เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๖ ส.ค. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เมื่อวานเขามาถาม เห็นไหม เวลาเขามาพรวนดินต้นไม้ แล้วเขาเอาจอบไปถูกตัวสัตว์ เขาเป็นทุกข์เป็นร้อนนะ เขาเป็นทุกข์เป็นร้อนมากว่าทำไมเขาไปสับตัวสัตว์ แล้วเขาเสียใจมากเลย เราพูดมุมกลับนะ เขาขุดดิน เขาพรวนต้นไม้ แล้วไปโดนไส้เดือน โดนอะไรมันขาด ๒ ท่อน เขาก็มาทุกข์มาเสียใจ พอมาทุกข์มาเสียใจ เราบอกว่า “เอ็งตั้งใจทำเขาไหมล่ะ? เอ็งตั้งใจจะเอาจอบไปฟันมันหรือ? เอ็งไม่ได้ตั้งใจไปฟันมันนะ เอ็งจะไปพรวนดินนะ”

นี่เราจะพูดเรื่องของกิเลสไง เราจะไปพรวนดิน เราตั้งใจไปทำประโยชน์ไง แต่มันอยู่ที่นั่น มันเป็นเรื่องสุดวิสัยไง ของเราเวลาทำคุณงามความดีกัน เราจะบอกทำอะไรแล้วจะไม่ให้แปดเปื้อนอะไรเลย มันจะไม่ให้แปดเปื้อนอะไรได้ล่ะ? ดูสิเวลาเราเดินไป เดินบนท้องถนนเท้าต้องเปื้อนฝุ่นเป็นธรรมดา ทุกคนต้องเดินไปบนถนน แล้วชีวิตเราก็เป็นอย่างนี้ ชีวิตเราต้องมีความจำเป็น ถือศีลเราก็รักษาศีลของเรา รักษาของเรา แต่เรื่องสุดวิสัยมันเป็นการสุดวิสัยนะ

สิ่งนี้สุดวิสัย เพราะเราไม่ได้ตั้งใจจะเอาจอบ เอาเสียม ไม่ได้ตั้งใจจะไปฟันสัตว์หรอก เราไปพรวนดินของเรา ถ้าเราทำคุณงามความดีของเรา สิ่งที่ในหัวใจของเรามันก็จะยอกใจไปอย่างนี้ ถ้ามันยอกใจ เพราะเราไม่เข้าใจ เห็นไหม เราไม่เข้าใจสิ่งต่างๆ อะไรเลย เราทำอะไร นึกว่าโลกนี้มีอยู่สีเดียว โลกนี้มีแต่สีขาว ทุกอย่างเป็นสีขาวไปหมดเลย ทำอะไรต้องเป็นสีขาวไปหมดเลย มันไม่มีหรอก

โลกนี้มี ๒ ด้าน มันมีมืดกับดำเท่านั้นแหละ มันมีขาวกับดำ ฝ่ายตรงข้ามมันก็เป็นเรื่องของสีดำ ฝ่ายตรงความสะอาดมันก็เป็นเรื่องของความสะอาด เราตั้งใจทำความสะอาดของเรา ถ้าเราตั้งใจทำความสะอาดของเรา แล้วเราเกิดมาจากไหน? ดูสิในร่างกายของเรา เวลาฉันอาหารเข้าไปมันของดีทั้งนั้นแหละ เวลาขับถ่ายออกมามันเป็นอย่างไร? มันก็ของเสียทั้งนั้นแหละ แล้วอาหารเป็นของดีไหมล่ะ? อาหารเป็นของดีไหม เวลาขับถ่ายเป็นของเสียไหมล่ะ? ของเสีย แล้วมันอยู่ที่ไหน? ก็อยู่ในร่างกายเรานี่แหละ

