เทศน์เช้า วันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
วันนี้วันออกพรรษา เราเคยอยู่ป่านะ เคยอยู่ป่า เคยอยู่กับพวกคนในป่า เขาเรียกว่าฝน เขาผ่านกี่ฝนๆ เขาอยู่ป่ากันมากี่ปี เห็นไหม เขาอยู่ป่ามาปีแล้วปีเล่าๆ เขาก็อยู่ของเขาเพื่ออุดมการณ์ของเขา แล้วเขาได้ผลของเขาไหม เพราะเราอยู่ในป่าเราไปเจอพวกนั้นเขาก็เรียกเป็นฝน ผ่านกี่ฝน ฝนหนึ่งก็ปีหนึ่งๆ เห็นไหม
นี่ก็เหมือนกัน ของเรานี่พอออกพรรษาหนึ่งมันก็ปีหนึ่งเหมือนกัน แต่เราได้พรรษา เห็นไหม นี่อาวุโส ภันเต นับกันว่าอาวุโส ภันเต วัดว่ามีพรรษาอ่อนพรรษาแก่ พรรษาอ่อนพรรษาแก่ แต่เวลาไปอยู่กับครูบาอาจารย์ ท่านบอก พรรษาอ่อนพรรษาแก่มันเป็นสมมุติ แต่มันจะมีคุณธรรมหรือไม่มีคุณธรรมไง พรรษาอ่อนพรรษาแก่ต้องมีคุณธรรมด้วย ถ้าเด็กมีคุณธรรมนะ ดูสามเณรมีคุณธรรม สามเณรเป็นพระอรหันต์เราควรเคารพบูชาสามเณรนั้นไหม เราไม่ใช่แก่เพราะกินข้าวเฒ่าเพราะอยู่นานนะ แก่เพราะกินข้าวเฒ่าเพราะอยู่นานเราจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย เพราะเราเกิดมาเฉยๆ ไง
เหมือนกับท่อนซุง เหมือนกับสวะลอยไปในน้ำนะ วัฏฏะนี่มันเวียนไปเวียนตายเวียนเกิด นี่ชีวิตเราเหมือนสวะ ลอยไปกับกระแสน้ำ ให้กระแสน้ำพัดไปโดยที่เราไม่มีประโยชน์อะไรเลยเหรอ เห็นไหม นี่ถ้าชีวิตเรามีประโยชน์ เวลาออกพรรษาเข้าพรรษามันจะต้องให้เรามีคุณค่าขึ้นมา ถ้ามีคุณค่าขึ้นมานะ อาหาร ดูสิ คนเขากินอาหารกัน เห็นไหม สารอาหารที่มันเป็นพิษกินเข้าไปคนเราถึงตายได้นะ เวลาเรากินสารพิษเข้าไปกินอาหารที่ผิดพลาดเข้าไป คนนี่ตายได้เลยเพราะมันให้โทษกับร่างกาย เห็นไหม นี่เราเห็นคุณค่ากันเลยว่ากินถูกกินผิดมันตายได้
แต่ความคิด เห็นไหม นี่เวลาอาหารของใจมันกินแต่ความเจ็บปวดแสบร้อนน่ะ มันกินอยู่ตลอดเวลาทำไมมันไม่ตายล่ะ ใจนี่มันไม่เคยตายนะมันเจ็บช้ำนัก มันโดนกิเลสเหยียบย่ำ มันเคยตายไหม หัวใจนี่มันไม่เคยตายนะ นี่อาหารของใจ ถ้าเรามีธรรมะเป็นอาหารของใจ ถ้าใจมันมีอาหารของมัน มันเป็นบุญกุศลไง นี่เป็นเรื่องของโลกนะ เรื่องของอามิสไง
เวลาทำบุญกุศล เห็นไหม บุญกุศลมันเป็นอามิส สิ่งที่เป็นอามิสเราทำกุศลขึ้นมา กุศลทำให้เกิดดี เกิดสิ่งที่มีความสุข เจริญรุ่งเรือง ทำบาปอกุศล เห็นไหม เราทำแล้ว ทำบาปอกุศลทำแล้วไม่มีใครเห็นของเรานะ เราทำอกุศลนี่หัวใจมันรู้ หัวใจมันทำ เวลามันคายพิษขึ้นมา นี่อาหารของใจ
