เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๕ ส.ค. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาธรรมะ เห็นไหม ธรรมะมันเข้ากับสิ่งที่เป็นธรรมนะ สิ่งที่เป็นโลกธรรมะเข้าไม่ได้ ดูสิเวลาเราต้องการน้ำ เราไปหาแหล่งน้ำที่ไหน? เราต้องการน้ำ เราต้องไปหาที่แหล่งน้ำนะ เราไปบนภูเขา เราไปสิ่งที่เป็นหิน เป็นทราย เราจะไม่ได้แหล่งน้ำเลย

นี่ก็เหมือนกัน เวลาคนถ้ามันไม่สนใจ หัวใจนี่มันเป็นภาชนะที่ได้รับธรรมเหมือนกัน แต่ไม่เข้าใจ ไม่สนใจไง ถ้าไม่สนใจก็เหมือนคนนอนหลับ คนเรานะนอนหลับนี่มันไม่รับรู้สิ่งใดๆ เลย คนเราตื่นอยู่นะ ขนาดตื่นอยู่แต่ใจมันหลับมันก็ไม่เอาอีกแหละ แต่ถ้าใจมันตื่น ถ้าใจมันตื่นขึ้นมา เวลาเรากินอาหาร เราดื่มน้ำนี่ไม่สำลักนะ คนเรานอนอยู่ เราพยายามจะให้เขาได้กินอาหาร เราพยายามจะป้อนเขา เรามีเมตตาเขามาก เราสงสารเขามาก เราจะให้เขาได้รับธรรมะนะสำลักตายเลย สำลักตาย

ธรรมะนี่ของดีใช่ไหม? น้ำนี่เป็นของดีใช่ไหม? คนหิวกระหาย น้ำนี่เป็นสิ่งที่ทำให้เราแก้หิวกระหายได้ใช่ไหม? แต่ไปให้กับคนที่นอนหลับ คนที่ไม่สนใจ นี่ธรรมะเวลาจะเข้าไปมันยากอย่างนี้ นี่เวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วย ดูสิถ้าเราอ่อนเพลียมาก เขาให้น้ำเกลือนะ มันแทงเข้าไปในสายเลือด มันยังให้ได้เลย ธรรมะมันจะแทงเข้าไปที่ไหนล่ะ? ธรรมะถ้าเราไม่เปิดใจเอาที่ไหนมาเข้า? นี่ธรรมะมีอยู่แล้ว แต่มันเข้าถึงหัวใจเราไหมล่ะ? มันไม่เข้าถึงหัวใจเพราะเราไม่สนใจไง

เริ่มต้นเราต้องสนใจก่อน เราต้องเป็นสุภาพบุรุษก่อน เราต้องซื่อตรงกับตัวเราเองก่อน ถ้าเราซื่อสัตย์กับธรรมะ นี่สีเลนะสุคะติง ยันติ สีเลนะโภคะสัมปะทา ศีลเป็นที่ให้เรามีโภคทรัพย์ ศีลทำให้เรามีความสุข ศีล เห็นไหม เราซื่อสัตย์กับศีล แต่นี่เราว่าไปถือศีลๆ กัน พอเราถือศีลกัน ทำบุญแล้วทำไมไม่ได้อย่างนั้น? นี่มันไม่ซื่อตรงกับศีลธรรม ถ้ามันซื่อตรงกับศีลธรรม เราทำความสงบของใจเข้ามา

ความสงบ ความสุขมันเกิดมาจากไหน? ความสุขมันเกิดมาจากไหน? ความสุขเกิดมาจากความสงบของใจ แล้วใจมันสงบไหมล่ะ? มันไม่สงบ เพราะอะไร? เพราะมันถือศีลจะให้มันสงบนี่ความปกติของใจ ศีลคือความปกติของใจ แล้วใจมันปกติไหมล่ะ? พอไม่ปกติมันดิ้นรน มันต้องการอย่างนั้น ต้องการความคิดไป มันความคิดแบบโลกๆ ไง ความคิดแบบผลประโยชน์ไง ความคิดแบบลาภสักการะไง

