เทศน์เช้า วันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
กาลเวลามันมีประโยชน์มากนะ กาลเวลา เห็นไหม ผู้ปฏิบัติต้องการเวลามาก ครูบาอาจารย์ที่ภาวนาเป็นจะอยู่กับหมู่คณะไม่ได้เลย เพราะหมู่คณะมันต้องพูดคุย มันต้องรับผิดชอบ ความรับผิดชอบความดูแลนี่มันเอาเวลาของเราไป ถ้าอยู่คนเดียวเวลาภาวนานี่ ๒๔ ชั่วโมง กาลเวลาแม้แต่วินาทีเดียวก็สำคัญ เวลามหายานเขาบอกสว่างโพลงๆ ทางลัดๆ ครูบาอาจารย์ของเราประพฤติปฏิบัติขึ้นไปถึงที่สุด เห็นไหม ช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น มันก็เหมือนกัน แต่เวลาเราก่อร่างสร้างตัว ยอดพีระมิดมันวางมันก็เสร็จ แต่พื้นมัน พื้นฐานของรากฐาน เราจะวางขึ้นไป
การประพฤติปฏิบัติต้องการเวลา ต้องการสะสม ต้องการการบ่มเพาะ จิตใจนี้ต้องการบ่มเพาะนะ บ่มเพาะให้มันเข้มแข็งขึ้นมา บ่มเพาะให้มันเห็นถูกเห็นผิด ถ้าไม่เห็นถูกเห็นผิด กิเลสมันสอดแทรกเข้ามานะ ดีไปหมด ถ้าเราเข้าข้างตัวเอง มุมมองของเราทุกอย่างจะถูกต้องไปหมดเลย ทุกอย่างจะดีงามไปหมดเลย แต่ดีงามของกิเลสไง ดีงามของกิเลสคือว่าวุฒิภาวะของใจมันไม่ถึง อย่างเด็กๆ นี่มันอยากสุขสบายของมันทั้งนั้น เด็กคนไหนบ้างที่มันต้องการไปโรงเรียน ต้องการให้ครูบาอาจารย์บังคับมัน มันไม่ต้องการหรอก มันต้องการความสะดวกสบายของมัน แต่บั้นปลายของมันจะไม่มีวิชาชีพ จะไม่มีการยืนในสังคม
แต่ถ้าเราบากบั่นตั้งแต่ตอนเด็ก ดูพ่อแม่สิใจจะขาดนะ เวลาเอาไปส่งโรงเรียน มันร้องไห้ มันอยากกลับบ้าน โอ๊ย...น้ำตาท่วมโรงเรียนนะเปิดใหม่ๆ นี่ แต่พ่อแม่ก็ต้องใจแข็ง เพื่อจะให้ลูกเรามีวิชาชีพขึ้นมา ให้อยู่ในสังคมขึ้นมา กาลเวลามันจะบ่มเพาะมา สิ่งนี้บ่มเพาะมา แต่เวลาเราการกระทำ แม้แต่ยึดเมืองมันก็ยากแสนยากอยู่แล้ว แต่การปกครองยิ่งยากใหญ่ เพราะกาลเวลามันกัดเซาะ ถ้ากาลเวลามันกัดเซาะ มันกัดเซาะหัวใจเรานะ การดำรงชีวิต การเกิด ดูสิ เกิดตายๆ ก็พูดกัน เกิดตายๆ เป็นทุกข์ๆ เวลาเกิดมาแล้วมันทุกข์ไหม? ทุกข์มากกว่านะ เพราะอะไร? ดำรงชีวิตนี่มันทุกข์