ถ้าอาหารของใจ เราจะทำคุณงามความดีกัน ออกพรรษาเข้าพรรษา เวลาเข้าพรรษา ทางประเพณีโบราณเขางดเหล้ากัน เขาทำคุณงามความดี เขางดเว้นความชั่วกันในพรรษา ออกพรรษาเขาก็ทำกันอีก เห็นไหม เพราะอะไร? เพราะชีวิตนี้มันมีลุ่มๆ ดอนๆ เราต้องรับผิดชอบครอบครัวของเรา รับผิดชอบต่างๆ เรารับผิดชอบเราก็ต้องแสวงหา แสวงหามันถึงเป็นหน้าที่ไง
แล้วกรรม เห็นไหม ทำบุญกุศลมา ทำอะไรมันก็ประสบความสำเร็จ ประสบความสำเร็จนะ ดูสิ เวลาพระเจ้าอโศกมหาราชสร้างวัด ๘๔,๐๐๐ วัด เวลาใกล้จะตายให้เขาทำบุญกันเขาไม่ยอมทำ เขาทำกันน่ะ คนเวลาเรามีอำนาจอยู่มันก็ทำได้ทั้งนั้นน่ะ เวลาอำนาจมันตกนะ คนเรานี่
ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เป็นพระอรหันต์นะ เป็นศาสดาของเราด้วย ไปอยู่กับพราหมณ์นะ นิมนต์ไว้จำพรรษา เห็นไหม ลืมใส่บาตรนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ เวลาไปบิณฑบาตมันข้าวยากหมากแพง บิณฑบาตก็ไม่ได้ พอบิณฑบาตไม่ได้ขึ้นมา พอดีเขามีพ่อค้าโคต่าง เขาเลี้ยงเขาขายม้า วันหนึ่งม้าเขากินข้าวกล้องเท่าไหร่ กี่ทะนาน เขาให้พระองค์ละเท่านั้น แล้วพระนี่ พระภิกษุทำอาหารให้สุกเองไม่ได้ บิณฑบาตมาได้อย่างนั้นแล้วพระอานนท์เอาข้าวนั้นมาบด ใช้ขวดนี่บด บดขึ้นมาให้มันเป็นผง เป็นผงเสร็จแล้วเอาน้ำพรม พรมให้มันนุ่มๆ หน่อยถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนพระโมคคัลลานะทนไม่ไหว ทนไม่ไหวเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีฤทธิ์มีเดชขนาดนี้ทำไมเป็นอย่างนั้น
จะบอกว่าชีวิตนี้ลุ่มๆ ดอนๆ แม้แต่องค์ศาสดา เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก เราเองก็ต้องปรินิพพาน แม้แต่องค์ศาสดาก็ต้องตายไปข้างหน้า
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระอานนท์จะขอนิมนต์ให้อยู่ต่อไป อานนท์ เราบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายก็ต้องดับไปเป็นธรรมดา แม้ตถาคตก็ต้องตายไปในคืนนี้
แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังต้องตายไปเลย แต่ตายไปเพราะร่างกาย ร่างกายนี่มันตายไป ธรรมอันนั้นมันไม่เคยตาย จิตดวงนี้ไม่เคยตายไง นี่เราทำคุณงามความดีกัน สิ่งที่เราจะสร้างคุณงามความดีกัน แต่คนเรามันมีลุ่มๆ ดอนๆ อย่างที่ว่านี่ หัวใจมันไม่แน่นอนไง
