เทศน์เช้า วันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์เช้า วันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๐
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เวลาพูดถึงธรรมะไง เวลาพูดถึงธรรมะเราว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ เวลาเฮอริเคนมันเข้ามา มันกวาดต้อนชีวิตคนไปตายเป็นเบือเลย ธรรมชาติมันก็ฆ่าคน เห็นไหม แต่ธรรมะแท้ๆ ฆ่าคนไม่ได้นะ ธรรมะแท้ๆ ทำให้คนพ้นจากทุกข์เลย ธรรมะจริงๆ นะมันอยู่ในหัวใจ อยู่ในหัวใจเพราะอะไร เพราะภาชนะที่ใส่ธรรมคือความรู้สึก ความรู้สึกที่ใส่ธรรมะ ตู้พระไตรปิฎกนะ ตู้พระไตรปิฎกนี่ก็พูดถึงกิริยาของธรรม เป็นวิธีการ แล้วคนเราไปศึกษา มันศึกษาด้วยอะไร ศึกษาด้วยความเห็นของตัว เห็นไหม
ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าป่วยนะ จะให้พระสวดสัมโพชฌงค์เห็นไหม ธรรมะวิจัย ถ้าธรรมะวิจัย เห็นไหม ตั้งแต่ พละ อินทรีย์แก่กล้า พละ ๕ เห็นไหม อินทรีย์ ๕ อินทรีย์สังวร อินทรีย์สังวรระวังเข้ามา นั้นมันทำการวิจัยธรรมไง ถ้าวิจัยธรรม เห็นไหม นี่ธรรมะในตู้พระไตรปิฎกเป็นธรรมะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ แต่เราวิจัยว่าเป็นคุณประโยชน์กับเราไหม
แต่ถ้าเราวิจัยโดยกิเลส วิจัยแล้วมันท้อถอยนะ วิจัยแล้วทำไม่ไหวหรอกนี่ นี่สุดเอื้อม หมดกาลหมดเวลา หมดทุกอย่างเลย แต่ความทุกข์ในหัวใจไม่เคยหมดนะ ความทุกข์ในหัวใจเรา ความเกิดความตายนี้ไม่เคยหมดไปเลย แต่กาลเวลาหมดไป อกาลิโก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะสวดธรรมะกัน สวากขาตธรรม เห็นไหม อกาลิโกไม่มีกาลไม่มีเวลา การเกิดการตายไม่มีกาลไม่มีเวลา โลกนี้เป็นอจินไตย มันจะเป็นอย่างนี้ตลอด เห็นไหม พระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้ข้างหน้า พระพุทธเจ้า ๑๐ พระองค์จะมาตรัสรู้ข้างหน้า อนาคตกาลอีกมหาศาลเลย แล้วมันจะไปสิ้นสุดกันที่ไหนล่ะ
จิตใจมันจะสิ้นสุดกันที่ไหน แล้วเราก็จะเคลื่อนตามมันอย่างนั้นเหรอ เราจะเคลื่อนชีวิตเราไปอย่างนั้นเหรอ แล้วบอกว่าชีวิตตายแล้วสูญ ตายแล้วสูญ ตายแล้วก็แล้วกันไป นั่นเป็นความคิดของเรานะ ทุกข์อันนี้ถ้าตายแล้วก็แล้วกันไป เราไม่ต้องเกิดมานั่งทุกข์กันนี่ ไอ้ทุกข์นี้มันมาจากไหน นักวิทยาศาสตร์ก็คิดว่ามาจากไข่ของแม่ มาจากไข่ของมารดา เกิดมาจากพ่อจากแม่ เกิดมาจากพ่อจากแม่แล้วพ่อแม่เกิดมาจากไหน พ่อแม่เกิดจากปู่ย่าตายาย ปู่ย่าตายายเกิดจากไหน สาวกันไปแล้วไม่มีที่สิ้นสุด แล้วเกิดตายเกิดตาย
