เทศน์เช้า วันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ความคุ้นเคยนะ ความคุ้นเคยดีกว่าญาติ เพราะเรื่องญาติ ญาติโดยสายเลือด แต่ความคุ้นเคยการไปมาหาสู่กัน สิ่งนี้มันเป็นความคุ้นเคย ความคุ้นเคยมันเป็นความสนิทใจ คนเรานี่ความอุ่นใจ ความอบอุ่นกับความทุกข์ร้อน ถ้าทุกข์ร้อน เห็นไหม เราทำมาหากิน เวลาหาอยู่หากินเป็นเรื่องที่ว่าเดือดร้อนมาก เราต้องทุกข์ร้อนหาเลี้ยงร่างกาย เวลาพระเราเช้าบิณฑบาตมา นี่จะมาเลี้ยงร่างกาย แต่วันทั้งวันเลี้ยงจิตใจนะ เวลาเราภาวนา เราเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เราหาอาหารใจ ในศาสนานี้ ถ้าศาสนพิธี เป็นพิธีกรรมเพื่อ...ถ้าพูดประสาเรานะ เป็นเปลือก เป็นกระพี้ เหมือนหลอกเด็กเลย เด็กๆ นี่ชวนกันมาวัด หลอกให้มาวัด
พิธีกรรมน่ะหลอกให้มาวัด หลอกให้มาวัดเพื่อจะได้ฟังธรรม แต่เวลาฟังธรรม เห็นไหม ถ้าได้อ่านคัมภีร์ อันนั้นเป็นการเทศนาว่าการ ถ้าไม่ได้อ่านคัมภีร์นะ เพราะอะไร? เพราะกลัวว่าเวลาเทศน์ออกไปแล้วมันผิดพลาดไง ถ้าได้อ่านคัมภีร์ สิ่งนั้นเทศน์แล้วถูกต้อง ถ้าไม่ได้อ่านคัมภีร์ เห็นไหม แต่คัมภีร์น่ะมันก็เหมือนกับมันเป็นพิธีกรรม ถ้าเราไปฟังเทศน์ ฟังเทศน์เอาบุญ เห็นไหม เวลาพระนั่งเทศนาว่าการ เราพนมมือ นั่งพนมมือกัน เพื่อเอาบุญกุศล แต่การฟังธรรมของวัดป่าเรานี่ เวลาธรรมะนี้มันออกมาจากใจ แล้วมันจะทิ่มเข้าไปในหัวใจของเรานะ มันเสียดแทงหัวใจของเรา เพราะในหัวใจของเรากิเลสมันอยู่ที่นั่น ความสุขความทุกข์อยู่ที่นั่น เห็นไหม
การหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องก็เป็นงานอันหนึ่ง การหาอาหารเลี้ยงใจเป็นงานอีกอันหนึ่ง แต่ถ้าหัวใจเราไม่ละเอียดเข้ามา เราจะไม่เห็นสิ่งนี้เป็นประโยชน์เลย หน้าที่ของเรานะ เพราะอะไร? เพราะเราหาสิ่งที่เป็นปัจจัยเครื่องอาศัยเราก็มีความสุข ความสุขเกิดจากวัตถุ ไม่ใช่ความสุขเกิดจากความปกติของจิต จิตที่มันสงบเข้ามา ความสุขอย่างนี้เป็นความสุขอย่างยิ่ง เพราะเวลาแก้ว แหวน เงิน ทอง สมบัติเรามีขนาดไหน มันไว้นี่เราไม่ได้ใช้สอยมันเป็นประโยชน์กับเรานะ เราต่างหากเป็นผู้ดูแลรักษาเขา แต่นั่นหัวใจของเรา เห็นไหม
