เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๙ ส.ค. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

สิ่งทางโลกมันเป็นอย่างนั้น มันเรียนกันไม่จบ แต่ธรรมะเรียนจบนะ เรียนหัวใจนี่จบ โลกนี้ขาดความรัก ความรักความเมตตานี่โลกขาดมาก เวลาครูบาอาจารย์ท่านว่า “เมตตาค้ำจุนโลก” เมตตาจะค้ำจุนโลกเลยนะ เพราะเมตตา เห็นไหม ดูความรักสิ เราขาดความรักกัน แล้วเราว่าเราจะให้ความรักกันไง ความรักแบบโลก ความรักเพราะเรารักเขา เราต้องการให้เป็นแบบที่เราคิด มันเป็นไปไม่ได้นะ

นี่โลกมันต่างๆ กัน เกิดมาในประเทศอันสมควร เกิดในประเทศอันสมควร ถิ่นฐานแต่ละพื้นถิ่นก็ไม่เหมือนกัน แล้วเราอยู่ในพื้นถิ่นนี้ เราเอาความรู้ของเราไปยัดเยียดให้เขา ไปยัดเยียดให้เขานะ เขาไม่ต้องการหรอก เขาต้องการความอบอุ่น เขาต้องการความเห็นใจ ความเห็นใจ ความอบอุ่นนั่นแหละเป็นเรื่องหัวใจ เรื่องหลักของเมตตาธรรมนี่สุดยอดเลยนะ เราเมตตาเขา แล้วเราศึกษาเขาว่าเขาต้องการอะไร? เขาต้องการสิ่งใด

ดูสิองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาตรัสรู้แล้ว นี่เทศนาได้พระ ๖๑ องค์ เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด “เธออย่าไปซ้อนทางกัน โลกนี้กำลังเร่าร้อนอยู่ เธออย่าไปซ้อนทางกัน” แล้วเวลาแสดงธรรมขึ้นมา ธรรมเหนือโลก แล้วมันเหนือโลกได้อย่างไรล่ะ? เราไม่เข้าใจกันนะ ดูเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนันทะเป็นญาติ แต่งงานมาใหม่ๆ เลย คิดถึงแฟนมาก อยากกลับบ้านมาก นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจับแขนเลยนะ เหาะขึ้นไปบนสวรรค์ไปดูเทวดา สวยมากๆ แล้วพอภาวนา

“อยากได้ไหม?”

“อยากได้”

“อยากได้ให้ภาวนา”

อยากได้เทวดามาก คิดถึง ภาวนาเพื่อเทวดา เห็นไหม แต่เวลาบรรลุธรรมขึ้นมาแล้วพระก็ถาม เมื่อก่อนเวลาบริกรรมเป็นนางฟ้าๆๆ แล้วทำไมเดี๋ยวนี้ไม่พูดถึงนางฟ้าเลยนะ เพราะอะไร? เพราะมันเข้าอริยสัจแล้วมันเหนือนางฟ้าอีก สิ่งที่เป็นโลกๆ สิ่งที่เราเห็นสวยงามมาก วิจิตรพิสดารมาก เวลาเราเข้ากันเราเข้าถึงผู้วิเศษไง นี่อภิญญา ๖ รู้วาระจิต รู้ต่างๆ ไปหมดเลย รู้อย่างนี้เราเป็นคนรู้นะ เรารู้เขานะ แต่ความรู้นั้นกลบตัวเองไว้

นี่เราไม่รู้จักตัวเอง เรารู้เรื่องทุกๆ อย่างเลย รู้ทุกอย่าง นี่ความรู้ที่ว่าความรู้กันๆ ความรู้มันกลบตัวเราเอง มันไม่เข้าใจตัวเราเองเลย แล้วเรามีความทุกข์มาก มีความทุกข์ว่ารู้แต่ไม่รู้จักเรา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกโมฆราช เห็นไหม “ให้มองโลกนี้เป็นความว่าง โลกนี้เป็นความว่างหมดเลย แล้วให้กลับมาถอนอัตตานุทิฏฐิว่าเรา...”

