เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๙ ต.ค. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาคนมีคุณธรรมในหัวใจนะ เวลาหลวงปู่มั่นท่านจะปรินิพพาน มาเข้านิมิตแม่ชีแก้วตลอดเลย “ให้ไปกราบนะเดี๋ยวจะไม่ทัน ให้ไปกราบนะเดี๋ยวจะไม่ทัน” พอสุดท้ายแล้วไปนะ “ให้ไปกราบเท่าไรก็ไม่ได้ไป ตอนนี้ให้ไปกราบซากนะ เหลือแต่ซากเอาไว้ให้กราบ ซากนอนอยู่ที่วัดเพราะไปตายอยู่ที่วัดป่าสุทธาวาส เดี๋ยวนี้หลวงพ่อไปแล้ว ตอนนี้เหลือแต่ซาก ให้ไปๆ แล้วไม่ไป ตอนนี้ก็ไปกราบซากเสีย”

คนมีชีวิตอยู่ ครูบาอาจารย์ท่านยังมีความรู้สึก ยังมีจิตวิญญาณอยู่ที่ยังสื่อกับเราได้ ตายไปแล้วเหลือแต่ซาก ขนาดซากของพระอรหันต์นะ เวลาเผาแล้วเป็นพระธาตุ ซากของพระอรหันต์ยังเป็นประโยชน์เลย ไอ้ซากของเรานี่เรายึดซากของเรานะ เหมือนกับเสือหวงซากเลย กายนี่เป็นของเรา ทุกอย่างเป็นของเรา แล้วมันก็หวงของมันนะ มันจะคอยกัดคอยฉีกคนอื่น คนอื่นจะทำอะไรเราไม่ได้เลย ไปหวงซากของตัวเอง

แล้วซากนี้มีประโยชน์อะไรขึ้นมาน่ะ ตายขึ้นมามีแต่เหม็น ซากสัตว์มันตายไปแล้วมันยังเป็นประโยชน์ขึ้นมานะ เอาไปทำอาหารได้ ซากของคนตายแล้วเหม็นเน่ามาก แล้วเวลามันมีชีวิตอยู่ทำไมไม่ทำกัน แล้วทำไมมันลืมตัวกันขนาดนี้ นี่มันไม่ใช่เรื่องเลย

ครูบาอาจารย์ท่านคอยชี้นำนะสิ่งที่เป็นประโยชน์ ขัดเกลาเห็นไหม ธุดงควัตรนี่เป็นการขัดเกลากิเลส การต่อสู้กับมัน เรื่องการต่อสู้กับกิเลส ไม่ใช่แห่กันไปแห่กันมา แห่กันไปแห่กันมามันเป็นประโยชน์อะไร มันเหมือนกับนักร้องลูกทุ่ง เขาเล่นคอนเสิร์ตกัน เขาไปทำคอนเสิร์ตกัน เขาทำดีกับเราเพราะเขาได้เงินได้ทอง เขาได้ประโยชน์กับเรา แล้วเราได้อะไร ไปเสียพลังงานเปล่าๆ ไปแล้วไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย แล้วทางจงกรมทำไมไม่ทำ งานของตัวทำไมไม่ทำ ถ้างานของตัวทำนี่หัวหน้าพาไปไหน เห็นไหม หลวงปู่มั่นท่านทำอย่างไร หลวงปู่มั่นท่านพาทำอย่างไร แล้วว่าเป็นลูกศิษย์สายหลวงปู่มั่นๆ หลวงปู่มั่นขายได้นี่นา หลวงปู่มั่นมีชื่อเสียง เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นไหม ไม่รู้จักหลวงปู่มั่นเป็นอย่างไรด้วย แต่หลวงปู่มั่นทำอย่างไร

