เทศน์เช้า วันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เวลาเรื่องของสังคม เราต้องอยู่ในสังคม เราเป็นหน่วยหนึ่งในสังคมนะ ถ้าสังคมร่มเย็นเป็นสุข เราจะร่มเย็นเป็นสุขด้วย สังคมถ้ามีความขัดแย้งนะ กระเทือนถึงเราแน่นอน กระเทือนถึงเราด้วยนะ เพราะเราอยู่ในสังคมนั้น ถ้าสังคมไหนร่มเย็นเป็นสุข แล้วในสังคมนั้นมันมีคนดีและคนไม่ดีรวมกัน ถ้าคนดีรวมกันสังคมนั้นจะร่มเย็นเป็นสุขมาก แล้วมันเป็นไปได้ไหมว่าในสังคมนั้นจะมีคนดีไปทั้งหมด
ดูสิ ในความคิดเรามันยังมีความคิดที่ฝ่ายบวกและฝ่ายลบเลย แต่ฝ่ายลบมันเกิดขึ้นได้ง่ายมาก เพราะอะไร? เพราะมันเป็นตัณหาความทะยานอยาก แต่ฝ่ายดีนี่แสนยากเลย ดูสิ ฝนตก แดดออก ฝนตกแล้ว ก่อนจะฝนตก ลมพัดรุนแรง ลมกระโชกรุนแรงมาก แต่เวลาฝนตกแล้ว เห็นไหม สงบร่มรื่น วิกฤตผ่านไปแล้ว ชีวิตเราจะมีความสุขมาก แล้ววิกฤตนี้มันคืออะไรล่ะ? วิกฤตนี้คือกรรม เราเกิดมาใช้หนี้กรรมกันนะ เรามีกรรมเราถึงมาเกิดกันอยู่นี่ แล้วเกิดมาเห็นไหม เกิดมาเราก็ว่าไม่มี เกิดมาแล้วก็แล้วกัน ตายแล้วก็แล้วกัน ถ้าเกิดมาแล้วกัน ตายแล้วแล้วกัน มันจะมีชาติเดียวนะ จริตนิสัยคนต้องคล้ายๆ กัน กรรมต้องให้เสมอกัน
วิทยาศาสตร์ต้องพิสูจน์ได้ ถ้าเป็นวิทยาศาสตร์หมด แต่นี่มันไม่เป็นวิทยาศาสตร์ เพราะอะไร วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้เฉพาะในปัจจุบันนี้ สิ่งที่เป็นอดีตมา วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้อย่างไร สิ่งที่เป็นอนาคตพิสูจน์ได้อย่างไร ความรู้สึกของเรานี่ไง สุข-ทุกข์ในหัวใจของเรานี่ มันมาจากไหน เห็นไหม เราเกิดมาใช้หนี้กรรม นี่กรรมมันเกิด เราใช้หนี้กรรม เราใช้หนี้กรรมมันก็ตามกระแสไป เห็นไหม
แต่เวลาธรรมะล่ะ ทวนกระแสๆ นี่ เราทำคุณงามความดี เราเกิดมาแล้ว เราควบคุมตัวเราเองด้วย ควบคุมความรู้สึกเราด้วย แล้วเราใช้ชีวิตในสังคมนี่ให้มีความร่มเย็นเป็นสุข เห็นไหม เราใช้หนี้กรรมด้วย แล้วเราสร้างเสริมคุณงามความดีด้วย สร้างสมคุณงามความดีนี่พัฒนาหัวใจ ถ้าหัวใจได้พัฒนานะ เราทำบุญกุศลขนาดไหนก็แล้วแต่ มันจะไปเป็นแรงขับนะ แรงขับอย่างนี้เป็นอามิส ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำดีต้องเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม
เวลาไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เหมือนกับเราเติมน้ำมันรถเลยเห็นไหม รถเราเติมน้ำมันเต็มถังเลย พอเราขับไปถึงที่สุดแล้ว น้ำมันต้องหมดถังใช่ไหม หมดถังเราก็ต้องเติมน้ำมันอีก เติมน้ำมันอีก เห็นไหม นี่อามิสเป็นอย่างนี้ บุญกุศลไม่มีที่สิ้นสุด เราต้องทำของเราไปตลอดไปๆ จนเป็นจริตนิสัย