เวลาทำสมาธิขึ้นมาสิ เวลากว่าจะได้สมาธิสักหนหนึ่ง แต่สมาธิมันก็เป็นอนิจจัง เห็นไหม สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา สภาวะนี่เป็นอนัตตา มันเคลื่อน มันแปรปรวนตลอดเวลา เหตุที่มันจะคงที่อยู่ได้ ด้วยชำนาญในวสี คือชำนาญในเหตุ เราสร้างเหตุอยู่ อย่างเช่นตั้งไฟ เรามีเชื้อเพลิงอยู่ ทุกอย่างพร้อมอยู่แล้วรักษาไฟของเรา ไฟเราจะติดอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าเราจะให้ไฟมันติดโดยไม่มีเหตุมีผลมันเป็นไปไม่ได้หรอก ไฟมันต้องมอดเป็นธรรมดา สมาธิก็เหมือนกัน กว่าจะมามีสมาธิขึ้นมาได้ กว่าเราจะตั้งมั่นขึ้นมาได้ มันต้องมีเหตุของมัน มีสติของเรา มีความชำนาญของเรา
นี่เรามาทำบุญกุศลกันเพื่ออะไร นี่ฟังธรรมมันตอกย้ำตลอดเวลานะ ตอกย้ำๆ ตอกหัวตะปูให้มันแน่นให้มันมั่นคง เพราะถ้ามันไม่มั่นคงนะ ถ้าไม่ทำดีมันก็อยู่เฉยๆ มันก็ไหลลงต่ำ ถ้าหัวใจเราไม่ขวนขวายทำคุณงามความดี ก็ต้องทำลายตัวเองให้เสียเวลาไปเปล่าๆ นะ โดยปกติของจิตที่มีคุณภาพนะ ถ้าจิตไม่มีคุณภาพ มันก็คิดเข้าข้างตัวเอง มันก็ไปตามทางของมัน ถ้าไม่ทำดี มันก็ต้องทำความผิดพลาด ทำความเลวแน่นอน
เราต้องทำความดีของเราไว้ ทำความดีแล้วมันได้อะไรขึ้นมาล่ะ? มันได้สิ ได้ว่า หนึ่งเราทำคุณงามความดีนะ ความสะอาดในหัวใจ เราไม่มีความผิดพลาดในหัวใจ เรายืนในสังคมไหนเราก็มั่นคงแน่นอนอยู่แล้ว เพราะเราทำความถูกต้องทำความดีของเรา จะสังคมไหนเราก็เผชิญหน้าสังคมนั้นได้แน่นอน แล้วนี่สิ่งที่เรา เรามีความดีของเรา เราอุ่นใจของเรา เราอุ่นใจนะ เราอุ่นใจ ถ้าคนที่อุ่นใจ คนที่หัวใจอบอุ่น คนที่มีจุดยืน การจะทำอะไรมันก็มั่นคงใช่ไหม
ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าเกิดสมาธิขึ้นมา สมาธิเป็นพลังงานนะ ที่ว่ามีสมาธิ สมาธิว่างๆ ว่างๆ มันว่างโดยตัวตนของเรา เราว่าว่างไง มันเลยไม่มีกำลัง เห็นไหม ในขณะที่ว่าเราว่าเราดี เราก็คิด กาลเวลาที่เป็นของเราๆ นี่ มันกัดเซาะนะ แล้วว่างๆ นี่เดี๋ยวมันจะเสื่อมสภาพ เดี๋ยวมันจะทุกข์ยากเพราะอะไร? เพราะมันเป็นอนิจจัง มันต้องแปรสภาพอยู่ตลอดเวลา มันแปรปรวนอยู่แล้ว เห็นไหม
ถ้าเกิดเรากินอิ่มขึ้นมานี่ ในกระเพาะเรามีอาหาร เราจะมีความสุขอยู่ชั่วคราว เวลามันหิวขึ้นมานี่เราต้องดิ้นรนไหม เวลาหิวนะ ท้องนี่ร้องหมดนะ เราต้องการอาหาร เห็นไหม เป็นสมาธิจิตที่มันตั้งมั่น จิตที่มันว่าว่างๆ นี่มันถึงจุดของมันแล้ว มันต้องเสื่อมสภาพไปเป็นธรรมดา เวลามันจะเสื่อมสภาพไปเดี๋ยวจะรู้จักหรอก ว่าเวลามันเสื่อมสภาพไป เวลาท้องมันหิวขึ้นมา มันต้องการอาหารขึ้นมามันจะทุกข์ขนาดไหน ถ้าเราไม่มีความจริงในหัวใจของเรา เราไม่มีครูบาอาจารย์คอยชี้นำ เพราะอะไร?
