เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๔ มี.ค. ๒๕๕๓

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาเราคุยกัน “จิตหนึ่ง” เวลาเกิดมาแล้ว คนเกิด คนตายไป จะมีคนเพิ่มขึ้น ประชากรจะเพิ่มขึ้นตลอดไป แต่ไม่เห็นเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปิดโลกธาตุ หลวงตาพูดประจำเลย “ท่านเปิดโลกธาตุให้เราเห็นนรก สวรรค์”

ปัจจุบันนี้นะ มนุษย์เราจะมีสติสัมปชัญญะ จะไม่ทำสิ่งที่ว่าความพอใจเลย เวลาใจมันพอใจทำ เวลาพอใจ คำว่า “พอใจ” มันเข้าข้างตัวเองหมดเลย ดีไปหมด ทุกอย่างถูกต้องหมด เพราะเราพอใจ เราเห็นว่าถูกต้อง

แต่ถ้าเราไม่พอใจใช่ไหม มันต้องเอาความถูกต้องเข้ามาเปรียบเทียบ ถึงเวลาบอกว่า ทำดี...ทำดี...ดีของใคร...? เวลาทำความดีนะ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางศีลไว้ คือศีล ๕...

ปาณาติปาตา... เถียงกันทางวิชาการมากเลย ว่าขอบเขตมันแค่ไหน ปาณาติปาตาต้องทำรายชื่อเขาให้ตกร่วงไปใช่ไหม แต่ปาณาติปาตาเราทำกระทบกระเทือนกัน ทำให้กระเทือนหัวใจกัน นี่ก็ปาณาติปาตา เราไม่ทำให้เขาสะเทือนใจเห็นไหม มันอยู่ที่ความหยาบละเอียด จริงสิ เราฆ่าคน กับเราทำให้คนเจ็บช้ำน้ำใจ อะไรมันเจ็บปวดกว่ากัน เราฆ่าเขาตาย เขาตายไปเลยเห็นไหม แต่เราไม่ฆ่าเขา เราทำให้เขาเจ็บช้ำน้ำใจ บีบคั้นเขาอย่างนั้น อะไรคือปาณาติปาตา …

อทินนา การลักขโมย เวลาพูดถึงทางโลก มันไม่สิ้นสุดหรอก แต่ถ้าเราพูดถึงทางวินัย กริยาอย่างไรเป็นการลัก การลักคือ หยิบโดยเจ้าของเขาไม่ได้ให้ เขาจะรู้หรือไม่รู้ หยิบไปโดยที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ นี่คือการขโมย สิ่งนี้ขโมยเห็นไหม เวลาพูดถึงความดี มันต้องมีศีลมาเป็นตัวกรอง มีตัวศีลเป็นตัวตัดสินว่าอะไรมันถูกต้องดีงาม

ศีลเห็นไหม พอศีลขึ้นมานี่ เราถือศีล...ถือศีล... ถือศีลบริสุทธิ์...คนนี้ดีมากเลย

ถือศีลบริสุทธิ์.. ก็ขอนไม้ไง..! ขอนไม้มันไม่ผิดศีลเลย ขอนไม้มันวางอยู่มันผิดศีลไหม..? ขอนไม้มันกระเทือนใจ วัตถุก้อนหนึ่ง ก้อนหินมันผิดศีลตรงไหน ก้อนหินมันไม่ผิดศีลเลย ก็กราบก้อนหินไง ก้อนหินมันเป็นธรรมไหม มันก็ไม่เป็นธรรมขึ้นมาอีกเห็นไหม

เพราะคำว่าถือศีล มันมีหยาบ มีละเอียด คนเราไม่ใช่ว่า เราทำดีอย่างนี้แล้ว เราก็จะเป็นคุณงามความดีของเรา ความดีของเรา เราเสียสละทานกัน เรามาทำบุญกุศล นี่ทำบุญ... ทำบุญขึ้นมาแล้วนี่ นี่ก็ทำบุญแล้วไง ทำบุญแล้วต้องมีอะไรต่อไปอีกล่ะ เวลาทำบุญแล้วจิตใจ...

