เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒o ต.ค. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

จะบอกว่าศาสนามันเป็นที่พึ่ง สมัยพุทธกาลนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปถามพระเจ้าปเสนทิโกศลไงว่าองคุลิมาลนี่ ถ้าพูดถึงเอากองทัพเพื่อไปปราบองคุลิมาลเพราะเป็นมหาโจรฆ่าคน ๙๙๙ ศพนะ อยากได้อีกนิ้วมือหนึ่งเพื่อไปเอาวิชาความรู้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามพระเจ้าปเสนทิโกศลเลยว่า

“ถ้าองคุลิมาลบวชมาเป็นพระนี่ พระเจ้าปเสนทิโกศลว่าอย่างไร?”

“ถ้าองคุลิมาลบวช ให้อภัยโทษ”

นี่พระพุทธเจ้าถึงไปทรมานก่อน ถ้าไม่ไปทรมานนะ เพราะเล็งญาณแล้วว่าองคุลิมาลมีอำนาจวาสนาอยู่ คนมีอำนาจวาสนาเป็นพระอรหันต์ได้ต้องสร้างบุญญาธิการมา มีเชาวน์ปัญญา มีฐานของจิต เป็นคนที่ไม่โลเล จิตนี่มันมีความมั่นคง

ถ้ามีปัญญามันมีเชาวน์ปัญญา เวลาไปนี่เคลื่อนไปก่อน เคลื่อนไปข้างหน้า องคุลิมาลเรียนวิชามาวิ่งได้เร็วกว่าม้านะ ม้าเร็วขนาดไหนจะวิ่งสู้ความเร็วขององคุลิมาลไม่ได้ องคุลิมาลวิ่งเร็วกว่าม้าอีก ใครจะขนาดไหนจะจับได้หมดเลย แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลอยไปข้างหน้า องคุลิมาลอยากได้นิ้วสุดท้ายไง พยายามจะฆ่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ได้ เพื่อเอานิ้วนั้นมาให้ครบ ๑,๐๐๐ นิ้ว เพื่อจะไปเอาวิชากับอาจารย์ของตัว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ด้วยฤทธิ์ วิ่งขนาดไหนก็ไม่ทัน จนเหนื่อยมาก เพราะวิ่งตามใครก็ทัน ทำไมวิ่งตามสมณะนี่ไม่ทัน

“สมณะหยุดก่อน สมณะหยุดก่อน”

“เราหยุดแล้ว เธอต่างหากไม่ยอมหยุด” นี่วิ่งตามขนาดนี้ ยังวิ่งตามอยู่บอกว่าหยุดแล้ว ถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า

“หยุดอะไร?”

“เราหยุดทำบาปไง เราหยุดสร้างบาปสร้างอกุศล เราหยุดหมดเรื่องบาปอกุศล”

องคุลิมาลได้คิด เห็นไหม คนสร้างบุญญาธิการมานี่วางดาบเลยนะ ขอบวช บวชมานี่มีภัยขนาดนั้นพระเจ้าปเสนทิโกศลยังให้อภัยนะ ให้มาหลบในศาสนา เห็นไหม ในศาสนาเป็นที่หลบภัย ดูสิ สมัยโบราณเรา สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ถ้าราชวงศ์ต่างๆ มีปัญหาจะออกบวชพึ่งศาสนา หลบภัยในศาสนา ในปัจจุบันถ้ามีปัญหากันก็หลบไปศาสนา แล้วหลบในศาสนานี่เขาหลบภัยนะ แต่ของเราโลกปัจจุบันนี่โลกนี้เจริญ เรื่องภัย เรื่องต่างๆ มีกฎหมายคุ้มครอง กฎหมายส่วนบุคคลเขาจะยอมรับลี้ภัยได้ต่างๆ การหลบภัยในศาสนาเรื่องอย่างนั้นมันไม่มี