ร่างกายมันเป็นเรื่องของสิ่งที่เราเกิดมาเราได้ร่างกายนี้มาแล้ว นี่เป็นความดำรงชีวิตของมันนะ ถ้าเรามาคิดนะ เอามาพิจารณาของเรา นี่มันสลดสังเวช มันสลดสังเวชคืออะไร? เราหาอยู่ หากินมา หามาเพื่อมัน หามาเพื่อมันแล้วหัวใจของเราล่ะ? ถ้าหัวใจของเรา เราไปวัดไปวา เราไปฟังศีลฟังธรรม เราไปจำศีลของเรา เราหาให้มัน นี่เรายับยั้งไว้ เห็นไหม หน้าที่การงานเราต้องทำงาน วันนี้วันพระ วันพระ วันโกน จะไปจำศีล ไปวัดไปวา ก็ว่าให้แก่ให้ชราก่อน คนเฒ่าคนแก่แล้วค่อยไปวัด คนหนุ่มคนสาวยังมีกำลังให้ทำงานก่อน

งานทำนี่มันก็ทำได้ทั้งนั้นแหละ ถ้าเราไม่ยอมหยุดกับมัน มันหยุดกับเราไม่ได้หรอก เพราะหัวใจมันไม่อยากจะหยุด แต่ถ้าหัวใจมันจะหยุดของมันนะ มันหยุดของมันได้ แล้วมันไป หัวใจสงบนะ กลับมามันสดชื่น ทำงานมันสดชื่น พอสดชื่นการทำงานมันทำงานด้วยความเต็มอกเต็มใจ งานการนั้นจะประสบความสำเร็จ ไอ้นี่เราทำแต่งานอยู่ตลอดเวลา เราไม่เคยพักเคยผ่อนเลย แล้วมันก็ทำอยู่อย่างนั้นแหละ แล้วมันก็ล้า มันก็พะว้าพะวัง งานของเราออกมามันก็ไม่ได้สมดังใจปรารถนา ถ้าเราได้พักได้ผ่อนขึ้นมา ให้หัวใจมันชุ่มชื่นขึ้นมาก่อน

บางคนนี่อ่อนเพลียมาก ได้พักก่อนมาทำงาน ถ้าหัวใจมันรู้จักบุญกุศล รู้จักขาวกับดำ มันจะรู้จักชีวิตของเรา ชีวิตของเราควรจะพักบ้าง ควรจะทำบ้าง ไม่ใช่ทำตลอดไป ดูสิเวลาเขาทำงานกันเขายังมีวันหยุดเลย ทางโลกเขายังมีวันหยุดราชการให้หยุดได้พักได้ผ่อน เห็นไหม ถ้าคนทำตลอดไปมันทำไม่ได้ คุณภาพชีวิตๆ ก็ว่ากันไปคุณภาพชีวิต แต่คุณภาพของจิตล่ะ? คุณภาพของจิตใครจะรู้จักมัน เรื่องของความรู้สึกใครจะรู้จักมัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ถึงเห็นเรื่องของจิตมันเป็นอย่างนี้

เรื่องของจิตมันไม่มีวันพักเลย เห็นไหม เขาทำงานกันยังมีวันพักผ่อนนะ นี่ว่าเรื่องของจิต เราไปวัดไปวาก็เพื่อไปพักใจ แล้วมันได้พักไหมล่ะ? มาถึงวัดนี่คิดถึงแต่บ้านนะ ห่วงไปหมดเลย เวลาอยู่กับมันไม่อยากทำ เอาไว้เมื่อนี้ เอาไว้เมื่อนั้น เวลาไปอยู่วัดนะ นู่นก็ไม่ได้ทำ นี่ก็ไม่ได้ทำ คิดถึงแต่บ้าน ใจมันไม่ได้พัก ให้มันพักมันก็ไม่ได้พัก แต่ถ้าเวลาจะพักขึ้นมาเราต้องมีสติมัน เราต้องฝึกมัน ถ้าเราพักขึ้นมา เราพักของเราขึ้นมา เราทำของเราขึ้นมาเอง ดูสิเวลาเราต้องอาศัยเขา เราต้องไปซื้อของ เราต้องไปแสวงหาตลอดเวลา ถ้าของเราทำได้หมดเลย ทุกอย่างก็ทำได้ อะไรก็ทำได้ เราต้องไปแสวงหาใคร?