เราจะไปอยู่ในถ้ำ เราจะไปคูหา เราจะไปอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ หัวใจมันจะอยู่กับเราตลอดไปนะ เราจะอยู่ไปที่ลึกลับขนาดไหน ความรู้สึกจะไปกับเรา ถ้าไม่มีความรู้สึกคือคนตาย คนตายมันขยับเขยื้อนไม่ได้ เห็นไหม เราจะไปอยู่ที่ไหนหัวใจมันอยู่กับเราตลอดไป ถ้าหัวใจมันอยู่กับเราตลอดไป เห็นไหม ตัวนี้ล่ะตัวที่ว่าถ้ามันเป็นบุญกุศล มันเป็นความสงบของใจ ถ้าใจมีความสงบอย่างนี้ นี่อาหารของใจ
อาหารของใจ คนจะหาอาหารของใจได้ต้องคนที่ว่ายอมเสียละ การเสียสละ ถ้าเราอยู่บ้านอยู่เรือน เราต้องมีหน้าที่การงาน เราจะมีรายได้ของเรา เราเสียสละรายได้อันนั้นเพื่อไปวัดไปวา ถ้าเสียสละรายได้อันนั้น ตัวนั้นเป็นตัวเลขนะที่เราน่าเสียดายแล้ว แต่ถ้าเราไม่เสียสละอันนั้น เสียสละสิ่งที่เป็นวัตถุ เราจะไม่ได้สิ่งที่ละเอียดกับในหัวใจของเราเลย
เริ่มต้นจากเสียสละนี่ คนก็เสียสละกันได้ยากแล้ว เพราะไม่มีเวลา ไปวัดก็ไม่มีเวลานะ จะไปไหนก็ไม่มีเวลา ถ้าทำมาหากินนี่มีเวลา ถ้ายุ่งอยู่นี่มีเวลา แต่ถ้าเวลาสละไปเพื่อหัวใจ ไม่มีเวลา แต่เวลามันถึงที่สุดแล้วมันต้องตายไป เห็นไหม มีเวลาไหมมันต้องตายนะ เวลาตายไปนี่ใจไม่เคยตายนะ เวลาคนตายเขาไปส่งกันที่เชิงตะกอน เขาไปส่งกันที่หลุมฝังศพเท่านั้นเอง แต่หัวใจไม่มีใครไปส่งมันได้นะ แต่บุญกุศลส่งได้ บุญกุศลนี่เป็นทิพย์สมบัติ ทิพย์สมบัติไปอยู่กับใจ
วันนี้เราใส่บาตรใครเป็นคนใส่ มือเป็นคนใส่ แต่ถ้าหัวใจไม่สั่งมือใส่ไม่ได้หรอก หัวใจเป็นคนสั่ง หัวใจเป็นคนรับรู้ นี่บุญกุศลเกิดมา เกิดมาจากใจทั้งหมด สิ่งที่การกระทำนี้มันสั่งลงไปที่ใจทั้งหมด นี้เป็นอามิส นี้เป็นอามิสคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้เป็นทาน ศีล ภาวนา ทานไง ทานเป็นพิธีกรรม เป็นทาน เราก็เลยติดพิธีกรรมกัน ทุกอย่างมันต้องทำเป็นพิธีกรรม ถ้าผิดจากพิธีกรรมอันนี้ไม่ได้บุญ
แต่ความจริงของเรา เราเจตนามาจากบ้าน สมัยโบราณเราต้องทำอาหารเอง ไม่มีอาหารที่เขาจะซื้ออย่างนี้ เริ่มต้นตั้งแต่เราเก็บ เราสะสม เราจะทำอาหารมานี่ มันเป็นบุญมาตลอด เพราะเราคิดถึงแต่เรื่องเป็นคุณงามความดี สิ่งที่เราคิดถึง การกระทำนี้มันเป็นบุญมาตลอดนะ สิ่งนี้เป็นบุญตลอด เริ่มตั้งแต่เราแสวงหา เรากระทำกันมานี่ มันอยู่ที่เจตนา
แต่ถ้าเป็นพิธีกรรม เห็นไหม ถ้าเราไปถึงวัดแล้ว วัดนั้นไม่ได้ถวายทาน ไม่ได้มีการกล่าว อันนั้นมันเป็นพิธีกรรม เป็นพิธีกรรมเพราะคนโลเล จิตใจเราโลเล เห็นไหม ถ้าเราไม่ได้กล่าวคำถวาย เราไม่ได้กล่าวตอกย้ำว่านี่คือการถวาย ใจมันบอกว่าสิ่งนี้ยังไม่จบสิ้นการถวายทาน แต่ถ้าเราเป็นเจตนา มันเจตนามาตั้งแต่หัวใจ หัวใจนี้สำคัญที่สุดนะ