เรานี่รู้ว่าว่าง นี่เรารู้ว่าว่างนะ โลกว่าง เราว่ากันอย่างนั้นแหละ ว่าง อะไรก็ว่าง แต่ไม่กลับมาถอนไอ้ตัวตนเรา เราออกไปข้างนอกหมด เราไม่เข้าใจถึงตัวเราเอง โลกเป็นสภาวะแบบนั้น โลกขาดความรัก เรารักกันเราก็รักแบบโลกๆ รักแบบโลกๆ รักแบบตัณหาความทะยานอยากไง แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมตตานะ ดูสิเวลาเรากราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พูดถึงปัญญาคุณ เมตตาคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่แล้วเวลารื้อสัตว์ขนสัตว์เหมือนพ่อแม่รักลูก

ดูสิเรารักลูกของเรา ลูกของเราไร้เดียงสา เด็กนี่น่ารักมาก ไร้เดียงสานะ แต่การไร้เดียงสาไปทำหน้าที่การงานไม่ได้ ไร้เดียงสามันน่ารักก็เฉพาะเหตุการณ์ที่ว่าความเมตตาของเรา แต่เวลาเราออกไปทำหน้าที่การงานเราต้องเข้าใจ เราต้องรู้จักเทคโนโลยีทั้งหมด ถ้าไร้เดียงสาไปทำเทคโนโลยีพังหมดนะ เห็นไหม การไร้เดียงสามันก็เป็นขั้นเป็นตอนของมัน ไม่ใช่ว่าการไร้เดียงสาจะน่ารัก โลกเราจะไร้เดียงสากันไปหมดเลย ไม่ใช่หรอก

โลกเรานี่รู้นะ เวลาพระอริยบุคคล เห็นไหม นี่อย่าดูถูกความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้า เพราะอะไร? เพราะรู้ รู้ถึงความคิดของตัว รู้ถึงความรู้ แล้วก็รู้ถึงตัวตนเราด้วย เพราะตัวตนมันไม่ใช่ความรู้อันนี้ ความรู้อันนี้มันเรื่องจากภายนอก นี่เรื่องของอภิญญานะ แต่ถ้าเป็นอริยสัจ ความรู้อันนี้ ความรู้จากภายในนี่แหละ ความรู้จากอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทุกข์มันเกิดอย่างไร?

นี่ชาติปิ ทุกขา ชาติความเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง แล้วชาติความเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง เวลาเราเกิดมาเป็นอริยทรัพย์ มนุษย์สมบัติเป็นอริยทรัพย์นะ ทรัพย์อันประเสริฐ เราเกิดเป็นมนุษย์ นี่เพราะเกิดเป็นมนุษย์มีสถานะทั้งหมดเลย เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดเป็นมนุษย์ เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์เกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์เป็นชาติที่ว่าเป็นกลาง ขึ้นไปข้างบนก็เป็นเทวดา อินทร์ พรหม ลงล่างไปก็เป็นนรก อเวจี เราเป็นชาติที่เป็นศูนย์กลาง มนุษย์เป็นศูนย์กลางนะ ศูนย์กลางเพราะอะไร? เพราะมีร่างกายกับจิตใจ

อบายภูมิ อบายภูมิ ๔ สัตว์เดรัจฉานมันก็มีร่างกายมีจิตใจเหมือนกัน แล้วไปนรกอเวจีทำไมไม่เห็นล่ะ? นี่แต่เวลาเกิดบนสวรรค์ขึ้นไปเราก็ไม่เห็นแล้ว สิ่งที่เราไม่เห็น ไม่เห็นด้วยตาเนื้อนะ แต่ถ้าผู้ประพฤติปฏิบัติเห็นได้หมด แล้วพอเห็นขึ้นไปอย่างนี้เราก็ไปตื่นเต้นกัน พอตื่นเต้นกัน นี่ความรู้ต่างๆ ไปตื่นเต้นกัน

