เทศน์เช้า วันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตอนนี้อากาศเย็น เห็นไหม อากาศเย็น อากาศร้อนน่ะ ถ้าอากาศเย็นสบาย เวลาอดอาหารนะ เวลาเร่งความเพียร อากาศเย็นจะภาวนาดีที่สุด แล้วรองลงมาก็หน้าฝน หน้าหนาว หน้าฝน ฤดูร้อน แต่ว่าอากาศเย็น อากาศร้อนนะ ทำให้คนตายได้
แล้วเวลาเขาศึกษาธรรมะกันนะ นิพพานสงบเย็น นิพพานฆ่าคนหรือ? ความเย็นทำให้คนตายนะ ความหนาวนี่ทำให้ตาย แล้วเรานี่เวลาหนาวขึ้นมา นี่เรามีเครื่องกันหนาว เราป้องกันนิพพานไม่ให้เข้าตัวเราหรือ? เรารังเกียจนิพพานกันหรือ? นิพพานไม่ได้สงบเย็น ความพอดีต่างหากล่ะ มัชฌิมาปฏิปทา
ความสงบเย็น เห็นไหม เย็นคู่ร้อน ความสงบคู่กับความฟุ้งซ่าน ถ้าพูดออกมาเป็นสมมุติเป็นผิดหมด สิ่งที่ความเป็นนิพพาน เห็นไหม นิพพานคือความสุขใจ ในหัวใจเป็นวิมุตติสุข ถ้าวิมุตติสุขอยู่ในตัวเรานะ นิพพานสงบเย็น ความเห็น ความเป็นไป ความพูดไป ความปล่อยวาง เห็นไหม การปล่อยวาง ความฟุ้งซ่าน ถ้ามันปล่อยวางขึ้นมา มันก็สงบเย็น
ความสงบเย็นอันนี้มันเป็นสมถะ มันเป็นเรื่องธรรมดา เห็นไหม เป็นเรื่องธรรมดา เป็นภวาสวะ เป็นภพ ถ้าเป็นภพ เห็นไหม ถ้าเราเข้าถึงภพ เวลามันเข้าถึงสมาธิแล้วจิตมันสงบเข้ามา ถ้าถึงสมาธิแล้ว สมาธิออกทำงานต่างหาก เห็นไหม
นี่ศาสนาสำคัญตรงนี้ สำคัญมากเลย ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ตรัสรู้ธรรมขึ้นมานะ ฤๅษีชีไพรเขาทำความสงบได้อยู่แล้ว แล้วเขายังเหาะเหินเดินฟ้าด้วย ถ้าเหาะเหินเดินฟ้านะ นี่มีอภิญญา ๖ สิ่งนี้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ในสมัยโบราณ เพราะสมัยโบราณไม่มีเทคโนโลยี ใช่ไหม
สมัยปัจจุบันเหาะเหินเดินฟ้าทำได้หมดล่ะ หูทิพย์ ตาทิพย์ เขารู้ได้หมด การสื่อสารเรดาร์จับได้ทั้งนั้นนะ นี่สิ่งนี้มันเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้นะ แต่พิสูจน์ได้ขนาดไหนก็แล้วแต่ โลกนี้มันต้องเป็นไป เห็นไหม อจินไตย ความเป็นอจินไตย คือมันมีอยู่ตลอดไป สิ่งที่มีอยู่อจินไตยมันต้องมีของมันอยู่ แต่มันเป็นอนิจจัง ความเป็นอนิจจัง โลกนี้สิ่งแวดล้อม สภาวะแวดล้อมต่างๆ มันจะแปรปรวนตลอดเวลา ถึงที่สุดโลกมันก็จะหมุนของมันไป แต่มนุษย์ เห็นไหม สิ่งที่มีชีวิตมันจะไม่สิ้นสุดของมันไป