ถ้าเรากล่าวคำถวาย แต่เราคิดแต่เรื่องห่วงใยที่บ้านของเรา เราคิดห่วงใยคนอื่น ปากมันพูดไปนะ แต่หัวใจมันคิดไปเลย ป่านนี้ที่บ้านจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ มันทุกข์ร้อนไปหมดเลย แล้วกล่าวคำถวายมันได้ประโยชน์อะไร แต่ถ้าเจตนามันให้มานะ จะกล่าวคำถวายไม่กล่าวถวาย ใจเป็นคนรับรู้ใช่ไหม ใจเป็นคนกระทำใช่ไหม นี่ทาน ทานนี้เป็นอามิสนะ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์จะปรินิพพาน อานนท์ให้บอกเขาเถอะ ให้ปฏิบัติบูชา เห็นไหม เพราะการปฏิบัติบูชาทำให้จิตเราสงบได้ ให้เราเข้าถึงสมาธิได้ อาหารของใจมันจะละเอียดขึ้นมาแล้ว ถ้าเราเสียสละเวลามาทำบุญกุศลเรายังไม่มีเวลาเลย แล้วเราจะเสียสละเวลาของเรานั่งสมาธินี่มันจะเอามาจากไหน เห็นไหม
เด็กๆ มีการศึกษา บอกต้องดูหนังสือ ถ้าไม่ดูหนังสือจะไม่เข้าใจ ยิ่งดูหนังสือมันยิ่งเครียด ดูหนังสือยิ่งงง แต่ถ้าเราวางหนังสือไว้ มาทำความสงบของใจสัก ๕ นาที ๑๐ นาทีนะ กลับไปดูใหม่มันจะเข้าใจดีกว่านั้น แต่เราไปมองกันว่าการเสียเวลาไปนั้นเป็นเสียประโยชน์ ดูสิ เวลาคนเราเกิดมา เวลาหน้าที่การงานเขาทำงานกัน แต่เวลาเรานอนหลับพักผ่อน เราไปนอนทำไมล่ะ เรานอนหลับพักผ่อน ถ้าไม่นอนหลับคนมันตายนะ
นี่ก็เหมือนกัน ในการทำงานถ้าเราไม่ได้พักเราก็ตายนะ ในการเครียด ในการดูหนังสือ ถ้าเราไม่ได้พักเราไม่ได้ประโยชน์ตรงนั้นนะ สิ่งที่เราจะมาเสียสละสิ่งที่เป็นประโยชน์กับเรา จากสิ่งที่ยังเป็นหยาบๆ แล้วเราเอาสิ่งที่เป็นประโยชน์จากนี้เป็นความละเอียด เห็นไหม ใจมันจะพัฒนาอย่างนี้ ศาสนาสอนอย่างนี้ไง ที่เราแสวงหากัน ที่เราพยายามขวนขวายกัน ขวนขวายที่ไหน ขวนขวายที่เราลงใจนะ เราลงใจที่ไหนเราเชื่อมั่นที่ไหน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกกับพวกคฤหัสถ์ เห็นไหม
จะทำบุญ ควรทำบุญที่ไหน
ควรทำบุญที่เธอพอใจ
เพราะการทำบุญกุศลนี่ มันไม่อยากทำนะ เพราะดูสิเราหามานี่เหนื่อยยากขนาดไหน แต่ด้วยความพอใจเราเสียสละได้ แต่ของๆ เรา ถ้าวางอยู่ใครมาฉกฉวยไป เราจะไม่พอใจอย่างมากๆ เลย สิ่งที่เราพอใจเราถึงเสียสละได้ การเสียสละมันเกิดจากความพอใจ แล้วความตระหนี่ถี่เหนียวล่ะ มันก็เหนี่ยวรั้งไว้นะ นี่จะทำอย่างนั้นก็เสียดายอย่างนี้ จะทำอย่างนี้เสียดายอย่างนั้น เห็นไหม การเสียสละมันเป็นการฝึกตรงนี้ การฝึกความตระหนี่ถี่เหนียว ความตรึกจากภายใน นี่การเสียสละ การเสียสละออกไปจากเป็นวัตถุ แต่มันก็เสียสละออกไปจากหัวใจ การสละทาน เห็นไหม นี่เป็นอามิส