โลกธรรม ๘ เห็นไหม โลกธรรม ๘ มันลงที่ไหนล่ะ? มันก็ลงที่คนนี่นะ ลงที่คน จะบอกว่าลงที่คน ถ้าลงที่คนลงที่ไหน? ลงที่คน คนคือใคร? คนก็คือบุคคลที่ยังมีการเคลื่อนไหวอยู่ แต่มันลงที่หัวใจต่างหากล่ะ คนมันไม่รับรู้หรอก ร่างกายไม่รับรู้สิ่งใดๆ ทั้งสิ้นเลย ซาก นี่ร่างกายเป็นแค่ซากนะ ดูสิเวลาสัตว์มันตายขึ้นไปมันมีแต่ซากศพ เอาซากมาทำเป็นอาหาร แล้วมันไปไหน? แล้วเวลามันเจ็บปวดมันเจ็บปวดที่ไหนล่ะ? มันเจ็บปวดที่ใจใช่ไหม? มันไม่ได้เจ็บปวดที่ซากหรอก

นี่ก็เหมือนกัน ลงที่มนุษย์ แล้วมนุษย์อยู่ที่ไหนล่ะ? มันอยู่ที่หัวใจต่างหากล่ะ เพราะมันยังมีความรู้สึก มันยังเคลื่อนไหวไปได้ แล้วมันรับรู้ได้ รับรู้ได้มันก็ซับลงที่ใจ ใจมันก็เจ็บปวดแสบร้อน เห็นไหม นี่โลกธรรม ๘ สิ่งที่เป็นสิ่งที่กระทบกระเทือนมา มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเสื่อมหมด กลับสู่ความปกติของธรรมชาติ ดูสิลมไม่พัด ไม่เคลื่อนไหวนิ่งสงบเลย เวลาพายุมา ลมมามันพัดต้นไม้ล้มระเนระนาดนะ เวลาพายุของใจมันเกิดขึ้นมา มันพัดให้เราเจ็บปวดแสบร้อนในหัวใจมากเลย

ถ้าเรามีสีเลนะสุคะติง ยันติ สีเลนะโภคะสัมปะทา สุคะติง ยันติ นี่สุข ความสงบของใจ ถ้าใจมันสงบขึ้นมา ความสงบของใจขณะที่เราทำจิตสงบมันยังมีความสุขขนาดนั้นนะ แล้วถ้าเราชำระกิเลสในหัวใจออกไปมันจะมีความสุขขนาดไหน? แต่นี้เราทำกันไม่ได้ พอทำกันไม่ได้มันเหมือนกับลงทุนลงแรง เห็นไหม เวลานั่งสมาธิจะภาวนา โอ้โฮ ถอยกรูดๆ เลย มันไม่กล้าทำ มันไม่กล้าทำนะ เพราะทำไปแล้วมันไม่ได้ผล แล้วเวลาทำไปมันเป็นการภาวนาเพื่อเอาเวลา ภาวนาเพื่อจะเอาผลกัน นี่ตัณหาซ้อนตัณหานะ

โดยสัญชาตญาณของมนุษย์ คนทุกคนต้องการทำดีทั้งนั้นเลย ต้องการสิ่งที่ดีขึ้นมาเลย แล้วเวลาทำขึ้นมาก็อยากดีๆ ซ้อนเข้าไปอีก นี่กิเลสมันเอาอย่างนี้มาหลอกเรา แล้วบอกนี่ปฏิบัติธรรมแล้วไม่ได้ธรรม ปฏิบัติแล้วมีความสุข แล้วความสุขมันเกิดที่ไหน? มันมีแต่ความเร่าร้อน นั่งไปนี่ก้นร้อนเลย นั่งไปมีแต่ความเจ็บปวดๆ เห็นไหม มันเอามาจากไหนล่ะ? ก็กิเลสมันเสี้ยมมา กิเลสมันซ้อนมา มันกำลังสองมา ความดีดดิ้นในหัวใจมันกำลังสองมา มันบวกขึ้นมา มันดิ้นรนในหัวใจขึ้นมา แล้วเราก็ว่าเราจะไปทำความสงบของใจ

