เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓o ก.ค. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ธุดงควัตรมันเป็นศีลในศีล มันอยู่ในพระไตรปิฎก ธุดงค์ ๑๓ ไง นี่ภัตตามมา ถือผ้า ๓ ผืน อยู่ในเรือนว่าง อยู่ในที่โล่งแจ้ง อัพโภกาสิกังคะธุดงค์ ไอ้พวกนี้มันเป็นการขัดเกลากิเลส แต่พอคนมันไปทำคุณงามความดีเข้า เห็นไหม มันจะขัดเกลาเพื่อมักน้อยสันโดษ มันไม่สันโดษดูสิ มันกองเบ้อเร่อเบ้อร่าเลย เพราะอะไร?

เพราะทำดีมันต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว แล้วคนเรายิ่งต้องการให้เขาเข้ามาหา ต้องการให้เขาเข้ามาศรัทธา เขายิ่งไม่ต้องการ แต่เราทำของเรา ทำเพื่อใคร เราทำเพื่อขัดเกลากิเลส ขัดเกลา เห็นไหม มันไม่ได้ดั่งใจหรอก สิ่งไม่ได้ดั่งใจ ไม่ได้ดั่งใจทั้งนั้น

“การศึกษา” เราศึกษากันนะ เราอยู่ในประเทศไทย เวลาเราศึกษาเราไปศึกษาเมืองนอกกัน เห็นไหม เราต้องพยายามเปิดกะลาไปได้ กะลามันครอบหัวไว้ ครอบหัวในการศึกษานี่ไปในต่างประเทศ หรือศึกษาในเรื่องโลก เห็นไหม นี่ครอบหัวไว้เพื่อจะให้รู้ไง นี่เปิดกะลาไป ศึกษารอบโลกเลยนะ แต่ก็ไม่รู้จักนรก สวรรค์เป็นอย่างไร เห็นไหม ในวัฏฏะกะลามันครอบอยู่ วัฏฏะมันครอบอยู่ในหัว นี่เราส่งออกไปหมด เราศึกษาเท่าไหร่ ยิ่งศึกษายิ่งไม่รู้นะ รู้วิชาการ รู้วิชาชีพ รู้หมดเลย แต่ไม่รู้จักตัวเอง เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “ให้เปิดกะลาในหัวใจ”

สิ่งนี้ถ้ามันเปิดในหัวใจ มันจะเข้าใจในหัวใจเรา จบสิ้นที่นี่นะ ศึกษาขนาดไหนก็แล้วแต่ ใครเป็นคนไปศึกษามัน? ใจเรานี่ไปศึกษามัน เก็บข้อมูลมา ทำวิจัยขนาดไหน คนทำวิจัยนี่ศึกษาวิจัยมา รู้ไปหมดเลย รู้ทุกๆ อย่าง แต่เวลาทุกข์มันทุกข์ไหม? แบกหามความทุกข์ไว้ในหัวใจนะ รู้ไปหมดเลย

แต่เวลาขัดเกลากิเลส เห็นไหม ธุดงควัตรเริ่มตรงนี้ เริ่มตั้งแต่ขัดใจมัน ขัดนะ ความต้องการ ความปรารถนา ทุกคนก็ต้องปรารถนาว่าสิ่งนั้นจะเป็นความสุข สิ่งนั้นเป็นความสุข มันปรารถนาเป็นความทะยานอยาก มันไม่สุขตามความปรารถนาหรอก แต่การเอาออก การสละออก ดูสิ ไฟถ้ามีฟืนขนาดไหน ยิ่งใส่ฟืนเข้าไป ไฟมันจะลุกโชติท่วมหัวเลย แต่ถ้าเราเอาฟืนออก ไฟมันดับได้นะ

เวลาเราขัด เราสละออก เราขัดเกลา การขัดเกลาอย่างนี้มันเป็นขัดเกลากิเลส มันเป็นวิธีการเท่านั้นนะ มันไม่ใช่หรอก ถ้าเราถือธุดงค์แล้วเราจะเป็นผู้แบบว่ามีชื่อเสียง เป็นผู้ถือธุดงค์แล้วเราจะชนะกิเลสนะ คนเวลาเขาทุกข์เขายาก เวลาอัตคัดขาดแคลน เขายิ่งกว่าธุดงค์อีกนะ เขาไม่มีจะกินของเขาเลย

ดูสิ เวลาเขาทุกข์เขายากขึ้นมา ทุกข์ยากนะ ยิ่งทุกข์ยิ่งยากนะ ยิ่งอดยิ่งอยาก ทุกข์ยากเพราะอะไร ทุกข์ยากเพราะมันปรารถนาแล้วมันไม่ได้ดังความปรารถนา แล้วยิ่งมีสิ่งเร้าในหัวใจ เพราะกิเลสมันก็จะน้อยเนื้อต่ำใจนะ ทำไมเราทำดีแล้วไม่ได้ดี? เราทำขนาดนี้ทำไมไม่สมความปรารถนา?

