เทศน์เช้า วันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
นี่เวลาธรรมเห็นไหม เวลาธรรมะ ธรรมะถ้าความเป็นจริง ธรรมะความเป็นจริงมันจะให้ความสุขเรามากเลยนะ แต่พฤติกรรมเห็นไหม พูดถึงพฤติกรรมการกินอาหาร พฤติกรรมของการปฏิบัติ พฤติกรรมของกินอาหาร กินอาหารแล้วมันเป็นโทษกับร่างกายไหม ถ้าพฤติกรรมของการกินอาหาร กินแล้วมันเป็นปกติ หรือกินแล้วร่างกายมันสมบูรณ์แข็งแรงนี่นะ พฤติกรรมอย่างนั้นเป็นพฤติกรรมมันถูกต้อง พฤติกรรมอย่างนี้เป็นพฤติกรรมนะ
แล้ววัฒนธรรมของการกินล่ะ วัฒนธรรมของแต่ละพื้นบ้าน แต่ละท้องถิ่นเห็นไหม ดูสิ อย่างแต่ละทวีป วัฒนธรรมเขาก็ไม่เหมือนกัน การกินก็ไม่เหมือนกัน การกินอย่างนี้นะ เวลาประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม เวลากินอาหารเข้าไปแล้วจะต้องอิ่มท้อง ประพฤติปฏิบัติเข้าไปแล้วต้องถึงที่สุด ไอ้นี่มันเป็นการเปรียบเทียบนะ เป็นบุคลาธิษฐาน แต่ความจริงนะ ถ้าการประพฤติปฏิบัติ ถ้าประพฤติปฏิบัติผิดไปแล้ว มันจะเป็นไปได้อย่างไร เพราะอะไรนะ? เพราะการกิน กินดำรงชีวิตนะ การประพฤติปฏิบัตินี่มันดำรงถึงหัวใจ จะไม่เกิดไม่ตายอีก มันต้องเข้าไปแก้ไขนะ มันลึกซึ้งกว่าการกินมาก
แต่เวลาเทศนาว่าการน่ะสมมุติ เอาสมมุติมาสื่อความหมายกัน ความหมายให้ผู้ที่สื่อออกมาจากหัวใจ แล้วผู้ที่รับนี่ ให้รับสื่อความหมายให้เข้าใจให้ได้ ถ้าเข้าใจได้เราก็ไปตีความว่าคือการกินอาหาร กินอาหารเข้าไปแล้วนี่เรากินเข้าไปในท้องแล้ว ถ้าเราเต็มกระเพาะแล้วมันต้องอิ่มใช่ไหม การประพฤติปฏิบัติไปอย่างไรมันก็ต้องจบ มันต้องอิ่ม มันเป็นไปไม่ได้หรอก ถ้ามันปฏิบัติผิดมันจะอิ่มไปได้อย่างไร มันกินแต่สารพิษ มันกินแต่สิ่งที่ผิดๆ แก่ร่างกาย ร่างกายมันมีแต่โรคภัยไข้เจ็บ เห็นไหม แล้วมันจะไปถึงที่สุดได้อย่างไร นี่แค่ดำรงชีวิตเพื่อความเป็นอยู่นะ
แล้วกิเลสน่ะ เวลาประพฤติปฏิบัติไป มันมีกิเลสเป็นตัวคอยเสี้ยมคอยทำให้เราออกนอกลู่นอกทางอีกนะ การกินอาหารเรากินอาหารแต่ว่าเราตักใส่ปาก เพราะมันเป็นความหิวของเรา มันเป็นความต้องการของหัวใจ เป็นความต้องการของร่างกาย เป็นความต้องการทั้งหมดเลย เพื่อดำรงความหิว แต่เวลาประพฤติปฏิบัติ มันทุกข์ยาก เวลาเราทุกข์ยาก ใจนี่มันเรียกร้องความช่วยเหลือของเรา แต่กิเลสมันพยายามขับไส กิเลสคือมารไง