เราไม่ซื่อสัตย์ เห็นไหม เราไม่ซื่อสัตย์ตั้งแต่เริ่มต้น เราไม่ซื่อสัตย์กับเราเอง เราไม่ซื่อตรงกับธรรมและวินัย พอเราไม่ซื่อตรงกับธรรมวินัย ความคิดความเห็นมันเบี่ยงเบนไปหมดเลย เบี่ยงเบนเป็นเรื่องของโลกๆ ไง ความคิดเป็นโลก เป็นโลก เป็นโลกียปัญญา มีความฉลาดมาก มีความรู้มาก มีสิ่งต่างๆ รู้มาก แต่ความรู้อันนี้มันมาจากไหนล่ะ? มันหาแต่ฟืนแต่ไฟนะ หาแต่ความเบียดเบียนตัวเองมาสุมลงหัวใจ มันไม่สงบขึ้นมาให้ได้ ถ้าพุทโธ พุทโธนี่มันจืดสนิทไง ดูสิเวลาอาหารที่ไม่มีสารพิษเจือปน เห็นไหม รสชาติไม่สะใจเราเลย อาหารที่มีรสชาติเต็มพอใจเราเลย มันกินเข้าไปแล้วมันไปปั่นป่วนอยู่ในท้องนะ

นี่ก็เหมือนกัน ความคิดที่มันเป็นโลกียปัญญา ความคิดที่เราพอใจ ความคิดของกิเลส ความคิดที่ว่าเป็นผลประโยชน์ของเราไง ความคิดอย่างนี้ดี ความคิดอย่างนี้ดี มันเป็นโลกียปัญญา ถ้าโลกียปัญญา โลกียะเกิดมาจากไหน? เกิดมาจากใจ ความคิดเกิดมาจากใจ ความคิดไม่ใช่เรา ความคิดไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่ความคิด ความคิดไม่ใช่เราหรอก ถ้าเป็นเรามันต้องอยู่กับเราตลอดไป เราต้องไม่เผลอเลย จำอะไรได้ ศึกษาอะไรได้ เรียนอะไรได้มันต้องไม่ลืมเลย

ถ้าความคิดเป็นเรานะ ความคิดเป็นเรานี่เราจะไม่เผลอเลย จะไม่ลืมสิ่งใดเลย แล้วนี่ลืมหมด จำเท่าไหร่ลืมหมดเลย ไม่มีอะไรเป็นของของเราเลย แต่มันก็ต้องขยันๆ ขึ้นมา ขยันขึ้นมามันก็ฟุ้งขึ้นมา ฟุ้งขึ้นมาในหัวใจ นี่โลกียปัญญามันเกิดมาจากกิเลส เกิดมาจากฐานข้อมูล เกิดมาจากภวาสวะ เกิดมาจากภพ เกิดมาจากหัวใจ แล้วหัวใจนี้มันโดนครอบงำด้วยอวิชชา แต่ถ้าเราทำความสงบของใจเข้ามา ตอนนี้มันปรับพื้นที่

ดูสิเวลาเราจะปลูกสิ่งปลูกสร้าง เห็นไหม พื้นที่เราลาดชัน เราจะทำให้มันเสมอเพื่อเราจะสร้างสิ่งใดขึ้นมา มันต้องลงทุนลงแรง ถ้ายิ่งลาดชันมาก ยิ่งถมมากยิ่งต้องลงทุนมาก หัวใจมันเอียง หัวใจมันไม่เสมอ ต้องกำหนดพุทโธ พุทโธขึ้นมา พุทโธนี่น้ำอมตธรรม พุทโธ พุทโธนี่น้ำจืดสนิทดี นี่ดินหรือสิ่งที่จะมาถมที่ เห็นไหม สิ่งที่เอาอะไรมาถมเข้าไปๆ แล้วเราเป็นคนเกลี่ย เราเป็นคนจัดการของเรา เราดูแลของเรา นี่มันจะสงบเข้ามา สงบเข้ามา นี่มันปลอด ความสุขอย่างใดเท่ากับความสงบไม่มี เพราะจิตมันปล่อยจากความครอบงำของกิเลสชั่วคราวๆ

