เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒ ก.ย. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อาหารกาย อาหารใจ ตอนเช้าขึ้นมาเราขวนขวายกันเพื่อเลี้ยงร่างกาย เห็นไหม แล้วเวลาขวนขวายมาเลี้ยงหัวใจ เรามาจากไหนกัน เรามาเลี้ยงหัวใจ ในโลกนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าความเป็นหนี้เป็นทุกข์มาก แต่ถ้าทางโลก ถ้าใครมีเครดิต ใครกู้หนี้ยืมสินได้คนนั้นมีเครดิต โลกคิดไปอย่างหนึ่ง ธรรมคิดไปอย่างหนึ่ง

ความเป็นหนี้เป็นทุกข์อย่างยิ่ง แล้วเป็นหนี้ เป็นหนี้มันเป็นหนี้ที่ไหนล่ะ? ถ้าเราไปสร้างหนี้มันก็เป็นหนี้ เราสร้างขึ้นมามันถึงเป็นหนี้ใช่ไหม? ถ้าเราไม่สร้างหนี้ หนี้ก็ไม่มี หนี้มันไม่มีหรอก เราไม่ต้องสร้าง แล้วหนี้มันมาจากไหนล่ะ? แล้วเวลาการเกิดและการตายนี่มันมาจากไหนล่ะ? หนี้แผ่นดินไง เกิดในประเทศอันสมควร เกิดจากท้องพ่อท้องแม่ไง

นี่เราเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก เป็นพระอรหันต์ของลูกนะ แต่ครูบาอาจารย์ของเราเป็นพระอรหันต์สาธารณะ พระอรหันต์ของสาธารณะนี่มีคุณธรรมในหัวใจ ที่ว่าวิธีแห่งการดับทุกข์

“ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์”

วิธีการดับทุกข์ เห็นไหม นี่อริยสัจทำไมมรรคไปอยู่ข้างหลังล่ะ? ดับทุกข์ก่อน นิโรธก่อนแล้วค่อยมีมรรคอยู่ข้างหลัง เพราะอะไร? เพราะถ้ามันนิโรธแท้มันจะมีวิธีการดับทุกข์ วิธีการดับทุกข์ต้องพูดให้ถูกต้อง ถ้าวิธีการดับทุกข์ไม่ถูก ไอ้นิโรธก็นิโรธผิดน่ะสิ มันเป็นมิจฉานิโรธใช่ไหม?

นี่พระอรหันต์สาธารณะมันจะมีอริยสัจในหัวใจ พระอรหันต์ของลูก ลูกเกิดมาจากพ่อ จากแม่ นี่พ่อแม่มีบุญคุณมาก ถ้าไม่มีพ่อแม่ ลูกมันจะเกิดมาจากไหน? ลูกเกิดมาจากพ่อจากแม่ แต่ทางโลกปัจจุบันนี้บอกว่าเป็นหน้าที่ เป็นหน้าที่ เป็นหน้าที่นี่เป็นความคิดของคนตาบอด แต่ถ้าเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ เกิดตายๆ

การเกิดและการตาย เกิดมาจากไหน? เกิดจากพ่อจากแม่ พ่อกับแม่ พ่อ แม่ ลูกมันมาเกิดกันได้อย่างไร? ถ้าไม่มีสายบุญสายกรรมมาเกิดร่วมกัน สิ่งที่เกิดร่วมกันนี่เป็นหนี้ ร่างกายนี่ไปตรวจสิ ดีเอ็นเอของพ่อของแม่หมดเลย แต่หัวใจล่ะ? หัวใจ เห็นไหม นี่บุญกรรม ถ้ากรรมดีมาอภิชาตบุตร ถ้ากรรมที่มีผลต่อกันมา ก็มาทำให้มีปัญหากัน สิ่งที่มีปัญหาอย่างนี้มันอภัยให้กันได้ ในปัจจุบันนี้อภัยให้กันได้นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าให้อภัยต่อกัน