แล้วเวลาพระเรามักน้อยสันโดษ มันไม่ใช่ทุกข์ยาก มันไม่ใช่สิ่งที่มันไม่มี บิณฑบาตมา เห็นไหมกี่บาตร ล้นเหลือเลย แต่ธุดงควัตร เห็นไหม เราขัดเกลา เรามักน้อย เราสันโดษ ได้มาเห็นไหม กินอาหาร ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ อย่าฉันให้อิ่ม ๘๐ เปอร์เซ็นต์แล้วดื่มน้ำเข้าไป อย่าให้อิ่มกว่านั้นเพราะอะไร เพราะถ้าอิ่มเกินไปพลังงานมันเหลือใช้ไง ให้ทำขนาดนั้นนะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่สอนไปหมดเลย เหมือนพ่อแม่สอนลูกเลย ลูกนี่อยากให้เป็นคนดีนะ ต้องทำอย่างนี้ ต้องทำอย่างนี้ แต่ลูกก็เบื่อนะ เบื่อพ่อแม่มากเลย แต่เวลาเบื่อนะ พอโตขึ้นมานะ เราจะไปสอนลูกของเราเองนะ นี่เหมือนกัน ก็ไปสอนอย่างนี้เพราะอะไร เพราะวุฒิภาวะไง วุฒิภาวะ วัย ตามวัย มันจะบังไว้อย่างนี้ มันเป็นอดีต-อนาคตไง

เวลาเป็นเด็กอยากเป็นผู้ใหญ่มากเลย เพราะอยู่เป็นเด็กเราอยู่ในปกครองของเขา อยากจะเป็นอิสระนะ อยากจะเป็นผู้ที่พ้นออกไปจากการปกครองของคนอื่น แล้วเวลาพ้นออกไปแล้วมันก็ไปว้าเหว่ มันก็ไปทุกข์ร้อน เห็นไหม แต่ทั้งหมดก็ต้องหาเพื่อน หาสิ่งต่างๆ หาที่พักผ่อนหย่อนใจ หาอะไรไป หาแต่ข้างนอกทั้งนั้นเลย มันไม่เข้ามาข้างในหรอก

ถ้าจะเข้ามาข้างใน เข้าข้างในที่ไหน ข้างในตั้งแต่เราค้นหาตัวเองไง ทวนกระแสไง ทวนกระแส เรื่องอย่างนี้ในโลกไม่มีหรอก เพราะอะไร เพราะมันไม่มีใครสอน แล้วมันสอนไม่เป็น สอนไม่ได้ ไม่มีใครรู้ ยิ่งศึกษายิ่งรู้ ยิ่งศึกษายิ่งมีวิชาการ ยิ่งศึกษายิ่งเก่ง ดอกเตอร์ขนาดไหนนะ ดอกเตอร์ก็คอตก ดอกเตอร์ก็ต้องตาย ศาสตราจารย์ไหนก็ต้องตายหมดเลย

แต่ถ้ามันศึกษาในหัวใจมันจบได้ มันจบจริงๆ ถ้ามันจบ แล้วมันทำอย่างไรถึงจบล่ะ?

นี่รุกฺขมูล เสนาสนํ ไม่พ้นไปจากนี่หรอก เพราะรุกฺขมูลนี่มันเป็นสิ่งที่ว่าสรรพสิ่งในนี้เกิด เกิดเพราะบนแผ่นดิน ต้นไม้ก็เกิดบนแผ่นดิน ความคิดก็เกิดมาจากหัวใจ ความทุกข์ความร้อนนี่เกิดมาจากหัวใจทั้งนั้นเลย ต้นไม้ภูเขามันไม่ทุกข์ไม่ร้อนหรอก แล้วมันก็ไม่มีผลงานของมันด้วย มันเป็นธรรมชาตินะ มันเป็นอาหาร มันเป็นพืชให้เราได้ใช้สอยมัน แต่ตัวมันเองมันได้ผลอะไร ตัวมันเองไม่ได้มีผลอะไรเลย เราเองต่างหากไปเอามันมาใช้ประโยชน์

นี่ก็เหมือนกัน ความคิดเกิดกับเรา เราเอามาใช้ประโยชน์อะไร? เราไปใช้ประโยชน์แต่ทางวิชาชีพนี่ไง เราใช้ประโยชน์ เรากว้านเป็นวิชาชีพเข้ามา แต่ตัวมันเองได้ผลไหม?