ดูสวดมนต์ เราสวดมนต์เย็นนี่ ถ้าเราสวดมนต์ทุกวัน ถ้าเราขาดไปวันหนึ่ง เราจะรู้สึกว่าวันนี้ขาดแคลนอะไรไป เราทำบุญกุศลจนเป็นความเคยชิน ความเคยชินเราเคยทำ จะมากจะน้อยไม่สำคัญ สำคัญว่าเราได้เคยทำ ถ้าเราทำของเรา ทำประจำขึ้นมา นี่มันพัฒนาอย่างนี้ หัวใจมันพัฒนาขึ้นไป พอพัฒนานี่ ทาน ศีล แล้วภาวนา ถึงที่สุดต้องมีการภาวนา ถ้าไม่ภาวนาแล้วมันก็จะเป็นวัฏฏะอยู่อย่างนี้ มันจะวนเวียนอยู่อย่างนี้
วนเวียนเห็นไหม ถ้าวนเวียนมันก็ใช้หนี้กรรมไง คำว่าใช้หนี้กรรม ถ้าเราทำคุณงามความดีของเรา หนี้กรรมอันนี้มันจะเป็นกรรมดี กรรมดีทำให้เราเกิดมา ประสบความสุขพอสมควร พอสมควรนะ เพราะคนจะมั่งมีศรีสุขขนาดไหน คนจะประสบความสำเร็จในชีวิตขนาดไหน มันจะมีความเฉาในหัวใจ ถึงที่สุดนะ มันมีการพลัดพราก ความพลัดพราก เห็นไหม ถ้าเราประสบความสำเร็จ เราก็ไม่อยากจะพลัดพรากจากมัน สิ่งใดที่เป็นของเราแล้ว เราก็อยากอยู่คงที่ตลอดไป มันเป็นไปไม่ได้
โลกนี้มันเป็นอนิจจัง ความเป็นอนิจจัง ชีวิตเราก็เป็นอนิจจัง เกิดมาชั่วคราวๆ การเกิดมาชั่วคราวนี่เกิดมาเพื่อใช้หนี้กรรม เพื่อสะสมกรรมดี เห็นไหม เกิดมาเพื่อสะสม เกิดมาเพื่อทำคุณงามความดี เพื่อพัฒนาหัวใจ เพราะพระโพธิสัตว์ต้องเป็นอย่างนี้ นี่พระโพธิสัตว์เวียนไปอย่างนี้ โลกมันเป็นอย่างนี้ วัฏฏะเป็นอย่างนี้ มันเวียนมาอย่างนี้ตลอดเวลา เราถึงมีศาสนาไง เราถึงทำคุณงามความดีของเรา ศาสนาเป็นที่ไหน เป็นที่พึ่งของใจไง ดูสิ ถ้าคนมีหลักใจ คนมีที่พึ่งนะ มันมีที่พึ่งอาศัย
ดูสิ ลูกเต้ามีพ่อมีแม่นี่จะอบอุ่นในพ่อแม่ ถ้าลูกเต้าไม่มีพ่อไม่มีแม่ ลูกเต้าก็ต้องว้าเหว่ หัวใจนี่ พ่อแม่มันก็เป็นอนิจจังใช่ไหม ทุกคนต้องเป็นลูกกันมาก่อน เกิดมาเป็นลูกเป็นเต้า แล้วก็เป็นพ่อเป็นแม่ แล้วก็เป็นปู่เป็นย่า เห็นไหม แล้วเราก็เฉาตลอดไป ต้องมีที่พึ่งอาศัยตลอดไป เห็นไหม
แต่ถ้าถึงที่สุดของเรา ถึงที่สุดของเรา ถ้าเรามีหลักใจ ศาสนาเป็นหลักใจ ศาสนาเป็นที่พึ่ง ถ้าศาสนาเป็นหลักใจ มีที่พึ่งของเรานี่ เรารักษาอันนี้ไว้ ถ้ารักษาอันนี้ไว้ เห็นไหม เราพยายามพัฒนาของเราขึ้นมา ทาน ศีล ภาวนา มีศาสนาเป็นที่พึ่ง มีหัวใจเป็นที่พึ่ง ถ้ามีที่พึ่งของเรา เห็นไหม มันมีหลักเกณฑ์ในชีวิต