ทุกคนพอทำบุญแล้วนี่ บอกเลย “ทำบุญ ทำดีมหาศาลเลย ทำแต่คุณงามความดี ทำไมชีวิตมันทุกข์ยากขนาดนี้” เห็นไหม นี่ก็ทำดีแล้วอ่ะ

พระพุทธเจ้าบอก “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว”

นี่ก็ทำดีทั้งนั้นเลย ไม่เคยทำผิดอะไรเลย แล้วทำไมมันทุกข์ขนาดนี้ ก็ทำดีแล้วน่ะ แต่ถ้าไม่ทำล่ะ ไม่ทำมันจะไปถึงไหน แต่นี่เราก็ทำคุณงามความดีของเราเห็นไหม พยายามทำดีเพราะอะไร เพราะมันมีหน้าฉาก หลักฉาก มันมีกรรมเก่า กรรมใหม่

เราเด็ก ๆ เราเรียนหนังสือครั้งแรก ประเทศไทยเรามีประชากร ๑๖ ล้านคน เดี๋ยวนี้ ๖๐ ล้านคน มันมาจากไหน... แล้วมันมาจากไหน... มันมาอย่างไร... นี่ไง หน้าฉาก หลังฉากไง

หลังฉากคือกรรมเก่า กรรมใหม่ ถ้ากรรมเก่ามันมาน่ะ พันธุกรรมของมันมันมี ถ้าพันธุกรรมมันมีเห็นไหม ทำดีของเรา ถ้าไม่ทำความดีมันก็ยิ่งกว่านี้ มันยิ่งกว่านี้นะ มันไปมากกว่านี้ ขนาดทำดีขนาดนี้ มันยังทุกข์ยากขนาดนี้ แล้วอย่างนี้ไม่ทำดีกว่า ถ้าไม่ทำดีกว่ามันก็สไลด์ไปเลย ลงไปเลย

เวลาถือศีลแล้วนี่ ศีลปกติแล้วต้องมีคุณธรรม ถ้าถือศีล รักษาศีล... รักษาศีล... รักษาศีลก็ขอนไม้ ขอนไม้มันไม่ทำผิดเบียดเบียนใคร ขอนไม้ ดูสิ มันจะกลิ้งไปไหนก็แล้วแต่คนจะผลักมันไป ถ้ามีคุณธรรมล่ะเห็นไหม

ปาณาติปาตา... เราไม่ทำให้เขาเจ็บช้ำน้ำใจ เราไม่ทำให้เขาชีวิตตกร่วง แต่เราจะเจือจานเขาอย่างไร ถ้าเรามี เราเจือจานเขา เราเป็นผู้ให้ใช่ไหม เป็นผู้ให้ เป็นผู้ที่การกระทำใช่ไหม

อทินนาทานา… เราไม่ลักของใคร แล้วเราจะสงวนรักษาของเขาได้ไหม

กาเมสฺมิจฺฉานารา... คู่ของเราๆ ก็พอใจในคู่ของเรา

มุสา... มุสานี่มันมหาศาลเลย มุสาหลอกคนอื่นกับหลอกตัวเอง คนอื่นก็หลอกเขาไปทั่ว เวลาตัวเองเห็นไหม คืนนี้จะนั่งตลอดรุ่ง ไปนั่ง ๒ ชั่วโมงเลิกแล้ว นี่มุสานี่หลอกเขา หลอกเขาก็หลอกเราด้วย

ถ้ามันมีของมัน ถ้ามันปฏิบัติเข้าไป เหมือนกับเราทะลุเข้าไปสิ่งใด มันเข้าไปเห็นข้างในนี่มันจะกว้างขวาง กว่าสิ่งที่เราคาดการณ์ไว้อีก เวลาเราถือศีลเราก็ โอ้โฮ... ทำทานก็ว่าทุกข์ว่ายากอยู่แล้วนะ เวลาถือศีลก็บังคับตัวเอง “อัตตกิลมถานุโยค” อยู่สบายๆ ดีกว่า สบาย ๆ ดีกว่านะ ดูสิ กินอิ่มนอนอุ่น ต้องไปหาฟิตเนส ต้องไปลดความอ้วนกัน สบายๆ ดีกว่า

