจ ก็ต้องค้นคว้ามัน หามันทำมันจนถึงที่สุดได้ สนิมนี่เหล็กมันมหัศจรรย์นะ เหล็กที่ไม่มีสนิมมีนะ เหล็กที่ไม่มีสนิมเป็นไปได้ ใจที่มันสิ้นจากกิเลส

สิ่งที่มันเป็นอาการของใจ เห็นไหม อาการของใจไม่ใช่ใจ สอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่ มันเรื่องกระทบของธาตุขันธ์ ธาตุขันธ์มันมีก็เป็นอย่างนี้ ปุถุชนธรรมดากับพระอรหันต์เหมือนกัน ต้องใช้ต้องสอยเหมือนกัน เห็นไหม เราเข้าใจพระอรหันต์นี่ เวลาสำเร็จพระอรหันต์แล้วไม่ต้องกินข้าวเลยนะ จะอยู่ได้ตลอดชีวิตไง อยู่ได้ตลอดชีวิต ใจนั้นไม่ต้องการสิ่งใดเลย แต่ในเมื่อธาตุขันธ์ยังมีอยู่ เห็นไหม ถ้าธาตุขันธ์นี่เป็นเรื่องของโลก เพราะอะไร? เพราะเราเกิดมาในโลก เราเกิดเป็นมนุษย์เราได้ร่างกายมา ถ้าหัวใจนี่เกิดมาในมนุษย์ ได้เกิดมามีชีวิตมา เห็นไหม มีกิเลสมา แล้วเราชำระกิเลสหมดไปแล้ว นี่มนุษย์เหมือนกัน ร่างกายเหมือนกัน มันก็สื่อกับมนุษย์ได้ นี่สอุปาทิเสสนิพพาน ใจที่เป็นพระอรหันต์ แต่เศษส่วนคือเศษที่มนุษย์นี่มันเป็นเศษเดน สิ่งที่เป็นเศษเป็นเดน ไอ้ลมหายใจ ไอ้ความเป็นอยู่นี่มันเศษมันเดนเห็นไหม ต้องแบกเป็นภาระรับมันไป

แต่เวลาคนเรามันคิดว่าเศษเดนมันเป็นของเรา ทะนุถนอมรักษามาก รักษาเห็นไหม กลัวมันจะบุบสลาย มันก็บุบสลายโดยธรรมชาติของมัน แต่พระอรหันต์ไม่ได้กลัวบุบสลาย แต่สิ่งนี้เป็นประโยชน์กับโลก เพราะอะไร? เพราะมันยังสื่อความหมายกันได้ เวลาตายไปแล้วมันหมด อนุปาทิเสสนิพพาน นิพพานไปแล้วจบ จบคือว่ามันสื่อกับปุถุชนไม่ได้ สื่อต่างๆ ไม่ได้ เพราะมันพ้นออกไปจากวัฏฏะ

แต่ถ้าเป็นประโยชน์ เห็นไหม เป็นประโยชน์มันเป็นไปได้ เป็นไปได้แต่ผู้ที่จะเป็นไปได้ ถ้าเป็นไปไม่ได้ก็คือเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่เป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ก็เหมือนเรานี่ เราเชื่อหรือไม่เชื่อล่ะ ความเป็นไปของเราในใจเรา เราเชื่อไหม เราเชื่อว่าใจเราที่มันทุกข์มันยากอย่างนี้ ใจเราสามารถประพฤติปฏิบัติได้ไหม ใจของเราสามารถจะหยิบเพชรนิลจินดาได้ไหม ถ้ามันกล้าหยิบเพชรนิลจินดาขึ้นมา การประพฤติปฏิบัติของเรามันก็เข้มแข็งขึ้นมา