นี่เหมือนกัน ครูบาอาจารย์ท่านทำอย่างไร ท่านทำอย่างไรต้องดูข้อวัตรปฏิบัติสิ ดูการกระทำอันนั้นสิ ไม่ใช่เสือหวงซาก เสือหวงซากนะมันยังได้กินอาหารของมัน นี่หวงแล้วท้องหิวด้วย หวงตัวเองไง นี่ทิฏฐิมานะสูง ทิฏฐิมานะกล้า ทิฏฐิมานะกล้ามันคืออะไร ทิฏฐิมานะกล้ามันทำให้ตัวเองทุกข์ตัวเองยาก ตัวเองทุกข์ตัวเองยากไม่พอ ยังไปกว้านให้คนอื่นทุกข์คนอื่นยากไปกับเรา เพราะอะไร? เพราะถ้าไม่มีคนขึ้นมาแล้วมันจะเป็นประโยชน์อะไรขึ้นมาไม่ได้ ถ้าตัวเองมีคนสนับสนุนขึ้นมามันถึงเป็นประโยชน์ขึ้นมาได้ ทำไมอยู่คนเดียวไม่ได้

ดูสิ กษัตริย์สมัยพุทธกาลออกบวชแล้วเป็นพระอรหันต์ขึ้นมานี่ อยู่โคนไม้ “สุขหนอ สุขหนอ สุขหนอ” อยู่คนเดียวอยู่โคนไม้สุขมาก ไอ้การคลุกคลี ไอ้เข้าเป็นหมู่คณะนั่นน่ะ สิ่งนี้เป็นเรื่องของกิเลสทั้งหมดเลย ดูสิ สัลเลขธรรม ๑๐ พระธุดงค์กันมานาน คุยกันเรื่องอะไร? คุยกันเรื่องการมักน้อยสันโดษ คุยกันเรื่องวิเวก คุยกันเรื่องการประพฤติปฏิบัติ ไม่ได้คุยกันเรื่องโลกเลย

เรื่องโลกมันเป็นเรื่องให้ไปกระตุ้นกิเลส คนมันมีเชื้อโรคอยู่ในหัวใจนะ ของแสลงนี่ใส่กันเข้าไป อะไรที่เป็นแสลงใส่เข้าไป อะไรที่ให้มันเพลิดเพลินกับโลก สิ่งที่มันจะเหยียบย่ำทำลายตัวเอง เรื่องของกิเลสเหยียบมันเข้าไป สิ่งที่เป็นคุณธรรมขึ้นมาไม่สนใจเลย อะไรที่มันเป็นคุณธรรมบ้างล่ะ? คุณธรรมมันมาจากไหน?

คุณธรรมมันมาจากการสงบวิเวก ดูสิเที่ยวป่าช้าทำไม? เข้าป่าไปทำไม? ไปอยู่วิเวกทำไม? ไปอยู่ให้มันดิ้นรนไง ให้มันกลัวผีไง ให้มันกลัวขึ้นมา ให้มันตื่นเต้นขึ้นมา เวลาไปอยู่กับสัตว์ป่า เห็นไหม ดูสิมันจะกินหัวมึงกันน่ะ กลัวมันไหม? แล้วทำไมไปกลัวมัน มันเป็นสัตว์ ทำไมไปต่อสู้มันเหรอ แล้วเวลาสัตตะผู้ข้อง สัตว์ในหัวใจทำไมไม่กลัวมัน แล้วกิเลสที่มันเหยียบอยู่บนหัวสัตว์ตัวนั้นทำไมไม่กลัวมัน นี่อยู่กับเราแท้ๆ ไม่กลัวมัน ไปตื่นกับข้างนอก ข้างนอกไม่สำคัญเลยนะ

สิ่งสำคัญปัจจัยเครื่องอาศัย ดูสิ ครูบาอาจารย์ท่านบอก นกมันก็มีรวงมีรัง เราจะสร้างรวงรังกัน แต่สร้างรวงรังมันก็พอสมดุลกับการอยู่อาศัยเท่านั้นเอง แล้วสุดท้ายแล้วมันก็ต้องมาชำระกิเลส มาประพฤติปฏิบัติ ใครทำให้ไม่ได้ ถ้าใครทำให้ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ต้องหรอก รื้อสัตว์ขนสัตว์น่ะเอาสวิงมาช้อนเอาเลย นี่สัตว์โลกช้อนไปให้หมด เอาให้พ้นๆ กิเลสไป แล้วมันเป็นไปได้ไหมล่ะ เพราะมันอยู่ในหัวใจของใคร ใครก็ต้องทำเอง อาหารใครไม่กิน คนคนนั้นก็ไม่อิ่ม แล้วเรื่องของกิเลสอยู่ในหัวใจลึกเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง ถ้าใครไม่ทำมันจะชำระกิเลสได้อย่างไร แล้วคนทำทำมาจากไหน ทำมันก็ต้องมีศรัทธาความเชื่อ