นี่เนื้อนาบุญของโลก เขาทำนาทำไร่ของเขา เขาเก็บผลประโยชน์ไป ไอ้เนื้อนามันได้อะไร ได้แต่เศษ ได้แต่รอยเท้าที่เขาย่ำไว้ หัวใจก็เหมือนกัน กิเลสมันย่ำไว้ไง ย่ำหัวใจเราไว้ ย่ำให้มันเจ็บปวดอยู่นี่ แล้วก็โดนย่ำอยู่อย่างนี้ แล้วเราก็ว่าเรามั่งมีศรีสุขกัน เราปรารถนาความสุขกัน ถ้าเรื่องธรรมะมันเป็นอย่างนี้ ธรรมะนะมันเป็นปรมัตถธรรม มันเป็นธรรมเหนือโลก แต่เหนือโลก มันเหนือโลกเหนือที่ไหน?

ถ้ามันเหนือโลกได้ มันก็ทำให้หัวใจเรานี่พ้นออกไปจากการย่ำยีของกิเลสได้ ถ้ามันไม่เหนือโลกนะ เราก็ให้มันย่ำยีอย่างนี้ แต่มันเป็นอำนาจวาสนา เห็นไหม แม้แต่ความเชื่อเรา ถ้าเราเชื่อของเรา เราศึกษาของเรา มันจะเป็นจริตนะ มันมีความเชื่อ มันปลงธรรมสังเวช

ดูสิ เวลาเราสุขนะ เวลาพลัดพราก เราได้สิ่งที่เราปรารถนา น้ำตาไหล มีความสุขมากนะ มองนะน้ำตานี่พรากเลย มีความสุขมากเลย นี่ธรรมสังเวช แต่เวลาเขาทุกข์เขาโศกของเขานะ เขาเจ็บปวดของเขานะ น้ำตาไหลเหมือนกันนะ แต่มันเจ็บช้ำน้ำใจ เจ็บช้ำมาก เจ็บช้ำเจ็บแสบปวดร้อนมาก เจ็บช้ำน้ำใจมาก ทำไมเป็นอย่างนี้ ทำไมเป็นอย่างนี้ รับไม่ได้

สิ่งที่มันเกิดขึ้นมา เราจะใช้มันเป็นประโยชน์อะไร? หัวใจเรานี่เราจะใช้ประโยชน์อะไร? เหมือนกันนะ ธรรมกับโลกนี่อยู่ด้วยกัน อยู่ด้วยกันนี่ ขาวกับดำนี่อยู่ด้วยกัน เหรียญ ๒ ด้านอยู่ด้วยกัน หัวใจนี่เราจะใช้ไปทางใด? ใช้ไปทางที่ดีมันก็เป็นประโยชน์กับเรา ใช้ไปทางที่ว่าทางที่ดีเหมือนกันแต่ดีของโลกมันก็ติด เห็นไหม

ดี! ดีโลกนะเป็นคนดี เห็นไหม เป็นผู้พัฒนาให้สังคมอยู่ร่มเย็นเป็นสุข นี่ก็พัฒนาเหมือนกัน แต่มันก็เป็นเรื่องโลกๆ เห็นไหม คำว่าโลกๆ มันเป็นสมมุติ คำว่าโลกๆ คือคำว่าชั่วคราว คำว่าโลกๆ ไม่ใช่ไม่มีนะ มี แต่มันชั่วคราว ดูสิ สรรพสิ่งนี้ใครบังคับบัญชามันได้ ธรรมชาติใครบัญชาการมันได้ จะเอาชนะธรรมชาติกันนะ วิทยาศาสตร์พยายามคิดเอาชนะธรรมชาติ

เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้เลย! เพราะสรรพสิ่งในโลกนี้มันเป็นอนิจจัง ไม่มีอะไรคงที่เลย เว้นไว้แต่ปรมัตถธรรม