เพราะเราอดนอนผ่อนอาหารกันนี่เพื่ออะไร ถ้าสบาย...สบาย..ดีกว่า มันไปไม่ได้ เพราะความดีที่มีกว่านี้ยังมีอยู่ใช่ไหม แล้วความดีที่มีกว่านี้มันมีแค่ไหน ถ้ามีแค่ไหนนะ ใครจะพูดแค่ไหน มันก็เรื่องของเขา มันมีที่เรารู้นี่แหละ

ถ้าจิตเราสงบ เราก็รู้ของเราว่าจิตสงบ ถ้าปัญญามันเกิดขึ้นมา ปัญญาเกิดนะ คนติดนะ คนภาวนาแล้วติดนะ มันจะติดว่า โอ้โฮ... ธรรมะเป็นอย่างนี้ มันจะติด มันเอาหัวชนภูเขา นี่คือนิพพาน นี่คือจบสิ้นขบวนการของมันไง คือไม่มีสืบต่อแล้ว มันได้แค่นี้ นี่นิพพาน...นิพพาน...

แต่มันทะลุเข้าไปนะ โอ้โฮ!! ถ้าโอ้โฮ!! ขึ้นมานี่โลกียปัญญา โลกุตตรปัญญา โลกียปัญญาไง ความเห็น ความรู้ของเรา มันมาจากภพ

ความคิดทั้งหมด คอมพิวเตอร์ทั้งหมดมาจากโปรแกรมของมัน ความคิดทั้งหมดมาจากเรา แล้วที่เราไม่คิด...เราไม่คิดเลย สิ่งต่างๆ ไม่คิด มันมาจากไหน สิ่งเร้านี้มาจากไหน เราไม่คิดเลยเห็นไหม โปรแกรมนี้มาจากเรา แล้วยังมีกิเลสตัวขับอีกนะ ความคิดขนาดนี้ สิ่งใดที่เราคิด มันอัดอั้นตันใจใช่ไหม เราคิดแล้วคิดอีกนะ พอคิดแล้วคิดอีก มันยังคิดมากกว่านั้น คิดต้องการมากกว่านี้

นี่ความคิดของเรามันก็มีอยู่แล้ว แล้วมันยังมีตัณหาความทะยานอยากอีกเห็นไหม ความคิดทั้งหมดโลกียปัญญา มันเกิดจากภวาสวะ เกิดจากภพ เกิดจากโปรแกรม

เวลาเราไม่ได้คิดนะ นอนฝันนะ ก็ไม่เคยคิดอย่างนี้เลย มันฝันขึ้นมาได้อย่างไร มันของเก่า ของใหม่ “ฝันนี้มาจากสังขาร สังขาร… ความคิด...ความปรุง...ความแต่ง มาจากจิต!” พอมาจากจิต จิตมันมีไม่ข้อมูลของมัน มันจะจินตนาการอะไรของมันออกมา เวลาฝันเห็นไหม เวลาฝันของมัน นี่ฝันสุข ฝันดิบ เวลาอย่างนี้เราฝันดิบๆ

ฝันดิบคือความคิดดิบๆ ความคิดที่เกิดจากจิต เวลาฝันสุขเห็นไหม นอนหลับแล้วมันฝัน พอความฝันอย่างนั้น ฝันที่สิ่งนี้ไม่เคยเกิดเคยมีเลย แล้วมันฝันได้อย่างไร ความฝันอย่างนั้น ดูสิ เวลาครูบาอาจารย์ท่านมีนิมิตนะ ท่านจะบังไว้

บังไว้หมายถึงว่า พูดออกไปนี่ อุตริต่างๆ หรือว่ามันจินตนาการกันไป

ท่านจะบอกว่า “ฝันว่ะ เมื่อคืนฝันว่าอย่างนั้น...อย่างนั้น... อย่างนั้น…” การฝันนะ เวลาเรานอนฝัน แต่ครูบาอาจารย์ท่านนั่งสมาธิ ท่านไม่ได้นอนนะ จิตมันสงบใช่ไหม แต่ท่านพูดไว้ให้เป็นภาษาโลกที่เข้าใจกันได้ว่า

“เอ่อ... ฝันว่ะ! ฝันว่าอย่างนั้น...อย่างนั้น...” ความจริงไม่ได้ฝัน “นั่นของจริงเลย...!!”