นี่ความผิดพลาด ความพลาดพลั้ง เห็นไหม ถึงให้ทำนี่ เวลาทำ เวลาเข้าพรรษาเราก็อธิษฐานเข้าพรรษา ออกพรรษาแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ให้ปวารณากัน ให้พระนี่ปวารณากันนะ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการกระทบกระเทือนกัน สิ่งใดมีการผิดพลาดไปขออภัย เป็นอริยวินัย วินัยของสงฆ์นะ ผู้ที่ทำความผิดแล้วขอโทษ ขอโทษต้องรู้จักสำนึกผิดด้วยนะ ถ้าเราทำความผิดแล้วขอโทษ สำนึกผิดแล้วเราจะไม่ทำสิ่งนั้นอีก ไม่ใช่ขอโทษแล้วสักแต่ว่าทำ ประเพณีถ้าทำแล้วเป็นสักแต่ว่านะ เป็นประเพณี ยอมรับเป็นประเพณี แต่ประเพณีถ้าเราไม่ทำไป มันมีกรรมต่อกันไปเรื่อยๆ นะ
ดูเราสิ เราประพฤติปฏิบัติไป เห็นไหม ใครมาปฏิบัติภาวนา มันจะมีของมันเวลาเข้าไปถึงข้อมูลน่ะ ใครทำอะไรไว้นะเวลาภาวนาไปนี่ มันจะเข้าไปถึงข้อมูลนั้น ใครทำอะไรไว้มันจะแสดงออกมาตามอย่างนั้น ถึงว่าเป็นจริตนิสัยไง คำว่า จริตนิสัย มันเป็นสิ่งที่สะสมมาตั้งแต่อดีตชาติ ตั้งแต่ของเก่าๆ มา จริตนิสัยคนถึงไม่เหมือนกัน แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติเข้าไปนี่ ใจคึกใจคะนอง เวลาปฏิบัติเข้าไป เวลาสงบเข้าไปมันจะเห็น มันจะหลุดออกไป มันจะเข้าไปเดินจงกรมบนอากาศ จะอะไรนี่มันจะมีของมัน แต่มีส่วนน้อย
แต่เวลาเราปฏิบัติไป มันจะมีสิ่งที่ไปขัดแย้งในหัวใจ จะมีความลังเลสงสัย จะมีอะไรขัดแย้งใจตลอดไป เห็นไหม สิ่งนี้มันก็มีในหัวใจ นี่มันเป็นจริตนิสัย จริตนิสัยเป็นอย่างนี้ นี่ไงเราจะทำเราจะปวารณากัน เราจะขออภัยต่อกันก็ตรงนี้ไง ตรงที่ไม่ให้มีกรรมมันสะสมไปในใจไง ถ้ามีกรรมสะสมไปในใจนะ ใจอันนี้มันเป็นไปแน่นอน ขออภัยๆๆ เห็นไหม ขออภัยเสีย เลิกแล้วต่อกันไป นี่สิ่งนี้ให้อภัยกัน สิ่งต่างๆ นี่ให้หมดๆ กันไป เห็นไหม หมดกันไปเพื่อจะไม่ให้มันสะสมไป
เวลาทำคุณงามความดีขึ้นมานี่ ดูใจของเราสิ เราทำคุณงามความดีของเรา เราพยายามสะสมของเรา เหมือนพันธุกรรม เวลาพูดถึงบ่อยมากเรื่องตัดแต่งพันธุกรรมทางจิตนี่ คือทำคุณงามความดีของเราไป ภาวนาของเราไป จิตสงบเข้าไปมันก็ไปเปลี่ยนแปลงทีหนึ่ง เปลี่ยนแปลงตรงไหน? เปลี่ยนแปลงตรงมุมมองไง เปลี่ยนแปลงตรงความเห็นไง