แต่การหลบภัยในศาสนาของเรา เห็นไหม ภัยในวัฏฏะไง ถ้าเราเห็นโทษในการทุกข์นะ เราจะหาที่พึ่ง เวลาเราต้องการอำนาจกัน เราต้องการตามกิเลสตัณหาความทะยานอยากกัน แล้วเราแสวงหามันได้สมความปรารถนาไหม ถึงจะได้มาตามที่เราต้องการแต่ใจมันไม่เคยพอ มันแสวงหาขนาดไหนมันก็ไม่พอหรอก เพราะอะไร? เพราะมันเป็นเรื่องของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก

แต่ถ้าเป็นหน้าที่การงานของเรานี่หามาเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย คนเราทำหน้าที่การงานนะ คนมีบุญมา ดูสิ เวลาฝนตกแดดออกฤดูกาลมันเปลี่ยนแปลงไป เราจะไปต่อต้านเขาได้ไหม ฤดูกาลมันเปลี่ยนแปลงไป คนเราก็เหมือนกัน สร้างบุญมา สร้างบาปมา สร้างต่างๆ มา มันเป็นเองนะอำนาจวาสนามันลอยมาเอง ดูสิคนที่ตำแหน่งหน้าที่การงานมันมาเอง เวลามันมามันมาเองนะ เขาดิ้นรนกันขนาดไหนเขาไม่ได้ แต่คนที่เขาไม่ได้ดิ้นรนมันจะมาของมันเอง มาเองนี่ก็มีส่วนหนึ่ง แต่ถ้าเป็นเรื่องของโลกเรื่องของเล่ห์กลอันนั้นไม่ต้องเอามาพูดถึงนะ มันมาโดยธรรมชาติไง มาด้วยความจริง

นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันมาด้วยเราทำบุญกุศลของเรา มันมีอำนาจวาสนา เราสร้างของเรา เราทำหน้าที่การงานของเรา มันเป็นไปตามธรรมชาติ อันนี้ก็เป็นบุญกุศลมันเป็นเรื่องจริง ฝนตกต้องตามฤดูกาล เราทำบุญมาบุญมันก็ให้ผลมาสภาวะแบบนี้ อันนี้ไม่ปฏิเสธหรอก แต่ถ้าเราดิ้นรนกันจนเกินกว่าเหตุไป อันนั้นถือว่าเป็นตัณหาความทะยานอยาก อันนั้นถึงเป็นกิเลสไง

เราเห็นภัยในวัฏฏะเราถึงบวชมาในศาสนา เราหลบเข้ามาในศาสนา นี่หลบภัยเข้ามา เราจะเอาชีวิตเราให้พ้นจากความทุกข์ความยากเลย การหลบเข้ามาในศาสนานี่ เห็นไหม ของที่เขาดีมากนะ ดูสิ เขาไปขุดดินกัน เขาไปทำไร่ไถนา เขาไปเจอพระทองคำเขาเลยเอาไปถวายวัด เห็นไหม เวลาสิ่งที่เขาอยู่ในบ้านกัน พระของเขาเวลาคอหัก เศียรหักต่างๆ พระที่ชำรุดทรุดโทรมเขาก็เอาไปถวายวัด ในสังคมที่ว่าศาสนาเป็นของดีแล้วต้องแก้ไขได้หมด เห็นไหม คนดีก็ต้องทำให้ดีขึ้นไป คนเลวก็ต้องทำให้เป็นคนดีมา

แต่ถ้าคนที่มันเป็นสัญชาตญาณของเขา เขาเลวมาโดยสัญชาตญาณของเขา ดูนี่ มันก็แก้ได้ยาก มันก็มีไปหมด ในสังคมทุกสังคมมันมีคนดีและคนเลวปนกัน