นี่ไง เวลาบอกความฝันมันมีเซนส์ของมันใช่ไหม มันมีข้อมูลของมัน บางทีพอฝันไปแล้ว ไปประสบสิ่งนั้น ฮื่อ..นี่เราฝันว่า เราเจออย่างนี้...อย่างนี้...เห็นไหม มันหลากหลาย

ถ้าครูบาอาจารย์มันทะลุเข้าไปจากความคิด ความคิดนี้เป็นโลกียปัญญา แต่โลกุตตรปัญญาจิตมันสงบมันคิดไปนี่ มันมีความแตกต่าง มันมีความถอดถอน ความถอดทอนกันต่างๆ ธรรมะมันละเอียดเข้าไป แล้วพอมันละเอียดเข้าไปนี่ มันจะซาบซึ้ง...ซาบซึ้งนะ... แล้วพูดออกมาไม่ได้นะ

ถ้าพูดออกมา มันพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ใช่ไหม ยิ่งการศึกษาพูดไม่ได้เลยนะ เดี๋ยวเขาจะหาว่าบ้า ไอ้พวกนี้ภาวนาแล้วเพี้ยน คนดีมีแต่ความทุกข์ ไอ้คนบ้านี่ โอ่ มันบ้า บ้าละกิเลสไง แล้วมันถอดถอนไปนี่ อ้อ! บ้า มันพิสูจน์กันทางโลก โลกียปัญญา โลกุตตรปัญญา

ถ้าโลกุตตรปัญญามันจะเกิดขึ้น มันจะทะลุ มันจะเป็นไป แล้วมันเป็นปัจจัตตัง… มันเป็นปัจจัตตัง แล้วมันเป็นปัจจัตตังหรือไม่เป็นปัจจัตตัง เราเป็นคนบ้านะ เราเป็นคนขาดสติ เขาจับเราส่งโรงพยาบาล เราก็ปัจจัตตังนะโว้ย..! อ้าว! เอ็งบ้า... ข้าไม่บ้านะ..! ข้าปัจจัตตัง..!

ปัจจัตตังอย่างนี้ผิด ปัจจัตตังมันมีเหตุมีผล

“ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ”

หลวงปู่มั่นเช็คได้หมด! ปัจจัตตังเรื่องในหัวใจเอ็ง หลวงปู่มั่นดึงออกมาตีแผ่หมดเลยความรู้สึกในหัวใจ เราว่าเป็นปัจจัตตังที่ไม่มีใครรู้กับเรา ท่านเอามาตีแผ่ได้เพราะอะไร

“ใจดวงหนึ่ง สู่ใจดวงหนึ่ง”

ใจที่สูงกว่า มันจะเห็นใจที่ต่ำกว่า ใจที่ผ่านมาแล้ว ถ้าไม่มีขบวนการอย่างนี้ ไม่มีขบวนการของอริยมรรค ไม่มีขบวนการของมัชฌิมาปฏิปทา ไม่มีขบวนการของดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ แล้วงานชอบ เพียรชอบนี่ จับพลัดจับพลูตะครุบเงาทั้งนั้นเลย เพียรชอบ...เพียรชอบก็แบกหาม นี่เพียรชอบ!

มีพระปฏิบัตินะ บอกว่า “อยากเห็นความทุกข์ แบกก้อนหินวิ่งขึ้น วิ่งลง บนภูเขาน่ะ ถ้าอยากเห็นความทุกข์” ถ้าเห็นความทุกข์อย่างนี้นะ กรรมกรที่ท่าเรือนะ เขาเป็นพระอรหันต์หมดแล้ว เขาแบกหามทุกวัน

ความทุกข์... ทุกข์จากกาย ทุกข์จากใจ แล้วทุกข์จากใจ ทุกข์ที่หยาบละเอียดเข้าไปเห็นไหม ถ้าทุกข์จากกายน่ะ ความทุกข์เราผ่อนคลายไปที่เทคโนโลยีได้ เห็นไหม ดูสายพานการผลิต มันทำงานแทนเราได้หมดเลย เราเอาความทุกข์ เอาความเหนื่อยยากลำบากไปวางไว้ที่เครื่องยนต์กลไกได้เลย นี่ถ้าอย่างนี้มันจะเอาความทุกข์พ้นไปจากเราไปได้ไหม มันเอาความทุกข์จากเราไปไม่ได้

แต่ถ้าความทุกข์จากเราล่ะ ถ้าหัวใจมันจะถอดถอนอย่างไร มันมีขบวนการของมันเห็นไหม นี่ไง ที่ว่าความดี...ความดี...มันดีของใคร...?