ดูสิ เรดาร์นะมันหันไปไหน หันไปจับแต่ข้างนอก นี่เครื่องบินรบมาไหม สิ่งที่เป็นโทษมาไหม แต่ไอ้เรดาร์มันไม่หันกลับมาข้างในเลย ทวนกระแสนี่มันทำกันไม่ได้ พอทวนกระแสทำไม่ได้แล้วก็ออกไปจับแต่ข้างนอก วิ่งไปหาแต่ข้างนอกเอามาเป็นยศถาบรรดาศักดิ์ นี่สิ่งมียศมีชั้นขึ้นมาแล้วก็อวดกัน มีหมู่มีคณะไง มีสังคมแวดล้อม สังคมแวดล้อมมันเรื่องของโลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ แล้วสิ่งที่เชื่อถือไม่ได้เลย สิ่งที่ไปให้มันเป็นเรื่องลมพัดลมเพ เรื่องนามธรรมเอามากดหัวตัวเองได้อย่างไร เอามากดหัวตัวเองนะ เรื่องมีลาภเสื่อมลาภ

แล้วถ้าเรื่องของเราล่ะ เรื่องของเราอยู่ที่ไหนมันก็มีความสุขของเรา แล้วมีความสุขของเรา เรื่องนั้นมันเป็นเรื่องอะไร? มันเป็นเรื่องไร้สาระมาก แล้วเอาเรื่องไร้สาระมาเป็นสาระ เรื่องที่เป็นสาระ เห็นไหม เรื่องคุณธรรม เรื่องการประพฤติปฏิบัติ เรื่องรักษาหัวใจของตัวไม่ทำ! ไม่ทำกันเลย! ทำแต่เรื่องไร้สาระ แล้วคนอื่นจะทำคุณงามความดี จะดึงให้เราไปอยู่ในเรื่องไร้สาระได้อย่างไร เรื่องไร้สาระครูบาอาจารย์ที่มีหลักมีเกณฑ์ไม่พาทำอย่างนั้น ไม่พาทำอย่างนั้นหนึ่ง แล้วจะไม่ทำให้คนอื่นเสียด้วย ไม่ทำให้พระเสียเวลาด้วย

ดูสิ ดูลูกของเรา เราจะให้ไปโรงเรียน แล้วมันไปเที่ยวเล่น มันไม่ไปโรงเรียน พ่อแม่เสียใจไหม? แล้วนี่ทำอะไรกัน ทำให้มันตื่นไปกับโลก ให้มันอยู่กับสิ่งสภาวะแบบนั้น ให้มันตื่นออกไปข้างนอก แล้วเวลาข้างในขึ้นมา เดินจงกรมไม่ได้นะ ต่อไปเดินจงกรมไม่ได้ แม้แต่บิณฑบาตยังไม่ทำกันเลย บิณฑบาตเหนื่อย ไปไกลมาก แล้วเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง แล้วธุดงควัตรไม่บิณฑบาตมา แล้วดูสิ เขาทำมาหากินกันมา เขาได้ทุกข์เขาได้ยากมา กว่าเขาจะทำไร่ไถนาขึ้นมาได้เงินมาแต่ละบาทแต่ละสตางค์