ถ้าสิ่งใดเรายังไม่เคยประสบ เรายังไม่เคยสัมผัสของเรา เห็นไหม สันทิฏฐิโกนี่ มันยังฟังดูมันลอยๆ มันฟังมานะ ฟังจากครูบาอาจารย์มา อ่านพระไตรปิฎกมาต่างๆ นี่มันเชื่ออยู่ครึ่งหนึ่ง แต่กิเลสครึ่งหนึ่งมันคัดค้านไว้ ความลังเลสงสัย ไม่แน่นะ..อาจจะ...หรือว่า... นี่มันจะมีในหัวใจตลอดไป เห็นไหม แต่ถ้าเราเข้าไปสัมผัสของเราเอง มันจะ หรือว่า... ได้อย่างไร เพราะจิตมันเข้าไปสัมผัสเอง
พอจิตมันเข้าไปสัมผัสเองมันจะเปลี่ยนมุมมองนะ นี่เห็นไหม ที่มันตัดแต่งมันตัดแต่งอย่างนี้ไง มุมมองมันจะเปลี่ยนแปลงไป มุมมองในหัวใจนี่จะเปลี่ยนแปลงไป นรกสวรรค์ไม่มี ผีไม่มี มันไปสัมผัสมันจะรู้ของมันเอง เห็นไหม บาปบุญอกุศลมันมีไม่มีมันรู้ของมันเอง สุขทุกข์นี่มันรู้ของมันเอง ขนาดทั้งที่รู้ๆ อยู่นี่ ทุกข์ที่ทุกคนยังไม่รู้นี่ น้ำตาไหลน้ำตาพรากกันอยู่นี่ เป็นเพราะอะไร? เพราะทุกข์ทั้งนั้นล่ะ แต่ถึงเวลาแล้วพอมันผ่อนคลายไปแล้วก็ลืมตัว ลืมตัว เห็นไหม นี่กิเลสมันเป็นอย่างนี้ อดีตอนาคตมันถึงแก้กิเลสไม่ได้ไง
อดีตมันเป็นอดีตไป อดีตก็ความที่เคยสัมผัสมา เคยเจ็บปวดมา เวลาปัจจุบันนี่ ปัจจุบัน...เออ! เอาไว้ก่อน เห็นไหม แล้วก็ไปอนาคตมันจะเป็นอย่างนั้น อดีตอนาคตแก้กิเลสไม่ได้ แล้วไปปัจจุบัน ปัจจุบันของเรานี่มันก็เคลื่อนนะ ในปัจจุบัน ปัจจุบันที่เราคิดกันอยู่นี่ เพราะอะไร? เพราะความคิดมาจากไหน? ความคิดมันลอยมาจากฟ้าเหรอ? ความคิดมันออกมาจากจิต แล้วจิตมันอยู่ไหนล่ะ ขณะที่มันคิดออกมา เห็นไหม มันเป็นอดีตอนาคตไปแล้ว
แล้วสิ่งที่อดีตอนาคต มันแก้ไม่ได้หรอก มันแบบว่าฟันเฟืองที่เข้ากันไม่ได้ ฟันเฟืองที่เข้าไปได้ไม่สมดุล แต่ถ้าฟันเฟืองที่เข้ากันได้ เห็นไหม เราต้องทำความสงบของใจเข้าไป เข้าไปหาตัวจิตดวงนั้น ความคิดมันเกิดที่จิตนั่น แล้วถ้าเข้าไปถึงที่จิตนั้น จิตนั้นเอาปัญญาเข้าไปแก้ ชำระที่จิตนั่น เราทำบุญกุศลกันนี่มันเป็นแค่ตัดแต่ง มันเป็นแค่เปลี่ยนมุมมอง มุมมองนี่มันออกมาจากจิต