หัวใจนี่คงที่ได้ หัวใจนี่ทำให้ถึงที่สุด วิมุตตินี่ วิมุตติมันพ้นไป มันพ้นจากแรงดึงดูด มันไม่มีการเปลี่ยนแปลง มีอย่างเดียวคือหัวใจที่มันเรรวนอยู่นี่ หัวใจที่มันเรรวนที่มันไม่มีจุดยืนอยู่ สร้างสมขึ้นมาจนมันคงที่ได้ คงที่ คำว่ามันหมดสิ้นนะ ถ้ามันยังมีเศษส่วน ยังมีสิ่งเจือปนอยู่ คงที่ไม่ได้ คงที่ไม่ได้มันก็ยังสับปลับอยู่ สับปลับอยู่เราก็ใช้.. เราเชื่อไง เชื่อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

วันนี้พระจะเริ่มอธิษฐานพรรษากัน ๓ เดือนนี่อธิษฐานว่าเราจะทำอะไรบ้าง? “คุณงามความดี”

เราก็เหมือนกัน ในสังคมไทย สังคมวัฒนธรรมของพุทธ เวลาเข้าพรรษา สิ่งที่เป็นอบายมุขเราจะละได้ พอออกพรรษาแล้วเราก็ไปเสพอีก เห็นไหม เราทำเพราะมันเป็นประเพณีวัฒนธรรมจากภายนอก แต่ถ้ามันเป็นความรู้ในหัวใจนะ มันเห็นโทษ

“สีเลนะ สุขะติงยันติ สีเลนะ โภคะสัมปะทา”

สีเลนะ สุขะติงยันติ สีเลนะ โภคะฯ โภคะมันเกิด ถ้าเรามีศีล เรามีปกติของเรา สิ่งที่เราใช้ปัจจัยเครื่องอาศัย เห็นไหม มักน้อยสันโดษเพราะอะไร เพราะให้ร่างกายเรานี่ไม่มีโรคไม่มีภัย ให้เราไม่มีโรคนะ ให้ร่างกายเราแข็งแรงขึ้นมา เราก็ได้โภคะอันนี้แล้ว โภคะที่ว่าเราไม่ต้องไปเสียเงินเพื่อรักษาเราแล้ว สอง..สิ่งที่เราไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือย มันก็เป็นโภคะเกิดขึ้นมา เห็นไหม

นี่มีศีลขึ้นมามันเป็นปกติ ความปกติของใจ เราเห็นคุณค่าไง เราเห็นคุณค่าหมด แม้ทั้งๆ ที่เรามีเงินมหาศาล แต่เราไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เราไม่ใช้จ่ายตามความต้องการของกิเลสที่มันจะใช้จ่ายให้มันไปทำ.. ใช้จ่ายไปแล้วเสียทั้งเงินด้วย เสียทั้งสุขภาพ เสียทุกอย่างเลย เห็นไหม แต่ถ้าเป็นปกติของใจ ร่างกายปกติก่อน ถ้าร่างกายปกติแล้วจิตมันก็มีมาตรฐานของมันขึ้นมา มันไม่ตามกระแสนะ

ดูสิ คนที่ไม่มีจุดยืน สินค้าสิ่งใดออกมา เราเป็นเหยื่อนะ เราว่าเป็นลูกค้า แต่คำว่าเป็นเหยื่อ เราเป็นเหยื่อของโลกนะ ให้โลกหาผลประโยชน์จากเราทั้งนั้นเลย หาผลประโยชน์จากเรา เราก็แสวงหามาก็เพื่อเป็นเหยื่อของเขา แต่ถ้าเรามีศีลธรรมในหัวใจ มีจุดยืน เห็นไหม มีศีลธรรม มีคุณธรรม เขาล่อเราไม่ได้หรอกเพราะอะไร เพราะหลักธรรม ปัจจัย ๔ เครื่องอาศัย

ถ้าเรามีปัจจัย ๔ เครื่องอาศัย ดูสิ ดูพระสิ ตั้งแต่สมัยพุทธกาลมาถือผ้า ๓ ผืน ผ้า ๓ ผืนนี่ถ้าใช้โดยระวังรักษานะ ๓ ปี จีวรผืนหนึ่งใช้ได้ ๓ ปี สิ่งที่ ๓ ปีนี่ใช้อยู่ ผ้าผืนเดียวห่มทุกกิจกรรม ห่มตั้งแต่ออกจากวัด ไปไหนน่ะผ้าผืนเดียว แล้วเราใช้อย่างไร? ถ้าเป็นผู้ที่มันมีปัจจัยเครื่องอาศัย ถ้าเรามีปัจจัยเครื่องอาศัย แล้วอะไรมันจำเป็นกว่านี้?

