เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๑ ต.ค. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

คนเราปรารถนาความสุขกันทั้งนั้นนะ ปรารถนาความสุขแต่ไม่รู้ว่าความสุขอยู่ที่ไหน เราแสวงหากัน เราวิ่งกันหาความสุข วิ่งแสวงหามันนะ มันก็วิ่งหนีตลอดเวลาเลยล่ะ เราวิ่งหาความสุขแล้วความสุขมันก็วิ่งหนีเราไป แต่ถ้าเราหยุดปั๊บความสุขมันอยู่กับเรา เราวิ่งหาความสุข นี่ความสุขมันวิ่งอยู่ข้างหน้า วิ่งไม่ทันนะ เหมือนเงาเลย วิ่งตามเงาไม่ทันหรอก เงามันออกไปข้างหน้าตลอดเวลา วิ่งหาความสุขก็วิ่งหาไม่ทัน เห็นไหม

แต่ถ้าหยุดแล้วหาทัน หยุดดูตัวเองว่าชีวิตนี้คืออะไร? ชีวิตนี้มาจากไหน? ถ้ามีชีวิตอยู่มันมาจากพ่อแม่ เห็นไหม พ่อแม่มาจากไหน? พ่อแม่มาจากปู่ย่าตายาย ปู่ย่ามาจากไหน? มาจากย่าทวด ย่าทวดมาจากไหน? เห็นไหม แต่ครูบาอาจารย์ท่านบอกเลย จิตของเราผลัดกันเกิดผลัดกันตายนะ ผลัดกันเป็นปู่ย่าตายาย ผลัดเป็นพ่อเป็นแม่ ผลัดเป็นพี่เป็นน้องกันนะ เราเป็นลูก เห็นไหม ว่าเราเป็นลูกเรายังมีพ่อมีแม่ แล้วพ่อแม่มาจากไหน? มันเกิดการตาย การเกิดการตายมันเกิดมาจากไหน เราก็เกิดมาจากพ่อแม่ เกิดจากปู่ย่าตายาย

แต่ถ้าเป็นศาสนาบอกว่า เกิดมาจากกรรม เพราะจิตนี้มันไม่เคยตาย จิตนี้ต้องเกิดตลอดเวลา แต่เพราะมีกรรมพาเกิดไง มีกรรมดีพาเกิดเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา ถ้ากรรมมันไม่ดี เห็นไหม ดูสิ สัตว์มันก็เกิด ทุกอย่างมันก็เกิด จิตวิญญาณต้องเกิดหมด มันอยู่ไม่ได้ จิตวิญญาณนี้บุบสลายไม่ได้ ตกนรกอเวจีขนาดไหนมันก็เกิดนะ มันต้องเกิดต้องตายตลอดไปอย่างนี้ เพราะเราเกิดตายแบบนี้ เราเป็นนาย ก. เกิดใหม่ก็เป็นนาย ข. แล้วนาย ก. กับ นาย ข. มันเกี่ยวพันอะไรล่ะ? มันคิดกันอย่างนั้นไง คิดว่าชาตินี้ชาติสุดท้าย ชาตินี้มีชาติเดียวไง ชาติสุดท้ายเกิดแล้วมันก็สูญไปไง สูญไป ถ้าสูญไปมันจะจริตนิสัยเหรอ สูญไปทำไมเรารักลูกต่างๆ กันล่ะ ลูกคนนี้ทำไมถูกใจเรา คนนั้นทำไมไม่ถูกใจเราล่ะ เห็นไหม กรรมมันให้ผลขนาดนั้น เวลากรรมให้ผลขนาดนั้น

เราเกิดขึ้นมาแล้วนี่ มีชีวิตขึ้นมาแล้วนี่ ชีวิตหนึ่ง แล้ววิ่งหาความสุขกัน แล้วว่าความสุขทางโลก ตื่นมาก็ว่าเป็นโลกๆ หมดเลย วิ่งหามันมันก็วิ่งหนีเราตลอด อยู่ข้างหน้านี่ล่ะความสุขนี่ ตะครุบไม่ได้ ตะครุบความสุขไม่ได้นะ แต่ถ้าหยุดปั๊บความสุขอยู่กับเรา แล้วหยุดได้ยังไงล่ะ หยุดขึ้นมาก็หยุดไม่ได้ เราต้องมีหน้าที่การงาน เกิดมาแล้วต้องมีศักดิ์ศรี ศักยภาพ ต้องมีที่ยืนในสังคม มันยืนทั้งนั้นล่ะ ทุกคนมีสิทธิเสมอภาค