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเยาะเย้ยมาร เห็นไหม มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรานะ ความคิดความดำรินี่ ถ้าเป็นขันธมาร สิ่งนี้มันเป็นเรื่องของมารทั้งหมดเลย ความคิด ความดำริ การกระทำ มันเกิดจากมารนะ มันเกิดจากมาร แล้วการประพฤติปฏิบัติเกิดมาจากอะไร? ก็เกิดมาจากความดำริ เกิดมาจากการประพฤติปฏิบัตินี่ แล้วมันมีมารไหม มันก็มีมารสวมมาตลอดเวลาไง
การประพฤติปฏิบัติที่มันยากอยู่นี่ ยากเพราะกิเลสในหัวใจของเรา เห็นไหม การกินอาหารมันเป็นเรื่องของวัตถุนะ ที่เรากินอาหาร เราจับต้องได้ แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่ สัมมาสมาธิเป็นอย่างไร นี่พฤติกรรม พฤติกรรมการประพฤติปฏิบัติมา ประพฤติปฏิบัติมาอย่างไร ถ้าประพฤติปฏิบัติมาผิด พฤติกรรมอันนี้ผิดแล้วมันจะเป็นความถูกต้องได้อย่างไร มันเป็นความถูกต้องไปไม่ได้ เพราะอะไร? เพราะมันเป็นสัมมา เป็นมิจฉา ประพฤติปฏิบัตินี่มันมีสัมมา มิจฉานะ สัมมาสมาธิ มิจฉาสมาธิ สัมมาปัญญา มิจฉาปัญญานะ
โจรปล้น โจรเขาแย่งชิงวิ่งราวกัน เขาปล้นกันเขาใช้ปัญญาไหม คนที่เขาจะโกงกันเขาใช้เล่ห์เหลี่ยม เขาใช้ปัญญาไหม นี่ปัญญาทั้งนั้นแหละ นี่ปัญญาๆ ปัญญาแก้กิเลส แล้วปัญญาที่ทำลายกิเลส ปัญญาที่ทำลายเราล่ะ ปัญญาทำลายเราก็มีนะ อย่าว่าปัญญาที่มันจะทำให้เราร่มเย็นเป็นสุข ปัญญาที่ทำให้เราร่มเย็นเป็นสุขต้องเป็นสัมมาปัญญา เป็นปัญญาที่ถูกต้อง เป็นปัญญาที่เราแก้กิเลสของเรา
ถ้าเป็นปัญญาทำลายตัวเอง ดูสิ เราก็รู้ว่ายาเสพติดเป็นของที่ไม่ดี สิ่งนี้เป็นของไม่ดี แล้วทำไมเขากินกันล่ะ ทำไมเขาทำกัน แล้วเวลาเขาทำกัน ดูสิ ดูที่เขาค้าขายกัน เห็นไหม ดูสิ เขาหลบซ่อนกันอย่างไร เขาวางแผนกันอย่างไร ใช้ปัญญาไหมน่ะ ปัญญาทั้งนั้นแหละ แต่มันเป็นมิจฉาไง มันเป็นมิจฉาปัญญา ปัญญาที่ทำลายตัวเอง ทำลายตัวเองด้วย ทำลายประเทศชาติ ทำลายสังคม ทำลายเยาวชน ทำลายกันไปหมดเลย ปัญญาไหม ยิ่งกว่าปัญญาอีก เพราะมันแนบเนียนมาก
ความเป็นปัญญาๆ ปัญญาของใคร ถ้าปัญญาของใคร พฤติกรรมนี่ ถ้าพฤติกรรมนี้ต้องให้มันถูกต้องก่อน เห็นไหม พฤติกรรมการกิน พฤติกรรมการดำรงชีวิต พฤติกรรมต่างๆ พฤติกรรมปฏิบัติ แล้วมันยังมีจริตนิสัยเข้าไปอีก เห็นไหม พฤติกรรมส่วนพฤติกรรมนะ ในสังคมทุกสังคม จะมีคนต่างๆ กันไป นิสัยความนึกคิดต่างๆ กันไป จริตนิสัยที่สร้างมานี่ จิตที่มันสร้างมาๆ เห็นไหม
ดูสิ เราเกิดมาในภูมิภาคใด เราเกิดมานี่เรากระทบสิ่งใด ตั้งแต่เด็กขึ้นมา ครอบครัวอบอุ่น ครอบครัวมีปัญหาขึ้นมา เด็กมันจะฝังมาในหัวใจ เห็นไหม