ดูสิ เราเป็นผู้ใหญ่กันมานี่ เราผ่านมาจากไหน? เราผ่านมาจากเด็กใช่ไหม ทุกคนน่ะย้อนไปถึงเด็ก แหม...ถ้าเราคิดอย่างนั้น เราวางเป้าหมายอย่างนั้น ชีวิตเราจะไม่เป็นอย่างนี้ เวลาย้อนกลับไปที่เด็กแล้วเราจะเห็นเลย นี่เราเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา เราผ่านประสบการณ์ของเราขึ้นมา ครูบาอาจารย์ก็เหมือนกัน ท่านภาวนาของท่านขึ้นมา มันต้องผ่านเรื่องวิกฤติในหัวใจ วิกฤตินะ เวลามันทดท้อหัวใจนี่ เวลาใจมันเฉา มันเหงา มันหงอย มันเอาหัวพาดภูเขาไว้เลย ว่าสู้ไม่ไหว สู้ไม่ไหว
นี่จิตทุกดวงใจที่ประพฤติปฏิบัติมา ดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๖ ปีนะ แต่คนที่มีบุญญาธิการ ที่สร้างบารมีมามันจะมีวิกฤติ มันจะมีความทุกข์ขนาดไหนมันก็ต่อสู้ไป อดทนกลั้นฝืนทนไปนะ เวลาเราต่อสู้กับเรา เราต่อสู้กับสิ่งที่มันสะสมในหัวใจที่เป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากนะ แล้วเวลาถ้ากิเลสมันฉลาดขึ้นมา มันพลิกแพลงขึ้นมาว่าสิ่งนี้เป็นธรรม สิ่งนี้เป็นธรรม สิ่งนี้ต้องทำอย่างนั้นๆ ทำให้เหมือนกับเข็มทิศมันชี้ไปทางใต้ บอกนี่เข็มทิศมันชี้ถูกต้องๆ มันเป็นไปไม่ได้หรอก เข็มทิศมันต้องชี้ไปทางเหนือใช่ไหม
ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องทวนกระแส ทวนกระแสเข้ามาในหัวใจของเรา แต่เวลาธรรมของเรา เราพอใจของเรา เราทำตามกิเลสของเรา ต้องเป็นอย่างนั้นๆ เห็นไหม เวลาประพฤติปฏิบัติครูบาอาจารย์ทุกองค์จะว่าอย่างนี้เลย ปฏิบัติไปเถอะ แล้วพอสูงขึ้นไปเราจะมีความสบาย กิเลสอันละเอียดนะ ดูสิ เราทำงาน หน้าที่การงาน แล้วถ้ากิจการของเราเจริญขึ้นมา เราจะสุขสบาย สบายจริงไหม? รับผิดชอบมากขึ้น การบริหารมากขึ้น คนงานมากขึ้น ต้นทุนมากขึ้น ทุกอย่างมากขึ้นหมดเลย แล้วต้องบริหารให้มันได้ด้วย แล้วมันละเอียดอ่อนเพราะมันมากขึ้น แต่ถ้าเราทำของเราพอประมาณของเรา มันก็มีเท่านั้นใช่ไหม
นี่ก็เหมือนกัน เวลากิเลสมันละเอียดเข้าไป ละเอียดเข้าไป ว่ามันจะสะดวกขึ้นไป ถึงที่สุดนะ แต่การลงทุน การกระทำของทางโลกมันต้องบริหารไปถึงที่สุด แต่เวลาประพฤติปฏิบัติไป เราต่อสู้ไป ถึงที่สุดมันจบสิ้นกระบวนการได้ แต่การบริหารจัดการมันไม่สิ้นกระบวนการ มันจบไม่ได้ แล้วเรื่องของโลก เรื่องของวัตถุ มันมีตัวแปร มันแปรสภาพของมันอยู่ตลอดเวลา มันต้องส่งเสริมตลอดเวลา เห็นไหม จุดของการลงทุนมันจะมีการหมุนเวียน มีการขึ้นมีการลงตามธรรมชาติของมัน เราต้องบริหารจัดการมันอย่างนั้นตลอดไป เห็นไหม