แต่ถ้าการเสียสละของเรา การเสียสละความรู้สึก การเสียสละสิ่งที่เป็นความฟุ้งซ่าน ความเสียสละสิ่งที่เป็นความกังวล ความกังวล ความหมักหมมของใจ น้ำเสียนี่มันไม่มีการหมุนเวียน มันจะมีความหมักหมมอยู่ในหัวใจ ถ้าเรามีการเสียสละ มันเคลื่อนออกไป นี่ควรแก่การงาน ถ้าควรแก่การงาน มันจะมีโอกาสทำให้เรารักษาใจของเราได้ ถ้าเรารักษาใจนะ ใจมันคืออะไร? ใจมันคือนามธรรม วัตถุเขาพยายามจับต้องกัน เขายังเก็บสงวนรักษามันถึงเก็บได้ยากเลย แล้วสิ่งที่เป็นนามธรรมจะรักษาได้อย่างไร เห็นไหม จิตเป็นสมาธิเป็นอย่างไร สภาวะจิตตั้งมั่นมันเป็นอย่างไร ความรู้สึกเราคิดไปหมดเลย
เราไปอยู่กับเขานะ วัตถุ แก้ว แหวน เงิน ทอง หรือหน้าที่การงานต่างๆ เราไปอยู่กับเขา เขาไม่รู้อะไรกับเราเลย นี่จิตมันไปเกาะเกี่ยวเขาต่างหาก เราควรกำหนดพุทโธ หรือคำบริกรรมเข้ามา เราเอาตัวเราเองกลับมาเป็นผู้อิสระไง เอาตัวเราเองกลับมานะ แก้วแหวนเงินทองในบ้านของเรา เราก็ไปแบกไว้ต่างหากนะ แก้วแหวนเงินทองมันก็อยู่ในเซฟอยู่แล้วไม่ต้องไปยุ่งกับมันหรอก แต่ใจของเราอยู่กับใจของเรา มันอยู่กับใจของเราแล้วใช่ไหม มันก็ไปห่วงอาลัยอาวรณ์ มันไปห่วงมันไปแบกให้หนักในหัวใจ ถ้ามันเสียสละ มันเป็นอิสระเข้ามาจากในหัวใจของเรา กำหนดพุทโธๆ นี่จิตจะอิสระเข้ามา
ถ้าจิตควรแก่การงาน แล้วมีการบำรุงรักษา มันจะตั้งมั่นของมันขึ้นมาได้ ถ้ามันตั้งมั่นขึ้นมาได้ ใจของเรามันจะเห็นความสุขอันละเอียด ถ้าเห็นความสุขอันละเอียด เห็นความเป็นจริงของชีวิต ว่าจิตนี้มีความสำคัญมาก หน้าที่การงานไม่ปฏิเสธ สิ่งที่ปฏิเสธมันเป็นหยาบ ต้นไม้มันมีเปลือก มีแก่น มีกระพี้ มันมีกระพี้เห็นไหม กระพี้อย่างนั้นมันอยู่จากภายนอก มันก็รักษาต้นไม้ไว้ ไม่มีไม่ได้ หน้าที่การงานต้องมี แก้วแหวนเงินทองต้องมี เพื่อดำรงชีวิตของเราต้องมี แต่มีให้มันมีตามความเป็นจริง ไม่ใช่มีด้วยตัณหาความทะยานอยาก มีด้วยการแบกไว้ มีด้วยการไม่ใช้จ่ายมัน มีด้วยการไม่เป็นประโยชน์กับเรา มันไม่เป็นประโยชน์อะไรกับเราเลย