ถ้ามุมมองที่ดี กุศลทำให้คิดที่ดี กุศล เห็นไหม เราคิดบุญกุศลทำกุศลกัน กุศลทำให้เกิดบุญกุศล บุญกุศลทำให้เกิดเป็นความสุข เห็นไหม ความสุขคือความพอใจไง ความพอใจว่าสิ่งที่ทำแล้วเรามีความชื่นใจเรามีความสุขใจ สิ่งนี้มันสะสมบ่อยๆ ครั้ง นี่ความตระหนี่ถี่เหนียว เราต้องต่อต้านกับมัน เห็นไหม ความยึดมั่นถือมั่นของใจ ใจมันจะยึดมั่นถือมั่นของมันนะ สมบัตินี่เป็นของเรา ทุกอย่างเป็นของเรา ทำแล้วจะได้ผลไม่ได้ผล นั่นเห็นไหม เราตัดแต่งจากภายนอก
แล้วถ้าทำความสงบของใจเข้าไป มันไปตัดแต่งจากภายใน นี่ปัญญาจากข้างนอกนะ โลกนอกโลกใน โลกนอก เห็นไหม โลกที่มันเป็นไปสภาวะนี่โลกนอก โดยสภาวะสังคมนี่เรื่องโลกของโลกนอกโลกใน เห็นไหม โลกในก็โลกทัศน์ ความคิดจากภายใน นี่โลกนอกโลกในนะ ยังมีมรรคหยาบมรรคละเอียดเข้าไปอีก นี่โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค มันจะละเอียดเข้าไปอีก
ถ้าละเอียดละเอียดอย่างไร เห็นไหม มันจะละเอียดอย่างไร ที่เราทำบุญกุศลกันอยู่นี่ เราจะขอขมากันนี่ ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขอขมาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นะ เพราะอะไร? เพราะพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นแก้วสารพัดนึก สิ่งที่แก้วสารพัดนึกเหมือนนิวเคลียร์เลย นิวเคลียร์ เห็นไหม ใช้ทางสันติได้ประโยชน์มาก ใช้ทางทำลาย ทำลายได้หมดเลยนะ สิ่งที่ไม่มีแรงตอบสนองไง ใจที่บริสุทธิ์นะเราไปสัมผัส เราไปแตะต้อง เห็นไหม นี่พระอริยเจ้า
ถ้าพระอริยเจ้านะ ไปติเตียนพระอริยเจ้า เห็นไหม ปิดกั้นมรรคผลได้เลยล่ะ เราไม่รู้นี่ว่าเป็นหรือไม่เป็น ใครเป็นหรือไม่เป็น แล้วจิตเราก็ไม่ยอมรับ สิ่งที่ไม่ยอมรับ ถ้าไม่ยอมรับนี้เพราะกิเลสใช่ไหม แต่มีครูบาอาจารย์ที่ท่านมองการณ์ไกล ท่านให้เราขอขมาเสีย ขอขมาเพื่อให้จิตของเรานี่มันไม่มีบาปอกุศล สิ่งที่ทำแล้วก็ขออภัยต่อกัน เห็นไหม เพื่อความสะดวก เพื่อใจนี้ให้มันผุดผ่อง
ถ้าผิดพลาดมาแล้ว ...มันเป็นไปไม่ได้หรอก เด็กนี่ไม่ทำผิดเป็นไปไม่ได้หรอก เด็กมันต้องผิดเป็นธรรมชาติของมัน เห็นไหม ใจที่มีกิเลสมันเป็นธรรมชาติของมันอย่างนั้น มันไม่แน่ใจ มันต้องต่อต้าน มันต้องคัดค้าน นี่ถ้าไม่เชื่อ เห็นไหม ในศาสนาพุทธเราต้องเชื่อเหรอ ต้องเชื่อครูบาอาจารย์ กาลามสูตรไม่ให้เชื่อใช่ไหม นี่ก็ไม่ให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อนะ แต่ไม่ให้เชื่อโดยปกติมันเป็นไปได้ไหมล่ะ กิเลสนี่มันไม่ได้หรอก ถ้าไม่เชื่อแล้วมันต้องหาเหตุผล ไอ้ตอนหาเหตุผลนั่นน่ะ เห็นไหม ขี้โม้ พูดได้แต่เรื่องสิ่งที่จับต้องไม่ได้ สิ่งที่จับต้องไม่ได้ก็เอามาพูด เพื่อจะตามกันไม่ทัน มันเป็นไปได้อย่างไรตามกันไม่ทันน่ะ