จิตก็เหมือนกัน จิตเวลามันเกิดตายๆ ในแต่ละภพแต่ละชาติของมัน มันเกิดขึ้นมา มันประสบความสำเร็จไหม มันเกิดขึ้นมา ถ้าเป็นกรรมของมัน กรรมเห็นไหม ดูสิ ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม ก็ไปเป็นบริษัทบริวาร มันไม่ได้เป็นผู้นำ เป็นผู้ต่างๆ
การเป็นผู้นำ การเป็นต่างๆ มันต้องสร้างมานะ พระโพธิสัตว์ เห็นไหม ดูสิ สละชีวิต สละทุกอย่างเลย สละเพื่อใคร เราว่าสละเพื่อคนที่ได้รับ ทำบุญๆ นี่ทำบุญเพื่อใคร สละมานี่ให้พระเป็นคนรับ พระเป็นคนรับหรือ สิ่งนี้ถ้ามันเป็นวัตถุนะ มันเก็บได้เป็นโกดังๆ มันเป็นภาระรับผิดชอบ แต่การดำรงชีวิตอย่างนี้ เนื้อนาบุญของโลก เห็นไหม มักน้อยสันโดษ สิ่งที่สันโดษพอประมาณ ถ้าใครไม่รู้จักมีสติปัญญานะ ของที่เราสละทานมานี่ ทับตายนะ ทับตาย เพราะคนไปเห็นแต่ของที่เป็นวัตถุนะ
เขามีหัวใจ หัวใจของเขาประเสริฐมาก เพราะหัวใจของเขานี่ เขาสละสิ่งนี้ออกมาได้ เพราะเขาสละเพื่อประโยชน์ของเขา ฉะนั้นเป็นผู้รับ ผู้รับขึ้นมาแล้วเราไปติดสิ่งนั้นได้อย่างไร แต่การดำรงชีวิตมันเป็นการดำรงชีวิต ดำรงชีวิตเพื่ออะไร? เพื่อแสวงหาธรรม แสวงหาเพื่อใคร? แสวงหามาเพื่อหัวใจของเราก่อน ถ้าหัวใจของเรามันเป็นสภาวะความจริงขึ้นมา มันจะออกมาเป็นสัจจะความจริงทั้งหมดเลย
นี่มันเป็นประโยชน์กับใครล่ะ ดูสิ ปฏิคาหก ผู้ให้ให้ด้วยความบริสุทธิ์ ผู้รับรับด้วยความบริสุทธิ์ บริสุทธิ์ผุดผ่องนี่มันก็เป็นบุญกุศลขึ้นมา แต่ถ้าเป็นอกุศลล่ะ นี่ลาภสักการะ เขาให้มาด้วยวัตถุมันเป็นลาภ เขาไม่มีความลงใจ เขาไม่เชิดชู ไม่มีสักการะ ยังรับของเขาไม่ได้เลย เห็นไหม สักการะคือความยอมรับ สักการะคือการเชิดชู เขาให้ด้วยความดูหมิ่น เอาของเขาได้ไหม ทำไมไม่เอาล่ะ ถ้าเขาให้ด้วยความเชิดชู ทำไมเอา ที่เขาให้นี่มันเป็นวัฒนธรรมต่างหากล่ะ มันเป็นวัฒนธรรมของชาวพุทธ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยไว้ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เราเป็นอุบาสก อุบาสิกา เห็นไหม อุบาสก อุบาสิกานี่เป็นผู้ที่แสวงหา แสวงหาทางโลกด้วย แสวงหาทางธรรมด้วย ภิกษุนักรบ นักรบนะ รบกับใคร? รบกับกิเลส รบกับความคิดในหัวใจนี่ รบกับความคิดความต่างๆ ที่มันยุแหย่ในหัวใจนี่ สิ่งนี้ที่ว่ามันเป็นกิเลส ที่ว่ากิเลสในหัวใจนี่ ถ้ากิเลสในหัวใจนี่มันเป็นจริตนิสัยที่สะสมมา ของใครของเขานะ