ถ้าคนมีคุณธรรมในหัวใจนะ คนคือคน สิทธิเหมือนคนนะ เห็นคนแล้วเมตตาไปหมดเลย คนมันเหมือนกันใช่ไหม แต่เวลามันออกไปแล้วคนมันก็แบ่งแยกกันเป็นหญิงเป็นชาย มีศักยภาพ มีสูงมีต่ำ สูงต่ำก็เกิดจากกรรมทั้งนั้นนะ เรารักษาศีลมาดี ศีลเห็นไหม ศีลทำให้เกิดร่างกายสวยงาม การสวยงามกันเพราะเกิดมาจากศีล นี่เรามีโภคทรัพย์ โภคทรัพย์เราสละทานมา เห็นไหม สิ่งที่ครอบครัวเราอบอุ่น นี่กาเมสุมิฉาจารา ถ้าเราไม่ไปล่วงเกินใคร เราไม่ทำใคร ครอบครัวเราจะอบอุ่นมากเลย แล้วถ้าเราไม่เคยหลอกลวง นี่มุสา เราไม่หลอกลวงใครไว้ ถ้าเราหลอกลวงใครไว้นะ ใครมาพูดอะไรก็เชื่อเขาไปหมดเลย เชื่อเขาไปหมดเลย นี่สุรา ต่างๆ นี่

ศีล ถ้าเรามีศีลขึ้นมา จิตมันก็ปกติ เห็นไหม เราเกิดมานี่ ร่างกายนี่เกิดมา เอาร่างกายนี้เกิดมา แล้วเกิดมาชั่วชีวิตนี้ เห็นไหม เรามีโอกาสชั่วชีวิตนี้ ถ้ามีลมหายใจเข้าและลมหายใจออก จนกว่าเราจะตายไป เห็นไหม ตายไปจิตไปไหน จิตมันก็ไปเกิดใหม่ เห็นไหม จิตไม่มีที่สิ้นสุดนะ ถ้าจิตมีที่สิ้นสุด ผลลัพธ์ของพระอรหันต์คืออะไร สิ่งที่จิตมันจะสะอาดแล้วมันอยู่ที่ไหน นี่นิพพานมันอยู่ที่ไหน แล้วถ้าไม่นิพพานจิตมันยังเกิดอยู่ จิตมันไปไหนล่ะ? จิตมันต้องเวียนตายเวียนเกิดอยู่ใช่ไหม ผลัดกันเกิด เกิดจากกรรม เห็นไหม

แต่เราเกิดก็เกิดจากพ่อจากแม่ พ่อแม่ไม่มีสิทธินะ พ่อแม่นี่มันสิทธิเฉพาะร่างกาย พ่อแม่นี่ เกิดมานี่ ลูกของเราดีเอ็นเอตรวจแล้วกรรมพันธุ์ของเราหมดเลย แต่กรรมล่ะ ใจของเขาเหมือนเราไหม ถ้าเหมือนเรานี่ เราต้องเลี้ยงเขาได้หมดสิ เราเลี้ยงเขาได้แต่ร่างกายนะ เราประคับประคองไปเอง ลูกของเรานี่เราประคับประคองไปด้วยศีลธรรมจริยธรรม ประคับประคองให้เขาเป็นคนดี พ่อแม่ทุกคนอยากให้เป็นคนดี เห็นไหม เราประคับประคองไป แต่ถ้ามันมีกรรมขึ้นมานี่ กรรมนั้นมันแสดงผลออกมา

กรรมอันนี้มันมาจากไหนล่ะ ถ้ามานี่มันก็มาจากศีลธรรมจริยธรรม ขัดเกลาไง เราต้องขัดเกลา ขัดเกลาเห็นไหม เกิดมาอย่างไรก็แล้วแต่อดีตอนาคตน่ะ มันเป็นสิ่งที่ไม่เป็นปัจจุบันแล้ว ถ้าปัจจุบันนี่เราจะไม่ตื่นไปตามโลกไง เราจะหาความสุข เราตะครุบกันอยู่นี่มันไม่เจอ เห็นไหม หน้าที่การงานก็เป็นหน้าที่การงาน หน้าที่การงานหน้าที่เราเกิดมานี่ ดูสิ พระยังต้องบิณฑบาตเลย หน้าที่การงานของพระนี่เลี้ยงชีพ เลี้ยงร่างกาย แล้วเวลานั่งสมาธิภาวนานี่ เลี้ยงหัวใจ เห็นไหม นี่อาหารของกาย อาหารของใจ ถ้าอาหารของใจ นี่เลี้ยงใจเลี้ยงอย่างนี้ ถ้าเลี้ยงใจอย่างนี้ใจจะอยู่กับเรานะ