แต่ถ้าการประพฤติปฏิบัติของเราถึงที่สุด งานของโลกไม่มีวันจบไง แต่งานของธรรมมันจบได้ แต่จบได้มันก็มีวิกฤติในหัวใจ มันต้องมีประสบการณ์ของมันในหัวใจ มันมีการกระทำในหัวใจ หัวใจมันผ่านขั้นตอนมา สิ่งนี้มันเป็นครูบาอาจารย์ชี้นำมา เห็นไหม ถึงกาลเวลา กาลเวลาที่ขณะที่ประพฤติปฏิบัติ มันสำคัญนะ สำคัญ ดูสิ ถ้าเรายังทำไม่เป็นเลย กาลเวลานี่ โอ้โห...วันหนึ่งๆ เวลาเหลือเฟือเลย จนไม่รู้จะทำอะไร นี่เวลาทำไม่เป็นมันก็เป็นสภาวะแบบนั้น เวลาทำเป็นขึ้นมานี่ต้องการเวลาขึ้นมาแล้ว แต่ถ้าทำไม่เป็น กาลเวลานี่ เวลาถึงทำสมาธิขึ้นมา กาลเวลามันก็กัดเซาะอีกแล้ว เพราะอะไร? เพราะกาลเวลานี่จะสงบที ๒ ๓ ชั่วโมง คลายตัวออกมา พออีกวันจะทำสงบอีก พยายามฝืนทนขนาดไหนจะลงไม่ลง พยายามทนใจหัวใจจะให้ลงให้ได้ เห็นไหม
นี่สิ่งที่เหตุ ความเหตุคือสิ่งที่ปัจจัย สิ่งที่เชื้อเพลิงเรามีของเราขึ้นมา เรามีเชื้อเพลิง เราพยายามทำของเรา เพราะอะไร? เพราะสรรพสิ่งโลกนี้เป็นอนิจจังทั้งหมด แม้แต่สมาธิเป็นอนิจจัง ปัญญาก็เป็นอนิจจัง ถ้าอยู่ในสถานะก้าวเดินเพราะมันเป็น สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา สภาวะอนัตตาที่มันเป็นไป แต่ผลที่เกิดจากนี้มันเป็นอกุปปธรรม ผลที่เกิดขึ้นจากการใช้ปัญญา ผลที่เกิดจากการวิปัสสนาญาณ เห็นไหม อกุปปธรรม นั่นไง โสดาบัน สกิทา อนาคาขึ้นไป อย่างนี้ไม่อยู่ในกาลเวลา เพราะอะไร? เพราะจิตของเราถ้าเป็นปุถุชนการเกิดและการตายไม่มีต้นไม่มีปลาย ถึงต้องเกิดตลอดไป
แต่พระโสดาบัน ๗ ชาติ มีกาลเวลาไหม มันบล็อกตายตัวแล้วว่า ๗ ชาติเท่านั้น ๗ ชาติเท่านั้นต้องสิ้นกิเลส เพราะอะไร? เพราะว่าขณะที่มันมีพื้นฐานอย่างนี้แล้ว ดูสิของเรานี่ ต้นทุนเรา มีมากมหาศาลเลย เรากำเงินสดไว้ ในตัวเรามีเงินสดนับจำนวนไม่ได้เลย ถ้าเขามีการประมูล เขามีการซื้อขายในตลาด เราจะซื้อได้ทุกๆ อย่างเลย
จิตก็เหมือนกัน ในเมื่อมันเป็นอกุปปธรรมนี่มันมีต้นทุนของมัน มันพัฒนาของมัน ถ้าพัฒนาของมัน มันเจอเหตุการณ์ของหัวใจที่มันกระทบกันนี่ มันจะเห็นเป็นธรรม หัวใจของเรานี่เห็นเวลากระทบกันไป เราเห็นแล้วเศร้าสร้อย เหงาหงอยแล้วเราไม่มีปัญญาที่จะแทงทะลุได้