ในสังคมของสงฆ์ก็เหมือนกัน คนที่เขาไม่ต้องการ คนที่เขาไม่ปรารถนา แต่เขาหลบภัยของเขาขึ้นมา หลบภัยทางเศรษฐกิจก็มี แต่ถ้าหลบภัยอย่างนั้น ถ้ามันมีหลบภัยทางเศรษฐกิจมันเพื่ออะไร? เพื่อดำรงชีวิตเท่านั้นเอง มันมีปัญหาขึ้นมาอย่างนั้นน่ะ แต่ถ้าเราเห็นภัยของเรา ในเมื่อมันเป็นเรื่องของโลกเขา เรื่องของสังคม เรื่องของกิเลส เรื่องของหัวใจที่มันมีกิเลสอยู่ อันนั้นเป็นเรื่องของเขานะ

“ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ดูสิ ในศาสนาของเรานี่เหมือนกับทะเลใหญ่ในมหาสมุทร มันจะพัดสิ่งต่างๆ คลื่นจะพัดสิ่งต่างๆ เข้าหาฝั่งหมดเลย ในศาสนานี่ถ้าทำกรรมไว้ เหมือนเจ้าหน้าที่ทำผิด เวลาเขาจับได้ เจ้าหน้าที่ต้องได้รับโทษสองเท่าสามเท่า

พระก็เหมือนกัน ถ้าทำความผิดพลาดในศาสนาขึ้นมานี่โทษมันมากกว่าคฤหัสถ์มากนะ เพราะคฤหัสถ์...ศีล ๕ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ศีลต่างๆ ศีลของเขาขนาดนั้น ศีล ๕ เวลาพระเจ้าสุทโธทนะก็เป็นหนึ่งในพระอรหันต์เหมือนกัน พาหิยะก็เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน มีศีล ๕ เป็นคฤหัสถ์ ศีล ๘ ผู้ประพฤติปฏิบัติ แล้วศีล ๒๒๗ เห็นไหม เหมือนเจ้าหน้าที่เลย เจ้าหน้าที่มีอำนาจบังคับใช้กฎหมาย

นี่ก็เหมือนกัน เราอยู่ในธรรมวินัย ดูสิ ถ้าให้ศีลๆ เอาศีลที่ไหนมาให้เขา เจ้าหน้าที่ที่ดี เจ้าหน้าที่ที่ปกครองบ้านเมือง เจ้าหน้าที่ที่เป็นคุณธรรม เขาปกครองร่มเย็นเป็นสุข แล้วพระที่ดี ครูบาอาจารย์ของเราที่มีหลักมีเกณฑ์ เราเข้าไปร่มเย็นนะ นี่เห็นสมณะ สมณะที่ ๑ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ สมณะที่ ๔ การเห็นสมณะเป็นมงคลอย่างยิ่ง แล้วสมณะอยู่ที่ไหนล่ะ? นี่จากคฤหัสถ์มาบวชแล้วก็เป็นพระ จากพระก็เป็นสมมุติสงฆ์ มันก็ร่างมนุษย์เหมือนกันนี่แหละ แต่หัวใจมันเป็นพระไง

ถ้าหัวใจเป็นพระ หัวใจจากภายในนี่ การกระทำจากภายใน ดูสิ “มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา” เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเย้ยมาร “เกิดจากความดำริของเราความเห็นของเรา” นี่ความเห็นความคิดจากภายในมันสะอาดบริสุทธิ์ไง แต่กิริยาท่าทางเรื่องนี้มันเป็นเรื่องของโลกๆ กิริยาอย่างนี้มันละกันไม่ได้ ละได้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์เดียว พระสารีบุตรยังละไม่ได้เลย แต่หัวใจกิเลสนี่มันละได้

คนเข้มแข็งแสดงกิริยาออกเข้มแข็ง การเข้มแข็งอย่างนั้นมันเป็นการเข้มแข็งจากจริตนิสัย แล้วถ้าเข้มแข็งจากจริตนิสัย ถ้าจริตนิสัยเข้มแข็งแต่มันทำทางชั่วล่ะ เข้มแข็งปล้น เข้มแข็งจี้ เข้มแข็งทำลายเขา ความเข้มแข็งของมันผิดพลาด การเข้มแข็งต้องเป็นสัมมาด้วย เป็นความดำริชอบด้วย เห็นไหม ความเข้มแข็งจากภายในเราไง