ดูสิ เวลาครูบาอาจารย์ท่านจิตเสื่อม เห็นไหม โอ๊ย จิตมันเสื่อมไปไหนเนาะ เวลาจิตมันสงบจะสงบมากเลย นี่จิตมันเสื่อมไปแล้วเหมือนเด็กนะ เด็กมันต้องหาอาหารกิน เห็นไหม พุทโธๆ ไว้นี่ เดี๋ยวมันหิวนะ เด็กมันไปเที่ยวมาพอมันหิวมันก็ร้องหาพ่อหาแม่มัน หาอาหารกินใช่ไหม เรามีพุทโธๆ เลี้ยงใจมาอยู่นี่ เดี๋ยวมันหิวอาหารขึ้นมามันก็ต้องกลับมาหาเราใช่ไหม เรากำหนดพุทโธๆ ไว้นี่ แต่เราไม่อย่างนั้นสิ พอจิตเสื่อมเราก็ไปวิ่งหามันไง เราจะไปทุกข์ไปยากกับจิตไง จะแสวงหากับจิต ดูว่าจิตมันเสื่อมไปแล้ว สมาธิหายไปแล้ว ทุกอย่างหายไปแล้ว นี่จิตมันเสื่อม เห็นไหม จิตมันเสื่อม

เวลาจิตมันเจริญขึ้นมาล่ะ? จิตมันเจริญขึ้นมามันก็มีความสุขขึ้นมา เห็นไหม แล้วสิ่งนี้มันเป็นอย่างไรล่ะ มันก็เหมือนกับเกิดตายนี่ล่ะ เกิดตายที่เราสร้างมานี่ เราสร้างคุณงามความดีมาขนาดไหน แต่เวลาเราใกล้จะตายนี่ เราไปคิดถึงสิ่งที่เป็นบาปอกุศลในหัวใจ มันจะไปเกิดตรงนั้นก่อนนะ ไปเกิดตรงนั้นก่อนมันก็ไปเกิดในภพชาติที่ไม่ดี แต่ในภพชาติ ดูสิ ดูสัตว์สิ ดูอย่างสุนัข เห็นไหม สุนัขบางตัวเขาเลี้ยงดีกว่าเราอีกนะ เขานอนอู่ เขานอน.. อู้ฮูย สุขสบายมากเลย เขาเกิดเป็นสุนัขแต่ทำไมเขามีบุญกุศลขนาดนั้นน่ะ นี่แล้วเกิดเป็นสุนัขขี้เรื้อนอยู่ข้างทางนี่ ไม่มีใครดูแลมันเลยนะ มันอดมันยาก มันวิ่งอยู่กลางถนน มันไม่มีจะกินนะ แต่สุนัขบางตัวดูเจ้าของเลี้ยงมันดีขนาดไหน เห็นไหม

นี่เวลาเราตายไง เวลาตายแล้วไปเกิด เกิดดี เห็นไหม เกิดในภพชาติไหน แต่ถ้ามีบุญอยู่ บุญเราสร้างอยู่ แต่ขณะที่เราจะดับขันธ์ไปนี่ ขณะที่จิตจะออกจากร่างเราไปคิดถึงสิ่งที่ไม่ดี มันก็ไปเกิดสภาวะแบบนั้น แต่มันก็มีบุญอยู่ เห็นไหม นี่บุญสภาวะแบบนี้ นี่กรรมพาเกิด ถ้ากรรมพาดี เราเห็นว่ากรรมพาเกิด เราจะเห็นคุณค่าของชีวิตเลย ชีวิตเรานี่เราจะไม่สุรุ่ยสุร่ายกับมันนะ ใช้ชีวิตนี้ไป เห็นไหม ดูสิ เกิดมาชาติหนึ่ง ตั้งแต่หนุ่มน้อยขึ้นมา ตั้งแต่ยังมีโอกาสที่จะได้ทรมานใจ ก็ไม่ได้ทรมานใจ ใช้ชีวิตนี้ไป ใช้ร่างกายนี้สมบุกสมบันไปกับสัมมาอาชีวะเลี้ยงร่างกายมัน แต่เราไม่เลี้ยงหัวใจเลย