แต่ที่เป็นอกุปปธรรม ที่มีพื้นฐานในหัวใจ เห็นไหม เห็นสภาวะอย่างไร มันเป็นธรรม ดูสิ โลกสรรพสิ่งนี้เป็นธรรม เป็นธรรมเพราะใจเราเป็นธรรม พอใจเราเป็นธรรมเราเห็นแล้วเราสลดสังเวชไง เห็นการเอารัดเอาเปรียบกัน เห็นการโต้แย้งกัน เห็นการกระทำกัน มันแปรสภาพ มันหมุนกลับมาเป็นทุกข์หมดเลย เพราะถ้าเป็นเรา เราจะทุกข์ขนาดไหน เป็นเรา เราจะมีความรู้สึกอย่างไร ถ้าเป็นเรา เห็นไหม พอเป็นเราปุ๊บนี่ปัญญามันจะเกิด มันจะย้อนกลับมา
แต่ถ้ามันเป็นกิเลสนะ เรื่องของเขาไม่ใช่เรื่องของเรา เรื่องของเรา แต่ถ้าเป็นคุณธรรมเรารักษาใจของเรา มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ถึงขณะที่เราประพฤติปฏิบัติอยู่ ขณะนี้เราทำอยู่ เราต้องเข้าไปต่อสู้ เห็นไหม ขณะเหตุการณ์ต่อสู้ในสงคราม วิกฤติในสงครามทุกอย่างเกิดได้ทั้งหมด ขณะที่ต่อสู้เราต้องสอนให้รู้ว่าพอถึงที่สุดแล้ว เราชำระกิเลสแล้ว เรื่องของเขา เรื่องของเราแล้ว เราเป็นฝ่ายควบคุมแล้ว เห็นไหม จะเป็นเรื่องของเขา เรื่องของเรา ขณะที่เรารักษาใจของเรา แต่ขณะที่เป็นคุณธรรมในหัวใจที่มองขึ้นมาเพื่อจะพัฒนาหัวใจของเราให้มันมีความกระตุ้น ให้มันมีการกระทำไง
ถึงว่า ๗ ชาติ มันมีการกระทำ มันเห็นในสภาวธรรมขึ้นมา แล้วมันจะทำให้ใจดวงนี้ไม่นอนใจ แล้วใจดวงนี้มีการก้าวเดินออกไป ไม่ใช่เหมือนเรา เรานอนใจไง เราไม่รับผิดชอบอะไรเลย มันถึงว่าไม่มีต้นไม่มีปลาย นอนใจ นอนจมกับกิเลส กิเลสต้องพาเกิดพาตาย แต่ถ้าตื่นตัวตลอดเวลา แล้วเราแก้ไขของเราขึ้นมา มันจะชนะกิเลส เราถึงบอกว่านี่ความเพียรชอบไง แต่ทางโลกเข้าใจกันว่าประพฤติปฏิบัติแล้ว จะสุขสบายจะอะไร สุข มันไม่สุขหรอก มันการกระทำนี่ งานทั้งนั้น แต่มันจะสุขต่อเมื่อเกิดผลขึ้นมา ถ้าผลเป็นผลจริง ผลที่ไม่จริงน่ะผลที่เป็นอนิจจัง
แต่ผลที่เป็นความจริงถ้าเป็นอนิจจังเป็นกิเลสใช่ไหม เป็นอกุปปะ อกุปปะ คือ อฐานะที่แปรสภาพ อฐานะที่ยังเคลื่อนที่ อฐานะที่มันจะเป็นไป มันจะเป็นคงที่ของมัน คงที่แบบไม่ใช่กิเลสไง คงที่แบบพญามารตามไม่ทัน คงที่แบบไม่มีใครสามารถเข้าไปบริหารจัดการอันนี้ได้ อันนี้มันเป็นความคงที่ของมันอยู่ในหัวใจของเรา สิ่งที่แปรปรวนที่มันหมุนเวียนๆ เห็นไหม กาลเวลาเท่านั้นจะพิสูจน์ พอพ้นจากกาลเวลา พ้นจากต่างๆ เห็นไหม เหนือกาลเวลา เหนือวัฏฏะ เหนือทุกอย่าง ใจดวงนี้มันเหนือวัฏฏะ แต่มันมองสภาพกลับมาที่โลก เห็นความเป็นไป เห็นความเป็นไปของเวลา