แล้วสังคมไทย วัฒนธรรมไทย ปัจจัยที่ ๕ ปัจจัยที่ ๘ ปัจจัยที่ ๑๐๐ เวลาโฆษณาประชาสัมพันธ์ไป อย่างนี้มันกล่าวตู่ เพราะพุทธเจ้าไม่บัญญัติ พระพุทธเจ้าบัญญัติปัจจัย ๔ เท่านั้น เดี๋ยวนี้มันต้องมีปัจจัยที่ ๕ ปัจจัยที่ ๑,๐๐๐ ต้องมีปัจจัยๆ ปัจจัยคือความจำเป็นไง เราจำเป็นปั๊บเขาก็จะหลอกขายให้เราไง แล้วเราก็จะไปกับเขา

สิ่งนี้ถ้ามันสันโดษ เห็นไหม ในพรรษา บวชมาในชีวิตของพระนะ ออกพรรษาแล้วก็ใช้ชีวิตปกติ แต่ในพรรษามันเป็นเวลาแบบว่าเข้มงวดกับเราไง เข้มงวดกับเรา หาจุดบกพร่อง เรานี่นะถ้าหาจุดบกพร่องของเราเอง เราจะแก้ไข ครูบาอาจารย์ชี้แนะนั่นก็ผิด นี่ก็ผิด มันอึดอัดไปหมดเลย แต่ถ้าเราเห็นว่าเราผิดนะ โอ้..เราก็ผิดเนาะ มันจะยอมแก้ไขนะ

นี่ก็เหมือนกัน เราหาความผิดพร่องของเรา เราหาความบกพร่องของใจ ถ้าเราหาบกพร่องของใจ เราจะแก้ไขใจอย่างที่ว่าเมื่อกี้ ถ้ามันเป็นไปนะ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แล้วหัวใจมันจะเปลี่ยนแปลงนะ ค่าคงที่นะ จิตนี้ทำให้มันขึ้นมา แล้วสุขอย่างนี้ เราไม่ต้องไปหาด้วยอามิสหรอก

นี่ดูทำบุญกุศลก็เป็นอามิส เห็นไหม วัดนี้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เราก็ทำบุญกุศล เราก็มีความชื่นใจ มีความสุขใจ เห็นไหมอามิส อามิสเพราะมันสิ่งที่เกิดจากบุญกุศล แต่ถ้ามันเป็นสมาธินะ เกิดจากตัวมันเอง แล้วถ้าเกิดถ้ามันชำระออกไป มันสะอาด เราเคยสุขที่สุดไหมในหัวใจ ถามตรงนั้นสิ สุขที่สุดมันเกิดจากอะไร?

แล้วที่สุขยิ่งกว่านี้โดยที่ไม่ต้องใช้สิ่งเร้า สิ่งล่อให้สุขเลย มันมีอยู่กับเรา อยู่กับเราด้วยความเพียรเรานี่ ถ้าความเพียรเราเข้าไปถึงตรงนั้น ทางวิทยาศาสตร์เขาพูด เห็นไหม เวลาที่ถ้าเราเล่นกีฬาถึงจุดหนึ่ง สมองมันจะหลั่งสารมาให้เรามีความสุข แล้วเวลาเดินจงกรมล่ะ นั่งสมาธิล่ะ ความสุขนี้เกิดมาจากไหน?

มันมีอยู่นะ ถ้าเรารู้จักฉลาดนะ แล้วโลกก็คือโลก เราอยู่กับเขา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่กับโลกนะ แล้วก็เป็นดวงตาของโลก ครูบาอาจารย์เราก็อยู่กับโลก แต่ไม่ติดมัน เห็นไหม อะไรมาก็ผ่านไปผ่านมา เห็นไหม ผ่านไปผ่านมา เรารู้ทันมันหมดเลย

แต่ถ้าเรายังไปติดมัน แล้วแบกรับนะ ทุกข์มาก หลังนี่แบกแต่ความหนักหน่วงในหัวใจไว้ทั้งหมดเลยนะ มันปลดภาระนี้ลงได้ ปลดภาระลงได้ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ปลดด้วยอย่างอื่นไม่ได้ ถ้าปลดด้วยอย่างอื่นได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องสอนเราก่อน