ดูสิมนุษย์ถ้ำ มนุษย์น้ำแข็ง เห็นไหม สิ่งต่างๆ แล้วหมุนเวียนกันไป มันจะหมุนกลับมาอย่างนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกว่า สัมพุทเธไง พระพุทธเจ้าล้านๆ พระองค์ มันหมุนเวียนตามสภาวะแบบนี้ แล้วกาลเวลาของเราๆ ก็พิสูจน์กัน โลกมันจะหมุนเวียนไปตามสภาวะแบบนั้น แล้วเราเอาโลกมาเป็นใหญ่ได้อย่างไร? เราต้องเอาธรรมเป็นใหญ่
ธรรมเป็นใหญ่คืออะไร? ธรรมเป็นใหญ่คือความรู้สึกไง ความรู้สึกในเรื่องของใจ ความเป็นใหญ่มันอยู่ที่นี่ เห็นไหม ในโลกของวัตถุ โลกเขาเปรียบเทียบวัตถุ แล้วเราก็แสวงหากันทางวัตถุ วัตถุมันเป็นสิ่งที่เราเกิดมา ดูสิ ดูในโลกนี้ เห็นไหม นี่ในทวีปต่างๆ ถ้าไม่เจอทรัพยากร ประเทศนั้นจะไม่มีคุณค่าเลย แต่เจอทรัพยากรขึ้นมา เห็นไหม เขาจะแลกเป็นวัตถุมาได้มหาศาลเลย เขาจะค้าขายได้ประโยชน์มหาศาล แต่ แต่ในประเทศนั้นก็มีคนรวยคนจนเหมือนกัน คนที่มีโอกาสและคนที่ด้อยโอกาส คนที่ด้อยโอกาสเขาจะไม่ได้ประโยชน์กับสิ่งนั้นๆ เลย แต่คนที่มีโอกาสเขาจะตักตวงผลประโยชน์จากสิ่งนั้นๆ เห็นไหม นี่วัตถุเป็นการแย่งชิงกัน การแย่งชิงกันด้วยอุบาย ด้วยอุบาย ด้วยกลวิธีการ เห็นไหม
นี่โลกสภาวะเป็นอย่างนั้น นี่ความเสมอภาคๆ ของโลกนะ ถ้าความเสมอภาคของใจมันเป็นก่อน ถ้าใจเสมอภาคขึ้นมาก่อน เราเป็นธรรมขึ้นมาก่อน เห็นไหม แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง ถ้าแผ่นดินทอง ทองคำขึ้นมาขนาดไหนเราก็เจือจานกัน ถ้าแผ่นดินทองก่อน มันต้องแย่งชิงกัน เพราะอะไร? เพราะคนมีกิเลส เห็นไหม นี่สภาวะความจริง ถึงว่าความรู้สึกอันนี้สำคัญมาก ถ้าความรู้สึกเสมอภาคๆ จากของเรา มันมีหิริ มีโอตตัปปะ มันมีความละอายใจ มันมีความละอายนะ เรายังมีความละอายใจ แต่สิ่งที่ความละอายใจ เห็นไหม เราทำไม่ได้หรอก ในสภาวะแบบนั้น มันเป็นความละอายของมัน
แต่ถ้ามันเป็นธรรมนะ นี่สิ่งที่มันเสวยอารมณ์นะ เห็นไหม นี่เวลาจิตที่เป็นนิพพานๆ นี่นิพพานสงบเย็นๆๆ สงบเย็นเป็นสงบเย็นไม่ได้ นิพพานคือนิพพาน นิพพานคือสิ่งที่แยกแยะเป็นสองไม่ได้ นิพพานเป็นสมมุติไม่ได้ เพราะสมมุติเป็นของคู่ ของคู่มันมีของเสื่อมสภาพ มีของแปรปรวนตลอดเวลา แต่นิพพานคงที่ของมัน ถ้าคงที่ของมัน เวลาเสวยอารมณ์ออกมา สิ่งที่เสวย สิ่งที่รับรู้ออกมา สิ่งที่เป็นกิริยาของธรรม กิริยาของธรรมการแสดงออกไป แสดงออกมาเพื่ออะไร? เพื่อประโยชน์กับความร่มเย็น เห็นไหม