นี่มันมีในพระไตรปิฎกมีอยู่ ๒ คนเขาผลัดกันฆ่ามาทุกชาติเลย แล้วชาติหนึ่ง อีกคนหนึ่งกำลังนอนหลับ ก็กำลังจะฆ่าอยู่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาด้วยฤทธิ์นะ ให้ปลุกคนที่หลับอยู่ให้ตื่นขึ้นมา บอกว่า “นี่เธอทำกันอย่างนี้มาตลอดเลย ให้อโหสิกรรมต่อกันซะ”

“เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร” ความไม่จองเวร ไม่จองเวรในหัวใจนะ ถ้าไม่จองเวรในหัวใจมันไม่คิดร้ายใครหรอก แต่การไม่จองเวรจากข้างนอกมันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง นี่ความเป็นหนี้ หนี้จากโลกนี้หนี้เราสร้างขึ้นมา แต่หนี้เวรหนี้กรรม หนี้ต่างๆ ที่เกิดมาในหัวใจ หนี้อันนี้ใครสร้างมา? มันสร้างมามันเป็นผลที่เราขาดสติใช่ไหม? การกระทำ สิ่งใดทำขึ้นมาแล้วเสียใจภายหลัง สิ่งนั้นไม่ดีเลย แล้วสิ่งที่ทำมา มันเป็นสิ่งที่ทำมาแล้ว มันเป็นอดีตไปแล้ว สิ่งที่เป็นอดีตไปแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ให้ไปเสียใจกับมัน สิ่งใดที่ทำแล้วเสียใจ ร้องไห้ สิ่งนั้นเราทำมาแล้ว สิ่งนั้นไม่ดีเลย

มันไม่ดีเลยมันก็ผ่านมาแล้ว สิ่งที่ผ่านมาแล้วก็คือผ่านมาแล้ว ถ้ามันไม่ยอมผ่านมาแล้ว มันก็ว่าถ้าเป็นกรรมแล้วก็ต้องย้อนกลับไปอดีต มันจะย้อนเวลากลับไปแก้อดีตได้อย่างไรล่ะ? มันต้องแก้ที่ปัจจุบันนี้ เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงให้แก้ปัจจุบันนี้ไง เราถึงต้องทำบุญกุศลกัน ทำบุญกุศลกันเพื่ออโหสิกรรม เพื่อให้อภัยต่อกัน สิ่งที่ให้อภัยต่อกันจากภายนอก แล้วหัวใจมันยอมรับไหม? ดูสิเวลาจะสละทานขึ้นมาแต่ละชิ้นแต่ละอัน หัวใจมันก็ตระหนี่ถี่เหนียว

คนที่มีคุณธรรมในหัวใจนะ สิ่งที่ดีที่สุด สิ่งที่ประเสริฐที่สุด นี่ให้ครูบาอาจารย์ถวายเขาไปก่อน เราให้ในสิ่งที่มีคุณภาพ สิ่งที่ดีๆ แต่ถ้ามันเป็นความตระหนี่ในหัวใจนะ สิ่งที่ดีเราเก็บไว้ก่อน เริ่มหัดให้ทาน ให้จากความอยากให้ก่อน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกไว้ไง

“ควรทำบุญที่ไหน?”

“ควรทำบุญที่เธอพอใจ” เพราะถ้าพอใจมันอยากให้ ถ้าไม่พอใจมันให้ไม่ได้

“เธอควรทำบุญที่เธอพอใจ”