เราเป็นพ่อเป็นแม่คน ลูกเรานี่เราอยากให้สะดวกสบายที่สุด แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่พยายามจะมารื้อสัตว์ขนสัตว์ มันไม่มีทางอื่นเลย ทางอื่นไม่มี กษัตริย์ในลูกศิษย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามหาศาลเลยในสมัยพุทธกาล เห็นไหม ดูพระเจ้าอโศกมหาราชสิ ทำบุญขนาดไหน สร้างวัดขนาดไหน เห็นไหม สุดท้ายแล้วต้องเป็นญาติศาสนา ต้องเอาลูกมาบวชก่อน ลูกบวชน่ะสายเลือดเข้าไปสัมพันธ์ไง เป็นญาติกับศาสนา

เราเป็นญาติกันโดยธรรม ญาติกันด้วยความทุกข์ เกิดมามีปากมีท้องเหมือนกัน เป็นญาติกันโดยธรรม แล้วเราเป็นญาติกัน ดูสิ เวลาพระที่ปฏิบัติไปถึงสำเร็จเป็นพระอรหันต์ เห็นไหม มันมีอรหันต์ผู้หญิง มีอรหันต์ผู้ชายไหม? ถึงพระอรหันต์แล้วไม่มี จิตถึงไม่มีเพศไง ถึงที่สุดแล้วนะ เป็นสมาธิก็ไม่มีหญิงไม่มีชาย เวลาถึงที่สุดแล้วเป็นพระอรหันต์นะ นางอุบลวรรณาเป็นภิกษุณี มีพระอรหันต์ผู้หญิงไหม?

นี่มันเป็นสมมุติ เราว่าพระอรหันต์เป็นผู้หญิงผู้ชายเท่านั้นเอง แต่ถึงที่สุดแล้วมันเป็นที่เดียวกัน มันเป็นอันเดียวกัน มันเป็นอริยสัจเหมือนกัน เพียงแต่เราเกิดมาโดยสมมุติเป็นหญิงเป็นชายเท่านั้น ถึงที่สุดแล้วอันเดียวกัน สุขอันเดียวกัน เห็นไหม สัจจะ อริยสัจจะ อยู่กับเรา อยู่กับความรู้สึกที่เรามีขึ้นทุกคน อย่ามองข้ามหัวใจนะ

ดูสิ เรามีศรัทธา มีความเชื่อ เรามาทำบุญกุศล เห็นไหม อย่างนี้เป็นกิจกรรม แล้วกิจกรรมนี้มาจากไหน ก็มาจากความปรารถนาของใจ มาจากเจตนา ใจเป็นผู้ชักนำมา แล้วก็ตั้งใจอันนี้แล้วย้อนกลับมันเข้าไป ย้อนกลับคือทำย้อนกลับทวนกระแส

เราไปศึกษากันแต่ข้างนอก เห็นไหม ถ้าเราศึกษาข้างในจบสิ้นนะ ในใจเรานี่ กลางหัวอกนี่ ไม่ต้องไปหาที่อื่น หาที่อก แล้วอยู่ที่ไหนก็ทำได้ นั่งสมาธิ โคนไม้ก็ได้ ในห้องเราก็ได้ ในที่นอนก็ได้ ที่ไหนก็ได้ มีลมหายใจเข้าและลมหายใจออก ยืนอยู่เดี๋ยวนี้ก็ได้ นั่งอยู่ นอนอยู่ได้ทั้งหมดเลย อยู่กับเราทั้งนั้นเลย แต่เป็นทำงานแต่บริหารจัดการภายนอกหมดเลย

งานของตัว เห็นไหม ศึกษาอย่างนี้เข้ามาที่เรา เดินอยู่ เคลื่อนไหวอยู่ ดูจิต ดูจิตไปตลอด กำหนดเข้ามาถึงมัน ถ้ามันสงบเข้ามาได้นะ รักษามัน แล้วมันจะเป็นประโยชน์กับเรา ของอยู่กับเราแท้ๆ เลย แก้วสารพัดนึก เห็นไหม พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราว่าไปหาแก้วสารพัดนึก แต่แก้วสารพัดนึกภายในอยู่กับเรานี่หาไม่เจอ อยู่กับในหัวอกหาไม่เจอ ถ้าหาเจอนะ สุขที่นี่ แก้วแหวนเงินทองไม่มีค่า อะไรก็ไม่มีค่าทั้งนั้น สิ่งที่มีค่าที่สุดคือความรู้สึกที่มันสำเร็จแล้ว เอวัง