ถ้าเลี้ยงหัวใจนี่ เราจะทำอะไรขึ้นมานี่ เห็นไหม เราทำดูสิ ความดี ความดีคืออะไร ศีลคืออะไร ดอกไม้ เห็นไหม ดอกไม้ที่กลิ่นหอม ดอกไม้ที่สวยงาม ใครๆ ก็ปรารถนา ดอกไม้ที่กลิ่นไม่ดีแต่มันสวย เห็นไหม แต่กลิ่นไม่ดีเลย กลิ่นเหม็นแต่ดอกไม้สวยก็ไม่ต้องการ แล้วดอกไม้ทั้งกลิ่นเหม็นด้วย ทั้งสิ่งที่ไม่ดีด้วย กลิ่นมันมากับดอกไม้ ดอกไม้เราจับต้องได้ เราเห็นได้นะ เรากระทบด้วยตา เห็นดอกไม้สวยไม่สวยนะ แต่กลิ่นนี้เราต้องดมเอานะ ร่างกายนี่มันก็เหมือนกับสิ่งที่เป็นดอกไม้ แต่กลิ่นหอม ความดีของเราไง ความดีน่ะกลิ่นหอม กลิ่นไม่มีตัวตนนะ กลิ่นมันเป็นกลิ่นนะ แต่เราไม่เห็นว่ากลิ่นนี่มันมีรูปร่างลักษณะเป็นอย่างไร แต่เราสัมผัสได้ด้วยจมูกเห็นไหม นี่นามธรรม

ความดีของเรา ความดีของใจ ใจที่มันมีคุณงามความดีของมัน มันทำคุณงามความดีเพื่อใจไง เราไม่ใช่ความดีเพื่อเขานะ เป็นโลกๆ เห็นไหม ดูสิ การทำความดีเขาต้องประชาสัมพันธ์กัน ต้องให้คนเขายอมรับกัน เขาทำไมต้องยอมรับเราล่ะ เรายอมรับตัวเราเองได้ไหมล่ะ ถ้าเรายอมรับตัวเราเองได้ เราทำคุณงามความดีเพื่อความดีของเรา ถ้าความดี นี่สันทิฏฐิโก เราเป็นคนรู้เอง ความลับไม่มีในโลก นี่ทำความดีแล้วไม่ได้ดีเลย คนอื่นเขาทำความชั่วทำไมเขาได้ดี เขาทำชั่วของเขานี่ เขาทำงานของเขานี่ เราเห็นของเขา แต่เขามีบุญเก่า เขามีอะไรของเขานี่หนุนมาก็มี เห็นไหม นี่กรรม เอ๊ะ แปลกใจมาก เขาทำกัน เขาระรานขนาดนั้น ทำไมเขาพอใจของเขา ทำไมเขาทำใจของเขาได้นะ เขารังแกกันขนาดนั้น ทำไมเขาทำใจของเขาได้ เขาปั้นหน้ายิ้มอยู่ได้ มันเผาอยู่ในใจนั่นน่ะ นี่ดูสิ เราเป็นบาดเป็นแผลขึ้นมา เราจะเจ็บปวดของเราเพราะเรามีบาดแผลของเรา

หัวใจก็เหมือนกัน ทำอะไรนี่เราต้องรู้นะ มันมีมโนกรรม วจีกรรม กายกรรม วจีกรรม กายกรรมมันเกิดมาได้ยังไงถ้ามโนกรรมมันไม่สั่งการมา ถ้ามโนกรรมมันสั่งการมา นี่ดูสิ เวลาเราเห็นภาพต่างๆ จิตเราไม่ออกรับรู้ เห็นอยู่แต่เราไม่รู้ว่าภาพคืออะไรนะ นี่ก็เหมือนกัน การกระทำอย่างนี้มันทำมาจากไหนล่ะ มันทำมาจากใจ แล้วมันจะมีความลับไหมล่ะ ถ้าความลับไม่มีแล้วความดีมันหายไปไหนล่ะ ความดีก็เราทำกันเอง เราทำกันเอง