ฝนตกแดดออก เห็นไหม เวลาเราต้องการแผงโซล่าเซลล์ เราต้องการแดด แต่ถ้าตื่นเช้าขึ้นมาก็ต้องการฝน เขาต้องการน้ำ ต้องการพลังงาน สิ่งที่โลกนี้ก็เหมือนกัน เวลาสิ่งที่เสวยอารมณ์ออกมา มันก็เป็นเพื่อกิริยาของธรรม เพื่อโลก เห็นไหม เพื่อโลก เพื่อผู้ที่ก้าวเดิน ผู้ที่ก้าวเดิน แล้วเราเป็นผู้ที่ก้าวเดินนะ
สิ่งที่ครูบาอาจารย์ที่ว่าสิ่งที่เขาชี้นำไปผิดทาง เห็นไหม ผิดทางนี้เราฟังไว้ แล้วเราเทียบเข้ามาในความรู้สึกของเราไว้ ถ้าปฏิบัติอย่างนั้นมันเป็นตามความจริงไหม? ถ้ามันไม่เป็นตามความจริง ต้องวางไว้ เห็นไหม นี่แล้ววางไว้ ครูบาอาจารย์ท่านบอก แสวงหาครูบาอาจารย์ การแสวงหาครูบาอาจารย์ ถ้าเราพิสูจน์ของเรา ถ้ามีการโต้แย้งกันในเรื่องธรรมะ ถ้าไม่ท่านผิดก็ต้องเราผิด แล้วถ้าสิ่งที่จิตใจเราสูงกว่า เราเข้าใจในสภาวะแบบนั้น แล้วสิ่งนี้หรือจะมาสอนเรา เห็นไหม สิ่งนี้หรือจะเป็นไป แต่นี่สิ่งที่ว่าหัวใจมันสูงมันต่ำ ถ้าวุฒิภาวะมันต่ำอย่างนั้น มันไม่มีความเข้าใจอย่างนั้น นั่นก็เป็นเรื่องของเขา มันเป็นเรื่องของธรรมะ ธรรมะสมยอมไง ธรรมะสมยอมกับกิเลส แล้วกิเลสเราตีความของเรากันเอง แล้วสมยอมกันไป แต่มีศักยภาพ ศักยภาพทางโลก
ดูสิ ดูอย่างที่ว่าผู้ที่เป็นคฤหบดี เขาไม่ได้เป็นนักบวชนะ แต่เขาก็มีศักยภาพของเขา ศักยภาพอย่างนั้นมันมาจากบุญกุศลของเขา บุญกุศลของเขา เขาสร้างของเขามาสภาวะแบบนั้น แต่ว่าสภาวะความเป็นธรรมล่ะ ถ้าเป็นธรรมจะเศรษฐีกุฎุมพีขนาดไหน ถ้าจิตเข้าถึงธรรมแล้ว มันจะเป็นธรรมอันเดียวกันหมดเลย มันมีความเป็นไปในหัวใจไง เข้าถึงสภาวะของโลก เห็นไหม
ดูสิ นี่จักรวาลต่างๆ มันมาจากไหนล่ะ ก็มาจากเรา โลกนี้มีเพราะมีเรา เพราะมีเราขึ้นมาก่อนถึงมีโลกนี้ใช่ไหม? เพราะมีเรา เราถึงรับรู้สิ่งต่างๆ หมดเลย แต่ในทางวิทยาศาสตร์ เห็นไหม ต้องมีศูนย์กลาง ต้องมีดวงอาทิตย์ ล้อมด้วยจักรวาล นั้นเป็นเรื่องของดวงดาว เป็นเรื่องของฤกษ์ยามของเขา แต่ถ้าเป็นความรู้สึกของเราล่ะ จักรวาลอันนี้ เห็นไหม นี่ดวงอาทิตย์คนละดวง ดาวคนละดวง ความรู้สึกคนละดวง เห็นไหม