จิตก็เหมือนกัน ถ้ามันได้พัฒนาขึ้นมา มันหัดของมันขึ้นมา มันทำของมันได้ สติมันก็ตั้งของมันได้ สมาธิก็ตั้งของมันได้ ปัญญาก็ก้าวเดินของมันไป เห็นไหม เราอยู่ป่าอยู่เขา อยู่โคนไม้ อยู่ที่ไหน เราก็เฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลยนะ “ถ้าผู้ใดปฏิบัติตามเรา ถึงจะอยู่ชนบทประเทศ จะอยู่ไกลขนาดไหนนะ เหมือนอยู่ติดใกล้เรา ผู้ใดอยู่กับเรา จับชายจีวรไว้เลย แต่ไม่ได้ทำตามเรานะ เหมือนอยู่ห่างไกลลิบลับเลย”

นี่ก็เหมือนกัน เราอยู่โคนไม้ เราอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ เราปฏิบัติตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหมือนกับเราเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน? ก็อยู่ที่ความรู้สึก อยู่ที่ใจ อยู่ที่พุทโธ อยู่ที่หัวใจเรา ถ้าเราเข้าใจสิ่งนี้แล้วเราจะอุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็ดูแลใจเรา เราตั้งสติของเราขึ้นมา แล้วถ้ามันหยุดได้ มันพักได้ นี่ต่างหากล่ะ

เครื่องยนต์เราใช้ขึ้นมาเราต้องพักเครื่อง เวลาซ่อมเราต้องหยุดเลย แต่หัวใจมันหยุดไม่เป็น เห็นไหม ดูสิเวลาเขาจะผ่าตัดกัน เขาวางยาสลบนะ ไม่อย่างนั้นมันไม่ได้ จิตมันรับรู้หมด มันไม่ยอมหรอก มันดิ้นรน ต้องวางยาสลบให้มันสลบไปก่อน สลบไปก่อนแล้วค่อยรักษา นี่วางยาสลบให้จิตมันสงบไป แต่เวลารักษาก็ผ่าตัดร่างกายนี่แหละ ไม่ได้ผ่าตัดหัวใจหรอก แต่ธรรมะสิมันผ่าตัดหัวใจ สติสัมปชัญญะยับยั้งมันไว้ มีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา ยับยั้งมันไว้ให้มันสงบเข้ามา มันมีความสุขเข้ามา สงบเข้ามา

จิตสงบเข้ามาอย่างนี้ นี่ความสุขอย่างนี้ เกิดมาเป็นเรา เราก็รู้หน้าที่การงานของเรา หน้าที่การงานก็ทำเป็นสัมมาอาชีวะ เราก็ต้องทำหน้าที่ของเรา นี่เราก็ใช้ชีวิตใคร่ครวญไป เมื่อใด! เมื่อใดถ้าจิตมันเข้มแข็งขึ้นมา เราจะใช้ชีวิตพรหมจรรย์ เห็นไหม ชีวิตพรหมจรรย์ เราจะเป็นนักบวช เราจะออกบวชขึ้นมา ชีวิตพรหมจรรย์เราหาเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เรามีหน้าที่การงานของเรา เราต้องหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เราต้องมีหน้าที่การงานขึ้นมาเพราะเรามีความจำเป็นใช้จ่าย มีปัจจัยเครื่องอาศัยเราต้องอาศัยชีวิตของเราไป นั่นมันก็ขึ้นอยู่กับชีวิตนั้นไป แล้วถ้าเรามีหลักมีเกณฑ์เราก็รักษาของเราไป แต่ถ้าหลักใจเราเข้มแข็งขึ้นมาเมื่อไหร่ วันใดเราจะใช้ชีวิตพรหมจรรย์