ดูสิ กล้าจนบิ่นนะ เวลาเราถือศาสนากัน ผู้บวชใหม่กล้าจนบิ่นเลย กล้ามันเป็นวินัย ธรรมะนี่การกระทบกระเทือนกันในหัวใจ สิ่งที่รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ในการปกครอง ถ้ากฎหมายบังคับโดยกฎหมาย กฎหมายคนไม่เจตนาทำผิดก็มี เราไม่เจตนาทำผิดก็มี ทำผิดขนาดไหนอาบัติต้องด้วยไม่รู้ ต้องด้วยลังเลสงสัย ต้องด้วยการทำผิด ไม่รู้ไม่มีเจตนาก็ผิด แต่ผิดอย่างนั้นผิดโดยไม่มีเจตนา ไม่เจตนาเราควรให้อภัยกัน เพราะไม่มีใครรอบคอบไปตลอดเวลา มันมีการผิดพลาดบ้าง

แต่ถ้ามันเจตนาสิ ถ้าเจตนาทำความผิดอย่างนี้เจตนาผิดโดยกิเลสชัดๆ อย่างนี้กฎหมายต้องลงโทษเต็มที่เลย แต่ถ้ามันลงโทษไปแล้วการกระเทือนกัน สิ่งนี้มันเป็นรัฐศาสตร์ ดูสิ ธรรมและวินัย ธรรมคือความสมานฉันท์ ความสงบร่มเย็นในสังคมของเรา เราให้โอกาสกันทุกๆ คนไง นี่อริยประเพณี ประเพณีของผู้ที่ทำความผิดแล้วสารภาพ นี่ปลงอาบัติๆ สารภาพแล้วเราจะไม่ทำความผิด ต้องไม่ทำความผิดจริงๆ นะ เราปลงอาบัติกันไปพอเป็นพิธีกันเฉยๆ ปลงอาบัติว่าพอให้เอาตัวรอดไปไง เอาตัวรอดกิเลสมันจะเอาตัวรอดจนหมด แล้วเอาตัวรอดไม่ได้

แต่เราให้อภัยเขา เราให้โอกาสคนอื่นนะ เราไม่ได้เอาตัวรอด ทุกคนสังคมรอด เราจะรอดด้วย สังคมรอดนะหมู่คณะร่มเย็นเป็นสุข ดูสิ สังคมที่มีความร่มเย็นเป็นสุข ประเทศชาติที่มีความร่มเย็นเป็นสุข เราอยู่อาศัยประเทศชาตินั้น แต่ถ้าเราเอาตัวรอดคนเดียว ประเทศชาติอยู่ไม่ได้เราก็อยู่ไม่ได้ นี่เหมือนกัน สังคมมันเป็นสภาวะแบบนั้น ถึงว่าเราให้อภัยๆ นี่อริยประเพณี คนมองไม่เห็น คนมองเห็นแต่ว่าสมบัติของเราๆ เอาชนะเขาตลอดไป

แต่ถ้าเป็นธรรมนะ ให้อภัยเขา ให้อภัยเขาทุกๆ อย่างเลย ทุกคนดีหมดเลย เราดีทีหลังก็ไม่เป็นไร ดีทีหลัง ความได้ดีทีหลังแต่เราเป็นดีก่อน ผู้นำที่เดินตามหลัง ผู้นำที่เดินตามหน้า ผู้นำที่อยู่ข้างหน้าเขาเหยียบไปเลยนะ ผู้นำที่อยู่ข้างหลัง เห็นไหม ในสังคม ดูสิ พ่อแม่ให้ลูกมีความสุขก่อน พ่อแม่ให้ลูกได้กินก่อน พ่อแม่ให้ลูกมีความสมบูรณ์ก่อนแล้วพ่อแม่ค่อยกินทีหลัง ผู้นำที่ดีไม่แซงกัน มันเป็นธรรมสภาวะแบบนั้น