ดูสิ เรานั่งสมาธิภาวนา ครูบาอาจารย์นั่งตลอดรุ่งขึ้นมา นี่มันเป็นสัจจะของเราคนเดียวนะ เราตั้งสัจจะขึ้นมา ถือธุดงควัตร เราจะถือเนสัชชิก เราจะนั่งตลอดรุ่ง เราจะเดินจงกรมตลอดรุ่ง นี่สัจจะเราตั้งแล้ว เห็นไหม สัจจะถ้าเราล้มไปล่ะ ล้มไปเราก็เสียสัจจะของเรา เห็นไหม พอเสียสัจจะ คนไม่มีสัจจะ คนไม่มีจุดยืนแล้วภาวนาจะเป็นได้ยังไง เห็นไหม เพราะอะไร เพราะกิเลสอาศัยตัวนี้เป็นทางออก เห็นไหม นี่กิเลสมันอาศัยเป็นทางออก

กิเลสคือใคร? กิเลสคือใคร? ก็คือความพอใจของเรานี่ ความเคยใจของเรานี่ กามไอ้ตัวนี้ ไอ้ตัวอวิชชานี่ มันถึงพาเกิดพาตายนี่ มโนวิญญาณ นี่วิญญาณในขันธ์ มันปฏิสนธิวิญญาณ นี่สนธิวิญญาณนี่มันอยู่ที่ไหน ปฏิสนธิวิญญาณอยู่ที่ไหน ถ้าเห็นปฏิสนธิวิญญาณนี่ คือเห็นจิตเดิมแท้ผ่องใส ถ้าไม่เห็นปฏิสนธิวิญญาณคือเห็นวิญญาณเปลือกๆ ไง ดูสิ อย่างผลไม้กับเปลือกผลไม้นี่ ความคิดความรู้สึกนี่เป็นเปลือกผลไม้หมด ไม่ถึงตัวใจเลย มันฟุ้งซ่าน ความคิด ความรู้สึก มันเป็นภาพแสดงออก ดูที่กลิ่น กลิ่นนั้นมันแสดงออก กลิ่นนั้นมาจากไหนล่ะ กลิ่นมาจากต้นเหตุ เห็นไหม การเน่าเสียต่างๆ การบูดเน่าเสีย มันเกิดจุลินทรีย์ มันเกิดกลิ่นขึ้นมา

นี่ก็เหมือนกัน ความรู้สึกที่มันออกมานี่มันออกมาจากไหน มันมาจากไหน มาจากภพ มาจากภวาสวะ มาจากตัวจิต แล้วตัวจิตมันอยู่ไหนล่ะ? ถ้าเรามีสติ เราใช้สติสัมปชัญญะเราขึ้นมา เห็นไหม การทำงานอย่างนี้งานจากข้างนอก เห็นไหม เราใช้ร่างกายนี่ทำงานนะ อาบเหงื่อต่างน้ำนี่ทำได้หมดเลย แล้วถ้าเราใช้ร่างกายนี้ให้มันสงบ นั่งสมาธินี่ เดินจงกรมนี่ ให้กายนี่เคลื่อนไหว แต่จิตให้มันสงบเข้ามา เห็นไหม ให้กายสงบ ให้ความรู้สึกนี่ไม่เกินออกจากผิวหนังออกไป แล้วยังย้อนสติเข้ามา เห็นไหม

อย่างเปลือกผลไม้ไง เปลือกคือความคิด ความนึก ความแต่งนี่ พุทโธ พุทโธนี่เปลือกทั้งนั้น พุทโธๆๆ ไปนี่เปลือก ถ้าเราพยายามแกะเปลือกของเราเข้าไป มันจะเข้าไปถึงเนื้อผลไม้นั้น ถ้าถึงเนื้อผลไม้นั้น อ๋อ สมาธิเป็นอย่างนี้ไง ความสงบเป็นอย่างนี้ ความสุขมันอยู่ที่นี่ วิ่งหามันนี่วิ่งหามันจะเป็นจะตาย วิ่งหามาตลอดนะ อู้ฮู จะซื้อรถ จะซื้อเครื่องยนต์กลไกแล้วจะมีความสุข อามิสน่ะ ความสุขที่เป็นอามิส วิ่งหามันตลอดเลย แล้วไม่เคยเจอมันเลย แล้วความสุขที่ไม่ต้องใช้เงินซื้อแม้แต่บาทเดียว ไม่ต้องอะไรซื้อเลย มีสิทธิเสมอภาคเหมือนกันหมดทุกคน