คนเรานี่ โทสจริต โมหจริต สิ่งอย่างนี้มันมากับใคร คนโทสจริต สิ่งต่างๆ กระทบแล้วมันจะเป็นธรรมชาติของเขาอย่างนั้น มันเหมือนกับเชื้อเพลิง เห็นไหม พลังงานของเชื้อเพลิง เชื้อเพลิงต่างๆ ที่เขาใช้พลังงาน แล้วแต่ชนิดของมัน ชนิดนี้จะใช้ประโยชน์ขนาดไหน
นี่ก็เหมือนกัน แล้วแต่จริตนิสัย พฤติกรรมส่วนพฤติกรรมนะ พฤติกรรมของการกระทำ เพื่อความถูกต้อง อันนี้คือมรรค เห็นไหม มรรค อยาก...อยากที่เป็นมรรค ถ้าว่าพูดถึงความอยากนะ ดำริชอบ มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราก็จะไม่คิดทำอะไรกันเลย พอคิดเพื่อจะทำคุณงามความดี อันนี้เป็นกิเลส อันนี้เป็นความอยาก อยากที่เป็นมรรค อาศัยดีเป็นเครื่องดำเนินนะ สิ่งที่ชั่วไม่เอา สิ่งที่ดีเป็นเครื่องดำเนิน เห็นไหม
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการกับพระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์ เห็นไหม จะไม่ทำความชั่วเลย ทำแต่ความดี แล้วทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว สิ่งนี้เป็นโอวาทปาฏิโมกข์ สิ่งต่างๆ นี้ แม้แต่พระอรหันต์นะ ยังรื่นเริงในธรรมเลย เพราะพระอรหันต์ความรู้สึกในหัวใจ มันมีความสุขร่มเย็นอยู่แล้ว แต่สังคม เห็นไหม สังฆะยังมีอยู่ ในเมื่อเข้าสังฆกรรม สิ่งที่เข้าสังฆกรรม ทำสังฆกรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมเอง เห็นไหม โอวาทปาฏิโมกข์ แล้วเราเป็นบริษัท ๔ เราเป็นเจ้าของศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้กับชาวพุทธนะ
มารเอย เมื่อใดภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของเจ้าลัทธิต่างๆ ได้ อีก ๓ เดือนข้างหน้าเราจะปรินิพพาน
มารเอย เห็นไหม พญามารพยายามจะดลใจให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน ในเมื่อภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ยังไม่มีความเข้มแข็ง ยังไม่มีหลักของใจ เราจะไม่ยอมนิพพาน จะวางหลักของศาสนาให้มั่นคงให้ได้ ถ้าศาสนามั่นคงนะ อีก ๓ เดือนข้างหน้าเราจะปรินิพพาน นี่ตั้งแต่วันมาฆบูชา เห็นไหม วันวิสาขบูชานี่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน แล้วฝากไว้กับเรา เป็นสมบัติของเรา เป็นมรดกตกทอดมานะ
แล้วเราได้อะไรติดมือ ในชีวิตประจำวันเราได้อะไรติดมือ เราจะได้มีสมบัติ เราจะมีความสุขในโลก มันของชั่วคราวนะ ไม่ปฏิเสธนะว่าเราต้องการแสวงหาเงินกัน เราต้องแสวงหาทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อการดำรงชีวิตของเรา นี่คือปัจจัยเครื่องอาศัย เครื่องอาศัยเท่านั้นนะ แล้วถ้ามันมีอยู่แล้วเราก็เก็บไว้เป็นมรดกตกทอดให้กับลูกหลานของเรา ถ้าลูกหลานของเราเป็นคนดี มันก็รักษาของเราได้ ถ้าลูกหลานของเรามันเป็นคนไม่ดี มันจะรักษาของเราไปได้ไหม