นี่ดูสิภิกษุ เห็นไหม ภิกษุเป็นผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ใช้ชีวิตพรหมจรรย์ เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง บิณฑบาตมาเลี้ยงชีวิต เลี้ยงชีวิตเพื่ออะไร? เพื่อประพฤติปฏิบัติ นี่ถ้าจิตใจเราเข้มแข็งขึ้นมา เราจะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์มากกับเราอีกชั้นหนึ่ง สิ่งที่เป็นประโยชน์กับเรานะ ดูสิดูเขาพัฒนาประเทศชาติขึ้นมา นี่เป็นสมบัติของโลก คนนั้นมีชื่อมีเสียง ได้พัฒนาเป็นสมบัติสาธารณะให้โลกได้ใช้สอย

อันนั้นมันเป็นเรื่องของโลก ถ้าเอามาเป็นธุรกิจมันก็เป็นสินค้า เป็นการหาผลประโยชน์ แต่ถ้าเราพัฒนาจิตของเรา ถ้าจิตมันเข้าใจขึ้นมา พรหมจรรย์ที่ลึกกว่า นี่ลึกกว่าคือว่ามันควบคุมตรงนี้ได้ ถ้าควบคุมตรงนี้ได้เราว่าจะไปสอนใคร? จะไปสอนใคร? ก็สอนตัวเราเองก่อนไง ถ้าจิตของเราสว่างไสวขึ้นมา เห็นไหม เทวดา อินทร์ พรหมเขาเข้าใจนะ ดูสิคนดีผีคุ้ม เขาจะรักษาเรา นี่โลกนี้เวลาเขาประสบความสำเร็จ เขาใช้กันเฉพาะในขอบเขตของตำบล อำเภอ หรือประเทศเท่านั้นเอง หรือจะไปทั่วโลกเขาต้องซื้อหากัน แต่เวลาจิตสงบขึ้นมา เทวดา อินทร์ พรหม นี่เทศนาว่าการสอนเทวดา สอนอินทร์ สอนพรหม สอนทุกอย่าง

การสอนอย่างนี้ ประโยชน์นี้ไม่ใช่เฉพาะโลกนี้นะ ประโยชน์ในวัฏฏะนี้เลย ในสวรรค์ ในนรกต่างๆ จิตดวงนี้มันพึ่งพาอาศัยได้หมดเลย จิตนี้มันชุ่มเย็นไปหมด ถ้าจิตชุ่มเย็นไปหมด เราสุขแล้วมันชุ่มเย็น นี่ถ้าเรามีความสุข เราชุ่มเย็นแล้วมันเป็นประโยชน์กับเขาขนาดนั้น มันจะมีรสชาติขนาดไหนล่ะ? นี่ความสุขของเรา เราได้แต่คาดหมายเอาเองไง เราคาดหมายว่าควรจะเป็นอย่างนั้น ควรจะเป็นอย่างนี้ เวลาถือศีลขึ้นมา เวลากระทบกระเทือนขึ้นมา มันก็มีความเจ็บช้ำน้ำใจ เราจะทำคุณงามความดีนี่ทำไมเราไปทำลายเขา

ไอ้นี่มันเป็นเวรเป็นกรรมนะ เป็นเวรเป็นกรรมที่มันเป็นไป เราไม่ได้ตั้งใจ เราไม่ได้ตั้งใจเลย สิ่งใดๆ เราไม่ได้ตั้งใจเลย แล้วกิเลสมันก็เอาสิ่งนี้มาคอยทำลายเรา แต่เวลาทำคุณงามความดีมันไม่อยากทำ มันทำขึ้นไปแล้วมันก็อ้างอิง อ้างเล่ห์ไปตลอดเวลา เมื่อนั้น เมื่อนี้ มันผัดผ่อนของมันไป แต่เวลาสิ่งใดที่มันเจ็บปวดแสบร้อน มันจะทำให้ความตั้งใจของเราหยุด นี่เราทำอย่างนี้มันผิดพลาดแล้ว ทำอย่างนี้ทำแล้วมันเป็นขวากหนามกั้นทางที่จิตมันจะก้าวเดินไปไง