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เห็นไหม ครูบาอาจารย์ที่บรรลุธรรมขึ้นไป ดูสิ หลวงปู่มั่นขึ้นมานี่ หลวงปู่ชอบ หลวงปู่ฝั้น ต่างๆ นี่มันตามทันนะ หลวงปู่ขาวขึ้นไปนี่เหมือนเรา เห็นไหม บอกหมู่คณะ จำหลวงปู่ขาวไว้นะ หลวงปู่ขาวได้มาคุยกับหลวงปู่มั่นแล้ว นี่ปฏิบัติแล้วมันเหมือนกัน เห็นไหม นี่มันขี้โม้ได้ไหมล่ะ ถ้ามันขี้โม้นะคนมันเดินตามทันกันได้
ดูสิ เราจากเป็นเด็กขึ้นมานี่มันต้องเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมานะ คนแก่คนชราขึ้นมานี่ลูกหลานเราก็จะแก่ชราตามเรามานะ ตอนที่เขายังเด็กอยู่เขายังไม่รู้จักอาการของใจของเรา เขาไม่รู้จักกับประสบการณ์ของเรา แต่อีกหน่อยนะเขาก็โตมาเหมือนเรา แล้วเขาจะสอนลูกหลานเขาเหมือนเราที่เราพร่ำสอนเขาอยู่นี่ ถ้าเราพร่ำสอนเขาอยู่นี่เด็กมันจะรำคาญ มันจะไม่ค่อยยอมรับ คนแก่ชอบพูดเรื่องเก่าๆ คนแก่ชอบพูดเรื่องซ้ำซาก แล้วเดี๋ยวมันก็จะแก่มา แล้วมันก็จะไปสอนลูกหลานมันเหมือนที่เราสอนนี่ เห็นไหม นี่วุฒิภาวะของใจมันหมุนไปอย่างนี้ นี่มันตามทันกันได้ ไม่ใช่ว่าเอาแต่เรื่องมาขี้โม้ โม้แต่เรื่องสิ่งที่จับต้องไม่ได้
จับต้องได้! จับต้องไม่ได้มันจะเป็นสันทิฏฐิโกได้อย่างไร จับต้องไม่ได้มันจะรู้ว่ามีกิเลส สิ้นกิเลสได้อย่างไร มันจับต้องได้หมดนะ นี่เราพัฒนากันอย่างนี้ ถ้าเราหวังตรงนั้น เห็นไหม เราถึงต้องกลับมาทำตรงนี้ ต้นไง ถ้าต้นมันดีปลายมันจะตรง ต้นมันตรงปลายมันคด คดเพราะอะไร? เพราะกิเลสมันพาคด นี่เราถึงว่าเราทำของเรา เพื่อให้ต้นมันก็ตรงปลายมันก็ตรง แต่ต้นกับปลายมันไม่ตรงกันเพราะกิเลสมันอยู่ในหัวใจของเรา ความคับแคบของใจของเรา ใจที่มันดีดดิ้นในหัวใจของเรา มันดัด มันทำให้ต้นคดปลายคด
เราถึงว่าเราทำไม่ได้เราก็อาศัยประเพณีวัฒนธรรมนี่ ประเพณีนะ ขอกันตามประเพณี ขออภัยกัน ทำตามประเพณี แต่หัวใจมันจะขอด้วยไม่ขอด้วยมันอยู่ในใจเรา มันจับต้องไม่ได้ แต่ก็เอาประเพณีเป็นแนวทางไว้ก่อน แล้วถึงที่สุดแล้วนี่ มันจะเป็นไปของมัน เอวัง