นี่เวลามันเกิดมันตาย มันเวียนตายเวียนเกิด เวียนตายเวียนเกิด ซับซ้อนมาต่างๆ สิ่งนี้มหัศจรรย์มาก ถ้าผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเข้าไปก็จะเห็นสัจจะความจริงอันนี้นะ มันถึงสลดสังเวชไง สลดสังเวชถึงการเกิดการตาย ครูบาอาจารย์นะ เวลาจิตสงบเข้ามาแล้วระลึกอดีตชาติได้ บางทีน้ำตาไหลนะ น้ำตาไหล ทำไมเป็นอย่างนี้ ทำไมเป็นอย่างนี้ แต่เราก็ไม่เข้าใจ ถึงเราเข้าใจฟังธรรมนี้มันก็ฟังธรรมจากสัญญา จากเปลือกไง จากสิ่งภายนอก สิ่งที่รับรู้จากภายนอก รับรู้จากภายนอกเข้ามามันก็สลดหดหู่นะ หดหู่ไปพักหนึ่ง
แต่กิเลสในหัวใจมันมีมหาศาลเลย เวลามันสลดชั่วคราวเหมือนกับเราดับไฟ ดับไฟด้วยน้ำ แต่น้ำนั้นมันไม่พอ เดียวมันก็คุกรุ่นขึ้นมาอีก นี้ก็เหมือนกัน กิเลสมันเป็นสภาวะแบบนั้น แต่ถ้าคนที่ไปรู้จริงเข้านี่มันเหมือนกับเราดับไฟ ตัวไฟ ตัวเชื้อของไฟ ตัวเชื้อของความรู้สึก ตัวเชื้อของใจที่มันเกิดมันตาย มันสลดสังเวช ชีวิตเป็นสภาวะแบบนี้ เป็นสภาวะแบบนี้ แต่มันก็ต้องเป็นไปของวัฏฏะ ตามความเป็นไปของโลก ของกิเลสตัณหาทะยานอยาก สิ่งที่เป็นไปนี่ เห็นไหม
นี่สิ่งที่เข้าใจตามความจริงเข้ามาอย่างนี้ มันจะบอกสงบเย็นอย่างนั้นน่ะ มันฟังแล้วมันฟังรื่นหูกันนะ มันฟังเป็นความพอใจ เป็นมารยาทสังคม เป็นมารยาทความนุ่มนวล แต่ถ้าเวลามันชำระกิเลสมันทำอย่างนั้นไม่ได้ ดูสิ เวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วย เห็นไหม ถึงคราวผ่าตัด ถึงคราวต้องฉีดยา ต้องฉีด มันเจ็บนะ เวลาผ่าออกมานี่ ดูสิ อยู่ดีๆ เอามีดกรีดเนื้อตัวเอง มันคนมีสติหรือเปล่า แต่ในเมื่อมันจำเป็นต้องทำ เพราะมันมีเชื้อ มันมีโรคภัยไข้เจ็บอยู่ เราต้องกรีด ต้องตัด ต้องชำระ
เหมือนกัน ในการภาวนาก็เหมือนกัน มันต้องมีเหตุมีผล มีหนัก มีเบา มันมีเริ่มต้น มีความสงบเข้ามา ทำความสงบมันก็นิ่มนวล เพราะมันยังไม่มีการกระทำสิ่งใดๆ เลย เหมือนคนไข้เลย คนไข้เขาเตรียมตัวผ่าตัด เขาต้องการความสะอาด เขาต้องการฟื้นฟูร่างกายขึ้นมา แต่เวลาเขาจะผ่าตัดขึ้นมา เขาต้องวางยาสลบเชียวนะ ถ้าพูดถึงถ้ามันผ่าตัดใหญ่ มันทนไม่ได้ แต่เวลาจะชำระกิเลสก็เหมือนกัน มันต้องชำระกิเลส ต้องใช้ปัญญาฟาดฟันกับมัน เป็นดาบเพชรไง ดาบเพชรชำระเข้าไป แล้วจะมานิ่มนวลอยู่สภาวะแบบนั้น นิ่มนวลมันเป็นความคิดนะ มันเป็นความเห็นต่างๆ ว่าเป็นมารยาท สังคม ความนิ่มนวล
แต่เวลาการกระทำ ครูบาอาจารย์เวลาอยู่ในป่าในเขานะ เวลาต่อสู้กับกิเลส ต่อสู้กันด้วยความรุนแรงมาก แล้วเวลามันชำระได้จริง ขนาดที่ชำระได้จริง วิธีการอันนี้มันสำคัญมากเลย สำคัญมากเพราะอะไร? เพราะมันเป็นอริยสัจ