เรามีหลักใจ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นแก้วสารพัดนึก มันนึกได้ตรงนี้ไง ถ้าคนหยาบนะ นึกไม่ออก มันจะเรื่องว่า ความเสียเปรียบ ความได้เปรียบเสียเปรียบ เรื่องของกิเลสทั้งนั้นเลย เอารัดเอาเปรียบเขา สะสมเอาไป นี้เป็นเรื่องของกิเลส ถ้าเป็นเรื่องของธรรม เห็นไหม เรื่องของธรรม ถ้ามันมีหลักของใจ มันเสียสละได้ มันเห็นประโยชน์ คนเห็นประโยชน์ คนเห็นโทษนะ เห็นโทษ
ดูสิ เวลาแดดออก เราอยู่กลางแดด มันร้อนเราก็ต้องหลบเข้าที่ร่ม ถ้าเกิดเราอยู่ในกองไฟ ถ้าไฟมันร้อนเราก็ต้องออกจากกองไฟ เราถึงจะมีความร่มเย็นเป็นสุข นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อหัวใจมันเร่าร้อน หัวใจมันมีความคิดของมัน สภาวะแบบนั้น มันร้อนของมัน ถ้าร้อนของมัน มันมีความทุกข์ ทุกข์ใจของมัน เห็นไหม แล้วมันไม่มีที่พึ่ง มันก็ยิ่งร้อน ร้อนไปใหญ่ ถ้ามีธรรมขึ้นมาเป็นหลักใจ มันมีที่พึ่ง แล้วมันเข้าใจความจริง เห็นไหม
นี่โลก อะไรเกิดขึ้นมา วิกฤตเกิดขึ้นมาขนาดไหน มันเป็นเรื่องของกรรม มันเรื่องของสภาวกรรม ถ้าเรามีหลักของใจ มีความกล้าหาญ เผชิญหน้ากับปัญหานั้น แก้ไขปัญหานั้น ปัญหาก็ต้องหมดไป เพราะมันเป็นอนิจจัง ไม่มีคงที่หรอก ดูสิ เวลามีวิกฤตอะไรต่างๆ มันก็ต้องผ่านพ้นไป เห็นไหม ๒ วัน ๓ วัน ๗ วัน ๘ วัน แล้วแต่มันจะผ่านพ้นไป
ถ้าผ่านพ้นไปแล้วนี่ ถ้าเราแก้ไข ขณะที่เกิดวิกฤตขึ้นมา แล้วเราตอบสนองไปทางที่ผิดพลาด เห็นไหม เวลาวิกฤตผ่านไป เราก็นั่งเสียใจ เราแก้ไขวิกฤตนั้นไม่ถูกต้อง ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะ เราฝึกฝนของเราขึ้นมา วิกฤตนั้นเราผ่านขึ้นไป นี่กรรมไง มันเป็นสภาวกรรมนะ มันมีของใครของมัน มันปฏิเสธสิ่งนี้ไม่ได้หรอก มันเป็นธรรมชาติของวัฏฏะ เป็นสภาวะแบบนี้
แล้วเราเกิดมาพบสภาวะแบบนี้ แล้วในปัจจุบันนี้ เห็นไหม เวลาบอกว่า ศาสนาอีก ๕,๐๐๐ ปี ต่อไปสังคมจะเร่าร้อนยิ่งกว่านี้นะ ดูสิ วิตกวิจารกันมากเลยว่า พลังงานจะหมดไป น้ำมันจะหมดไป แล้วโลกเราจะเอาอะไรใช้ต่อไป อีกไม่กี่ปีถ้าลองใช้พลังงานขนาดนี้ แล้วจะเอาอะไรมาใช้ ก็คิดกันหาทางออกกันไป
แล้วเราเกิดมา ตั้งแต่เราเป็นเด็กมา ดูสิ น้ำมันถูกๆ เราก็เคยใช้ น้ำมันแพงๆ เราก็เคยใช้ เห็นไหม ชีวิตเรานี่ เราผ่านมา นี่กึ่งพุทธกาล เราเกิดมาในสภาวะสังคมที่ร่มเย็นเป็นสุข เห็นไหม แล้วสังคมจะร้อน เร่าร้อนไปอีก แล้วเราจะต้องเจอสภาวะแบบนี้ไปอีก นี่บุญพาเกิด กรรมพาเกิด แล้วดูสิ บางที่เขาเกิดในประเทศอันไม่สมควร เห็นไหม ทุกข์ๆ ยากๆ นะ ทุกข์ยากประสาเขา อันนี้มันเป็นหนี้กรรม กรรมที่พาเกิดนี่แหละ ถ้าพาเกิดขึ้นมา เราเกิดขึ้นมาแล้ว เราตั้งชีวิตของเราแล้ว เรารักษาใจของเรา สิ่งข้างนอกเป็นเครื่องอาศัย