นี่ในสังคมของสงฆ์ไง นี่หลบภัยเข้ามา ถ้าหลบภัยเข้ามาแล้วในสังคมที่ดีมันก็ดี หลบภัยในวัฏฏะ ถ้าเห็นภัยในวัฏฏะทุกอย่างจะเป็นรอง ดูสิ เครื่องประกอบเป็นเครื่องอาศัย แต่จริงๆ แล้วคือหัวใจของเรา ถ้าหัวใจมันยืนขึ้นมาได้ อาหารกินทุกวันหิวทุกวัน นี่กินทุกวันนะ แต่ถ้าจิตมันสงบเข้ามา ไม่ต้องกินอาหารมันก็สงบของมันได้ เห็นไหม อาหารของใจไง

อาหารของใจคือศีล สมาธิ ปัญญา มีศีลมันปกติของมัน มันดูแลของมันโดยธรรม เราทำจนเป็นสามัญสำนึก ทำกันจนเป็นปกติ ถ้ามันทำความผิดพลาดมันจะขัดความรู้สึกทันทีเลย นี่ศีลปกติของใจ แล้วถ้าเกิดมันมีหลักมีเกณฑ์ของมัน มันมีปกติของมัน ถ้าเรารักษาบ่อยครั้งขึ้น มันเป็นสมาธิเลยนะ

สมาธินี่ทำความสงบบ่อยๆ ครั้งเข้าถึงทำสมาธิ สมาธิถึงตั้งมั่น ตั้งมั่นแล้วออกใช้ปัญญา ใช้ปัญญาเข้าไปนี่เราคิด คิดเป็นโลกุตตรปัญญา ปัญญาที่เราคิดของเรานี่คิดเหนือโลก เหนือโลกนะ โลกเขาคิดกันด้วยโลกียปัญญา คือปัญญาทางวิทยาศาสตร์ ปัญญาทางวิชาชีพ ปัญญาทางวิชาการ ปัญญาอย่างนี้ดูสิทางวิทยาศาสตร์เขาว่าอันนั้นประเสริฐ อันนั้นมันคิดมาจากตัวตนนะ เพราะมีตัวตนมันถึงสื่อความหมายกันได้

แต่ถ้าเป็นโลกุตตรปัญญา เพราะเกิดจากจิตมันตั้งมั่นขึ้นมา มันเกิดสิ่งที่ว่าจะสื่อกันกับผู้รู้จริงเท่านั้น ถ้าผู้ไม่รู้จริงสื่อกันไม่เข้าใจหรอก คำว่า “ปัญญา” เราก็คิดด้วยสมองกัน เราคิดว่านี่คือปัญญาๆ ปัญญาอย่างนี้ปัญญาจากกิเลสใช้หมดเลย ปัญญาเกิดจากตัวตน ปัญญาเกิดจากธรรมเพราะจิตเป็นสมาธิไม่มีตัวตน พอจิตเป็นสมาธิไม่มีตัวตน ถ้ามันเกิดปัญญาฝึกขึ้นมานี่โลกุตตรปัญญา ครูบาอาจารย์ท่านพูดบ่อย “ปัญญาเกิดเองไม่ได้” ที่เกิดเองคือโลกียปัญญา ปัญญาเกิดจากข้อมูล ปัญญาเกิดจากสถิติในสมอง

ถ้าปัญญาเกิดขึ้นเอง อริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มรรคเป็นอย่างนั้นๆ คาดหมาย นี่คาดหมายขนาดไหน คาดหมายอย่างนี้มันก็เป็นสถิติ เพราะอะไร? เพราะเราศึกษามา เรามีข้อมูลในสัญญา มีข้อมูลในสมอง ข้อมูลนี้มันก็ออกมา แล้วปัญญามันก็ไปตามข้อมูลนั้น