“ทาน ศีล ภาวนา” แล้วภาวนาก็มีหยาบ มีละเอียดขึ้นไป

“เธอจงมีธรรมะเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีบุคคลเป็นที่พึ่งเลย” ครูบาอาจารย์ก็ต้องพลัดพรากจากเราไป... พ่อแม่ของเรา หมู่คณะของเรา ต้องมีพลัดพรากจากเราไป... สักวันหนึ่งต้องมีพลัดพรากจากกัน... การพลัดพรากมันเป็นเรื่องปกติธรรมดา สิ่งนี้มันมีของมันเห็นไหม...?

แต่คุณธรรมที่เราปฏิบัติขึ้นมานี่ เด็กมันก็ต้องมีที่พึ่งอาศัย เด็กก็ต้องมีพ่อแม่เลี้ยงมา นี่ก็เหมือนกัน ประพฤติปฏิบัติครูบาอาจารย์ก็ต้องชี้นำมา แล้วเราประพฤติปฏิบัติขึ้นไป เรานี่จะเป็นอาจารย์ต่อไปข้างหน้า เราจะมีประสบการณ์ไปข้างหน้า ถ้าประสบการณ์ไปข้างหน้าเห็นไหม แล้วประสบการณ์ข้างหน้าอย่างนี้มันเกิดมาจากไหน

“ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ”

สนทนาธรรม แสดงธรรม สิ่งต่างๆ นี่ มันอันเดียวกัน มันไปไหนไม่รอดหรอก มันเข้าไปจุดนี้เห็นไหม เขาถึงว่า “บีบธรรม... บีบธรรม”... เป็นไปไม่ได้หรอก…!!

“จุดและต่อม” จุดและต่อมของจิต พลังงานเกิดจากจุดและต่อม พลังงานเกิดจากที่ตั้ง ถึงที่สุดแล้วต้องไปถอดถอนรากเหง้าของวิชา

ต้นไม้นี่มันมีรากแก้วของมัน ต้องถอนรากแก้วนั้นขึ้นมา แล้วรากมีอยู่อันเดียว แล้วทำไปถึงรากแก้วนั้น นี่มันเข้าไปถึงจุดนั้น มันจะเป็นบีบธรรม ต้องกว้างขวาง เอาใบไม้ เอายอดใบไม้ไง กิ่งมันไง มึงฆ่ามัน ไปฆ่ากิ่งมัน แล้วซ่อนรากมันไว้นะ

แต่อันนี้เวลาเข้าไปแล้ว “มันมีหนึ่งเดียว” มันต้องถอนรากแก้วนั้น แล้วคนไม่รู้ไม่เห็นจะถอนอย่างไร จะจับอย่างไร รู้ยังไม่รู้ เห็นยังไม่เห็นเลย แล้วไปถอน ก็ไปถอนบนอากาศไง ถอนรากแก้วบนอากาศ

นี่ไง เวลาพราหมณ์มาถามพระพุทธเจ้าใช่ไหม ศาสนานั้นก็ว่าดี ศาสนานี้ก็ว่าดี พระพุทธเจ้าบอกเลยนะ

“ไม่มีรอยเท้าบนอากาศ ไม่มีรอยเท้าบนอากาศ ไม่มีเหตุและไม่มีผล ไม่มีมรรค ไม่มีมรรคญาณ จะไม่มีผลเด็ดขาด จะไม่มีรอยเท้าบนอากาศ” เห็นไหม