ถ้าเรามีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย้อนไปวิปัสสนา นี่โลกุตตรปัญญามันเกิดอย่างนี้ อย่าเพิ่งเหมาว่าปัญญาของเรานี่ผู้ที่เป็นธรรมๆ ไม่ใช่หรอก กิเลสพาใช้หมด กิเลสพาใช้หมดเลย กิเลสเอาปัญญาเรานี่มาใช้ แล้วกิเลสเอาปัญญาของเราเชือดเฉือนเราเอง ทำลายโอกาสของเราเอง น้อยเนื้อต่ำใจ ทำอะไรก็น้อยเนื้อต่ำใจ ขาอ่อน ทำอะไรไม่ได้เลยเพราะว่าปัญญาอย่างนั้น

เราต้องเชื่อมั่นในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน เวลาทุกข์ยากขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสลบไปถึง ๓ หน ทรมานตนถึง ๖ ปี สิ่งใดที่เขาทำแล้ววิกฤติขนาดไหนในเรื่องอัตตกิลมถานุโยค องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทดสอบมาหมดแล้ว แล้วอย่างเราไม่ต้องไปเชื่อใคร นี่ศึกษาธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระไตรปิฎกนี่ แล้วไม่ต้องเชื่อใครเลย เพราะอะไร? เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทดสอบมาหมดแล้ว

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทดสอบมาหมดแล้วนะ เราไม่ต้องไปเชื่อใคร ไม่ต้องให้ใครมาปั่นหัว ไม่ต้อง ไม่ต้องเลย แต่เราก็ยังเชื่อเขาอยู่ เพราะกิเลสมันจะเอาทางลัด มันจะลัดลงนรกไง อะไรสะดวกๆ นี่ลาดชัด โอ๋ย ทางนี้ทางสะดวกมาก ทางนี้ทางพอใจของกิเลส แต่ทางที่เป็นทางรกชัฏไง รกชัฏนี่ป่า เห็นไหม ป่าคือกิเลส ดูสิเวลาเราอยู่ในโลกนี้เราต้องการป่า เพราะมันฟอกอากาศ มันเป็นออกซิเจนต่างๆ ป่านี่ทำให้โลกชุ่มชื้นขึ้นมา ป่าให้โลกสมดุลขึ้นมา

ในหัวใจก็เหมือนกัน ในเมื่อมันมีความรู้สึก มันมีขันธ์ ๕ มันมีป่าอยู่ แล้วกิเลสอาศัยอยู่อย่างนี้ เราจะโค่นป่าโดยที่ไม่ได้ทำลายป่าเลยนะ เขาโค่นป่า เขาทำลายจนป่านี้ราบเป็นหน้ากลองเลย แต่เราทำลายกิเลสในหัวใจของเรา เห็นไหม ป่านี้ เราโค่นป่าแล้วนี่ความปกติของใจ นี่มันจะย้อนกลับมาในใจของเรา ถ้าเกิดปัญญาอย่างนี้ขึ้นมา นี่เกิดปัญญาอย่างนี้มันเกิดมาจากไหนล่ะ? เกิดจากว่าใจเราไม่หลับใหล ถ้าใจหลับใหลนี่ทำด้วยกิเลส กิเลสมันพาหลับใหล นี่สำลักนะ สำลักธรรมะนะ

ปฏิบัติกันโอ้โฮ เป็นคุ้งเป็นแคว ได้มรรคได้ผลมานี่ท่วมหัวท่วมหาง แล้วไม่ได้อะไรเลย มันสำลักธรรมไง ธรรมพาสำลักจนอาเจียนออกมา นั่นธรรมะหรือ? ถ้าธรรมะเป็นความจริง เห็นไหม มันสงบของใจ ผู้ที่มีธรรมนี่อยู่ด้วยความสงบของใจ ใจสงบมาก ไม่มีสิ่งใดเกิน ไม่ล้น ธรรมะนี้ไม่ล้นหัวใจหรอก ถ้าธรรมะเต็มหัวใจ หัวใจจะมีความสงบร่มเย็นของใจดวงนั้น แต่ความร่มเย็นมันไม่สำลักนะ