ถ้ามีลมหายใจเข้าลมหายใจออกอยู่ มีสิทธิเหมือนกันเพราะมีความรู้สึก เพราะเวลามันทุกข์มันทุกข์ที่ความรู้สึกนี้ เวลามันสุขมันสุขที่ความรู้สึกนี้ แล้วความรู้สึกนี้เอาอะไรไปจับมัน ก็สติเรานี่ เราตั้งสติขึ้นมา เรามีสติสัมปชัญญะขึ้นมานี่ สตินี่เข้าไป มันจะมีสติพุทโธก็เป็นพุทโธขึ้นมา ไม่มีสติพุทโธ.. พุทโธมาเปิดแผ่นเสียงก็ได้ เราเปิดอะไรก็ได้ เปิดเทปพุทโธๆ มันพุทโธทั้งวันล่ะ เทปนี่เปิดไม่มีวันจบมันก็พุทโธอยู่นั้นล่ะ มันได้อะไรขึ้นมา มันก็ไม่เห็นได้อะไรขึ้นมาเลย เห็นไหม แต่ถ้าเรามีความรู้สึก เรามีจิตของเราขึ้นมานี่ แล้วจิตเป็นคนพุทโธเอง จิตมันเป็นคำบริกรรมเอง พุทโธนี้มันก็วนกลับมาหาเรา เห็นไหม นี่วนกลับมาก็หาตัวจิตนี้

นี่ความสุขอยู่ที่นี่นะ ความสุขนี่ สุขในโลกนี้เท่ากับจิตสงบไม่มี ไม่มีหรอก ลองทำไปสิ ถ้าจิตสงบนะ แล้วที่เขาพูดกันนะ เวลาจิตว่าง ว่างๆ ว่างๆ นี่ อันนั้นน่ะมันแค่ไปแตะที่เปลือกผลไม้ ไปแตะที่เงา ไม่ใช่แตะที่ตัวจิต แล้วก็ว่างๆ มันถึงไม่มีกำลังไง แต่ถ้าจิตมันสงบเข้ามานะ มันพูดว่างๆ อย่างนั้นไม่ได้ เพราะตัวจิตมันเป็นตัวว่าง คนที่มันว่างมันจะพูดได้ยังไง อย่างเรานี่เราเฉยนี่ เราจะพูดได้ยังไง ถ้าเราว่าง เราพูดออกไป เราพูดคืออะไร คำพูดนั้นคือการสื่อใช่ไหม

นี่ก็เหมือนกัน พอจิตว่าว่าง ใครเป็นคนว่าง แต่ถ้าตัวจิตมันว่าง เอ๊าะ เอ๊าะ ไม่ใช่ว่าง! มันเอ๊าะ เอ๊าะ เข้าไปอย่างนั้น แล้วมันเป็นพลังงานของมัน นี่มันมีพลังงานของมัน แต่ว่าง ว่าง ว่าง นี่มันเป็นอาการของจิต แล้วพูดกันไป โม้กันไป ว่ากันไป แล้วครูบาอาจารย์ก็เออกันไปไง มันก็เลยสิ่งของปลอมเป็นของจริงขึ้นมา ไอ้ของจริงเลยไม่มีใครรู้จัก ไอ้ของที่ปลอมๆ ขึ้นมาน่ะ เงาเลย เป็นของจริงขึ้นมา ไอ้ว่างๆ ว่างๆ ก็ว่างกันหมดเลย ใครก็ว่าว่าง เด็กวานซืนมันก็ว่าว่าง เด็กมันก็ร้องว่างๆ เหมือนกัน แล้วว่างขึ้นมาแล้วมันเป็นความจริงขึ้นมาไหม มันไม่เป็นความจริงเลย เห็นไหม นี่ความสุข