โตเทยยพราหมณ์เธอเป็นคฤหบดีเธอก็ตระหนี่ เห็นไหม เกิดเป็นโตเทยยพราหมณ์ เป็นเศรษฐีเลย แล้วก็เกิดเป็นสุนัขมาเฝ้าในบ้าน นั่นเพราะอะไร โตเทยยพราหมณ์เธอเกิดเป็นพราหมณ์เธอก็ตระหนี่ เกิดเป็นสุนัขก็ตระหนี่ เห็นไหม ทำไมเกิดเป็นมนุษย์เกิดเป็นสัตว์ได้ล่ะ สัตว์ มนุษย์ เกิดได้ทั้งนั้น เพราะความรู้สึกมีหัวใจเหมือนกัน ดูสัตว์สิ สัตว์เวลามันทำคุณงามความดีของมัน มันปกป้องหมู่คณะของมัน มันก็ทำความดีของมัน ทำความดีของสัตว์มันได้อาหารมามันก็เจือจานกัน สัตว์ทำได้แค่นั้น
มนุษย์ มนุษย์มีปัญญามาก เวลาเบียดเบียนกัน เวลาทำลายกัน คดโกงกัน หลอกลวงกันทั้งหมดเลย หลอกลวงทุกชนิด หลอกลวงทั้งหมดเลย เห็นไหม หลอกลวงอย่างนั้นได้อะไรมา ก็ได้กรรมมาไง ได้การกระทำที่ทำให้เขาเจ็บช้ำน้ำใจมา เห็นไหม การชนะศึกอื่นหมื่นแสนได้สร้างเวรสร้างกรรม การชนะตนเอง ชนะตนเองชนะที่ไหน ชนะตรงความโลภนี่ ความจะชนะเขานี่ ความที่ตัวตนของเรา ต้องชนะที่เราส่งออกไปเอาชนะคนอื่นด้วย แล้วเอาชนะตัวเองด้วย
ชนะตัวเองคือตัณหา คือตัวตน ตัวตนของเราต้องเอาชนะมันให้ได้ ถ้าเราไม่ชนะตัวตน ตัวตนภวาสวะ ตัวภพ ตัวความรู้สึก ตัวต้นของความรู้สึก ความรู้สึก เห็นไหม ดูสิพลังงานที่ไหลออกต้องมีฐานไป ความคิดไปจากไหน ความคิดไปจากเราไง ตัวตนของเรานี่สำคัญมาก ตัวตนนี่ แล้วความคิดตัณหาความทะยานอยากนั้นมันเป็นผลเกิดจากตัวตนนะ ความคิดต่างๆ เกิดจากตัวตนขึ้นมา แล้วตัวตนอยู่ไหน แล้วตัวตนอยู่ไหน ดูสิ แล้วเวลาทำความสงบ มันต้องเข้ามาก่อนเห็นไหม เราเห็นเขาทำคดโกงกัน เขาทำความผิดพลาดกันนะ เราไม่สามารถไปฟ้องร้องได้นะ เพราะเราไม่ได้เป็นผู้เสียหาย
นี่ก็เหมือนกัน นี่เราว่าดูจิตกันไป เราพิจารณากันไป ดูอะไร เอาอะไรดู เอาอารมณ์ความรู้สึกดู เราไม่ใช่ผู้เสียหายนะ ผู้เสียหายคือตัวตนนะ ตัวตนเป็นผู้เสียหาย อารมณ์ความรู้สึกมันเกิดดับ ไม่ใช่ผู้เสียหาย เดี๋ยวก็คิดดีเดี๋ยวก็คิดชั่ว คิดดีก็ว่าเราเป็นคนดี คิดชั่วก็นี่เป็นความทุกข์ขึ้นมาแล้ว แล้วเอาความคิดไปดู มันจะไปดูอะไรล่ะ เราไม่ใช่ผู้เสียหาย ผู้เสียหายเราจะฟ้องศาลไม่ได้ ศาลไม่รับฟ้อง ศาลไม่รับฟ้องเพราะอะไร ตัวตนยังไม่รู้จักเลย ตัวจิตยังไม่รู้จักเลย แล้วมันต้องมีผู้เสียหาย ตัวจิตเป็นผู้เสียหาย ถ้าดูจิตเข้ามาคือจิตต้องสงบเข้ามา แล้วจิตเห็นจิต จิตเห็นจิตยังไง ถ้าไม่เป็นผู้เสียหายจะไปฟ้องเขาได้อย่างไร จะฟ้องเขาขึ้นศาลได้อย่างไร มันทำไม่ได้ทั้งนั้นล่ะ