นี่คนตื่นขึ้นมา คนไม่หลับใหล ไม่หลับใหลกับกิเลส คนหลับใหลไปกับกิเลสนะ แล้วก็แห่ตามกระแส กระแสว่าการปฏิบัติธรรมอย่างนั้น ธรรมะรุ่งเรือง การปฏิบัติ ปฏิบัติของใคร? กิเลสพาปฏิบัตินะ ถ้ากิเลสพาปฏิบัติ ดูสิดูวิธีการมันผิด เป้าหมายผิด เข็มทิศมันชี้ไปทางใต้ แล้วเดินตามเข็มทิศไปมันจะไปไหนล่ะ? มันก็ต้องลงทะเลสิ ถ้าเข็มทิศมันชี้ไปถูกทาง เราเดินตามเข็มทิศนั้นก็ถูกต้อง นี่ถ้าพูดถึงวิธีการมันถูกต้อง เป้าหมายมันต้องถูกต้องสิ ถ้าวิธีการไม่ถูกต้อง แล้วไม่ถูกต้องใครเป็นคนบอกล่ะ?

ไม่ต้องมีใครบอกหรอก ในหัวใจที่มันสัมผัสนี่มันรู้ ถ้ามันซื่อสัตย์กับตัวเอง ถ้าตัวเองซื่อสัตย์กับเรา สมาธิก็เป็นสมาธิ ไม่ใช่เป็นมิจฉา ไม่เป็นภวังค์อย่างนี้กันหรอก ถ้ามันซื่อสัตย์กับตัวเอง อะไรบ้างที่มันผิด อาหารที่ใส่ปากไปนี่มีแต่สารพิษๆ เราไม่รู้หรือ? เราไม่รู้ ถ้ามันละเอียดอ่อนเราต้องไปให้หมอวิเคราะห์วิจัย นั่นอีกเรื่องหนึ่ง แต่แค่เราสัมผัสของบูดเน่านะ ใส่ปากเข้าไปเรายังคายทิ้งเลย สั่งอาหารเราได้ของไม่ดี เรากินเข้าไปมันเสียเราก็คายทิ้ง แล้วปฏิบัติไปมันไม่เป็นไป

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปีมันต้องเข้าถึงสัจธรรมความจริงสิ” นี่ถ้าเรา ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี แล้วเราทำมากี่ปี? แล้วเราทำจริงหรือไม่ทำจริง? ถ้าทำจริงของเราขึ้นมา ถ้าเป็นสัมมา สัมมาความถูกต้อง ทิฐิเสมอกัน ภิกษุถ้ามีทิฐิเสมอกัน ความเห็นเสมอกัน ความเป็นอยู่ของภิกษุนั้นมีความสุขมาก ความมีทิฐินะ เห็นไหม อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา มงคลชีวิตเลยนะ นี่เราไม่คบคนพาล แล้วไม่ต้องไปพาลข้างนอก มันเรื่องของเขา พาลคือพาลหัวใจของเรา ถ้าคนพาลมันฟาดงวงฟาดงาในหัวใจ ในหัวใจนี้มันพาล ถ้ามันพาลแล้วมันได้อะไรขึ้นมา?