แล้วเวลาเจ้าชายสิทธัตถะไปเรียนกับอาฬารดาบสก็เหมือนกัน เข้าสมาบัติ พอเข้าสมาบัติก็เหาะเหินเดินฟ้าได้ มันรู้ไปหมด นี่วาระจิตต่างๆ ก็รู้ รู้ได้หมดเลย แต่ความรู้แล้วไม่รู้จักตัวเอง ความรู้มันกลบทับตัวเองไว้นะ กลบทับความรู้สึกของเราไว้นะ

นี่อริยสัจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสำคัญมากเลย มันละเอียดจนคนเข้าไม่ได้ แต่ปัจจุบันนี้เราคิดว่าเป็นปัญญาๆ เราท่องจำเป็นนกแก้ว นกขุนทอง เราว่าทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทุกคนรู้หมด แล้วมรรคก็ว่ากันไปนะ สัมมาอาชีวะเลี้ยงชีพชอบ เลี้ยงชีพชอบมันเป็นการเลี้ยงร่างกายนะ

แต่ถ้าเลี้ยงจิตใจล่ะ? เห็นไหม ความคิด ดำริชอบ ความเพียรชอบ งานชอบ ความดำริชอบ แล้วชอบของใคร? ถ้าชอบเป็นผู้วิเศษ ชอบเรื่องฌานสมาบัติ เรื่องอภิญญานั่นก็ชอบ ชอบของใครล่ะ? ชอบของกิเลส เรารู้ นี่ตื่นเต้นไปหมดเลย เรารู้ สุดยอดเลยๆ เวลาเราละเอียดเข้าไปนะ นี่สิ่งนี้ไปกางกั้น สิ่งนี้ทำให้เราติดขัด

นี่เวลาเรากินอาหาร รสชาติของอาหารทุกคนต้องปรารถนาหมดเลย แต่คุณค่าของอาหารต่างกันแล้ว คุณค่าของอาหาร เห็นไหม นี่ก็เหมือนกัน คุณค่าของใจ คุณค่าของความรู้สึกจากภายใน คุณค่าของอริยสัจที่มันจะเกิดขึ้นมา ถ้าอริยสัจเกิดขึ้นมา นี่จะย้อนกลับเข้ามา นี่ทวนกระแสแล้วย้อนกลับได้ยาก เพราะพลังงานมีแต่ส่งออก พลังงานย้อนกลับใจตัวเองไม่มี

ดูสิจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส นี่มันมหัศจรรย์มาก ผ่องใสๆ ไอ้ความผ่องใส แสงผ่องใสมันขับให้เราออกมาไกลๆ มันนะ ไกลๆ กับตัวตนเราไง ไกลๆ กับตัวเราไง ขับออกไปข้างนอก ทุกอย่างผลักออกไปหมด นี่ไม่ให้เข้าไปหาตัวมันเอง ผลักออกไปข้างนอก เราก็ส่งออกไปข้างนอก เราก็รู้ออกไปข้างนอก ไปข้างนอกออกไป

นี่แล้วครูบาอาจารย์นะ ดูสิองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่าไปสอน ดูสิไปสอนชฎิล ๓ พี่น้อง นี่ไปขออยู่ด้วย ไปขออยู่ด้วยนะ ไม่ได้ ไม่มีที่อยู่ ให้ไปอยู่ในโรงไฟ ไปอยู่ในโรงไฟเพราะอะไร? เพราะมีพญานาค พญานาคเพราะเขาบูชาไฟของเขาอยู่ เขาก็รู้ของเขาอยู่ว่าสมณะต้องตายแน่นอน พญานาคต้องพ่นพิษใส่แน่นอนเลย เวลาไปนี่พ่นควันขนาดไหน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจับไว้ในบาตรเลย