แล้วถ้าเอาผลคุณภาพล่ะ? ถ้าเอาผลคุณภาพต้องอีกชั้นหนึ่งแล้ว ถ้าคุณภาพ เห็นไหม ถ้าเนื้อนาบุญที่ดี เนื้อนาบุญ เราจะหว่านข้าวลงบนพื้นดิน พื้นดินถ้ามันเป็นคุณภาพ บุญกุศลของเราจะมีคุณค่ามหาศาล ปฏิคาหก ผู้ให้ ให้ด้วยความบริสุทธิ์ ผู้รับ เนื้อนาบุญมันต้องบริสุทธิ์ ถ้าจะเอาผลของบุญนั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ถ้าเธอพอใจ ทำอย่างที่เธอพอใจก่อน ถ้าความตระหนี่ของเรา ความฝึกฝนของเรา สิ่งนี้พอใจที่ไหน ควรรีบให้เลย ถ้าไม่ให้แล้วเดี๋ยวมันก็ปิด แต่ถ้าเราฝึกฝนขึ้นไป ฝึกฝนบ่อยครั้งเข้าๆ เราให้แต่สิ่งที่ดีๆ สิ่งที่ดีๆ นี่หนี้กรรมมันเกิดมาจากใจนะ ถ้าใจมันเสียสละอย่างนี้ มันเปิดออกมาอย่างนี้ ถ้าเปิดมา ดูสิสิ่งที่เป็นภาชนะ ถ้ามันเป็นภาชนะที่ไม่มีสารพิษ ภาชนะที่ดี มันบรรจุอาหารที่ดี สิ่งของที่ดี ภาชนะนั้นมันมีสารพิษ ภาชนะนั้นมันมีสิ่งที่ข้างในมันไม่มีความสกปรก

ใจก็เหมือนกัน ถ้าเราเสียสละ เรารักษาศีลของเรา สิ่งที่ดีๆ ขึ้นมา นี่เวลาเราจะทำสิ่งใดขึ้นมามันก็เป็นประโยชน์กับเรา เป็นประโยชน์กับเรานะ เพราะอะไร? ภาชนะสิ่งที่ดี อาหารที่เราอยากจะกิน เราอยากจะกินอาหารที่ดีๆ คุณธรรมที่ดีๆ มันเป็นสิ่งที่ว่าจิตมันเคย จิตมันเลือกของมัน มันจะรู้ว่าสิ่งใดที่ดี มันดีของใคร? ดีของกิเลสก็มีเยอะแยะมหาศาลเลย ดีของธรรม ถ้าดีของธรรมมันจืดสนิท มันไม่เหมือนกิเลสหรอก กิเลสมันมีรสชาติ มันมีรสชาติ มันเจ็บแสบในหัวใจ มันมีรสชาติ มันพอใจของมัน แต่ถ้ามีความสงบมันไม่พอใจเลย

ดูสิเวลาบอกว่าสุขเวทนา ทุกขเวทนา วิมุตตินี่ไม่อยากไปเลย วิมุตติไม่ใช่เวทนา มันจะมีความสุขได้อย่างไร? ความสุขที่ไม่สุดโต่งไปข้างใดข้างหนึ่ง ความสุขของเราข้างใดข้างหนึ่ง นี่ทุกข์ดับ ความสุขจะเกิดขึ้นมา ทุกข์มันเจือจางไป ความสุขจะเกิดขึ้นมา นี่มันเป็นเวทนา มันเป็นความพอใจของใจมันถึงเป็นความสุขขึ้นมา แล้วความสุขความทุกข์มันสุดโต่งไป ๒ ข้าง แล้วแต่มันจะเป็นไป แต่สุขอันมัชฌิมาปฏิปทา สุขของวิมุตติสุขมันไม่เอนเอียง มันเป็นหนึ่งเดียว

หนึ่งไม่มีสองคืออะไร? คือหัวใจอันนี้ไง หัวใจของเราที่เราจะสร้างขึ้นมา ถ้าหนี้อันนี้มันเกิดขึ้นมา เราได้ชำระ เราได้พยายามฝึกฝน เห็นไหม นี่ที่เรามาทำกันเรามาชำระตัวนี้ไง ถ้าเรามีการเปิดใจให้กว้าง เรามีการเปิดให้อากาศถ่ายเท เปิดให้ความหมักหมมใจมันถ่ายเทออกไป นี่มันถึงเป็นเรื่องการเสียสละ หัดเสียสละจากภายนอก แล้วมันจะเสียสละจากภายใน เห็นไหม ถ้ามีการเสียสละ เสียสละอะไร? เสียสละไอ้กิเลส เสียสละไอ้ความคับข้องใจ เวลาคับข้องใจทำไมเสียสละไม่ออกล่ะ? ทำไมทำไม่ได้ล่ะ? เพราะเราคิดของเราเองไง