แต่ความคิดของเรา เราเคลมกันไปเองไง เคลมกันว่านี่เป็นธรรมะ ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ ชีวิตก็เป็นธรรมชาติ การเกิดและการตายก็เป็นธรรมชาติ ความสุขทุกข์ก็เป็นธรรมชาติ ธรรมชาติทั้งนั้นนะ แล้วธรรมนี่มันเป็นธรรมชาติมันก็ทุกข์อยู่อย่างนี้ ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ ธรรมชาติควรกำหนดมัน ธรรมชาติมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ความเป็นไปมันแปรสภาพเป็นอย่างไร สสารมันแปรปรวนไปอย่างไร ความแปรปรวนของมันเป็นธรรมชาติของมัน เห็นไหม เราก็แปรปรวนอันหนึ่ง ถ้าแปรปรวนอย่างนี้ไปมันก็ไปเป็นอนิจจัง อนิจจังมันก็แปรสภาพตลอดไป มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่มีอะไรคงที่ ไม่มีอะไรเลย โลกนี้เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เปลี่ยนแปลงไป
แล้วสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมะไหม เป็นธรรมเหรอ มันเป็นสิ่งที่เตือนใจนะ เพราะอะไร เพราะการเปลี่ยนแปลงเป็นพาหะ เป็นเครื่องดำเนิน สมาธินี้ก็เปลี่ยนแปลง ปัญญาก็เปลี่ยนแปลง ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงหมด เพราะอะไร เพราะเป็นไตรลักษณ์ ความจริงมันเป็นไตรลักษณ์อยู่แล้ว ความจริงมันเป็นอนิจจังอยู่แล้ว แต่เราไม่เคยเห็นความเป็นอนิจจังของมัน เราไม่เคยเห็นการเปลี่ยนแปลงของเราไง เราไม่เคยเห็น เราเห็นแต่ความเปลี่ยนแปลงจากข้างนอก เห็นไหม เราจะอยู่ค้ำฟ้า เราจะมีชีวิตตลอดไป แล้วโลกมันต้องเปลี่ยนแปลงไป ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงไปจะหากินไม่ได้นะ ดูสิ อาหารดิบมันจะสุกไม่ได้ ทุกอย่างไม่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ มันเป็นสถานะของมัน มันเป็นไตรลักษณ์อยู่แล้ว เป็นอนิจจังอยู่แล้ว เป็นอนิจจังอยู่แล้ว
เราใช้ปัญญาของเราใคร่ครวญของเรา จนมันเห็นตัวตนของเรา จิตสงบนั่นแหล่ะเห็นตัวตน จิตแท้ๆ ตัวจิตแท้ๆ แต่ที่รู้ว่าว่างก็รู้อารมณ์อีก รู้อารมณ์ว่าว่าง รู้อารมณ์ว่างก็ไม่ใช่เราไปตื่นที่เงา เห็นไหม ดูจิตเข้าไป ก่อนจะดูจิต ถึงตัวจิตแล้วมันจะผ่านอาการของจิตเข้าไป ถ้ามันดูเข้าไปไม่เห็นจิต ไม่เห็นจิต คิดไม่ได้ ห้ามคิด