คำว่าปัจจัยเครื่องอาศัย ปัจจัยเครื่องอาศัยกับความจริง ความจริงคือความรู้สึกอันนี้ เห็นไหม ปัจจัยเครื่องอาศัยตอบสนองขนาดไหน เพื่อจะให้มีความสุข แล้วคนมันขาดแคลน มันก็พยายามเร่าร้อน ยิ่งแสวงหายิ่งทุกข์ ยิ่งแสวงหายิ่งทำให้หัวใจทุกข์ยาก ยิ่งแสวงหา เห็นไหม ทุกข์ยากตลอด แล้วก็ว่าตัวเองทุกข์ตลอด นี่แหละหนี้กรรม ใครสร้างสมมาเป็นสภาวะแบบนั้น บางเด็กเราอยู่ในแหล่งในที่ที่อุดมสมบูรณ์ เห็นไหม มันเป็นไปเอง มันมาเอง มันเป็นไปเอง อันนี้มันเรื่องของสภาวะเราสร้างบุญกุศลมา ถ้าใครสร้างบุญกุศลมา บุญกุศลจะแก้ไขอย่างนี้
วิกฤตเกิดขึ้นมา มันจะมีสิ่งต่างๆ ขึ้นมานะ แต่ถ้ามันเป็นของๆ เรา ต้องเป็นของๆ เรา ถ้าไม่เป็นของๆ เรานะ มันต้องมีเหตุการณ์พลัดพรากไปจนได้ สิ่งที่พลัดพรากไปนะ ถ้าเราเสียใจ ยิ่งปวดเจ็บปวดช้ำไปอีก แต่ถ้าเราศึกษาธรรมแล้วนะ สิ่งที่พลัดพรากมันไม่ใช่ของเรา เรายิ้มแย้มแจ่มใสเลยนะ เออ! หลุดไป เห็นด้วย เห็นแล้ว นี่ไงๆ เห็นธรรม เห็นอริยสัจ เห็นความจริง เห็นอริยสัจเห็นเรื่องของหัวใจ นี่ไงบุญกุศลเป็นอย่างนี้
มันถึงควรจะทำ ถ้ามันเป็นของเรา มันมาเอง มันเป็นไปเอง แต่ถ้ามันพลัดพรากอย่างนั้น มันก็เป็นพลัดพรากอย่างนั้น อยู่ที่กรรม กรรมเป็นสภาวะแบบนั้น อยู่ที่กรรม กรรมอยู่ที่ไหนล่ะ? กรรมอยู่ที่การกระทำของเรา กรรมคือการกระทำที่เราเคยทำมา เราเคยทำมา เราควบคุมใจของเราไม่ได้ แล้วสิ่งที่เราทำมา เราทำมากับใคร
ดูสิ ดูพระโมคคัลลานะ เห็นไหม แม้แต่พระอัครสาวกเบื้องซ้าย มีฤทธิ์มหาศาลเลย เป็นพระอรหันต์ด้วย มีฤทธิ์ด้วย เขาจะมาทุบมาฆ่านะ หลบ เหาะหนีได้ตลอดเวลาเลย เหาะหนีได้เพราะฤทธิ์ตัวเองมี ในปัจจุบันนี้มี แต่หนี้กรรมไง กรรมที่เคยทำไว้อย่างนั้น สุดท้ายแล้วจะเหาะไปทำไม เรื่องนี้มันเป็นสภาวะของเขา มันเป็นกรรมของเขา ดูสิ ในศาสนาต่างๆ เขามีการเจริญรุ่งเรือง พวกลัทธิต่างๆ เขาอิจฉาตาร้อน ให้โจรมาทุบตาย แล้วโจรเวลาทุบตาย เห็นไหม หนี้กรรมไง พอโจรมาทุบตาย ทุบตายแล้วก็ไปอวดไงว่าตัวเองนี่เป็นคนที่ได้ทำ จะโชว์ผลงานของตัวเอง เขากระทืบตายซ้ำอีก เห็นไหม
นี่อยู่ในพระไตรปิฎกนะ ผู้ที่โจรที่มาฆ่า พอได้รางวัลแล้วเขาก็ไปกินเหล้ากินยากัน แล้วเขาก็ไปคุยกันเอง ไปโม้กันเอง แล้วสิ่งที่ประชาชนเขารับไม่ได้ เขาก็ทำ มันจะเป็นหนี้กรรมซ้อนๆๆๆๆๆ กันไปไง กรรมของใครของเขา กรรมของเขานะ ถ้าพระโมคคัลลานะเหาะหนีไป มันก็จบกระบวนการ สิ่งที่จบกระบวนการ แล้วชีวิตเป็นอย่างไรล่ะ นี่หลบได้ หลบได้
สอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ หัวใจทำอะไรพระอรหันต์ไม่ได้ เวลาว่าฆ่า ฆ่าตายก็ฆ่าแต่ด้านร่างกายตาย เพราะอะไร? เพราะว่าสอุปาทิเสสนิพพาน คือเราเกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วเราพัฒนาใจของเรา เราวิปัสสนาใจของเรา จนใจของเราเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา แต่มันยังอยู่ในร่างกายที่เราเกิดมาจากพ่อจากแม่นี่ สิ่งที่เราเกิดจากพ่อจากแม่นี่เป็นสอุปาทิเสสนิพพาน สะคือเศษส่วนที่มันเหลือมาจากภพชาติในปัจจุบัน ถ้าไม่ได้เป็นพระอรหันต์ มันก็เป็นปุถุชน ก็ต้องตายไปด้วยกับความเร่าร้อน ความพลัดพราก
เวลาตาย คนปุถุชนตาย เห็นไหม ด้วยสัญญา ด้วยสังขาร ขันธ์ ๕ เป็นเรา สรรพสิ่งเป็นเรา พอขันธ์ ๕ เป็นเรา สัญญา ทรัพย์สมบัติเรามีอะไรบ้าง เราเคยรัก เราเคยห่วงหาอะไรบ้าง นี่คือสัญญา สังขารจะปรุงทันทีเลย แล้วมันก็จะเร่าร้อนในหัวใจ แต่พระอรหันต์ตายนะ นี่เศษส่วน เศษที่มันทิ้งอยู่นี่ มันทิ้งตั้งแต่เป็นพระอรหันต์แล้ว เห็นไหม ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ถ้าร่างกายไม่ใช่เรา สักกายทิฏฐิไม่ใช่เรา ร่างกายสักแต่ว่า ใจมันปล่อยมาตั้งแต่ขณะที่มันสำเร็จ ใจมันปล่อยมาตั้งแต่ขณะจิตที่มันพัฒนาขึ้นมาแล้ว
จิตอันนี้มันอยู่ในร่างกายนี้ เพราะอะไร? เพราะมันรอกาลเวลาที่จะหลุดออกจากร่างนี้ไปเท่านั้นเอง สิ่งนี้เป็นสอุปาทิเสสนิพพาน คือเศษส่วน กับอนุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ที่ตายแล้วกับพระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่ เห็นไหม พระโมคคัลลานะเป็นสอุปาทิเสสนิพพาน เพราะท่านยังมีร่างกายนี้อยู่ ร่างกายนี้ยังถึงสิ่งที่ปุถุชนจับต้องกันได้
ดูสิ เรานวดเส้นครูบาอาจารย์ของเรา ครูบาอาจารย์เราเรายอมรับกันว่าเป็นพระอรหันต์ นี่เราก็ได้นวดเส้น เราได้จับต้อง แล้วเวลาครูบาอาจารย์แสดงธรรมออกมานี่ เสียงที่ออกมาจากกล่องเสียง มันออกมาจากหัวใจดวงนั้น ออกมาจากความจริงอันนั้น ความจริงอันนั้น เสียงที่ออกมา กระทบถึงใจเรา เห็นไหม มันออกมาจากใจ ออกมาจากความจริง
นี่สอุปาทิเสสนิพพาน คือสิ่งที่เรายังมีเศษส่วนที่เรายังจับต้องได้อยู่ เวลาท่านนิพพานไปแล้ว จบสิ้นเห็นไหม นี่พระโมคคัลลานะ ถึงเวลามีเศษส่วนอันนี้ กรรมไม่เข้าถึงใจพระอรหันต์ เข้าไปถึงใจพระอรหันต์ไม่ได้เด็ดขาด เพราะอะไร? เพราะเวทนาของจิตไม่มี เวทนาของกายมี เวทนาของจิตไม่มี ทำไมเวลาหิวอาหาร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน อานนท์ ตักน้ำเถอะ เรากระหายเหลือเกิน เห็นไหม เศษส่วนมันหมด เศษของร่างกาย เศษที่เราเกิดมา เกิดมาจากแม่ เห็นไหม เศษนี่ยังมีอยู่ ยังรักษาไปจนถึงที่สุด เพราะมันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย อาศัยเรื่องร่างกายนะ