แต่ถ้ามันเป็นปัจจุบัน มันไม่ใช่ข้อมูล มันเป็นเนื้อหาสาระ เป็นข้อเท็จจริงที่เกิดจากใจแล้วมันทำลายหัวใจ ถ้าเรามีปัญญาอย่างนี้ขึ้นมาโลกุตตรปัญญา ดูสิ หลบภัยเข้ามาๆ จนตัวมันเองเป็นธรรม เราหลบเข้ามาในศาสนานะ แล้วใจมันเป็นธรรมขึ้นมาเอง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ที่ใจนี่ ในหัวใจเราเป็นธรรมขึ้นมาชัดๆ เลย

แล้วจะหลบภัยที่ไหนล่ะ มันไม่มีภัย! ในหัวใจนี้ไม่มีภัยเลย เพราะหัวใจนี้มันไม่คายพิษ ถ้าหัวใจมีภัยหัวใจมันคายพิษ เพราะหัวใจมันเหมือนสารพิษ เหมือนกลอยมันมีพิษในหัวใจ อวิชชามันคายความคิดออกมา มันทำลายตัวมันเองตลอดเวลา แล้วถ้ามันไม่มีอวิชชา มันไม่มีพิษ นี่ปัญญาที่บริสุทธิ์

ดูสิ พระอรหันต์นี่ใช้ขันธ์เหมือนกัน แต่ขันธ์อันนี้มันเคลื่อนออกมา ตัวของธรรมธาตุที่เป็นพระอรหันต์จิตดวงนั้นพ้นจากโลกไป แต่เวลาสื่อความหมายนี่สื่อจาก ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์ที่เป็นภาระ เป็นหน้าที่

ผลไม้ที่มีเปลือกอยู่ เห็นไหม มันรักษาเปลือกมันอยู่ เปลือกคือขันธ์ ๕ คืออาการของใจ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันห่อหุ้มใจไว้ แล้วเพราะมันฟุ้งซ่านด้วยขันธ์ ๕ นี้เราถึงเข้าถึงความสงบไม่ได้ ตัวความสงบนั้นตัวอวิชชาทั้งหมด แล้วทำลายอวิชชาทั้งหมด พลังงานนี้พลังงานสะอาด เวลามันออกมานี่กระเพื่อมออกมา สิ่งที่สื่อออกมามันถึงไม่คายพิษไง มันไม่มีพิษ ใจไม่มีพิษแล้วมันไม่คายพิษออกมา

แต่ใจเรามีพิษขึ้นมามันคายพิษออกมา แล้วเวลาหลบภัยเข้ามาๆ หลบภัยจากข้างนอกนะหลบภัยจากสังคม เห็นไหม ธรรมและวินัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้เป็นสังคม นี่ประเพณีวัฒนธรรมของชาวพุทธ ให้ถือศีล ให้มีทาน มีศีลภาวนา แล้วภาวนาขึ้นมา หลบภัยเข้ามานี่ทำวิธีการ วิธีการในศาสนาในมรรคญาณ ถึงที่สุดแล้วตัวมันเป็นธรรมจริงๆ นี่ไม่มีภัย การตายไม่มี การเกิดไม่มี ทุกอย่างไม่มี เห็นไหม จากหลบภัยเข้ามาในศาสนาแล้วตัวใจเราเป็นศาสนาเพราะครูบาอาจารย์ท่านว่า “พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รวมอยู่ที่ใจ”

พระธรรม คือคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ศาสนธรรม พุทธะคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สังฆะคือสาวก สาวกะ ที่ศึกษาเล่าเรียนแล้วประพฤติปฏิบัติเข้ามาจนถึงจุดนี้ ถึงจุดเดียวกัน เห็นไหม พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รวมอยู่ที่ใจ พ้นออกไปจากภัยทั้งหมด