ห้ามคิดขณะเป็นสมถะ ดูเข้าไปก่อนให้มันสงบเข้ามา การสงบเข้ามามันต้องผ่านเข้าไป หุบร่มเข้ามา กางร่มไปร่มมันจะบานออกไปตลอดเลย ถ้ากางร่มไปนี่เราเข้าประตูได้ไหม เพราะร่มมันใหญ่คับประตูใช่ไหม เราหุบร่มเข้ามาเราจะเข้าประตูได้เลย เพราะร่มมันใหญ่เกินประตูไป หุบร่มเข้ามาร่มมันหุบเข้ามา ความคิดหดย่นเข้ามา หดย่นเข้ามามันก็ถึงตัวมัน พอถึงตัวมัน เห็นไหม นี่ถ้าหุบร่มไม่เป็น เข้าประตูไม่ได้ เข้าถึงจิตไม่ได้ ต้องหุบร่มเข้ามา
นี่ก็เหมือนกัน ความคิดต้องหดสั้นเข้ามา ความคิดมันต้องย้อนกลับมา ปัญญาอบรมสมาธิก็เหมือนกัน ใช้ปัญญาสมาธิใคร่ครวญไป ใคร่ครวญไป จนกว่ามันจะหดย่นเข้ามา ร่มหุบเข้ามาเป็นแกนของร่ม เห็นไหม เป็นแกนของร่ม แล้วถ้ากางออกไป เราถือร่มไปทำไม เราถือร่มไปกางแดดกางฝนนะ ฝนตกแดดออกมันร้อนเราก็กางร่ม เราไม่ใช่กางทั้งวันทั้งคืน ไม่ใช่คนบ้า ถือกางร่มไปตลอดเลย อยู่ในบ้านจะไปกางร่มทำไม อยู่นั่นมันที่ร่ม จะไปกางร่มกางตอนไหน กางตอนมันเปียกฝน กางตอนเราตากแดดใช่ไหม
นี่ก็เหมือนกัน เวลาจิตสงบเข้ามามันออกรับรู้ เห็นไหม ที่มันออกรับรู้ สิ่งที่มันออกรับรู้นั่นแหละจิตเห็นจิต จิตเห็นจิตเพราะจิตมันมีการกระทำไง ตัวจิตมันมีการกระทำ พอเห็นจิตเห็นๆ เพราะอะไร เห็นเพราะมันไปทำลายเขา มันไปยึดมั่นถือมั่นไง อารมณ์ความรู้สึกเกิดขึ้นมา ทุกข์สุข นี่แล้วเราก็ไปทุกข์ไปสุข ถึงบอกว่าไม่เคยเห็นทุกข์ไง พวกเราไม่เคยเห็นทุกข์ ทุกข์อยู่ไหนไม่รู้เรื่อง มีแต่ร้องไห้ มีแต่เจ็บปวดแสบร้อน เพราะอะไร เพราะเป็นอาการของใจไง มันขี้มันถ่ายไว้ในหัวใจแล้วก็ว่าทุกข์ๆ นะ
แต่ทุกข์มันอยู่ที่ไหนล่ะ ทุกข์มันเกิดที่ไหน ทำไมมันถึงทุกข์ล่ะ มันทุกข์เพราะมันเจ็บแสบปวดร้อนเพราะไม่ได้ดั่งใจ มันเป็นตัณหาความทะยานยากไง ไม่พอใจเรา หรือพอใจเรา เราผลักไสไง พอเราผลักไสไป นี่สัจจะความจริงมันเป็นอย่างนั้น แต่เราเข้าไม่ถึงสัจจะความจริง เหมือนเด็กเล่นขายของ เด็กๆ มันเล่นขายของกัน มันพูดเล่นกันมันสนุกสนานของมันไป ปฏิบัติเป็นอย่างนั้นนะเจ๊าะแจ๊ะ เจ๊าะแจ๊ะ โอ๊ย! เหมือนเด็กเล่นขายของ มันเป็นอาการของใจ มันเป็นอารมณ์ มันเป็นความรู้สึก มันไม่ใช่ตัวใจเลย มันไม่เป็นสัจจะความจริงอะไรขึ้นมาสักอย่างหนึ่ง