แล้วพระดำรงชีวิตแค่นี้ แค่บิณฑบาตไปเอายังเหนื่อยมาก ยังทำไม่ได้ แม้แต่บิณฑบาตยังขี้เกียจเลย อย่าว่าแต่เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนานะ แล้วถ้ามันมีงานอื่นขึ้นมานี่มันอ้างได้หมด กิเลสมันอ้างได้หมด มันถึงควรไม่ให้มีอะไรเข้ามาเลย ข้อปฏิบัติมันอยู่แค่นี้ไง ขอบเขตของมันแค่นี้ จะเอากิเลสมาขี่หัวของผู้ปฏิบัติไม่ได้ ผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ผู้เห็นโทษเห็นภัยแล้วพากันออกไปข้างนอก แล้วไม่ย้อนกลับเข้ามา ขนาดกิเลสมันก็ไม่ย้อนกลับเข้ามาแล้วนี่ ที่มันย้อนกลับเข้ามาเพราะอะไร? เพราะครูบาอาจารย์ท่านคอยเตือน คอยตั้งสติไว้ คอยบอกให้ “นี่เผลอแล้ว ออกข้างนอกแล้ว ส่งออกแล้ว” เห็นไหม ให้ย้อนกลับมา

แล้วมันเหมือนเด็กเลย พ่อแม่นี่เบื่อมาก ทำอะไรไม่ได้เลย พ่อแม่คอยเอ็ดๆ ...มันไม่ได้เอ็ด เอ็ดเพื่อคุณงามความดี เอ็ดเพื่อให้เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา เอ็ดเพื่อให้มีหลักมีวิชาการ เอ็ดเพื่อการดำรงชีวิตได้ เอ็ดเพื่อให้มีหลักมีเกณฑ์ในศาสนาไง ถ้าพระแต่ละองค์ปฏิบัติขึ้นมานะ มันเป็นเกียรติกับศาสนา เพราะศาสนาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้วมีคุณธรรมขึ้นมา มันเป็นหลักเป็นชัยของศาสนา เพราะศาสนามันมีเนื้อแท้ไง

ดูสิ ภาชนะหม้อแกงไม่มีอาหารสักเม็ดหนึ่งเลย หม้อข้าวหม้อเปล่าๆ นี่ศาสนาศาสนาเปล่าๆ ไม่มีคุณธรรมในหัวใจกันเลยเหรอ ไม่มีสิ่งที่บอก อาหารมันกินได้ หม้อแกง แกง อาหารมันเอามากินเป็นประโยชน์ได้นะ

นี่ธรรมะก็เหมือนกัน ธรรมะแสดงออกมาจากใจที่สะอาดบริสุทธิ์ มันสะเทือนหัวใจนะ มันสะเทือนหัวใจเรา ในหม้อก็มีแกง ในหม้อมีอาหารเต็มไปหมดเลย ศาสนามันก็มีคุณค่าขึ้นมา นี่ศาสนามีแต่หม้อเปล่าๆ เป็นศาสนา เป็นแต่รูปแบบกัน ต้องทำอย่างนั้นนะ โอ้โหย หม้อประดับด้วย ประดับเพชรประดับพลอยสวยงามมากเลย พิธีกรรมทำกันบ้าบอคอแตกอยู่อย่างนั้นน่ะสวยงามมากเลย แล้วก็ตื่นกันแค่นั้นนะ ไปติดที่หม้อ ไปติดที่ภาชนะ ไม่สามารถเข้าไปถึงเนื้อหาสาระของศาสนาเลย แล้วก็พาทำกันอย่างนั้น แล้วมันจะเป็นประโยชน์อะไรกับเราขึ้นมาล่ะ? มันไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย

พิธีกรรมจะทำนะมันเป็นเวล่ำเวลา นี่มันทำเป็นศาสนพิธี ดูสิ บ้าน สร้างเสร็จแล้วต้องทาสี ต้องตบต้องแต่ง การตบแต่ง การทาสี ประเพณีวัฒนธรรมมันก็เป็นแค่นั้นล่ะ ถ้าเขาทำกันก็เพื่อหลอกตาคนโง่ ให้คนโง่เห็นบ้านหลังนี้สวย บ้านหลังนี้งาม แต่จริงๆ แล้วบ้านเขาอยู่อาศัยเพื่อหลบแดดหลบฝนต่างหากล่ะ