แต่ถ้าเรามีของเรา หน้าที่ของเรา เรามีของเรา มันเป็นประโยชน์กับเรานะ ดูสิ ทรัพย์สมบัติ เห็นไหม ถ้าคนดีใช้ มันเป็นประโยชน์นะ ถ้าคนไม่ดีใช้ เขาใช้ไปทำให้เขาเสียนิสัยก็ได้ เขาใช้ให้เขาเสียคนไปก็ได้ สมบัติทำให้คนเสียคนก็ได้ สมบัติทำให้คนดีก็ได้ นี่ใจมันสำคัญตรงนี้ ถ้าใจดีสมบัติเป็นของดีทั้งหมด เพราะอะไร? เพราะใช้เป็นประโยชน์ขึ้นมา ถ้าใจไม่ดี คิดดูคำว่าสมบัติ แก้วแหวนเงินทอง ทำไมทำให้คนเสียคนได้ ทำไมจะไม่เสียคน ถ้าเขาใช้สุรุ่ยสุร่าย ก็ทำให้เขาคุ้นเคยกับกิเลสอย่างนั้น มันก็ทำให้เขาเสียคนได้ เห็นไหม
สมบัติมันเป็นสมบัติเฉยๆ มันเป็นสิ่งที่โลกนี้เขาไว้ใช้กันแลกเปลี่ยนเฉยๆ แต่หัวใจต่างหากล่ะ หัวใจนี่เป็นเจ้าของ มันสำคัญไหม ถ้าสำคัญจากภายนอก นี่ทรัพย์สมบัติจากภายนอก ทรัพย์สมบัติจากภายใน ทรัพย์สมบัติจากภายใน ดูสิเวลาครูบาอาจารย์ของเรา ไม่หวั่นไหวกับโลกธรรมต่างๆ เขาจะติเตียนขนาดไหนมันเรื่องของเขา เพราะเขาไม่รู้นะ เขาหยาบมาก เขาไม่เข้าใจหรอก ธรรมะ เห็นไหม เราไปหาธรรมะกัน เขาไปหาธรรมเมา เขาเมากันนะ ทำดีต้องเป็นอย่างนั้น ทำดีต้องเป็นอย่างนี้ เขาอยู่ด้วยความเมา เขาอยู่กับโอกาสของความเมา เขาเมาในอารมณ์ของเขา เขาไม่ได้อยู่ในธรรมะหรอก เขาอยู่ในธรรมเมา แล้วว่าสิ่งนั้นเป็นประโยชน์กับเขา
เขาเห็นเป็นประโยชน์กับเขา เป็นประโยชน์กับกิเลส เขาพอใจของเขา แต่ธรรมะไม่เป็นอย่างนั้น ธรรมะมันต้องมี ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลมันเทียบเคียงได้ เห็นไหม ปาณาติปาตา เราไม่เบียดเบียนกัน เราไม่ทำร้ายกัน สมบัติของเขาเราไม่ฉกไม่ลักของเขา เราจะซื่อสัตย์กับคู่ครองของเรา เราจะไม่มุสา เราจะไม่ดื่มสุราเมรัยต่างๆ นี่ศีล ถ้าศีลขึ้นมา สมาธิ ใจมันก็ไม่เกาะเกี่ยว คนเรานะมันไม่ต้องการสิ่งใด มันอยู่โดยปกติของมัน หัวใจมันจะดิ้นรนไหม แต่คนเรา ดูสิ พอตกเย็นขึ้นมา เราต้องไปหาเพื่อน เราต้องไปสังสรรค์อย่างนี้ นี่มันถึงเวลามันจะทิ้งงานนะ มันจะไปของมันแล้ว นี่ใจไม่ปกติแล้ว
แต่ถ้ามีศีล ใจมันเป็นปกติ ถ้าใจมันปกติขึ้นมา ใจมันปกติ ศีลเป็นข้อบังคับ แต่ความปกติคือศีล คือตัวของใจ ถ้าใจมันปกติมันก็มีสมาธิขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าเกิดปัญญาขึ้นมาปัญญาจะเห็นชีวิตเลยนะ แต่เดิมเราสังสรรค์ไปกับเขา เสียทั้งเวลา เสียทุกๆ อย่างเลย แต่เวลาเราจะไปทำบุญกุศลบอกไม่มีเวลา ไม่มีเวลานะ ทำไม่ได้ แต่ถ้าจิตมันปกติขึ้นมามันทำได้ เพราะอะไร? เพราะเราอยู่บ้านของเรา นั่งอยู่ที่ไหนมันก็ปกติอยู่แล้ว กำหนดพุทโธเมื่อไรก็ได้ ในเมื่อมีลมหายใจเข้าและลมหายใจออก จะอยู่กิริยาไหน อิริยาบถไหนก็ทำภาวนาได้ทั้งนั้น จิตมันอาศัยเกาะตรงนี้ มันไม่ไปยุ่งกับเขา มันเป็นอิสระของมันเข้ามา เห็นไหม