แต่เรื่องของนามธรรม เรื่องของธรรมนี่ อาศัยเรื่องของหัวใจ เราถ้ามีหลักใจ เราจะเข้าใจเรื่องชีวิต ชีวิตของเรามีคุณงามความดีของเรา แล้วเราพาชีวิตของเราทวนกระแส ถ้าปล่อยมันใช้หนี้กรรมไปกับโลกเขานะ เอาแต่ความพอใจ เอาแต่เรื่องของโลก ไปกับโลกเขา เกรงอกเกรงใจเขาไป ไปกับเขา แต่ถ้าเป็นกระแสธรรมนะ เราเกิดมากับโลก เราใช้หนี้กรรมเหมือนกัน แต่กรรมดี กรรมดีทวนกระแส ทวนกระแสให้ใจมันพัฒนา ให้เห็นคุณและเห็นโทษ ให้เห็นเรื่องของสังคม สังคมเป็นอย่างนั้น
คนดีคนเลว เห็นไหม ระหว่างขนโคกับเขาโค คนในกระแสเป็นขนโค เขาโคมี ๒ เขา ๓ เขา แล้วเราทวนกระแส มันเหนื่อยล้าอย่างนี้ ทำดีจึงทำยากไง ถ้าทำตามกระแสมันทำง่ายๆ เราจะทำคุณงามความดีต้องทวนกระแส ต้องมีหลักมีเกณฑ์ ถึงเขาจะติฉินนินทาขนาดไหน เอาศีลเป็นเครื่องตัดสิน ผิดถูกอยู่ที่ศีลธรรม ไม่ใช่ความพอใจ ถ้ามันผิดหลักศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ อย่างนี้ผิดหมด แล้วเราไม่ทำตามสภาวะแบบนั้น เอาศีลเป็นเครื่องตัดสิน อย่าไปเอาความพอใจของเราเป็นเครื่องตัดสิน แล้วเราจะทวนกระแสของเรา มีหลักมีเกณฑ์ของเรา แล้วเราจะเป็นมนุษย์ที่ดี
มนุษย์ที่ดีเห็นไหม เข้าถึงความรู้สึกของเรา เข้าถึงหัวใจของเรา เรื่องของเรา เอาของเราให้อยู่ในอำนาจของเรา เห็นไหม อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ถ้าตนเป็นที่พึ่งแห่งตนแล้ว มันเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร นกกาจะอาศัย อาศัยจากหัวใจที่ร่มเย็น ถ้าหัวใจมันเร่าร้อน ไม่มีใครอาศัยหรอก ไฟกับไฟเจอกัน มันยิ่งร้อนใหญ่ แต่ถ้ามันเป็นความร่มเย็นเป็นสุขจากใจดวงนั้น เห็นไหม ร่มโพธิ์ร่มไทร แล้วจะอาศัยอย่างนั้น เราก็อาศัยตัวเองได้ด้วย และหมู่คณะจะอาศัยเรา ประชาชนจะเป็นผู้อาศัยเรา อาศัยเป็นผู้ชี้นำ
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน เห็นไหม พระอานนท์เป็นพระโสดาบันนะ ดวงตาของโลกดับแล้ว ดวงตาของโลกเชียว ส่องได้หมด โลกนี้กระจ่างแจ้งกับดวงตาของพระอรหันต์นะ แล้วเป็นผู้ชี้ส่องชีวิตเรา แล้วดับแล้ว ดวงตาของโลกดับแล้ว พระโสดาบันยังพูดอย่างนั้นเลย แล้วเราปุถุชนน่ะเราจะเอาอะไรเป็นที่พึ่ง ถ้าเรามีที่พึ่งอย่างนั้น ชีวิตเรามีที่พึ่ง เห็นไหม อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แล้วจะเป็นที่พึ่งของสังคม เอวัง