นี่ก็เหมือนกัน พิธีกรรมก็ทำขึ้นมานี่ศาสนาจับต้องได้ ศาสนาทำพิธีกรรมกัน มันก็เป็นเรื่องเปลือกๆ เป็นภาชนะหุ้มห่อ แต่เนื้อหาสาระมันเป็นความจริงที่มันแก้ทุกข์เราได้ สิ่งที่เป็นประโยชน์กับเราขึ้นมานี่แก้ทุกข์เราได้ ถ้าแก้ทุกข์เราได้ ทำไมถึงทุกข์ล่ะ แล้วภาวนาไป เห็นไหม ดูสิ เวลาจิตมันสงบขึ้นมานี่เห็นนรกสวรรค์ต่างๆ มันก็ทำให้เตือนใจเราไม่ให้ทำบาปอกุศล เวลาถ้ามีวาสนาขึ้นมามันเข้าไปถึงอริยสัจ มันย้อนเข้าไปเห็นทุกข์ ทุกข์เกิดจากอะไร ทุกข์เกิดเพราะอะไร ทุกข์มีเพราะการเกิด เกิด...เกิดอะไร เกิดมีชาติ เห็นไหม ชาปิติ ทุกขา มันก็ไปเรื่อยเปื่อยของมัน แล้วเราย้อนกลับมา

นี่พอมันทุกข์ขึ้นมาแล้วมันไม่เห็นทุกข์นะสิ มันไปโสกะ ปริเทวะ มันไปเศร้าโศก มันไปตามอารมณ์ความรู้สึก มันส่งออกไปหมดเลย ไหลไปเลย ไหลกันไปตามกิเลส กิเลสพาออกไป ทุกข์เพราะเหตุนั้นๆ ชี้ไปข้างนอกเลย คนอื่นนะ ครูบาอาจารย์ด่าเรา คนโน้นว่าเรา คนนี้เอ็ดเรา มึงไม่ดูเลยว่ามีเราถึงด่าเราได้ใช่ไหม ถ้าไม่มีเราเขาจะด่าใคร ครูบาอาจารย์ท่านจะเอ็ดใคร ถ้าไม่มีเราไม่มีการเกิด ไม่มีสถานะที่รองรับ ท่านจะไปด่าใคร มันไม่มีอะไรให้ด่าเลย เพราะมันเป็นสิ่งที่เป็นอนิจจังทั้งหมดเลย ไม่มีอะไรเลย นี่เพราะมีเรา นี่มันก็ออกไป พอมันส่งกระแสออกไป ถ้ามันย้อนกลับเข้ามา แล้วย้อนกลับมาที่เรา ทำลายที่เรา จบแล้วเห็นไหม

ในภาชนะนั้นคือพิธีกรรม แต่สิ่งที่มีอยู่ในพิธีกรรมนั้นอยู่ที่คุณธรรมในหัวใจนั้น มันจะเห็นคุณประโยชน์ สมควรแก่กาลเวลา ควรทำก็ควรทำ ไม่ควรทำก็ไม่ควรทำ ไม่ควรทำนะ ถ้าทำก็ทำ ใครสมัครใจใครพอใจก็ว่ากันไปตามแต่ความพอใจ ไม่ใช่ทุกคนต้องทำเหมือนเราหมดเลย จะบังคับกันหมดเลย เป็นไปไม่ได้หรอก

อาหารมันมีแตกต่างแต่ละภาคแต่ละพื้นที่ออกไป มันก็แตกต่างกันไป แล้วแต่ใครจะไปประสบสิ่งใด อาหารเราชอบอาหารแต่หยาบๆ อาหารแต่ข้างนอก อาหารที่ละเอียดเราไม่เอา สิ่งที่มีคุณประโยชน์กับเราไม่เอา ในเรื่องแก่นของศาสนาเราไม่เอา ไปเอาแต่พิธีกรรมกัน หลอกกัน ทำพิธีกรรมกัน สิ่งต่างๆ กัน เป็นลาภสักการะกันมันก็ออกไปทางโลก แล้วก็มีศักยภาพ นี่โลกว่าอย่างนั้นนะ ทำไมคนไปเยอะแยะ คนไปคนโง่มันก็เยอะกว่าคนฉลาด