พระอรหันต์ลืมอะไร? ลืมในสมมุติบัญญัติ ลืมนะ ลืมได้ สมมุติบัญญัตินี่ ของวางไว้ก็ลืมได้ เพราะอะไร เพราะมันเป็นขันธ์ มันไม่ใช่ตัวจิตที่เป็นวิมุตติ เห็นไหม พระอรหันต์ลืมในอะไร? ลืมในสมมุติบัญญัติ
แล้วพระอรหันต์ไม่ลืมในอะไร? พระอรหันต์ไม่ลืมอริยสัจตรงนี้ไง ไม่ลืมอริยสัจตรงที่วิธีการนี่ เวลามันเกิดขึ้นมาจิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มรรคการเวียนไปของมรรคญาณ เห็นไหม แล้วมันกลั่นออกมา จิตมันพ้นออกมา เห็นไหม
จิตพ้นออกมาเป็นชั้นเป็นตอน นี่โสดาบัน สกิทาคา อนาคา เห็นไหม เรือนว่าง ยังมีความรู้สึก ตัวจิตมันกลั่นอยู่ ถึงที่สุด เห็นไหม อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจึสูติ นี่ตัวจิตมันทำลายตัวมันเอง จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ แต่ถึงที่สุดแล้วมันกลั่นออกมาจากไหนล่ะ มันพ้นออกไปจนพูดถึงไม่ได้ พูดถึงไม่ได้จริงๆ มันเป็นความรู้อันเหนือโลก วิมุตติสุขมันรู้เหนือโลก แต่ขณะที่เวลาแสดงธรรมขึ้นมา เห็นไหม กิริยาของธรรม กิริยา ฟังสิ ฟังว่ากิริยาของธรรม กิริยาของความรู้สึกไง ความรู้สึกที่มันแปรปรวนมา ความรู้สึกที่การกระทำมา กระทำมาคืออริยสัจ เห็นไหม พระอรหันต์ไม่ลืมในสิ่งนี้ ไม่ลืมในการกระทำนั้น ถึงว่าเวลาพระอรหันต์สิ้นสุดที่ไหน? เห็นไหม จะฝังใจมาก สิ้นสุดที่ไหน ทำที่ไหน? เหมือนถิ่นเกิด เห็นไหม ถิ่นเกิดของเรา เราเกิดในครรภ์ของมารดา
พระอรหันต์เกิดเกิดในอริยสัจ เกิดจากจิตนี้มันกลั่นออกมาจากตัวมันเอง เห็นไหม แล้วมันเกิดเกิดมาจากธรรม เข้ามาเสวยธรรมในหัวใจ นี่เกิดมาในสภาวะแบบนั้น สงบเย็นมันเป็นสมมุติ ทุกอย่างเป็นสมมุติ นี่มันเป็นวิมุตติ มันพ้นจากสงบเย็น พ้นออกไปหมดเลย พ้นจากความเหนือโลกไปอยู่ในหัวใจ แล้วมันอยู่ที่เรานี่ ความรู้สึกของเรานี่ มันเป็นไปได้นะ สิ่งนี้เป็นไปได้ เห็นไหม
มันละเอียดอ่อนอย่างนั้น จนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาแล้ว เห็นไหม จะสอนใครได้หนอ จะสอนใครได้หนอ นี่ทอดธุระเลย ทั้งๆ ที่สร้างสมมา สร้างสมบุญญาธิการมาเพื่อจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ เห็นไหม แต่มันท้อใจ เพราะมันเหมือนกับจะเหลือวิสัย แต่เหลือวิสัยของมนุษย์ ถ้าเหลือวิสัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เทศนาว่าการมา แล้วพระอรหันต์เกิดขึ้นมามหาศาลเลย เห็นไหม สมัยพุทธกาลนะ นี่วัดทั้งวัดเลย พระอรหันต์ทั้งนั้นเลย