มันปฏิบัติแบบพาลๆ ถ้ามันพาลข้างในมันก็เอาแต่สมบัติที่เป็นของพาลเข้ามาในหัวใจ ถ้ามันเป็นบัณฑิตขึ้นมานี่มันรู้ผิดรู้ถูก ถ้ารู้ผิดรู้ถูก มันซื่อตรงกับตัวเองมันต้องมีใครบอก? ไม่ต้องมีใครบอก กาลามสูตร พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้วนะ ไม่ให้เชื่อแม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ ไม่ให้เชื่อแม้แต่ครูบาอาจารย์เทศนาว่าการ ไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้นเลย เชื่อประสบการณ์ เชื่อปัจจัตตัง เชื่อความรู้สึกในใจ ใจมันสัมผัส มันรู้ของมันเองทั้งนั้นแหละ ใจนี่สัมผัสรู้หมด ไม่ต้องมีใครหลอกหรอก เพียงแต่วิธีการที่เราจะก้าวเดิน เห็นไหม

นี่ครูบาอาจารย์ชี้นำถูกต้อง ถ้ามีครูบาอาจารย์ชี้นำ ครูบาอาจารย์สำคัญมาก สำคัญจริงๆ ถ้าไม่สำคัญนะ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๖ ปี นี่ถึงว่าจะไปสอนใครได้ไง แล้วเวลามาสอน เห็นไหม เวลามาสอนอัครสาวก ดูพระโมคคัลลานะสิ มาเฝ้าแล้วนี่ผู้มีฤทธิ์มาก แล้วสร้างสมบุญญาธิการมา นี่ง่วงเหงาหาวนอน พระพุทธเจ้าไปบอกเลยให้ตรึกถึงธรรม ให้ตรึกถึงธรรม เวลาพระสารีบุตรนี่มีปัญญามาก ขนาดว่าพระโมคคัลลานะสำเร็จไปแล้วนะ ก็ยังใช้ปัญญาใคร่ครวญ ไม่เชื่อสิ่งใดทั้งสิ้น ไม่เชื่อ จนสุดท้ายต้องเทศนาว่าการคนอื่นนะ พระสารีบุตรเป็นผู้เก็บขึ้นมา เพราะเป็นผู้มีปัญญา

นี่ถ้าผู้ใดประพฤติปฏิบัติมา เวลาวิกฤติของความเห็น เวลาส่วนที่มันจะได้เสีย อย่างของเรานี่ทำอาหารกำลังจะสุกๆ เราจะเอาลงจากเตาได้อย่างไร? แล้วทำอย่างไรอาหารจะสุก นี่มันไฟอ่อนไปไม่สุก เสียก็มี ไฟแก่ไหม้เสียหายเลยก็มี นี่ก็เหมือนกัน ปัญญาเวลามันเกิดขึ้น วิกฤติอย่างนั้นถ้ามันไม่สมดุล นี่มรรคญาณ มรรคญาณมันเกิดอย่างนี้ มรรคญาณมันรวมตัวนี่อาหารสุกพอดี กลมกล่อมพอดี สุกพอดี อาหารนั้นมีรสชาติพอดี

มรรคสามัคคีรวมตัวเข้ามาอย่างไร? ถ้ามันมีวิกฤติในใจ ใจมันเคยสัมผัสมาอย่างนี้ ใจมันเคยล้มลุกคลุกคลานมาอย่างนี้ นี่มันเห็นถึงลูกศิษย์เวลาประพฤติปฏิบัติ มันจะเข้าใจนะ เห็นแล้วเข้าใจ แล้วน่าสงสาร น่าสงสารมาก แต่ แต่ก็ต้องเป็นอย่างนี้ เพราะธรรมเกิดขึ้นมาจากเรา ไม่มีใครเอาธรรมะผ่าหัวอกแล้วยัดให้เรา ไม่มี ถ้ามีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำให้แล้ว

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์คือรื้อหัวใจไง รื้อหัวใจคือชี้นำไง แล้วเราต้องพยายามฝืนของเราขึ้นมา เราปฏิบัติของเราขึ้นมา ถึงจะสงสาร ถึงจะเมตตาขนาดไหนเขาก็ต้องบึกบึนตัวเขาไปเอง โดยธรรมชาติของใจดวงนั้น ใจดวงนั้นต้องหาทางออกเองเท่านั้น เราติดคุกอยู่ในหัวใจ นี่กรงขังของใจมันขังเราอยู่นี่ แล้วใครก็เอาออกให้เราไม่ได้ เราต้องทำลายกรงขังนี้ออกไป ใจนี้มันต้องทำลายกรงขังนี้ออกไปโดยตัวมันเอง ไม่มีใครทำให้ได้เลย แต่ครูบาอาจารย์เป็นคนชี้นำ