เราคิดของเรา เราพิจารณาของเราเอง มันก็เป็นความนึกคิด มันไม่เป็นความจริงขึ้นมา นี่ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขนาดไหนก็แล้วแต่มันก็เป็นความนึกคิด มันเป็นความนึกคิด มันซึ้งใจนะ ซึ้งใจหรือไม่ซึ้งใจ ดูสิเราไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ซึ้งใจไหม? พิพิธภัณฑ์เวลาไปดูภาพจิตรกรรมฝาผนังซึ้งใจไหม? ซึ้งใจทั้งนั้นเลย แต่ถ้าเราทำของเราขึ้นมาได้ เราจะทำกี่รูปก็ได้ เราจะวาดภาพขนาดไหนก็ได้ นี้เราวาดภาพขึ้นมานะ

ใจก็เหมือนกัน ถ้ามันทำของมันขึ้นมาในหัวใจ นี่สันทิฏฐิโก มันแก้ได้อย่างนี้ไง มันแก้ได้เพราะมีการชำระ มันมีการกระทำของมัน กิจจญาณ สัจจญาณ ธัมมจักฯ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่มันใช้หนี้จากข้างนอกนะ ข้างนอกเราก็ใช้หนี้ของเราไป สิ่งที่เราเสียสละออกไปมันเป็นประโยชน์กับเราทั้งนั้นแหละ โลกนี้ไม่มีของฟรี นี่มันเป็นไป ความร้อนนี่ ดูสิพอแดดมันออก มีแดดมันก็ต้องมีความร้อน นี่ถ้าเกิดเมฆมันบัง ความร้อนมันก็หยุดไปชั่วคราว ถ้าเมฆมันบังแดดนั้นนะ ถ้าเกิดฝนตกล่ะ? แล้วอากาศหนาวล่ะ? นี่มันมีเหตุมีผลของมัน

ในการกระทำของเราก็เหมือนกัน ถ้าหัวใจมันปลอดโปร่ง หัวใจมันเป็นไป มันมีเหตุมีผลของมัน มีการกระทำทั้งนั้นแหละ การกระทำอย่างนี้มันเป็นฤดูกาล มันเป็นธรรมชาติ เดี๋ยวใจก็ดี เดี๋ยวใจก็ร้าย นี่มันเป็นธรรมชาติของมัน เห็นไหม แต่เราควบคุมมัน เราควบคุมด้วยสติ เราควบคุมด้วยการประพฤติปฏิบัติของเรา เราควบคุมของเราขึ้นมาเรื่อยๆ ควบคุมจนมันตั้งมั่น นี่กรรมฐาน ถ้าการทำงาน นี่ภวาสวะ ภพ อาสวะ ๓ ภพนี่สำคัญมาก ถ้าใครไปหาภพ ไปหาสถานที่ทำความสะอาดเจอ ดูสิดูบริษัทที่เขาทำความสะอาด เขายังต้องไปจ้างเขา เขายังต้องทำสัญญาว่าทำความสะอาดตึกไหนๆ

นี่ก็เหมือนกัน ความสกปรกมันอยู่ที่ใจ แล้วเราจะไปทำความสะอาดกันที่ไหน? นี่เราทำความสะอาดจากข้างนอก เราฝึกฝนกันขึ้นมา นี่เราทำความสะอาด เราเสียสละ เราทำข้อวัตรปฏิบัติ เห็นไหม กวาดลานเจดีย์ กิจของสงฆ์ ๑๐ อย่าง เราทำความสะอาดจากข้างนอก ทำความสะอาดจากข้างนอก ดึงไอ้เยื่อใย ดึงไอ้ความขี้เกียจขี้คร้านในหัวใจมันออกมา นี่ทำทุกวันๆ ทำแล้วทำเล่าน่าเบื่อมากเลย ไม่จบสิ้นสักที