แต่เรื่องความสุข-ความทุกข์ในหัวใจล่ะ เวลาจะพลัดพรากมันทุกข์ไหม ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ชีวิตนี้ต้องตายเป็นที่สุด ทุกคนต้องตายไปข้างหน้าทั้งหมด แล้วมันจะตายขึ้นมานี่ อาลัยอาวรณ์ไหม ความที่อาลัยอาวรณ์ในหัวใจนี่แล้วมันจะแก้ไขอย่างไร ถ้าแก้ไขสิ่งนี้ได้นะ จิตใจมันจะมั่นคงขึ้นมา มั่นคงขึ้นมา ศาสนามันแก้ตรงนี้ไง
ศาสนานี้มีคุณค่ามาก เราไปเห็นแก่คุณค่า ที่ว่าโลกเจริญๆ เจริญของโลกมันวัตถุทั้งหมด มันต้องมีการซ่อมบำรุง มันต้องรักษาทั้งนั้น แต่ถ้าหัวใจมันเจริญนะ มันไม่เคยตาย ใจไม่เคยตาย เคยเห็นไหม มันต้องตายหมด เกิดมานี่คนทุกคนต้องตายหมด แต่ใจไม่เคยตาย มันเกิดตายๆ ในร่างของมนุษย์ ร่างของเทวดา อินทร์ พรหม ถ้ามันถึงที่สุดแล้วมันไม่มีการเกิด มันก็ไม่มีการตาย มันคงที่ของมันได้อย่างไร
สิ่งที่มันคงที่ คงที่ในหัวใจมันทำได้อย่างไร แล้วถ้ามันเป็นอย่างนั้นปั๊บ มันก็พ้นจากมาร มันก็พ้นจากความทุกข์ พ้นจากความทุกข์ เราก็มีความสุข ความสุขนะ ดูสิ เวลาเรามีความสุขด้วยอามิส เราได้สิ่งใดที่มันถูกใจเรา เราจะมีความสุขมาก อะไรที่เราปรารถนาแล้วได้มา นี่มีความสุข อามิสนะ อามิสเกิดจากสิ่งที่กระทบ แล้วที่มันสุขโดยที่ไม่ต้องมีอามิส สุขในตัวมันเอง มันสงบขึ้นมา มันสุขอย่างไร แล้วเวลามันชำระกิเลส มันสุขอย่างไร เห็นไหม แล้ววิมุตติสุขมันสุขอย่างไร แล้วมันอยู่ที่ไหน ก็มันอยู่ที่หัวใจนี่
ในพระไตรปิฎก เขาจารึกในหินอ่อนต่างๆ นี่ มันเป็นตัวอักษรนะ แต่ความรู้สึก ความรู้สึกนี่ ธรรมอยู่ที่นี่ ธรรมอยู่ที่ความสุข-ความทุกข์ เห็นไหม ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ ทุกข์เป็นสัจจะความจริง ทุกข์เป็นสัจจะความจริงนะ แล้วทุกข์มันละได้ มันทำลายได้ แล้วมันพ้นไปจากใจเราได้ มันทำได้จริงๆ ไม่ใช่เพ้อฝัน ให้ทำสิ ให้พิสูจน์สิ เพราะเรามันทุกข์ ทุกคนมันรู้ๆ อยู่ เวลาพูดถึงทุกข์นี่ไม่ต้องไปถามใครเลย ทุกคนบอกเคยทุกข์ไหม ถามตัวเองว่าเคยทุกข์ไหม ร้องไห้ร้องห่มทุกวัน ต่อหน้าคนไม่กล้าทำ ปิดห้องร้องไห้นะ เข้าไปในที่ลับ แล้วนั่งร้องไห้อยู่คนเดียว คอตกอยู่นั่นน่ะ เอาตัวเองไม่รอด
