เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๙ ก.ค. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้เป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนา เป็นวันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ธัมมจักฯ คำว่าเทศน์ธัมมจักฯ นี่นะ ธัมมจักฯ นี่เป็นอริยสัจ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นคว้าอยู่ ๖ ปีไง แล้วเสวยวิมุตติสุขอยู่ที่โคนต้นไม้ เห็นไหม โคนต้นโพธิ์ คำว่า “เสวยวิมุตติสุข” มันมีความสุขอย่างยิ่ง

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว ธรรมะนี่ลึกซึ้งนัก แล้วจะสอนใครได้อย่างไร เพราะมันลึกซึ้งจนจะสอนใครไม่ได้เลย เห็นไหม จนเสวยวิมุตติสุขอยู่ แล้วจนพรหมนิมนต์ด้วย แล้วความเป็นไปที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ด้วย เห็นไหม วันนี้เป็นการประกาศสัจธรรม เทศน์ธัมมจักฯ ออกมา พระอัญญาโกณฑัญญะได้ฟังแล้วมีดวงตาเห็นธรรม วันนี้วันเทศนาธัมมจักฯ เป็นวันสำคัญทางศาสนา

แต่ถ้าเป็นเรานะ วันสำคัญทางศาสนา เรามาทำบุญกุศลกันเพราะอะไร เพราะเรามีหน้าที่การงานไง พอวันสำคัญทางศาสนาเราก็ไปทำบุญหนหนึ่ง แต่เวลาภิกษุ ภิกษุณี ผู้บวช ผู้ประพฤติปฏิบัติ มันมีสำคัญทุกวันนะ แม้แต่ลมหายใจเข้าและลมหายใจออก ทุกลมหายใจมีความสำคัญนะ ถ้าทุกลมหายใจมันมีความขาดไป ชีวิตเราต้องตายไปนะ ชีวิตเรานี่สืบต่อด้วยลมหายใจของเรา เห็นไหม ทุกวินาที ทุกเวลามันมีความสำคัญทั้งนั้น

แต่เราไปวันสำคัญทางศาสนา เราทำบุญกุศลกัน ทำบุญกุศลกันเพราะเราเพลินกับโลกไง เราไม่เห็นความสำคัญของใจไง เราไม่เห็นสมบัติที่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยวิมุตติสุขนี่ วิมุตติสุขมันเกิดที่ไหน? มันเกิดที่ความรู้สึกนะ

แต่ของเรานี่เราปรารถนากันแต่ปัจจัยเครื่องอาศัย ถ้ามีปัจจัยเครื่องอาศัย เราได้เสพสิ่งนั้นเราจะมีความสุข เราคาดหมายไง เราคาดหมายว่าถ้ามีสิ่งใด มีสิ่งใด เราจะมีความสุข มีความสุข เราคาดเอานะ เราคาดว่าเรามีสมบัติแล้วจะมีความสุข แล้วมันมีความสุขจริงที่เราคาดหมายไหมล่ะ?

แต่ถ้าใจมันสุข มันไม่ต้องคาดหมายสิ่งใดเพราะมันไม่ได้คิดออกมา มันเป็นความรู้สึกมีความสุขในตัวมันเอง เห็นไหม แต่เราต้องคาดหมายว่าเราจะมีอะไร เราถึงจะมีความสุข แล้วเราก็แสวงหากัน เราเกิดมา เราทำสัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพ เห็นไหม แต่เลี้ยงชีพเราไปเชื่อทางโลกหมดเลย ต้องมีการแข่งขัน ใช่...ต้องมีการแข่งขันนะ เวลาเราแข่งขัน แข่งขันกับใคร แข่งขันกับสังคมใช่ไหม?

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ธัมมจักฯ นะ “เทฺวเม ภิกฺขเว” ทางสองส่วนที่ไม่ควรเสพ เห็นไหม อัตตกิลมถานุโยค ทำตนให้ลำบากเปล่าหนึ่ง แล้วพยายามเสพสุข ไม่ใช่ทาง เห็นไหม ต้องเป็นมัชฌิมาปฏิปทา แต่มัชฌิมาปฏิปทาในมรรค ๘ เห็นไหม ความเพียรชอบ คำว่าความเพียรชอบนะ ชอบอย่างไร?