“โอ้..สมณะองค์นี้เก่งมาก แต่ไม่ใช่พระอรหันต์ สมณะองค์นี้เก่งมาก แต่ไม่ใช่พระอรหันต์” ยึดตัวตนว่าเป็นพระอรหันต์ ยึดความรู้อันนี้ไง ยึดความรู้ที่บูชาพญานาค บูชาไฟอยู่นี่ มีฤทธิ์ มีเดช จะรู้ว่าเหาะเหินเดินฟ้าได้หมด เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเตือนนะ เตือนแล้วเตือนอีก ด้วยฤทธิ์ ด้วยต่างๆ ไม่ยอมเข้า นี่ส่งออกหมด ความรู้ส่งออกหมด ถึงบอกว่า “เธอไม่ใช่พระอรหันต์” เท่านั้นแหละคอตกเลยนะ

นี่เรียนกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์อาทิตตฯ ไง มนสฺมึปิ นิพฺพินฺทติ มโนสมฺผสฺเสปิ นิพฺพินฺทติ มโนนั่นน่ะเป็นไฟ บูชาไฟอยู่นี่มันร้อน ใจมันร้อน ความสัมผัสของใจมันร้อน ผลจากความสัมผัสของใจมันก็ร้อน สละหมดๆ จนเป็นพระอรหันต์

พระเจ้าพิมพิสารมา เพราะอยู่ในราชคฤห์ มาเห็นอาจารย์ของตัวคือชฎิล ๓ พี่น้อง แล้วพระพุทธเจ้ายังเป็นหนุ่มอยู่ “แล้วใครเป็นอาจารย์ใคร?” เหาะขึ้นไปบนฟ้า ก้มลงมากราบที่เท้า “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาของเรา” เหาะขึ้นไปบนฟ้า ลงมากราบ “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาของเรา” นี่พระเจ้าพิมพิสารถึงแน่ใจลงฟัง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมจนพระเจ้าพิมพิสารเป็นพระโสดาบันขึ้นมา

นี่อริยสัจมันลึกซึ้ง ความลึกซึ้ง แต่พวกเรามันพูดเป็นโลกๆ นะ โลกๆ แล้วไม่ย้อนกลับ ไม่ทวนกระแสเข้ามา ไม่ทวนกระแสเข้ามามันก็เป็นเรื่องของโลกเขาหมด ความรัก รักของเรานี่รักแบบโลกๆ ความเมตตาก็เมตตาแบบโลกๆ แต่เวลาครูบาอาจารย์ เห็นไหม ดูสิดวงตาท่านดุๆ ดุอะไร? ดุกิเลสเรานะ เพราะกิเลสมันเป็นพลังงานที่ส่งออก มันเป็นตัวขับเคลื่อน ตัวขับเคลื่อน แรงขับ แรงขับนั่นมันจะไม่ยอมเข้าตัวเอง แรงขับมันผลักออกไปจากความรู้สึกของตัว แรงขับมันป้องกันตัวเองไว้

นี่เราดีคนเดียว ทุกอย่างเสียหายหมด ทุกคนไม่ดี จับผิดเขาไปหมดเลย แต่ไม่ย้อนกลับจับว่าไอ้ตัวที่ว่านี่แหละ แรงขับตัวนี้มันไม่ยอมเข้ามาหาตัวเอง แค่แรงขับ แล้วครูบาอาจารย์ต้องมีเทคนิคย้อนกลับไง นี่เทคนิคการสอนนะ เทคนิคการจะย้อนกลับเข้ามา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทคนิคการสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม เวลาเต่ามันหดกระดอง หดตัวมันเข้ามาอยู่ในกระดอง นี่ให้รักษาตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หดเข้ามา อย่าออกไปเพ่นพ่าน มันจะเกิดการไปกระทบจากรูป รส กลิ่น เสียงจากภายนอก