แต่ในสมัยปัจจุบัน เรามีครูบาอาจารย์ของเราเป็นที่พึ่ง เป็นที่อาศัย เพราะเรามีความลังเลสงสัย เรามีความเป็นไปในหัวใจ เราถามได้ สิ่งนี้ถามนี่เป็นโอกาสมาก แต่ครูบาอาจารย์ หลวงปู่มั่น ท่านไม่มีเลย ท่านยังค้นคว้าของท่านมา เพราะท่านสร้างสมบุญญาธิการมา ศาสนาเจริญ เจริญตรงนี้ เจริญในความรู้สึกนี้ เห็นไหม
ถึงว่านิพพานคือนิพพาน นิพพานไม่ใช่ความสงบเย็น ไม่ใช่สิ่งใดๆ ทั้งสิ้น นิพพานๆ สงบเย็นเห็นไหม ดูสิ เราปฏิเสธ ร้อนก็ต้องหาเครื่องป้องกัน หนาวก็ต้องหาเครื่องป้องกัน หนาวร้อนหาเครื่องป้องกัน แล้วหนาวร้อนทำลายคนนะ ฆ่าคน แล้วนิพพานฆ่าคนหรือ ดูหนาวตายเป็นร้อยๆ เป็นพันๆ ร้อนตายก็เป็นร้อยเป็นพัน แล้วเป็นนิพพานได้อย่างไร
แต่ขณะที่ว่าประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถึงเป็นนิพพานก็ต้องตาย...ไม่ตาย นิพพานขึ้นมานี่ นิพพาน คนที่ถึงที่สุด ดูสิ จิตมันรู้ของตัวมันเอง เห็นไหม เหมือนเราเป็นผู้ใหญ่เรารู้สิ่งใดเป็นโทษ สิ่งใดเป็นคุณ แล้วเวลาจิตเราเข้าไปเราเห็นโทษเห็นคุณขึ้นมานี่ มันแก้ไขตัวมันเองได้ ที่เรายังลังเลสงสัยกันอยู่ เรายังต้องถามกันอยู่ เพราะเราไม่เป็น เราไม่รู้ แต่เวลารู้จริงขึ้นมา มันต้องเอาตัวของมันรอดของมันไปได้ เพราะอะไร? เพราะมันเห็นประโยชน์โลก ประโยชน์เราไง ประโยชน์ของเราคือประโยชน์ในหัวใจที่มันเป็นธรรม ประโยชน์โลกคือว่า สิ่งที่มันเหมือนสิ่งที่มันสุดวิสัยเลย แล้วจิตอันนี้มันไปรู้เข้า มันควรเป็นประโยชน์กับใครบ้าง ควรเป็นประโยชน์กับผู้ที่ต้องการ ควรเป็นประโยชน์กับผู้ที่ประพฤติปฏิบัติและผู้ที่แสวงหา นี่ชี้นำกันอย่างนั้น เห็นไหม
นี่ครูบาอาจารย์นี่สัปปายะ ๔ นี่ครูบาอาจารย์สำคัญที่สุด หมู่คณะสำคัญที่สุด สถานที่สำคัญที่สุด นี่แล้วก็อาหารเป็นสัปปายะ ๔ นี้สิ่งที่จะชักนำเราไป เห็นไหม มันเป็นประโยชน์ตรงนี้ ดำรงชีวิตเพื่ออะไร? เพื่อศาสนา ศาสนาคือความเป็นไป ศาสนธรรมคือการสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วมันกังวานขึ้นมาในหัวใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ผู้ที่ปฏิบัติจริง เห็นไหม มันเป็นความจริงขึ้นมาอันนี้ นิพพานเป็นอันนี้ นิพพานไม่ใช่สงบเย็น เอวัง