มันแข่งขันกับกิเลสไง ธรรมะคู่แข่งขัน กิเลสกับธรรมในหัวใจมันแข่งขันกัน ถ้ามันแข่งขันกัน มันบีบบี้สีไฟในหัวใจของเรานะ ความแข่งขันของตัวเราเอง ความแข่งขันของความรู้สึกระหว่างความดีกับความชั่วในหัวใจ มันแข่งขันยิ่งกว่าทางโลกอีก ทางโลกเวลาแข่งขัน เราออกไปทางโลก เห็นไหม เราต้องมีเชาว์ ต้องมีปัญญา ต้องทำการวิจัยในตลาด เราถึงจะอยู่กับเขาได้ อันนั้นมันเป็นอนิจจังนะ

ดูสิ เวลาโลก เห็นไหม เวลาขาขึ้น เวลาขาลง มันเป็นของมันตามธรรมชาติของมัน ไม่มีสิ่งใดคงที่ ต้องยอมรับสภาวะแบบนั้น แต่ความแข่งขันของใจ เวลาสุขเวลาทุกข์มันให้ความเจ็บปวดในหัวใจของเรา เวลามีความสุข สุขในหัวใจของเรา แต่เวลามันผ่านไป อัตตกิลมถานุโยค กามสุขัลลิกานุโยค ทางสองส่วนที่ไม่ควรเสพ ความสุขและความทุกข์ในหัวใจก็ไม่ควรเสพ แต่มันเป็นทางผ่าน เห็นไหม ทางผ่านที่เราจะต้องไป เราต้องอาศัยไป

เวลามีความสุข เห็นไหม ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ แต่เวลาจิตมันมีความสงบในใจ มันมีความสุขมาก ความสุขนี้ไม่ต้องละหรอก เพราะอะไร เพราะมันเป็นอนิจจัง มันอยู่กับเราชั่วคราว แต่อาศัยมันเป็นเครื่องเชิดชูใจไง เป็นการดูดดื่มในหัวใจไง

จิตของคนถ้าประพฤติปฏิบัติก็มีความสงบในหัวใจขึ้นมา โอ้.. ความสุขเป็นอย่างนี้ มหัศจรรย์ ความมหัศจรรย์ในหัวใจเป็นอย่างนี้ สุขที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวิมุตติสุข มันสุขยิ่งกว่านี้อีกเพราะอะไร นี่แค่ความสงบนะ หินทับหญ้าไว้ เห็นไหม ความสกปรก โรคภัยไข้เจ็บในหัวใจยังกลบมันไว้ ยังไม่ได้ทำอะไรเลยยังมีความสุขขนาดนี้ แล้วถ้ามีการชำระออกไป มันจะมีความสุขขนาดไหน?

นี่แข่งขันในหัวใจของเรา ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ว่าภิกษุผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร เวลาออกประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันเห็นภัยตรงนี้ มันเป็นทางประพฤติปฏิบัติเพื่อใจของเรา เห็นไหม ถ้าเพื่อใจของเรา ทำใจของเรา อยู่โคนไม้นะ เดินจงกรมทั้งวันทั้งคืนเพราะอะไร เพราะระหว่างสุขกับทุกข์มันแข่งขันกัน เราจะต้องทำอย่างไรให้มันผ่านสิ่งนี้ไปได้?

ถ้าผ่านสิ่งนั้น นี่ความเพียรชอบ ถ้าความเพียรชอบ เห็นไหม เรื่องต่างๆ เป็นปัจจัยเครื่องอาศัยนะ สิ่งที่ปัจจัยเครื่องอาศัย เราทำบุญกุศลกัน เห็นไหม เป็นอามิส สิ่งที่เป็นอามิสเพื่อบำรุงศาสนา คำว่าเพื่อบำรุงศาสนานะ เราบำรุงศาสนากันที่วัตถุ แต่ถ้าเราบำรุงศาสนาที่หัวใจ เห็นไหม เรานั่งสมาธิ อยู่ที่บ้านเวลาเราสวดมนต์ตอนหัวค่ำ ก่อนนอนเราสวดมนต์ก่อน แล้วนั่งพุทโธ พุทโธ เราจะบำรุงศาสนาในหัวใจของเรา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ธัมมจักฯ พระอัญญาโกณฑัญญะนี่สงฆ์องค์แรกเกิดขึ้นมาในโลกเพราะหัวใจมันเป็นธรรมไง

ถ้าหัวใจเป็นธรรม นี่บำรุงศาสนาที่นี่ เห็นไหม วัฒนธรรมต่างๆ เกิดมาจากไหน? การทำบุญกุศลของเรามันเกิดมาจากไหน? เกิดจากผู้นำ ผู้นำทำเป็นพิธีกรรมขึ้นมา แล้วเราก็ทำตามพิธีกรรม ตามกรอบนั้น นี่บำรุงศาสนาด้วยเปลือก บำรุงศาสนาด้วยวัตถุ เห็นไหม ศาสนา “ชาติ” ชาติคืออะไร ชาติคือประชาชนรวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนมาเป็นชาติ สิ่งนี้วัฒนธรรมนี่ร้อยไว้