นี่สัญชัยบอกแล้ว “คนโง่มากกว่าคนฉลาด ถ้าใครฉลาดไปอยู่กับพระพุทธเจ้า ใครคนโง่อยู่กับฉัน” ไม่มีอะไรเลย ไม่เป็นไร ทุกอย่างไม่เป็นไร ทุกอย่างไม่มีไม่เป็น ไม่มีไม่เป็นมันก็โง่อยู่อย่างนั้น มันไม่มีไม่เป็นแล้วทำไมมันจะเกิดล่ะ ทำไมมันเกิดทำไมมันตายล่ะ มันต้องมีต้องเป็นสิ ต้องมีเหตุพาเกิดพาตายสิ แล้วที่พาเกิดพาตายมันอยู่ไหน? ก็มันอยู่ที่ใจ แล้วถ้าใจพาเกิดพาตายทำอย่างไร พิสูจน์กันไม่ได้ แล้วก็ไม่รู้กัน มันถึงไม่เห็นภัยไง

ถ้าพิสูจน์ได้นะเราน่ะเป็นคนผิดทั้งนั้น หัวใจเป็นตัวเกิดทั้งนั้น ย้อนกลับเข้ามาปิดล้อมมันไว้ อย่าให้มันออกไปพาลพาโลไปหาเรื่องคนอื่น หาเรื่องคนอื่นนะ ไปเกาะคนอื่น ไปอาศัยคนอื่น ไปอยู่กับคนอื่น ไปอยู่กับคนอื่นหมดเลย ส่งออกหมดเลย ไม่เข้ามาหาตัวเราเองสักนิดหนึ่งเลย พอเข้ามาหาตัวเอง พอจะหาตัวเองสักหน่อยขึ้นมาก็ โอ๊ย! ลำบากลำบน ทำก็ไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้ วิธีการยังปฏิเสธมันเลย แล้วจะไปเอาความจริงมาจากไหน

วิธีการนะ การประพฤติปฏิบัติ วิธีการของมัน แค่ข้อวัตรปฏิบัตินี่ยังปฏิเสธวิธีการ คนปฏิเสธเงินไม่เอาเงินไปซื้อของ มันเป็นคนบ้าหรือเปล่า คนมันต้องมีเงินมีทองใช่ไหมถึงไปซื้อสิ่งของได้ วิธีการ เห็นไหม ดูสิ ข้อวัตรปฏิบัติ ธรรมวินัยมันเป็นวิธีการ แล้วเข้าไปจับถึงความสงบของตัวเอง เกิดปัญญาขึ้นมา ปัญญาย้อนกลับไปทำลายตัวเอง ทำลายตัวเองนะ

ถ้าทำลายตัวเองจนหมดแล้วเหลืออะไร? ก็เหลือความจริง ธรรมธาตุจริงๆ เลย เหลือความจริง ความจริงอันนั้น เห็นไหม ทำลายกิเลสทั้งหมดเหลือความจริง แล้วความจริงคืออะไร ความจริงถ้าพูดไปเป็นสมมุติ สมมุติก็เป็นอัตตา สมมุติก็เป็นทางโลกเข้าไปอีก โลกก็เป็นอย่างนั้น ก็หมุนไปตามโลก

ย้อนกลับมานี่อยู่ที่เรา โลกเขาจะเป็นอย่างไรเป็นไป เราจะอยู่โคนไม้อย่างไรเรื่องของเรา ถ้าเราทำของเราได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลย “ผู้ใดปฏิบัติธรรมตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ เท่ากับอยู่ติดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ใดกอดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้เลยแต่ไม่ทำตาม ทำแต่กระแสโลก เหมือนกอดไว้ก็อยู่ห่างไกลหลายๆ โยชน์”

นี่เราปฏิบัติของเราเพื่อเรา อยู่กับเรา อยู่กับโคนไม้ อยู่กับธรรมวินัย อยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อยู่กับผู้รู้ อยู่กับความรู้สึกอันนี้ แล้วเราจะเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตลอดเวลา เอวัง