นี่เทคนิคการสอน เทคนิคการสอนต้องย้อนกลับมา ให้ย้อนกลับมาสะท้อนให้หัวใจมันรับรู้ แล้วสะท้อนหัวใจย้อนกลับเข้ามาให้ได้ ถ้าย้อนกลับมา แต่เราไม่ย้อนกลับ เราว่าเราติดในความรู้เราไง เรารู้แล้ว เราเข้าใจแล้วยิ่งต้องศึกษา ไม่รู้ เดี๋ยวกลัวจะไม่รู้เข้าไปใหญ่ ยิ่งไม่รู้มันยิ่งไปใหญ่ ถ้าย้อนกลับมาพุทโธ พุทโธ กลับมาให้สงบ ให้เกิดพลังงาน พลังงานเข้าไปถึงฐานของจิต ปัญญามันละเอียดขึ้นมา มันจะเข้าไปทำลายตัวอุปาทาน

ตัวอุปาทานมันอยู่ที่ไหนล่ะ? ตัวอุปาทานมันเกิดจากจิต มันนอนเนื่องมากับความรู้สึก เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว เห็นไหม “มารเอย เธอเกิดจากความดำริ”

นี่มันนอนเนื่องกับความคิด นอนเนื่องกับความรู้สึกของเรา ความรู้สึกที่มันออกไป มารออกไปเพราะอะไร? เพราะตัวอวิชชามันอยู่ที่ตัวจิต อยู่ที่พลังงานเลย แล้วพอแรงขับมันออกไป พลังงานที่ไปกับแรงขับ เห็นไหม มันก็จะมีอวิชชา มีความไม่เข้าใจของเราออกไปด้วย พอความไม่เข้าใจออกไปด้วย พอเราใช้ความสงบของใจเข้ามา มันย้อนกลับเข้ามา ความสงบของใจมันเข้าไปตรงนี้ ให้สิ่งที่มันนอนเนื่องมาเบาบางลง

เราใช้ปัญญาขึ้นไปขนาดไหน ปัญญามันก็ใคร่ครวญ แยกแยะ ใคร่ครวญ แยกแยะ การใคร่ครวญแยกแยะนี่มรรค สิ่งที่ว่าเป็นมรรค ปัญญาที่ภาวนามยปัญญา มรรคเกิดเกิดอย่างนี้ไง แล้วมันไม่อยู่อย่างนี้เพราะอะไร? เพราะดูสิเชื้อโรคมันอยู่กับเรา มันต้องมีอยู่ตลอดไป ถ้าเราไม่ฆ่าเชื้อ เชื้อต้องอยู่กับเราตลอดไป

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่ออวิชชามันอยู่กับใจตลอดไป มันจะหมดไปได้อย่างไรล่ะ? ถ้ามันหมดไป พอถ้ากำลังเราอ่อนไป เชื้อนี้มันก็ต้องแสดงตัวมากขึ้น เวลาเราวิปัสสนาไป เราใช้ปัญญาไปมันไปไม่ได้ มันดึงกัน เวลาถ้าปัญญาไม่พอนะ พิจารณาไปมันไม่ปล่อยวาง มันไม่จบกระบวนการของมัน แต่ถ้ามีสมาธิขึ้นมา คิดอะไรเราเข้าใจไปหมดเลย คิดนี่มันคิดในแง่บวก คิดในแง่ดี สิ่งนั้นผิด เห็นความถูกความผิดแล้วมันปล่อย ปล่อย ปล่อย นั่นแหละกำลังพอ

ถ้ากำลังไม่พอต้องย้อนกลับมาพุทโธ พุทโธ กลับมาพุทโธ กลับมาหาพลังงานตัวนี้ สะสมพลังงานตัวนี้ขึ้นมาเพื่อให้แรงขับมันเบาลง ให้แรงขับมันเบาลง นี่สิ่งที่นอนเนื่องไง

“มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา” แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ฆ่ามันแล้ว “บัดนี้เธอจะเกิดอีกไม่ได้”