สิ่งต่างๆ เห็นไหม ชาวพุทธเราทำบุญกุศล ใช่..เราต้องทำบุญกุศลในวันสำคัญทางศาสนาเพราะอะไร? ถ้าไม่มีวันสำคัญทางศาสนา มันจะไม่ทำเลยไง เราจะไม่ทำอะไรเลยนะ เราจะนอนจมอยู่กับกิเลสนะ นอนจมกับความพอใจของเรา เห็นไหม ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง มันคลุกอยู่ในหัวใจของเรา เรานอนจมอยู่อย่างนั้น

แล้วเวลาถ้ามีวันสำคัญทางศาสนาสักวันหนึ่ง เราก็ออกไปทำบุญกุศลกัน เหมือนกับเราเปิดไง เปิดสิ่งที่มันอับเฉาอยู่ในหัวใจให้มันเปิดระบายออก เห็นไหม สิ่งที่ระบายออก ความทุกข์มันก็ระบายออกไป สิ่งที่ระบายออกไป นี่มีวันสำคัญทางศาสนาเราก็ทำหนหนึ่ง แต่ผู้ที่เขาทำจนเคยชินของเขา ทำบุญกุศลทุกวันๆ เห็นไหม บุญกุศลทำทุกวันเพื่อใคร เห็นไหม นี่มันอาจหาญในหัวใจนะ

ถ้าหัวใจเรานี่ เรารู้ความผิดความถูกในหัวใจ เห็นไหม สิ่งที่เราทำเข้าไป มันเป็นสมบัติของเรา โลกเขาจะว่าอะไร คนนี้ไม่สู้โลก ไม่อยู่กับโลกเขา โลกมันไม่มีความจริงจังหรอก โลกนี้เป็นสมมุติ โลกนี่จริงตามสมมุติ เห็นไหม ค่าของเงิน ถ้าให้ใช้เงินมันก็เป็นเงินอยู่ รัฐบาลบอกว่าเลิกใช้ เห็นไหมเปลี่ยน พิมพ์แบงก์ใหม่ แบงก์เก่าจะไม่มีคุณค่าเลย แต่พอสมมุติกันให้เป็นคุณค่า เป็นคุณค่ามันเป็นสมมุติ เราก็สมมุติกับมัน จริงตามสมมุตินะ ไม่ปฏิเสธหรอก คำว่าจริงตามสมมุติมันไม่จริงจัง

แต่ความจริงในหัวใจของเราที่เป็นอารมณ์ความรู้สึก ที่ว่ามันจับต้องที่มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่ถ้ามันมีคงที่ของมัน ค่าคงที่ในหัวใจมันมีนะ ถ้าเป็นสมาธิมันฝังใจ เห็นไหม เราเคยไปที่ไหน เราเคยเห็นสิ่งใดฝังใจ มันจะฝังใจเรามากเลยว่าสิ่งนั้นมีความสุข สิ่งนั้นเราพอใจ แต่มันทำอีกไม่ได้ เห็นไหม

แต่ถ้ามันมีเหตุล่ะ ถ้ามีเหตุนะ เราไปหาที่เหตุ วิธีการ เห็นไหม ในพระไตรปิฎกนี่เป็นวิธีการทั้งหมด เราเอาวิธีการมาวิเคราะห์วิจัยกัน นี่มันน่าเศร้าใจนะ สิ่งที่เข้าไปถึงเป้าหมาย เข้าไปถึงความสุขที่แท้จริง เห็นไหม

ความสุขที่แท้จริง ดูสิ เราทานอาหารกัน เรามานี่ในที่ต่างๆ เราชอบอาหารต่างๆ กัน แต่เวลาทานอาหารไปแล้ว ผลของมันคืออิ่มทุกคนใช่ไหม แต่เวลาทานอาหารทุกคนชอบรสชาติต่างๆ กันไป ชอบอาหารแต่ละประเภทไม่เหมือนกัน วิธีการเห็นไหม แล้วบอกของใครผิดของใครถูกได้ไหม? ของใครผิดของใครถูกนี่ ผลของมันถึงถูกต้องนะ

แต่ถ้าใครไปกินสารพิษ กินยาพิษเข้าไป มันจะถูกต้องได้อย่างไร? กินเหมือนกัน ทานอาหารเหมือนกัน เขาทานอาหารที่มีคุณค่าทางชีวิต อีกคนหนึ่งกินอาหารที่เป็นพิษ เห็นไหม สารที่เป็นพิษ กินเข้าไปในร่างกายเรา มันไปสะสมไว้ มันจะไปไหนล่ะ มันก็ไปถึงที่สุดแบบว่าควรจะตายต่อเมื่อหมดอายุขัย มันจะตายก่อนด้วยสารพิษในการประพฤติปฏิบัตินั้น