นี่เราไม่เอา เราอ่อนแอ ใจเราไม่กล้าหยิบอะไรเลย เห็นเพชรก็บอก “เราไม่มีปัญญาหรอก เพชรนี่เขาไว้ให้เศรษฐีเขาซื้อกัน ไอ้เราก็ไปเอากรวดเอาทรายก็พอ” เห็นไหม ถ้าใจมันคิดอย่างนี้ มันไม่มีเป้าหมายอย่างนี้ มันก็ไม่สมบุกสมบัน มันก็ไม่ทำงาน มันก็นอนจม เห็นไหม ถ้าบอกว่า เศรษฐีเขาซื้อเพชรได้ เราก็สามารถหาเงินขึ้นมาซื้อเพชรได้ คนจนถ้ามีเงินก็ซื้อได้ ซื้อได้ทั้งนั้น

นี่ก็เหมือนกัน ใจนี้มันใจมีอยู่กับเรา มรรคผลนิพพานมันก็มีอยู่แล้ว ทำไมเราทำไม่ได้ ถ้าเราทำได้ ใจมันสัมผัสได้ ใจเรามันสัมผัสสิ่งนี้ได้ เพราะใจมันมีอยู่แล้ว เครื่องสัมผัสมันมีอยู่แล้ว แต่เพราะเราอ่อนแอเอง เรากดถ่วง เรากดเราเองไว้ กดตัวเองไว้ เห็นไหม กิเลสมันกดเราเองไว้ ไม่ให้เราองอาจกล้าหาญ ไม่ให้เรายื่นมือออกไปหยิบสิ่งใดเลย ไม่ให้ออกไปแล้วเอื้อมมือไปจับสิ่งใดขึ้นมา เห็นไหม เราก็จะไม่ได้อะไรเลย

ถ้าเราได้อะไรเลย สิ่งที่เราได้อะไร ได้มาจากไหน สมบัติโลกนี้ เงินนี่ลดค่าลงทุกวันนะ แล้วเขาจะเปลี่ยนแปลง ถ้าเงินมีผู้ทำเทียมเลียนแบบ เขาจะเปลี่ยนเลย เขาจะทำไปเลย มันสมมุติกันไปทั้งนั้น

แต่ถ้าเป็นอริยทรัพย์ ใครจะเปลี่ยนของใคร ธรรมะส่วนบุคคล ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็อยู่ในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมของพระสารีบุตร ธรรมของครูบาอาจารย์ก็อยู่ในใจของท่าน ในใจของท่านนะ ไม่มีใครสามารถจะไปหยิบยืมได้ ใครจะไปเอาสิ่งนั้นมาเป็นประโยชน์ได้ เว้นไว้แต่การชี้นำ เห็นไหม เว้นไว้แต่พ่อแม่ครูจารย์ที่จะชี้นำเรา ชี้นำเราเรื่องของหัวใจ เลี้ยงทั้งร่างกาย เลี้ยงทั้งจิตใจ เลี้ยงร่างกายสิ ร่างกายนี่ปัจจัยเครื่องอาศัย จิตใจเห็นไหม ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วปัญญาเกิดอย่างไร แล้วก็ปัญญาๆ ของเรานี่ ปัญญาเราปัญญาของกิเลสทั้งนั้น ปัญญาคิดจากเรา ปัญญากิเลสทั้งนั้น เรียนวิชาการมามหาศาลเลย ถ้าคนมีศีลธรรมจริยธรรม มันก็สิ่งที่เป็นประโยชน์กับโลก ถ้าคนไม่มีศีลธรรมมันก็ใช้สิ่งนี้เป็นอาวุธ เป็นคนทำลายกัน

นี่ก็เหมือนกัน ปัญญาของเรา ว่าปัญญาๆ ปัญญาของกิเลสมันก็ทำลายเราไง ทำลายโอกาสของเราให้เราติดให้เราเนิ่นช้า เห็นไหม ปัญญาของกิเลส เวลาเกิดกับเรานี่ปัญญาๆ พอบอกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศึกษามาจากพระไตรปิฎก นี่เป็นปรมัตถธรรม ใช่! เป็นปรมัตถธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่กิเลสมันใช้