ความเป็นสุขอันละเอียด ความเป็นสุขเป็นอริยทรัพย์จากภายใน ทรัพย์สมบัติเป็นเรื่องของโลกๆ นะ เราเป็นเจ้าของบัญชีขนาดไหน ถ้าเราตายเดี๋ยวนี้ มันก็เป็นมรดกตกทอดต่ออนุชนรุ่นหลังไป แต่บุญกุศลหรือหัวใจ ทรัพย์สมบัติของเรามันจะไปกับเรา เป็นทิพย์สมบัติ ถ้าเราทำบุญกุศลไว้เป็นทิพย์สมบัติ แล้วถ้าเป็นผู้ที่ภาวนามีหลักมีเกณฑ์ในหัวใจนะ เป็นอริยทรัพย์จากภายใน นี่วัฏฏะ วัฏวน คนเราเกิดตายๆ ใครจะปฏิเสธขนาดไหนมันก็เป็นธรรมชาติอันนี้ คำปฏิเสธเป็นคำปฏิเสธ ความจริงเป็นความจริง
แล้วถ้าจิตมันมีอริยทรัพย์จากภายในนะ จากที่ว่าไม่มีต้นไม่มีปลาย จะเหลือ ๗ ชาติ เหลือ ๓ ชาติ เหลือไม่เกิดอีกเลย มันเป็นอย่างไร ถ้ามันเป็นอย่างไร หัวใจนี่มันมีคุณค่า หัวใจที่มันล้มลุกคลุกคลาน มันเวียนไปตามโลก มันก็เป็นไปสภาวะแบบนั้น วันไหนหัวใจมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา มันเป็นปัจจัตตังนะ เป็นสันทิฏฐิโก เป็นความรู้ในหัวใจ ไม่ต้องใครการันตี ไม่ต้องมีใครบอก ไม่ต้องมีใครมารับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น หัวใจนี่เพราะเวลาเราหลง เราต้องไปตามอารมณ์ เราต้องไปตามกรรม มันต้องเกิดต้องตาย มันก็ขับดันเราไปตลอดเวลา
วันไหนที่มันเป็นอิสระเราก็เห็นความเป็นอิสระนั้น ถ้าเราไม่เห็นความเป็นอิสระเราจะรู้ว่าเป็นอิสระได้อย่างไร วันไหนที่มันพ้นจากทุกข์ วันไหน เห็นไหม ถ้ามันเป็นสภาวะแบบนั้น นี่สิ่งนี้มีคุณค่าจากในหัวใจ จะเข้าใจเรื่องชีวิต เกิดมาๆ ชั่วคราวเกิดมาดำรงชีวิตชีวิตหนึ่ง แล้วจะหาผลประโยชน์อะไร? หาผลประโยชน์โลกก็เป็นผลประโยชน์โลก หาผลประโยชน์ของใจ หาประโยชน์ที่เป็นนามธรรม แต่คงที่ หาประโยชน์โลกนะ สมบัติผลัดกันชม ไม่มีใครเป็นเจ้าของตายตัว เพราะมันไม่พลัดพรากจากเรา เราก็ต้องพลัดพรากจากเขาแน่นอน เป็นสิ่งที่แน่นอนตายตัว เขาไม่พลัดพรากจากเรา เราก็ต้องพลัดพรากจากเขา
แต่ถ้ามีอริยทรัพย์มันเป็นทรัพย์สมบัติในหัวใจ มันจะไม่มีพลัดพรากจากกัน มันจะอยู่กันอย่างนั้นคงที่ มันจะเป็นสมบัติของเราคงที่ในหัวใจของเรา ที่หัวใจลุ่มๆ ดอนๆ นี่มันจะคงที่ของมัน แล้วจะมีความสุขของมัน เอวัง