จิตก็เหมือนกัน ในการประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง ถูกต้องที่ใคร? ถูกต้องเห็นไหม มันต้องมีศีล ศีลนี่เป็นการกลั่นกรอง ดูสิ “ปาณาติปาตา” ไม่รังแกเขา ไม่ทำลายเขา ไม่ทำลายทุกอย่างเลย แต่ถ้ามันเป็นศีลของเรานะ ถ้าเราเป็นประโยชน์กับเรา เราเอาของเรา เอาศีลมาเป็นเครื่องกรองก่อน มาเป็นรั้ว เห็นไหม ขอบรั้ว แต่ถ้าเป็นหัวใจล่ะ? ตัวบ้านล่ะ? ถ้าใครทำความสงบของใจ มันจะมีบ้านพักอาศัยนะ

ดูสิ เราเกิดมา อยากมีบ้านกัน เราอยากจะมีบ้านเป็นส่วนตัว อยากมีทุกอย่างเป็นของส่วนตัวหมดเลยเพื่ออะไร เพื่อจะสุขสบายของเรา เห็นไหม แล้วเราก็เป็นขี้ข้ามันนะ ไปบำรุงรักษามัน ไปทำความสะอาดอยู่นั่นล่ะ แต่ถ้าใครมีบ้านในหัวใจนะ ไม่ต้องบำรุงรักษาเลย ดูสิ มันอยู่ข้างในหัวใจเรา มันเป็นนามธรรม แต่มันมีความยั่งยืนนะ ยั่งยืนเพราะมันอยู่กับเรา มันเป็นทิพย์ไง เวลาทำบุญกุศล เห็นไหม สิ่งที่เป็นทิพย์มันไปกับใจ

นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันอยู่กับเรา สิ่งนี้เป็นประโยชน์กับเรา เห็นไหม เริ่มต้นอย่างนี้ เริ่มต้นตั้งแต่ทาน ศีล ภาวนา พูดระดับทานก็คือทาน การทำทาน การเสียสละ เราให้ไปลูกเรา เด็กนี่เราให้ไปสิ มันดีใจ มันตื่นเต้นของมัน นี่ก็เหมือนกัน เสียสละ แม้แต่เปลือกๆ มันก็เห็นแล้ว แต่ความจริง เนื้อนาบุญของโลก เราสละออกไป เราหว่านพืชลงไปเนื้อนา รวงข้าวเป็นของเรา เห็นไหม เนื้อนาของโลก เนื้อนามันได้ฟางข้าว

นี่ก็เหมือนกัน ภิกษุเป็นผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ประพฤติปฏิบัตินะ ดำรงชีวิตด้วยปลีแข้ง สิ่งที่เป็นปลีแข้ง ด้วยสัมมาอาชีวะ ด้วยความบริสุทธิ์ผุดผ่อง เพราะไม่ได้ต้องการ ไม่ต้องปรารถนาสิ่งใดๆ เลย แต่! แต่คฤหัสถ์เขาต้องการทำบุญกุศลของเขา เขาอยากจะหว่านพืชของเขา แต่เขาไม่มีเนื้อนา เห็นไหม ไม่มีภิกษุ ไม่มีพระนี่จะทำบุญกันที่ไหน?

ถ้ามีพระนะ หว่านพืชลงไปของเขา พืชที่เกิดขึ้นมาคือสิ่งที่สุขใจ สิ่งที่ความพอใจ สิ่งที่สละออกไป เห็นไหม สิ่งที่สละออกไปมันเป็นวัตถุ แต่บุญกุศลเกิดเข้ามาในหัวใจ เห็นไหม วัตถุมันเป็นบุญกุศลไม่ได้นะ เงินทองมันเป็นบุญกุศลไหม มันเป็นกระดาษนะ แต่ผู้เสียสละมันออกไป ผู้ที่เจ้าของบุญกุศลเสียสละมันออกไป แล้วเราเอาบุญกุศลนั้นเข้ามาในหัวใจ เนื้อนาบุญได้เสพไง ได้ฟางข้าวไง ถ้าฟางข้าวมันเป็นประโยชน์ เห็นไหม ฟางข้าวเขาไปเลี้ยงสัตว์นะ