มันอยู่ที่วุฒิภาวะ อยู่ที่คนไหนอยู่ตำแหน่งไหน อยู่การรู้สึกอย่างไร มันต้องพัฒนาของมันขึ้นไป ถึงว่าเป็นอุเบกขาๆ สิ่งที่อุเบกขาคือการปฏิเสธ คือรักษาตัวเองไว้ไง มันไม่ใช่ ถ้าถึงที่สุดแล้วจะไม่มีอะไรที่เป็นสมมุติออกมาได้เลย มันจะเป็นความจริงของมันอยู่อย่างนั้นนะ หัวใจของเราทำได้ หัวใจของเราประเสริฐ วันพระ พระคือผู้ประเสริฐ ผู้ประเสริฐคือหัวใจมันประเสริฐ หัวใจประเสริฐรักษากลับมาที่ใจของเรา แล้วเราจะเข้าใจสิ่งต่างๆ ทั้งหมด โลกเป็นโลก เราเป็นเรา โลกนอก-โลกในไง
นั้นโลกก็เรื่องของโลกนะ โลกในคือเราโลกทัศน์ ความเห็น ความรู้สึก ภวาสวะ ตัวภพ ตัวความรู้สึก ถ้าควบคุมได้จะจัดการได้ทั้งหมด อันนี้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง หัวใจของเราการเกิดและการตาย เกิดอันหนึ่ง เกิดมาแล้วทุกข์ยากอันหนึ่ง พระอรหันต์นะ การเกิด เกิดเหมือนกัน แล้วชำระกิเลสแล้ว เห็นไหม ชีวิตยังมีอยู่ แล้วใจนี้เป็นธรรม นี่มีโอกาส สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ประเสริฐมาก เพราะยังสื่อความหมายกันได้ ครูบาอาจารย์ที่ท่านสิ้นกิเลสแล้วตายไป เราได้แต่กราบไหว้ถึงคุณงามความดีของท่าน แต่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ทุกอย่างเราปรึกษาได้ เราปรึกษาได้
เพราะสิ่งนั้น ความเข้าใจทั้งหมดจะไม่มีความลังเลสงสัยในใจดวงนั้น ถ้าใจดวงนั้นเข้าใจในวัฏฏะทั้งหมด เข้าใจในวัฏฏะ เข้าใจความเป็นไปของชีวิต แต่เรื่องของกรรม กรรมของแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน สภาวะกรรมเราทำของเรามา มันเป็นของติดใจเรามา ติดความเป็นไปของเรามา อันนี้เป็นสภาวะกรรม แต่กรรมมันก็ส่วนกรรม ถ้าใจ กรรมคืออารมณ์ความรู้สึก ที่เราไปรับรู้มัน ถ้าเราปล่อยมันเข้ามา ใจเรา กรรมก็คือกรรม เห็นไหม คือสิ่งที่แสดงที่เกิดขึ้น แต่ใจเรายอมรับสิ่งนี้ แล้วเราทำคุณงามความดี เพื่อใจของเรา สิ่งนี้มันอยู่ในใจของครูบาอาจารย์ที่เราสามารถ
สิ่งที่ว่าเกิดเหมือนกัน ตายเหมือนกัน แต่สิ้นกิเลสเหมือนกัน กับมีกิเลสเหมือนกัน มีกิเลสกับไม่มีกิเลสในหัวใจ สิ่งนี้เป็นชีวิตที่เป็นผล ผลที่เราทำมาแล้วสะอาดขึ้นมา บริสุทธิ์จากใจดวงนี้ไง ครูบาอาจารย์ก็มีใจเหมือนเรา เราก็มีใจเหมือนกัน แต่ใจของเรากำลังจะต่อสู้ กำลังจะไปถึงที่สุด ถ้าถึงที่สุดได้นะ สิ่งนี้ตามทันกันได้ ใครหลอกใครไม่ได้หรอก ถึงที่สุดนะ เป้าหมาย ดูการแข่งขันกีฬา เห็นไหม เป้าหมายคือที่เดียวกัน จะวิ่งมาจากไหน จะสถานะไหน แต่ถึงเป้าหมายเหมือนกัน ถ้าเป้าหมายเหมือนกันใครจะหลอกใครได้ สิ่งนี้เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เป็นความจริงในหัวใจนี้ เป็นความจริงในศาสนานี้ ศาสนาถึงประเสริฐอย่างนี้ เอวัง