ความดำริอันนั้นจะเป็นความดำริที่บริสุทธิ์ ความคิดขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นความคิดที่บริสุทธิ์ เพราะอะไร? เพราะไม่มีมาร ได้ฆ่ามารแล้ว เห็นไหม ภาราหะเว ปัญจักขันธา ความคิดของพระอรหันต์ ความคิดเป็นความคิดบริสุทธิ์ ไม่ใช่ความคิดแบบกิเลส แต่ถ้าเป็นปุถุชนเรานี่ความคิดเหมือนกัน แต่มันมีมารมันออกมาจากอวิชชา ตัวพญามารมันมีกำลังออกมาด้วย ความคิดของเราจะบวกไปตลอด เห็นไหม ความรักของเราถึงไม่บริสุทธิ์ไง ความรักของเราถึงเป็นความรักที่เห็นแก่ตัวไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “ที่ไหนมีความรัก ที่นั่นมีความทุกข์”

ที่ไหนมีความรักนะ แต่ที่ไหนมีความเมตตา มีความกรุณาไม่ใช่ความทุกข์ มีความเมตตา มีความกรุณา แล้วมันเป็นกรรมของสัตว์ ถ้าสัตว์เราเมตตา เรากรุณาของมัน สัตว์ที่มีเจ้าของ สัตว์ที่มีคุณ สัตว์ที่มีความรู้สึกบุญรู้สึกคุณ สัตว์ที่มันสร้างบุญญาธิการมา มันจะย้อนกลับเข้ามาไง ย้อนกลับเข้ามา

เวลาท่านเตือน เตือนเรื่องของเรา เวลาท่านเตือนนะ แต่ถ้าเป็นอตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เราเห็นความผิดของเราเอง เรารู้ว่าสิ่งที่เราทำนี่เป็นความไม่ดี เราจะแก้ไขของเราเอง ความที่เราแก้ไข เราทำของตัวเราเองขึ้นมา สิ่งนี้เป็นประโยชน์กับเรา เห็นไหม เพราะอะไร? เพราะมันออกมาจากแรงขับ ออกมาจากพลังงานของเราเอง มันไม่มีการเปรียบเทียบไง แต่ถ้าออกมาจากครูบาอาจารย์มันจะมีส่วนอยู่ เว้นไว้แต่เราลงครูบาอาจารย์ของเราเต็มที่

เรารัก เราสงวน เรารัก เราเคารพ เพราะอะไร? เพราะว่าสิ่งที่เราไม่รู้ ท่านรู้หมด เราไปถามปัญหาท่านจะตอบเราได้หมดเลย เพราะอะไร? เพราะท่านรู้แล้ว พอถามปัญหาจะรู้ครบวงจรเลย แต่ถ้าเราถามปัญหา ครูบาอาจารย์ยังไม่เข้าใจ เราถามไป นี่ตอบมาต่างกัน ถ้าไม่เราผิดก็ครูบาอาจารย์ผิด อย่างนี้ทำให้เราลังเลสงสัย แต่ถ้าเป็นความที่ถูกต้องนะ ความถูกต้องอันหนึ่ง ความที่เข้าไปถึงใจ ผ่าหัวใจเราเลย เวลาเปิดปัญหาขึ้นมา ผ่าหัวใจๆ ทำไมเราจะไม่ลงล่ะ?