ถ้าไม่มีคนชี้นำ ดูสิอย่างเช่นเราหลงป่า เราหลงป่าเราออกจากป่า เห็นมีนายพรานเขาเดินออกจากป่า เราเป็นคนหลงป่า เราเป็นคนไม่เคยเดินป่า เราไม่รู้จักเรื่องของป่าเลย แล้วมีนายพรานเขาล่าสัตว์อยู่แล้วเขาเดินออกจากป่า เราเดินตามนายพรานคนนั้นออกไป เห็นไหม เราได้พ้นออกไปจากป่านั้น เราไม่หลงในป่านั้น เราพ้นออกไปจากป่านั้น ชีวิตเราก็รอดตาย

นี่ก็เหมือนกัน ในการประพฤติปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ก็เป็นผู้ชี้นำเรา นี่พาเราออกจากป่าไง ออกจาป่า ออกจากความคิดของเรา ออกจากป่าการประพฤติปฏิบัติของเรา นี่ถึงว่าเราจะไม่หลับใหลไปกับกิเลสนะ อย่าไปเชื่อมัน อย่าไปเชื่อความเห็นของใจ อย่าไปเชื่อความเห็นของกิเลส อย่าเชื่อตัวเอง อย่าเชื่อๆ ให้เชื่อประสบการณ์ของใจที่มันประสบขึ้นมาต่างหากล่ะ ใจประสบขึ้นมา สัมมาสมาธิต้องเป็นสัมมาสมาธิ ถ้าเป็นโลกุตตรปัญญาต้องเป็นโลกุตตรปัญญาไม่ใช่โลกียปัญญา ไม่ใช่จำมาอย่างนี้ ไม่ใช่ปัญญาที่ซ้อนมา ปัญญาที่ไปฉกฉวยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา

ธรรมนี้เป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ แต่มันเป็นธรรมสาธารณะ แต่ถ้ามันเกิดขึ้นมาในหัวใจของเราแล้วมันเป็นธรรมส่วนบุคคล ธรรมของเรา นี่ดูสิเงินงบประมาณเป็นของประเทศไทยนะ เงินในกระเป๋าของเรา ธุรกิจของเรานี่เป็นเงินของเรา ธรรมที่ปฏิบัติขึ้นมา สัมมาสมาธิเป็นของเรา ปัญญาก็เป็นของของเรา แต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่งบประมาณประเทศชาติ เป็นงบประมาณชาวพุทธ ชาวพุทธวางธรรมวินัยไว้อย่างนี้ แล้วเราได้ใช้สอย

นี่เราอยู่ในวัฒนธรรมของชาวพุทธ เราอยู่ในสังคมชาวพุทธแล้วมีความร่มเย็นเป็นสุขอย่างนี้ แต่สมบัติของเราล่ะ? สมบัติของเราอยู่ที่ไหน? มีแต่ทุกข์ๆๆ นี่ แล้วทุกข์ๆ นี้มันจะพ้นออกไปจากใจได้อย่างไร? ถ้าทุกข์พ้นจากใจ มันก็อยู่ที่ว่าเราไม่หลับใหลไปกับกิเลสไง แล้วตื่นตัวขึ้นมา แล้วหาทางออก หาทางออกนะ ไม่หาทางออกจะนอนจมอย่างนี้ แล้วจะต้องเป็นไปตามอย่างนี้แน่นอน แน่นอนเลย เหตุเป็นอย่างนี้ ผลเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้

ถ้าเหตุมันดี เหตุมันแก้ไขขึ้นมา เราจะพ้นออกไปจากกรงขังของใจของเราไง พ้นออกไปจากกิเลส พ้นออกไปจากมัน พ้นจากหัวใจ หัวใจทุกข์อยู่นี่ แล้วมันพ้นที่นี่ แล้วมันรู้ที่นี่ แล้วจะไปฟังใคร? เอวัง