ถ้าไม่มีธรรมแท้จะไม่มีสัจธรรมปฏิรูป ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์เราบุกเบิกการประพฤติปฏิบัติมา ในวงการกรรมฐานเราถ้าไม่มีครูบาอาจารย์บุกเบิกมา จะไม่มีใครเชื่อถือ จะไม่มีใครศรัทธา แต่เพราะครูบาอาจารย์เราน่ะทุ่มทั้งชีวิตนะ ชีวิตนี้นะ แบกนะ พ่อแม่ครูจารย์เป็นทั้งพ่อ เป็นทั้งแม่ เป็นทั้งครูบาอาจารย์นะ แล้วกว่าจะเลี้ยงขึ้นมา กว่าจะทะนุถนอมลูกแต่ละคนขึ้นมา แล้วลูกแต่ละคนกว่าที่จะยอมรับขึ้นมา เห็นไหม แล้วพอสุดท้ายขึ้นมานี่ แล้วก็มีสัจธรรมปฏิรูปขึ้นมา มาก๊อบปี้ มาเลียนแบบ มาว่ากันไปอย่างนั้น แล้วก็พูดออกมาเป็นสมมุติ พูดออกมาเป็นภาษาไง สมมุตินี่เป็นภาษานะ นี่สิ่งนี้กิริยาของธรรม พระไตรปิฎกนี่ ใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ ใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นธรรมทั้งหมด แต่แสดงออกในพระไตรปิฎกเป็นกิริยาทั้งหมด เป็นวิธีการทั้งหมด เป็นแผนผังทั้งหมด แม้จะเป็นความจริง

นี่ก็เหมือนกัน ว่างๆ ว่างๆ มันก็เป็นแผนผังทั้งหมด มันเป็นคำพูด มันก็เหมือนกับวิชาการ มันไม่เป็นความจริง ถ้าความจริงมันเอ๊าะ เอ๊าะ ของมันอยู่อย่างนั้น นี่ของจริง แล้วของจริงขึ้นมามันจะมีความสุขขนาดไหน แล้วมันเป็นความจริงขนาดไหน ย้อนกลับเข้ามาเป็นพลังงานขนาดไหน มันถึงเป็นมรรคขึ้นมาได้ ถ้าเป็นมรรคขึ้นมา มรรคมันเป็นอย่างนี้ ธรรมจักรมันเกิดอย่างนี้ นี่ดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ แล้วชอบอย่างไร ชอบเข้ามาถึงความสุขของตัว เห็นไหม

เกิดมาแล้วนะ ทั้งชีวิตนี่เราเอาร่างกาย เอาสมอง เอาส่วนต่างๆ นี่ เอามาหาปัจจัยเครื่องอาศัย แล้วก็ว่าเอามาหาความสุข แล้วมันจะไม่มีใครเจอความสุขเลย เพราะในสมัยพุทธกาลนะ กษัตริย์นี่ออกบวชมหาศาล เวลาสละราชสมบัติมาบวช เวลาประพฤติปฏิบัติเข้าไปแล้วถึงที่สุดแห่งทุกข์ “สุขหนอ สุขหนอ” เห็นไหม แล้วไม่เคยสุข เป็นกษัตริย์ไม่เคยสุขเลย แล้วเรานี่แสวงหาขนาดไหน เราจะเป็นกษัตริย์ เราจะมีสมบัติมากมายขนาดนั้น เราจะมีความสุขขนาดไหน หน้าที่การงานส่วนหน้าที่การงานนะ ไม่ใช่พูดให้สละทิ้งโดยที่ไม่มีสมองนะ เราว่าเราปฏิเสธ ปฏิเสธไม่ได้ ทุกคนมีปาก ทุกคนมีท้อง ทุกคนต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย พระยังมีจีวรห่มเลย พระยังต้องใช้อาหารเลย เราก็แสวงหาอาหาร แสวงหาปัจจัยเครื่องอาศัยดำรงชีวิต แต่อย่าไปเอามาเป็นหลักเป็นเกณฑ์ไง

หลักเกณฑ์คือต้องมีหลักใจ หลักใจคือหลักของเรา ถ้าหลักของเรานี่ ความสุขอยู่ที่นี่ ไม่ต้องวิ่งแสวงหานะ อยู่ในหัวใจ แล้วนั่งอยู่ที่นี่ก็เป็นเดี๋ยวนี้ จะนั่งที่ไหนจิตสงบได้ที่นั่น ทำที่ไหนได้ที่นั่น แต่เราไปหาความสุขกันที่ไหน เราวิ่งหาความสุขกันนะ นี่ชาติ การเกิด แล้วเกิดมานี่กรรมพาเกิด เกิดมาดีแล้วเราต้องเห็นคุณค่าของชีวิต เพราะคุณค่าของมนุษย์นี่มันมีสมอง คุณค่าของมนุษย์มีครูบาอาจารย์ คุณค่าของมนุษย์นี่นับถือพุทธศาสนา ศาสนานี่สำคัญมาก มันเป็นเครื่องเข้าไปถึงหล่อเลี้ยงของใจ ใจประเสริฐที่สุด เอวัง