ถ้าลง สิ่งนั้นมันก็ลงใจ ถ้าลงใจ เตือนอย่างนั้นมันก็ฟังกันบ้าง แต่ถ้าไม่ลงใจนะ นี่กึ่งๆ รับรู้ไว้ๆ นี่เราฟังไว้ แต่กิเลสมันผลักไส นี่เรื่องของเราทั้งหมด ความเป็นไปจากหัวใจของเรา ความเมตตาเราต้องเมตตาเราก่อน ถ้าเมตตานะเรารักษาเรา เราเมตตาเรา แล้วเราจะเข้าใจถึงความรักของพ่อแม่ เราจะเข้าใจถึงความรักนะ เราว่าพ่อแม่นะ แต่พระกรรมฐานเรานี่ “พ่อแม่ครูจารย์” เป็นทั้งพ่อ เป็นทั้งแม่ เป็นทั้งครูบา เป็นทั้งอาจารย์ เป็นผู้ที่ชี้นำเราขึ้นมา เลี้ยงกายและเลี้ยงใจ

เลี้ยงกาย เห็นไหม นี่เราเลี้ยงกัน พ่อแม่เลี้ยงเรา เลี้ยงกายขึ้นมาเราก็พอใจว่าพ่อแม่เลี้ยงเรามา แต่หัวใจของเรา ทำไมเราเอาไม่อยู่ในอำนาจของเราล่ะ? แต่ครูบาอาจารย์ท่านจะเข้าใจตรงนี้ด้วย เลี้ยงหัวใจเราด้วย มันถึงว่าเชิดชูนัก เราเชิดชูพ่อแม่ครูจารย์ของเรา แต่ทางโลกของเรา นี่พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก แต่ถ้าพ่อแม่ครูจารย์นี่เป็นพระอรหันต์ของสาธารณะ เป็นพระอรหันต์ของเทวดา อินทร์ พรหม เป็นพระอรหันต์ของวัฏฏะ ผู้ที่วัฏฏะตั้งแต่พรหมลงมาเขากราบไหว้ของเขา เพราะเขาเชื่อถือของเขา เพราะจิตอันนั้นมันสะอาด

แต่พระอรหันต์ของเรานี่เป็นของเรา เพราะเราเกิดกับพ่อกับแม่ ร่างกายนี้ได้มากับพ่อกับแม่ สายบุญสายกรรมได้จากพ่อจากแม่มานะ พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของเรา ถ้าพ่อแม่ดีเราก็ได้พระอรหันต์ที่ดี ถ้าพ่อแม่ของเราผิดพลาดบ้าง อะไรบ้าง อันนั้นก็เรื่องของพ่อแม่นะ แต่เรามันเป็นผลแล้ว เพราะเราเกิดมาเป็นลูกเป็นเต้า นี่พ่อแม่ของเรา เราได้อุปัฏฐาก ได้รักษา

นี่ศาสนาเราสอนอย่างนี้ พ่อแม่จากข้างนอก พระอรหันต์จากข้างนอก พ่อแม่ของเราเป็นพระอรหันต์ของเรา เห็นไหม แล้วพ่อแม่ครูจารย์เป็นพระอรหันต์ของสาธารณะ เราก็ศึกษา เราก็ใคร่ครวญของเรา ใคร่ครวญเพื่อเรา อย่าให้กิเลสมันแซงออกมา มันจะบอกว่านู่นก็ผิด นี่ก็ผิด เราเกิดมาแล้ว เราเกิดมาแล้วมันเป็นสายบุญสายกรรม เป็นผลของวัฏฏะ ผลที่มันเป็นผลแล้วเราจะไปแก้อะไร? เราก็สืบต่ออันนี้ไป ประคองกันไป รักษากันไป

พ่อแม่ของเรารักษาให้ถึงที่สุด เห็นไหม อันนี้เป็นบุญกุศล บุญกุศลแล้วนะ แล้วพระในบ้านเรารักษาแล้ว พระนอกบ้านเราก็รักษา พระในตัวเองมันก็จะเจริญขึ้นมา เพราะพระในตัวเองมันยอมลง ยอมลงให้พ่อให้แม่ ยอมลงในครูบาอาจารย์ มันก็มีคุณค่าขึ้นมา แล้วต่อไปพระในตัวเรามันก็จะประเสริฐขึ้นมา แล้วเราแก้ไขพระของเราขึ้นมามันจะเป็นสมบัติของเรา นี่คือสมบัติของเรานะ เอวัง