แล้วเวลามันแก้ไขตัวเอง เพราะมันหลอกตัวเองไม่ได้ เวลามีความสุขขึ้นมา รื่นเริงกัน ในสโมสรสันนิบาตทุกดวงใจว้าเหว่ สุข สุขมาก รื่นเริงกัน เวลากลับบ้าน ทุกคนไปนั่งคอตกร้องไห้อยู่คนเดียว เห็นไหม แล้วเวลาจิตมันเศร้าหมอง มันเศร้าหมองในหัวใจนี่ ใครจะปิดบังใครได้ เป็นไปไม่ได้เลย ที่บอกคนเกิดมาแล้วไม่มีความทุกข์ เป็นไปไม่ได้เลย! เป็นไปไม่ได้เลย! แล้วมันอยู่ในหัวใจของเรา
แล้วศาสนามันแก้ตรงนี้ได้ แก้ให้มีความสุขของเราได้ แล้วมันเป็นความจริงขึ้นมาในหัวใจของเราได้ มันทำได้จริงๆ พิสูจน์ได้จริงๆ ถ้ามันไม่ได้จริงนะ มันเป็นการแบบว่าสวมหัวโขนนะ มันอยู่ไม่นานหรอก สวมหัวโขนว่าสิ่งนี้เป็นธรรมๆ อยู่ไม่นานหรอก เพราะอะไร? เพราะมันมีแรงขับ กิเลสเป็นแรงขับในหัวใจนะ ซ่อนเร้นใครไม่ได้หรอก ศีลจะรู้ได้อยู่ด้วยกัน พระนี่อยู่ด้วยกันเป็น ๕ ปี ๑๐ ปี ๒๐ ปี ๕๐-๖๐ ปีนี่มันจะซ่อนเร้นกันได้ไหม มันซ่อนเร้นกันไม่ได้หรอก
ศีลเวลาอยู่ด้วยกัน ธรรมะอยู่ที่ไหน ธรรมจะรู้ได้ว่ามีธรรมหรือไม่มีธรรมตอนเทศนาว่าการนี่ เปิดอกออกมามีเท่าไร ถ้าเปิดออกมาไม่รู้อะไร พูดอะไรแบบไม่รู้ คาดๆ เดาๆ ไปอย่างนั้น แต่ถ้าเป็นความจริง ความจริงต้องเป็นอย่างนี้! ต้องเป็นอย่างนี้! ต้องเป็นสัจจะความจริง ความจริงอันเดียวกัน สัจจะมีอันเดียว อันเดียวเท่านั้น พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จะต้องตรัสรู้เหมือนกันหมดเลย ศาสนาเป็นอันเดียวกัน เพียงแต่ว่าอำนาจวาสนาไง ชีวิตสั้น ชีวิตยาว รื้นสัตว์ขนสัตว์ได้มากได้น้อย นี่คืออำนาจวาสนาบารมีสร้างสมมา สัจจะเป็นอย่างนี้นะ เห็นไหม
พฤติกรรมไง พฤติกรรมในศาสนา ดูสิ เราทำกันน่ะ พฤติกรรมมันยุ่งยากไหม เราก็ยุ่งยาก ต้องให้มันสะดวกสบาย สะดวกสบายกิเลสหมดนะ ตื่นขึ้นมามีคนคอยรับผิดชอบ มีคนคอยโอ๋นะ กิเลสตัวใหญ่ๆ ขาอ่อนๆ พระนอนจมอยู่กับกิเลสทั้งหมดเลย แต่ถ้าออกแสวงหาด้วยปลีแข้ง ชีวิตนี้มีค่า มีศักดิ์ศรี ศากยบุตรพุทธชิโนรส เป็นลูกศิษย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้สืบทอดศาสนา เห็นไหม
นี่ธรรมวินัยและรักษาสิ่งนี้ไว้เป็นข้อปฏิบัติเพื่อเครื่องดำเนิน จะมานี่ต้องมีถนนหนทางนะ ข้อวัตรปฏิบัติเป็นหนทางเข้าไปชำระกิเลส แล้วเราจะไปทำลายถนนหนทางได้อย่างไร เราจะไปทำลายวิธีการที่จะไปฆ่ากิเลสได้อย่างไร แล้วว่าอยากๆ นี่เป็นอัตตกิลมถานุโยค ถ้าโอ๋ๆ กันอยู่นั่น นั่นน่ะเป็นธรรมๆ โอ๋อย่างนั้นตายหมด ต้องเข้มแข็ง ต้องมีสัจจะ สัจจะกับความจริง เอาชนะตัวเองให้ได้ เอวัง