ถ้าเป็นสัจจะความจริงขึ้นมาสักอย่างหนึ่ง มันต้องคายพิษออกมาได้สิ มันต้องปล่อยวางของมันขึ้นมาได้ ถ้ามันปล่อยวาง โดยหลักคนทำได้จริงนะ มันจะพูดถึงสัจจะความจริง ดูสิ คนเคยโดนฟ้องศาล เคยขึ้นศาล โดนศาลปรับ โดนศาลสั่งจำคุก มันจะซึ้งใจมากเลย เพราะว่ากว่าจะกระบวนการขึ้นไปในคอกให้ผู้พิพากษาเขาตัดสิน แล้วพอตัดสินมันจะมีความเศร้าโศกขนาดไหน ตัดสินประหารชีวิต โอ๊ย! น้ำตาไหลพรากเลย แล้วมีความเมตตาจำคุกตลอดชีวิต เอ้า! เราอยู่ในคุกออกมาผ่านคุกออกมาตลอดชีวิตเขาก็ลดโทษออกมา จำคุกตลอดชีวิตน่ะออกจากคุกเยอะแยะเลย
นี่ไงการกระทำของเราขึ้นไปเวลาพิพากษาขึ้นไปบนศาล เวลาตัดสินขึ้นไป มันมีกิจจญาณไง มันมีการกระทำของใจ จะไม่พูดพร่อยๆ อย่างนั้นหรอก พูดพร่อยๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย นอนตื่นขึ้นมาก็เป็นพระอรหันต์กัน ดูเข้าไปอย่างนั้นนะ กล้องวงจรปิดมันก็ดูได้ ธรรมก็เป็นธรรมชาติของมัน มันเป็นธรรมไหม ถ้าธรรมอย่างนี้พระพุทธเจ้าไม่ต้องมาเกิดหรอก เพราะอะไร เพราะฤๅษีชีไพรเขาก็มีอยู่แล้ว เหาะเหินเดินฟ้ามันก็มีอยู่แล้ว ทุกคนทำได้หมดแล้ว แต่มันเป็นไปไม่ได้เพราะอะไร เพราะมันเป็นที่บารมีไง นี่สัมโพชฌงค์ ภวาสวะไง อินทรีย์ไง จิตใจไม่มีความเข้มแข็ง มันก็ทำได้งานเด็กๆ ไง งานเด็กๆ งานจากภายนอก งานเด็กๆ โอ้โลมปฏิโลมกันไป
งานของใจ ตรึกในธรรม วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์เป็นองค์ของฌาน กว่าจะปีติ สุข วิตกวิจารไง ตรึกในธรรม วิตกก็ตรึกไง ตรึกในธรรมนะ พอตรึกในธรรมมันเป็นอะไร วิตกวิจาร ปีติ มันก็เป็นปีติ แล้วมันก็สุขเข้ามา มันก็เป็นเอกัคคตารมณ์ โอ๊ย! วิปัสสนา วิปัสสนา มันองค์ของฌานทั้งนั้นเลย มันเป็นเรื่องของฌานใช่ไหม ปีติ วิตกวิจาร นี่ ตรึกนะ
ตรึกมันคืออะไร ตรึกมันก็คือวิตกวิจารนี่ แล้วมันตรึกมาจากไหน แล้วเกิดปีติขึ้นมาปีติมันก็มีความขนพองสยองเกล้า มีอารมณ์กระทบกับใจมันก็มีปีติทั้งนั้นนะ ปีติแล้วก็มีความสุข สุขมันเกิดเอกัคคตารมณ์ จิตถ้ามันปล่อยวางมันก็เป็นสมถะ องค์ของฌานมีเท่านี้เอง แล้วก็บ้าบอคอแตกวิปัสสนา วิปัสสนาอยู่อย่างนั้นนะ อย่างนี้เหรอวิปัสสนา
นี่ไงเพราะอะไร เพราะมันไม่เคยทำ มันไม่รู้อาการของจิต จิตมันอย่างหนึ่ง พระพุทธเจ้าพูดอย่างหนึ่ง ธรรมะพระพุทธเจ้าวางไว้อย่างหนึ่ง พระพุทธเจ้าไม่ผิด พระไตรปิฎกไม่เคยผิดเลย ศึกษาเข้าไปมันจะ อ้อ อ้อ อ้อแล้วมันจะซึ้งใจมากเลย แต่พวกเราเหมือนกับไปโคนต้นไม้ไง แหนคอขึ้นไป โอ้โฮ! ต้นไม้ต้นสูงเสียดฟ้าเลย ขึ้นไปเห็นไหม ไปถึงโคนต้นไม้ไปนอนอยู่โคนต้นไม้ นึกว่าขึ้นต้นไม้แล้วไง มันไม่ได้ขึ้น มันไปนอนอยู่โคนต้นไม้นะ