ดูมีดสิ เขาเอาไว้ทำครัวเห็นไหม ทำไมมีดเอามาฟันมือตัวเองล่ะ เวลาทำครัวขึ้นมา ทำไมมันพลาดไปบาดมือเลือดตกยางออก นี่ก็เหมือนกัน ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เวลาธรรมของเราทำไมเราทำไม่ได้เลย ทำไมเราท่องเป็นนกแก้วนกขุนทองแล้วเรารู้ไปหมดเลย แล้วเราทำอะไรได้ขึ้นมา เห็นไหม

แต่ถ้ามันเป็นปัญญาของธรรมนะ ธรรมะส่วนบุคคล ธรรมะที่เกิดขึ้นมาจากเรา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา โลกุตตรปัญญา ปัญญาแก้กิเลส ปัญญาฆ่ากิเลส ปัญญาที่ทำลายกิเลส มันเกิดจากใครล่ะ มันเกิดจากธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง เพราะเป็นมัชฌิมาปฏิปทา แล้วเราสามารถวิเคราะห์วิจัยทำให้มันสมดุลขึ้นมาในหัวใจของเรา มันเกิดขึ้นมาจากใจ สนิมเกิดจากเหล็ก ปัญญาเกิดจากหัวใจ หัวใจที่มันสะอาด

เหล็กที่เป็นประโยชน์ เห็นไหม เขาดัดเขาทำเป็นโครงสร้างต่างๆ เขาทำเป็นสิ่งเครื่องอาศัย รถยนต์กลไกมาจากเหล็ก เขาเอาเหล็กมาดัดแปลงทำเป็นประโยชน์ขึ้นมา นี่ก็เหมือนกัน ปัญญาเกิดจากเหล็กที่บริสุทธิ์ขึ้นมา มันเป็นปัญญาของเราขึ้นมา อาศัยธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง เป็นทฤษฎี แล้วเราพยายาม เราถอยรถมาทีละคัน เราไปถอยรถของคนอื่นมาเห็นไหม แล้วเราประกอบของเราขึ้นมาเอง เราทำของเราขึ้นมาเอง เราเป็นคนทำโครงสร้างขึ้นมาเอง แล้วเราใช้สอยเอง เราทำเองทั้งหมด แล้วเราจะไปหวั่นไหวกับสิ่งใด เพราะรถคันนี้เราเป็นคนประกอบขึ้นมาเอง คนประกอบขึ้นมามันก็ต้องรู้จักจุดอ่อนจุดด้อยของรถนั้น รู้จักจุดแข็งของรถนั้น มันซ่อมแซมได้ มันรักษาได้

ธรรมก็เหมือนกัน ธรรมที่มันเกิดขึ้นมาจากใจเรา มันเป็นธรรมของเรา อาศัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นต้นแบบ แต่เราประกอบขึ้นมาเป็นธรรมของเรา นี่ธรรมะส่วนบุคคล ปัญญาเกิดอย่างนี้ ถ้าปัญญาเกิดอย่างนี้ปัญญาฆ่ากิเลสเห็นไหม มันจะไม่สงสัยสิ่งใดเลย เพราะรถประกอบขึ้นมาทั้งคัน แล้ววิ่งใช้ประโยชน์ในหัวใจของเรา ในวัฏฏะนี่มันพ้นออกไป เราจะไปตื่นเต้นอะไรกับเรา

แต่นี่ไม่อย่างนั้น เราไม่มีเครื่องมืออะไรเลย อาศัยพระไตรปิฎก เห็นไหม พระไตรปิฎกนี่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปรมัตถธรรม ใช่! ก็มันรถของสาธารณะ เราอาศัยนั่งไปวันๆ หนึ่งเท่านั้น นี่ทำดีก็ได้ดี ทำชั่วก็ได้ชั่ว ก็ตามวัฏวน วนไปตามวัฏฏะนั้น เพราะความดีขนาดไหน มันก็ต้องซับถม เทวดา อินทร์ พรหม มันไม่สิ้นสุดหรอก