มันไม่มีวันจบหรอก เพราะอะไร? เพราะในเมื่อยังมีโลกอยู่ ยังมีอนิจจังอยู่ ยังมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ ไม่มีวันจบ แต่ไม่มีวันจบเราต้องทำไป ทำเพื่อจะดึงข้างในออกมา นี่ทำความสะอาดจากภายนอก แล้วถ้าความสะอาดจากภายในล่ะ? เห็นไหม มันทำที่ไหนล่ะ? ถ้ามันไม่มีกรรมฐาน ไม่ทำความสงบของใจเข้ามา ถ้ามันใช้ปัญญาของเรา นี่ที่เราไปศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกับเราไปดูพิพิธภัณฑ์ เราก็ไปเห็นภาพของคนอื่น แล้วมันก็มีความซึ้งใจ

นี่ก็เหมือนกัน เราตรึกในธรรม ตรึกในธรรม จิตไม่สงบเข้ามา ไม่มีฐานตั้งมั่น ฐานตั้งมั่น ฐานคือตัวจิต คือตัวภวาสวะ คือตัวภพ นี่ปฏิสนธิวิญญาณ วิญญาณที่เรารับรู้กันนี่ กายกับใจ กายกับใจ เราก็ยังไม่เห็นใจของเราเลย แล้วเวลากระทบขึ้นมา อ๋อ อย่างนี้เป็นวิญญาณความรู้สึก นี่มันก็เป็นวิญญาณในขันธ์ ๕ มันเป็นอาการของใจ มันเป็นเงา ไม่ใช่ตัวใจเลย ถ้ามันสงบเข้ามามันถึงเป็นตัวของใจ ถ้าตัวของใจ นั่นแหละตัวที่.. นั่นแหละตัวสกปรก นั่นแหละตัวใจ นั่นแหละจิตปฏิสนธิ นั่นแหละคือตัวเรา

นี่มนุษย์อยู่ที่นี่ จิตวิญญาณ ความรู้สึกอยู่ที่นี่ อยู่ตัวเกิดตัวตาย ไอ้ตัวนี้แหละตัวเกิดตัวตาย ถ้ามันสงบเข้ามามันถึงตัวนี้ไง ทำความสะอาดที่นี่ ถ้าทำความสะอาดที่นี่ได้ นี่ธรรมของเราไง นี่สันทิฏฐิโก

ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ นิโรธะดับหมดเลย วิธีการดับทุกข์ นี่วิธีการอย่างนี้ ถ้าพระอริยบุคคลต้องรู้วิธีการอย่างนี้ทั้งหมด แล้วเห็นวิธีการอย่างนี้ทั้งหมด เพราะอะไร? เพราะมันดับทุกข์มามันดับด้วยอะไร? มันทำด้วยอะไร? ถ้ามันไม่ทำด้วยมรรคญาณอย่างนี้ มันจะรู้วิธีการดับทุกข์ได้อย่างไร?

คนไม่เคยเห็นพูดไม่ได้ คนไม่เคยเห็นจับต้องสิ่งนี้ไม่ได้ คนไม่เคยเห็นไม่สามารถชี้ทางอย่างนี้ได้ แล้วถ้าไม่สามารถชี้ทางอย่างนี้ได้ ก็ชี้ทางด้วยพิพิธภัณฑ์ไง ด้วยรูปภาพ ด้วยธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยพระไตรปิฎก ก็ด้วยสัญญา ด้วยการคาดหมาย ไม่เป็นความจริงเลย