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เป็นประโยชน์ขึ้นมา มันก็เป็นประโยชน์ขึ้นมา เห็นไหม “ปฏิคาหก” ผู้ให้ให้ด้วยความบริสุทธิ์ ผู้รับรับด้วยความบริสุทธิ์ ต่างคนต่างได้ประโยชน์ ดูสิ ดูปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางศาสนาไว้ เห็นไหม เวลาภิกษุนี่ไม่ให้มีอาชีพ ไม่ให้ทำอะไรสิ่งต่างๆ เลย เพราะมันเป็นทางที่คับแคบ

คฤหัสถ์นี่ทางคับแคบ คับแคบเพราะอะไร เพราะต้องทำอาชีพ วันหนึ่งภาวนา ๕ นาที ๑๐ นาทีตอนหัวค่ำ แต่ภิกษุ ๒๔ ชั่วโมงนะ ทางกว้างขวางมาก ตั้งแต่เช้าออกบิณฑบาตก็เดินจงกรมไป ขณะที่ฉันอาหาร “ปฏิสังขาโย” สิ่งนี้เป็นของเน่าของบูด ของนี่เป็นไปเพื่อธาตุขันธ์ ๒๔ ชั่วโมงไม่เผลอสติเลย ทำตลอดไป นี่ทางกว้างขวางกว้างขวางตรงนี้ไง

ภิกษุเป็นทางกว้างขวางมาก ๒๔ ชั่วโมงพิจารณาตลอดเวลา เห็นไหม แต่คฤหัสถ์ทางคับแคบเพราะอะไร เพราะเราต้องทำอาชีพ ต้องมีภาระรับผิดชอบ สุดท้ายแล้วเจียดเวลาไว้เพื่อจะภาวนา เวลาจะมีมากมีน้อย ภาวนาได้ขนาดไหน แล้วจิตมันจะลงสงบไม่สงบขนาดไหน เห็นไหม สิ่งนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้หมดเลย

ทุกคนมีสิทธิ เห็นไหม เพราะเราเป็นนักรบได้ ถ้าเราบวชเมื่อไหร่เราก็เป็นนักรบ เพราะเราก็มีสิทธิเหมือนกัน ทุกคนมีสิทธิเหมือนกัน เพียงแต่ว่ามันเป็นจริตนิสัย มันเป็นอำนาจวาสนาว่าเราจะใช้ดำรงชีวิตอย่างไรในโลกนี้ เกิดมาโดยสมมุติ เกิดมาด้วยกรรม กรรมนี่ว่ากรรมๆ นี่เป็นสมมุติเลย สมมุติเพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์

แล้วเราเกิดเป็นคน ถ้าไม่เกิดมันต้องเกิด พลังงานที่มันมีแล้วมันต้องมีพลังงานของมันตลอดไป พลังงานที่ดี เกิดในที่ดี เกิดในสังคมครอบครัวสัมมาทิฏฐิ เกิดมาในพ่อแม่ที่มีความร่มเย็นเป็นสุข เห็นไหม เกิดในลัทธิต่างๆ นะ เขาพาไปไหนล่ะ เขาพาไปทำบาปอกุศลของเขา เห็นไหม

สิ่งนี้มันเกิดขึ้นมา แล้วเกิดขึ้นมาแล้วเราจะมีสติสัมปชัญญะนึกถึงกายกับใจไหม เรานึกถึงแต่ร่างกายกันเห็นไหม สัมผัสกันด้วยกาย จิตสัมผัสกับกาย แต่สิ่งที่สัมผัสกับใจไม่เคยประสบ ถ้าสิ่งที่สัมผัสกับใจเคยประสบ นี่ศาสนาเจริญที่นี่

บำรุงศาสนาในหัวใจของเรานะ ไม่ต้องน้อยเนื้อต่ำใจเลย ศาสนาเจริญในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่โคนต้นโพธิ์นั้นก่อน แล้วก็เจริญในศาสนาของครูบาอาจารย์เราที่ประพฤติปฏิบัติมา อยู่โคนไม้อยู่ในป่า มีความร่มเย็นเป็นสุข แล้วเรามีความเชื่อมั่นในศาสนาว่ามีมรรคมีผล เราถึงทำบุญกุศลของเราขึ้นมา

แล้วถ้าเราทำขึ้นมา มันจะเป็นประโยชน์ของเรา ทำบุญกุศลเพื่อเรา เพื่อในหัวใจของเรา ถึงที่สุดแล้วข้ามพ้น เห็นไหม อัตตกิลมถานุโยค กามสุขัลลิกานุโยค ถึงที่สุดแล้วไปในมัชฌิมาปฏิปทา ใจจะผ่านออกไปช่องทางในอริยสัจของเรา ในธัมมจักฯ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการวันนี้ เอวัง