นี่ก็เหมือนกัน มันไปยอมสยบกับกิเลส มันสยบในหัวใจ มันสยบกันที่นั่น มันไปถึงโคนต้นไม้มันไปถึงตัวตนแล้วก็ไปสยบอยู่ที่นั่น แล้วก็ว่านี่เป็นภาวนา มันจะภาวนามาจากไหน มันเป็นวิปัสสนามาจากไหน มันไม่เป็นหรอก เป็นไปไม่ได้เลย มันเป็นไปไม่ได้ แต่คนรู้จริง เห็นไหม โลกนี้ผู้รู้จริงมีนะ ถ้ารู้จริงมีนะ คนรู้จริงเขาจะรู้จริง
ไอ้คนรู้ปลอม ปลอมคืออะไร ปลอมคืออาการของใจ ปลอมคือการคาดการหมาย ปลอมคือการด้นเดาไง ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ผู้นั้นเข้าถึงธรรม ผู้ใดด้นเดา คาดหมาย ก๊อบปี้ เป็นไปไม่ได้เลย เป็นไปไม่ได้เลย จิตนี่มันฉลาดมาก กิเลสนี่ฉลาดมาก กิเลสมันครอบครองจิตอยู่ เห็นไหม นี่พญามาร พญามัจจุราชไม่ต้องไปหาที่ไหนเลย หาที่ใจนี่ มันอยู่ในนี้ทั้งหมดเลย นี่เก้าอี้ดนตรีใครจะนั่ง กิเลสนั่งหรือธรรมนั่ง แล้วธรรมเกิดขึ้นมาเพราะเราต้องพยายามค้นคว้าของเรา เวลากิเลสมันนั่ง ถ้ามันไม่นั่งมันไม่เป็นอวิชชา ไม่นั่งมานะมันไม่พาเกิดพาตาย เวลาพาเกิดพาตายนี่จิตไม่เคยตาย แต่กิเลสมันสร้างขึ้นมาเป็นผล เป็นวิบาก วิบากขึ้นมาก็เกิดกับเรา แล้วเราเกิดมานี่ นี่ธรรม บุญกุศลไง บุญกับบาป บุญพาให้เราเกิดพบพุทธศาสนา แล้วมีความเชื่อ มีความสนใจ นี่บุญกุศลมากเลย
ดูสิ เราเดินชนกันในกรุงเทพฯ เดินเสียดกันนี่คนชาวพุทธทั้งนั้นนะ มีใครสนใจบ้าง เกิดมาชาวพุทธ พบพุทธศาสนาเราสนใจไหม มีศรัทธาไหม เดินชนกันในกรุงเทพฯ เดินเสียดสีกันตลอดเวลา แล้วเขาสนใจไหม นี่วาสนาตรงนี้ไง แล้วเราสนใจ สนใจอะไร สนใจตรงนี้ไง สนใจธรรมะนี่ไง ธรรมะคืออะไร ธรรมะคืออาหารของใจ ธรรมะคือความรู้สึก ธรรมะคือผลกระทบ จิตมันสงบ จิตมันฟุ้งซ่าน จิตมีความสุข นี่คือธรรมะ ธรรมะอยู่ที่นี่นะ สมาธิคือธรรมะ ปัญญาคือธรรมะ นี่เกิดจากภายใน นี่อาหารในหัวใจ ใจมันได้วิจัย ได้วิเคราะห์ ได้พัฒนาของมันขึ้นมา เห็นไหม วุฒิภาวะมันจะเกิดขึ้นมา มันจะไม่ตื่นกระแสนะ
กระแสนะหลอกกันไป ขึ้นคัทเอ้าท์กัน ทำกระแสกัน ออกโปรโมทหลอกกันไปทั้งนั้นนะ ไอ้นั่นนะมันเรื่องตื่นข่าว นี่มันทวนกระแส ทวนกระแสกลับมาที่เรา ธรรมะเกิดที่นี่ ธรรมะเกิดจากความรู้สึก เวลาเกิดแล้วเกิดจากที่เรา ทุกข์ก็เกิดที่หัวใจนี่ ถ้าไม่ถึงที่สุดนะ ปฏิสนธิจิตมันก็จะไปปฏิสนธิไง คำว่าปฏิสนธิ เกิด ๔ เกิดในครรภ์ เกิดในไข่ เกิดในน้ำคร่ำ เกิดเป็นโอปปาติกะ นี่แล้วมันไปเกิดในครรภ์ มันไปปฏิสนธิ จิตปฏิสนธิมันอยู่ที่ไหน แล้วมันดับที่นี่ ธรรมะมันอยู่ที่นี่ แล้วหาก็หาที่นี่ วิจัยธรรมก็วิจัยที่นี่
ธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพิมพ์เขียว เป็นตำราที่เราศึกษา นี่ดูสินักวิทยาศาสตร์เขาเข้าห้องวิจัย เห็นไหม เขาทดลองของเขา เวลาเขาทดลองเสร็จแล้วเขางง เขาก็มารื้อตำรา นี่ก็เหมือนกัน ในพระไตรปิฎกมันเป็นตำราให้เรารื้อวิจัยขึ้นมา แต่ทำทำที่ใจนี่ ห้องปฏิบัติงานของเราอยู่ในหัวใจ รื้อสิ สงสัยอะไรก็ไปเปิดตำรา เห็นไหม พระพุทธเจ้าว่าอย่างไร แล้วเราประสบเป็นอย่างไร ประสบแล้วจะเหมือนกับพระพุทธเจ้าไหม ถ้าไม่เหมือนทำไมไม่เหมือน ไม่เหมือนเพราะอะไร นี่มันวิจัยมาอย่างนี้ไง ไม่ใช่ไปวิจัยที่ตำรานั่น ตำราเป็นอย่างนั้น อย่างนั้นผิดจากตำรา เดินออกจากตำราไม่ได้เลย ตำราผูกคอไปเลยนะ นี่ตำราก็คือตำราสิ ตำราศึกษามาเป็นวิธีการ เห็นไหม แต่กระทำทำในใจเรา กระทำผิดถูกมาเทียบเคียง เทียบเคียง นี่ถ้าเราไม่มีครูบาอาจารย์
แต่ถ้าเรามีครูบาอาจารย์ผ่านอย่างนี้มาแล้ว สัจจญาณ กิจจญาณ กิจจญาณนี่ใจมันทำอย่างไร ถ้าอาการวิปัสสนามันเป็นอย่างไร อาการวิปัสสนาแล้วผลของมันที่มันปล่อยวางก็ต่างกัน ผลของสมาธิก็อย่างหนึ่ง ผลของสมาธิมันปล่อยมา ดูสิ เราล้างมือ ล้างมืออย่างหนึ่ง ล้างมือขึ้นมาแล้วมือสะอาดไหม เดี๋ยวไอ้พวกเหงื่อไคลมันก็ออกมาจากมืออีกแล้ว มันจะสะอาดได้ไหม ล้างมือแล้วมันจะสะอาด มันไม่สะอาดหรอก นี่สมถะเป็นอย่างนั้นนะ
นี่ถ้าวิปัสสนามันไปถึงข้างในเลย สิ่งนั้นมันจะออกมา สะอาดแล้วสะอาดอีกจนถึงที่สุด เห็นไหม มันไม่มีอีกเลยมันเป็นไปได้ นี่ความว่างมันต่างกัน ว่างโดยการทับไว้อย่างหนึ่ง ว่างด้วยปัญญาที่ใคร่ครวญจนเหงื่อไคลมันออกไม่ได้เลย เพราะอะไร เพราะเราไปปิดรูขุมขนทั้งหมดเลย มันทำได้ทั้งหมด มันทำได้อย่างไร มันทำได้ทั้งนั้นนะ ความเป็นจริงมันเป็นอย่างนี้ ถ้าเป็นอย่างนี้ นี่วิปัสสนาเกิดอย่างนี้ไง
นี่ถ้าวิจัยธรรม มันเข้าใจไปในธรรม ข้ามพ้นทั้งดีและชั่ว ดีเห็นไหม ดีที่มาเกิดเป็นมนุษย์ที่เขาว่านี่ธรรมะๆ ธรรมะนี่เป็นดีความดีของเรานี่ ดีอย่างนี้มันดีที่ไหน ดีของโลกๆ ไง ดีของโลก ดูสิ คนมีศีลธรรมมีจริยธรรมก็ดีทั้งนั้นนะ ถ้ามีมรรคญาณความดีอันนี้ดีประเสริฐ ดีจากหัวใจ ดีจากภายใน ดีแท้ๆ ดีจากข้างใน แล้วไม่ต้องมีใครรู้กับเรา เรารู้ของเราคนเดียว เอวัง