เราหลบภัยไปก่อน แล้วเราพยายามทำตัวเราเองให้มีหลักมีเกณฑ์ แล้วมันจะไม่มีภัยในหัวใจ ใจของเราจะไม่คายพิษ มันจะไม่คายกิเลสตัณหาความทะยานอยากมาทำให้เจ็บแสบจากหัวใจก่อน มันเบียดเบียนเราก่อน แล้วเราจะไปเบียดเบียนผู้อื่น เห็นไหม เบียดเบียนเราโดยเราไม่รู้ตัวเลย ความคิดนี่เกิดมาเรายังไม่รู้ตัวเลย เป็นเราทั้งหมดเลย ดีไปหมดเลย แล้วก็กระทบกระเทือนกระทั่งไปจากข้างนอก

แล้วถ้ามันไม่มีพิษเลย มันไม่คายออกมาเลย สิ่งที่เขาเกิดขึ้นมานี่เกิดจากใจดวงหนึ่งนะความคิดเกิดจากใจของเรา แล้วเกิดจากใจของคนอื่นเราจะไม่รู้ได้อย่างไร เกิดจากใจของเราแล้วเราดับในใจของเราแล้ว เราดับไฟได้แล้ว

ดูไฟไหม้ ไฟไหม้หมดเลย วัฏฏะนี่ความร้อนมันไหม้หมดเลย แล้วเราดับไฟของเราที่จุดหนึ่ง แล้วที่เขาไหม้อยู่นี่ถ้าเราดับไฟได้อย่างนั้นมันจะมีความสุขขนาดไหน นี่ในหัวใจมันไหม้อยู่อย่างนั้นไม่มีใครเห็นนะ ไฟอันนี้ ไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะในหัวใจไม่มีใครเห็น แต่ถ้าวิปัสสนาไปโดยตาใจมันเห็นเข้าไป นี่หลบภัย ภัยจากในหัวใจแล้วดับได้อย่างนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดับภัยอันนี้ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงเป็นศาสดาของเราแล้ววางธรรมวินัยให้เราก้าวเดิน

แล้วเราก็มีภัยกันในหัวใจ เพราะเรามีราคะ โทสะ โมหะทุกคน แล้วเราพยายามจะจำกัดมันไว้ จำกัดมันอยู่ในขอบเขตถ้าเราปฏิบัติยังไม่ถึงจุด เราไปจำกัดไว้ในขอบเขตของเรา นี่ศีลธรรมจริยธรรมจำกัดให้มันอยู่ในขอบเขต แล้วถึงที่สุดเราต้องดับมันได้ ถ้าดับไม่ได้เราเป็นหมอไม่ได้นะ นี่ดูสิ โรงพยาบาลไม่มีหมอเลยจะรักษากันอย่างไร ไม่มีครูบาอาจารย์ที่รู้จริงจะแก้กิเลสกันได้อย่างไร มันต้องแก้กิเลสได้นะ ถ้าแก้กิเลสไม่ได้เขาจะกราบไหว้บูชาเราทำไม ทำไมเขาไม่กราบไหว้บูชาตัวเขาเองล่ะก็กิเลสเหมือนกัน แต่เขากราบไหว้บูชาเพราะอะไร? เพราะเราจะแก้ไขได้

ดูสิ เราไปหาหมอนี่หมอจะแก้ไขเรา หมอจะรักษาเรานะ เราไปหาครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์จะแก้ไขเรา จะรักษาเรา นี่หลบภัยในหมู่คณะ แล้วทำตัวเองขึ้นมาให้เป็นธรรมขึ้นมา เราจะเป็นธรรมเอง มันสะดวกสบายมาก มันอยู่กลางหัวใจจะเดินไปไหน จะนอนที่ไหน มันอยู่กลางหัวอกของเรา เห็นไหม นี่ธรรมแท้ๆ อยู่ที่นี่ เอวัง