นี่ความเป็นหนี้จากข้างนอกนะ เราเป็นหนี้ ถ้าหนี้ของโลกเขา เห็นไหม มีเครดิต แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “ผู้มีหนี้มีความทุกข์” ทุกข์นี่นะทุกข์เพราะเป็นหนี้ ถ้าผู้ใดใช้หนี้หมดแล้วจะไม่มีความทุกข์ในหัวใจเลย แต่เราว่าเราจะมีเครดิต เราอยากมีเครดิตมากๆ แล้วเราจะทุกข์มากหรือทุกข์น้อย

นี่เรื่องของโลกเขาคิดกันอย่างนั้น แต่เรื่องของธรรม เรื่องขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรื่องของผู้ที่รู้จริง เห็นไหม ศาสดาประกาศตนว่าเป็นพระอรหันต์ แล้วสั่งสอนพวกเรามาเป็นศาสนา เป็นสิ่งที่เป็นอาหารใจของชาวพุทธเรา ชาวพุทธเราต้องมีอย่างนี้เป็นเครื่องดำเนิน แล้วเราพยายามฝึกฝนของเรา จะมากจะน้อยมันเป็นกำลังของเรา มันเป็นสมบัติของเรา มันเป็นอริยทรัพย์นะ อย่าประมาทตัวเองนะว่าเราไม่สามารถทำได้ อริยทรัพย์ เห็นไหม ดูสิเรากินข้าวเข้าไปเราก็อิ่มท้อง

นี่ก็เหมือนกัน ใจเรามันทุกข์อยู่ ถ้ามันทำได้ ทุกข์นี้มันก็หลุดออกไปจากใจ ในเมื่อเรามีหัวใจอยู่ ในเมื่อเรามีความรู้สึกอยู่ แล้วความรู้สึกนี้มันทุกข์ แล้วเราจะแก้มัน เราจะไม่มีอำนาจได้อย่างไร? ในเมื่อเรามีความสนใจ เรามีความปรารถนา คนที่ดูสิมีการแข่งขัน ถ้าเรามีโอกาสได้แข่งขัน เราก็มีโอกาสแล้วใช่ไหม?

นี่ก็เหมือนกัน ใจของเรามีอยู่ แล้วเราปรารถนาจะทำของเรา เราจะไม่มีอำนาจวาสนาได้อย่างไร? เรามีอำนาจวาสนาสิเราถึงมีความคิดอย่างนี้ เรามีการกระทำอย่างนี้ แล้วเราทำอย่างนี้ นี่เราทำได้ ทรัพย์ภายในนี่ทำได้ เราสามารถจะใช้หนี้ได้ หนี้กรรม หนี้กรรมในหัวใจนะ

เรื่องหนี้กรรมข้างนอกเรื่องของมัน เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วนี่ ดูสิมีคบคนพาล มีพาล มีบัณฑิตจากข้างนอก มีพาล มีบัณฑิตจากข้างใน มีสังคมต่างๆ กระทบกระเทือนกันไป นี่มันเป็นวัฏฏะ ผลของวัฏฏะไง ดูสิเวลาน้ำขึ้นมามันพัดพาสิ่งที่เป็นวัชพืช เป็นซุง เป็นท่อนซุงต่างๆ มันพัดมา เห็นไหม

ชีวิตเราก็เหมือนกัน นี่มันพัดมาในสังคม กระแสพัดเรามา แล้วเราอยู่ในกระแสสังคมมันก็มีการกระทบกระเทือนกันเป็นธรรมดา ไอ้หนี้อย่างนี้ช่างมันเถอะ ไอ้หนี้อย่างนี้ยอมรับ นี่เราเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว กระทบกระเทือนเป็นเรื่องธรรมดา แต่เราจะชำระหนี้ของเราที่ว่ามันจะไม่ต้องให้มาเกิดอีก ไม่ต้องให้มากระทบกระเทือนกับเขาอีก เราจะเอาตัวของเราให้ได้ เราถึงมีความตั้งใจ มีความจงใจ คุณค่าชีวิตของเราจะประเสริฐขึ้นมาจากเรา เพราะเรามีความจงใจของเรา เอวัง