ถ้ามันไม่เป็นขวากหนามนะ มันเป็นสิ่งส่งเสริมกัน สิ่งนั้นมันคือกรรมของเขา นี่มันเป็นอดีตไปแล้ว เวลาทำลายไปแล้วเราไม่ได้ตั้งใจเลย เราทำคุณงามความดีของเรา แต่เขาเข้ามาในจังหวะที่ให้มันประสบอุบัติเหตุอย่างนี้ไง สิ่งที่ประสบอุบัติเหตุก็แล้วกันไป ก็กรรมของเรา ถ้าพูดถึงเศร้าใจมันก็เศร้าใจ เพราะเศร้าใจนี่วัฏฏะ คนเกิดมาแล้ว สิ่งต่างๆ เกิดมาต้องพบกัน เห็นไหม เกิดมาแล้วมีเวรมีกรรมต่อกัน เกิดมาแล้วส่งเสริมกัน เกิดมาแล้วทำคุณงามความดีต่อกัน วัฏฏะมันเกิดมาแล้วพบกัน ถ้าสิ่งใดที่มันไม่ถูกใจเราก็พยายามสงบสติอารมณ์ของเราไว้ นี่แผ่เมตตาไป เพราะสิ่งนี้มันสร้างสมมา มันมาตั้งแต่อดีตชาติ มันเป็นสิ่งที่ต้องมีเหตุมีผลของมันมา มันถึงมาเจอสภาวะแบบนี้ แต่ถ้าคิดประสาเรา สิ่งที่เราไม่ชอบใจเราก็ต้องเสียดสี ต้องมีการกระทำไป มันก็สร้างเวรสร้างกรรมกันต่อไป เห็นไหม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้แล้วนะ “เวร ย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร”

เวร จองเวรต่อกันไม่มีที่สิ้นสุดนะ เวร ย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร เขาจะทำอะไรเรื่องของเขา เรื่องของเรา เรารักษาใจของเรา เรื่องของเรา เรารักษาตัวของเรา เรื่องของเรา เราต้องดูแลตัวของเรา ตัวของเราสำคัญที่สุดนะ พ่อแม่เป็นสายบุญสายกรรม พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยายนี่สายบุญสายกรรม ทำบุญกุศล คิดถึงพ่อคิดถึงแม่เป็นเรื่องธรรมดา อุทิศส่วนกุศลให้ปู่ ย่า ตา ยายก็เรื่องธรรมดา สายบุญสายกรรมเราคิดได้แค่นี้ไง แต่การเกิดการตายที่เกิดมา ไม่เคยเป็นญาติโกโหติกากันมาไม่เคยมีเลย แต่เวลาสิ่งที่เราเกิดเป็นญาติโกโหติกา ดูสิพี่น้องของเรายังขัดอกขัดใจกัน ยังมีความบาดหมางกัน มันก็มีบ้างใช่ไหม?

เวลาเกิดมา เราเกิดมาแต่ละภพแต่ละชาติมันก็เกิดมา สิ่งที่เคยบาดหมางกันมามันก็มีสภาวะแบบนั้น ถ้าเราคิดได้อย่างนี้นะเราก็แผ่เมตตาไป แผ่เมตตาไป ปล่อย อย่าไปผูกพันกับเขา แต่เวลาเราวิเคราะห์วิจัยต่างหากล่ะ เห็นไหม เรารู้เขารู้เราไง ถ้าเราเข้าใจชีวิตเป็นอย่างนี้ ดินคือดิน หินคือหิน น้ำคือน้ำ ไม้คือไม้ นี่ก็เหมือนกัน โดยธาตุ เขาเป็นโดยธาตุ ธาตุเขาเป็นอย่างนี้ คนถ้ามันมืดบอดนะ มันไม่ยอมรับสิ่งใดๆ เลย มันมืดบอดของมัน มันก็เป็นอย่างนี้