แต่ถ้าปัญญาของเรา เราประกอบเอง รถของสาธารณะคือรถสาธารณะ รถของเราเป็นรถส่วนตัวของเรา เราจะถอยเมื่อไรก็ได้ จะทำอย่างไรก็ได้ เพราะเป็นของของเรา ถ้าของเรา เห็นไหม สอุปาทิเสสนิพพาน เพราะมันยังมีรถอยู่ เวลามันตายไปแล้ว รถก็ไม่มี สิ่งใดก็ไม่มี เห็นไหม สิ่งที่ว่าจิตมันไม่ต้องใช้รถ จิตมันเป็นธรรมชาติของมัน พ้นออกไปจากวัฏฏะ ไม่ต้องมีสิ่งใดๆ เลย

ดูสิ อาหารในวัฏฏะ กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร วิญญาณาหาร มโนสัญเจตนาหาร นิพพานมีอาหารอะไร อาหารของนิพพานคืออะไร นิพพานต้องใช้อะไรเป็นอาหาร เห็นไหม นิพพานคืออิ่มเต็มอยู่ในหัวใจของเรา รถมันมีใช้ในวัฏฏะ แต่พ้นไปแล้วมันเป็นของๆ เรา สมบัติของเรา

สิ่งนี้มันเป็นอยู่ในพระไตรปิฎก ถ้าเราเข้าใจแล้ว พระไตรปิฎกมีแต่เหตุ สร้างเหตุขึ้นมา แต่ธรรมเกิดขึ้นมา เป็นธรรมของเรา พระธรรมของเราเกิดขึ้นมา ผู้ประเสริฐประเสริฐอย่างนี้ไง ธรรมะประเสริฐอย่างนี้ไง สิ่งที่ทำนี่เป็นเครื่องพาหะ เป็นวิธีการ วิธีการจะทำให้ถึงเป้าหมาย วิธีการการกระทำอย่างไร วิธีการที่เราทำนี่ ศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญาๆ ที่ว่าโลกุตตรปัญญานี่ มันถึงเป้าหมายอย่างไร ทำไปถ้าไม่มีครูอาจารย์คอยชี้นำ เราก็มาทำวนอยู่ในอ่าง เห็นไหม เรือวนอยู่ในอ่างไม่มีหางเสือ วนอยู่นั่นแหละ ปัญญาจะหมุนอยู่อย่างนั้น แต่ครูบาอาจารย์ชี้ปั๊บ ติดหางเสือให้ ติดใบให้ มันพุ่งเข้าฝั่งๆ มันถึงฝั่งได้นะ นี่เป็นสมบัติของเรา ประเสริฐๆ อย่างนี้นะ

เราเป็นพระ เราเป็นนักรบ เห็นไหม นี่คฤหัสถ์ก็อยากได้บุญกุศล อยากจะให้พ้น นี่บุญกุศลเห็นไหม อยากจะมีความสุข บุญกุศลคือความสุข สุขคือความสุขของใจ ความสุขของโลกๆ นะ แก้วแหวนเงินทองถ้าเราพอใจของเราแล้วเรารวย คนรวยคือว่ามันพออยู่พอกิน คนถ้าไม่รวยนะ มีมากขนาดไหนมันก็ทุกข์ นี่ความสุขของโลกๆ เขา

ความสุขของนักบวช เห็นไหม จิตมันสงบเข้ามา เกิดปัญญาแยกแยะเข้ามาในหัวใจของเรา แยกสนิมกับเหล็กออกจากกัน แล้วถึงที่สุดแล้วนะ เหล็กก็ต้องทิ้ง ทิ้งหมดทุกอย่างแล้วเราจะมีสมบัติ ธรรมในหัวใจของเราเป็นสมบัติของเรา เป็นธรรมะส่วนบุคคล ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นธรรมสาธารณะ ธรรมสาธารณะไม่มีใครเป็นเจ้าของ ธรรมของเรา สมาธิก็สมาธิของเรา ปัญญาก็ปัญญาของเรา วิมุตติธรรมก็เป็นวิมุตติธรรมของเรา เอวัง