มันก็เหมือนกับก้อนหิน ก้อนหินมันหนัก ยกทำไม? ก็วางมันไว้นั่นแหละ แต่ถ้าเป็นน้ำ น้ำก็เป็นประโยชน์ นี่คนดี คนดีโดยธาตุ ถ้าวิเคราะห์วิจัยโดยธาตุ ธาตุเป็นอย่างนั้นนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้ในพระไตรปิฎกอยู่ แล้วเข้ากันโดยธาตุ คนธาตุอย่างไรชอบอย่างนั้น ดูชมรมแต่ละชมรมสิ ชมรมนกเขา ชมรมอะไร คนชอบเขาจะไปอยู่ชมรมเดียวกัน

นี่ก็เหมือนกัน ธาตุเขาเหมือนกัน ธาตุเสมอกันเขาก็ไปด้วยกัน แล้วเราเข้าใจโดยธาตุ ถ้าโดยธาตุเป็นอย่างนั้น เราเข้ากันไม่ได้เราก็แผ่เมตตา เราก็ไม่ยุ่งกับเขา นี่วิเคราะห์วิจัยให้รู้จริงแล้ววางไว้ตามความเป็นจริง ไม่ใช่วิเคราะห์วิจัยแล้วเราไปแบกหามให้เป็นทุกข์เป็นยากนะ อย่าไปแบกไปหามให้มันทุกข์มันยาก

“เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร”

เรื่องของเขา กรรมของเขา เขาทำกรรมอย่างนี้ เขาต้องประสบกรรมข้างหน้าแน่นอน ดูสิถ้าเขาระรานเราไป ระรานคนอื่นไป เดี๋ยวเขาต้องไประรานคนอื่นอีก เดี๋ยวต้องมีเหตุการณ์ให้กรรมต้องได้ผลของเขา นั่นมันเรื่องของเขานะ ถ้าเราทำใจได้อย่างนี้ เรามีหลักเกณฑ์ของเราอย่างนี้ ชีวิตเราจะไม่เดือดร้อนไปกับใคร ชีวิตเราจะมีความสุข

ชีวิตของเรานี่ความสุขตามอัตภาพ ผู้ใดทำความดี ถ้าไม่ผิดศีลผิดธรรม ขอให้ได้ประสบสิ่งนั้น ความสุขตามอัตภาพที่เราทำของเรามานะ ถ้าเราขวนขวาย เราดิ้นรนของเรา อย่างนี้ไม่เป็นกิเลสหรอก มันเป็นหน้าที่การงาน แต่ถ้าเราดิ้นรนแล้ว นี่ผลตอบสนองขึ้นมาก็แล้วแต่บุญแต่กรรม แต่ถ้าเราคาด เราหมาย เราต้องการจนเกินกว่าเหตุ อันนั้นเป็นกิเลสนะ มันเป็นความเร่าร้อนนะ แล้วทำถึงที่สุดหรือไม่ถึงที่สุดเราก็พยายามเป็นทุกข์ ไปแบกรับภาระไง

หน้าที่การงานก็แบกรับไว้ รับภาระไว้ความหนักหน่วงอันหนึ่ง แล้วก็หน้าที่จะให้ถึงเป้าหมายที่เราจะต้องแบกไป ถ้ามันถึงเป้าหมายมันถึงของมันเอง คนมีอำนาจวาสนามันจะถึงเป้าหมายเอง ถ้าคนไม่มีวาสนามันก็อย่างนี้ ชีวิตเราจะเป็นแค่นี้ ชีวิตเราจะเป็นอย่างนี้ แล้วชีวิตเราก็จะต้องสิ้นสุดลงที่นี่ ชีวิตเราเป็นอย่างนี้ ถ้าชีวิตเราเป็นอย่างนี้ เราเข้าใจอย่างนี้ เรามีจุดยืนอย่างนี้ เห็นไหม นี่ธรรม ธรรมคือความพอไง ความอิ่มเต็ม ถ้าใจอิ่มเต็มแล้วมันจะเป็นประโยชน์กับเรา เอวัง