ถ้าที่ไหนมีเหตุ ที่นั้นมีผล รอยเท้ามันอยู่พื้นดิน นี่พูดถึงความรู้สึกของเรามันอยู่ในใจของเรา แล้วต้องถอดถอนใจของเรา เพื่อประโยชน์กับเรานะ นี่ความดีของเรา ความดีเราทำดีอยู่แล้ว ถ้าเราทำความดีข้างหน้าต่อไปไม่ได้ เราทำความดีแค่นี้เราก็ท้อถอย ไม่เราก็ไปจนตรอกกับความคิดของเรา เราต้องตีแตกหมด

ครูบาอาจารย์ ท่านอยู่กับครูบาอาจารย์ ท่านจะบอกเลย “ยิ่งชำระ ยิ่งสะสาง ยิ่งสะอาด ยิ่งบีบ ยิ่งคั้น เสื้อผ้ายิ่งซัก ยิ่งดี จิตบีบคั้น ยิ่งฟอก ยิ่งสะอาด ยิ่งฟอก ยิ่งดี” พอเราเข้าไป พอสะอาดแล้ว เออ...สะอาดแล้ว...เลิก...

แล้วความดีมากกว่านี้ไปที่ไหน ยิ่งซัก ยิ่งฟอก ยิ่งทำเข้าไป ถึงที่สุดแล้วทำลายจนไม่มีอะไรเหลือเลย ยิ่งสะอาด ยิ่งถูก ยิ่งดี ต้องขยันหมั่นเพียรแล้วทำเข้าไป จะพิสูจน์ได้!..ของอย่างนี้พิสูจน์ได้...

ไม่ใช่ไปไหนมา ๓ วา ๒ ศอก

...ถามอย่าง...ตอบอย่าง

...ถามปฏิบัติ...ไปตอบเรื่องอะไรก็ไม่รู้

...ถามเรื่องมรรคเรื่องผล...ไปตอบเอานรก สวรรค์

มันคนละเรื่อง!..ถ้ามันเป็นความจริงแล้ว ถามที่จุดที่มันเข้าไปเป็นความจริง มันก็ต้องเข้าเป็นความจริงอันนั้น แล้วความจริงอันนั้นก็เหมือนกัน เป้าหมายของเราคือเหมือนกัน เราจะไปที่เป้าหมายที่ไหน เราถึงถามหากันที่เป้าหมาย มันสรุปเป้าหมายที่นั้น

ถามเป้าหมายที่ไหน...? มันบอกว่า “กลับบ้าน กลับบ้าน”

“กูจะไปเป้าหมาย กูไม่ได้กลับบ้าน” นี่มันทวนกระแสกันเห็นไหม โลกกับธรรมนะ

มันไปเห็นสภาพของเขาแล้ว ฮื้อฮือ...มัน...

นี่เวลาออกไปแล้วมันตื่นตัวมาก มันชาร์ตไฟนะ ไปเห็นแล้ว โอ้โฮ...เพราะว่าครูบาอาจารย์ก็สอนเรื่องอย่างนี้ แล้วให้แยกแยะไง แต่เรามองกันไม่ออก พอเราไปเห็น โอ้โฮ.. เมื่อวานนะ มันธรรมสังเวช ตั้งแต่เข้าวัดเข้าวาไป มันสะเทือนใจไปหมดเลย มันเป็นอย่างนี้ไปหมดแล้ว แต่มันก็เรื่องของเขาเนาะ

แต่มันก็สะเทือนใจเราว่า ฮื่อ... เราอยู่ของเรานี่ อยู่ป่า อยู่เขา อยู่โคนดิน อยู่โคนไม้นี่ ฮื่อ... มันถูกต้องว่ะ ถูกตามวินัย พระพุทธเจ้าสอนไว้อย่างนี้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่โคนต้นไม้ มึงอยู่โคนต้นไม้สุขที่สุด

พอเข้าไปนี่ มันมีแต่สิ่งปลูกสร้าง มีอย่างนั้นออกไป มันออกไปแล้ว เป็นโลกไปหมดเลย เห็นไหม

นี่ถ้าออกไปแล้วมันเห็น นี่ “ธรรมะเป็นธรรมดา ธรรมะเป็นธรรมชาติ”

ก็เป็นเรื่องปกติ ไม่มีอะไรผิดแผกเลย เรื่องธรรมดาๆ เลย แต่มันอยู่ที่วุฒิภาวะ คนเห็นหรือไม่เห็น คนเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ต่างเหมือนกัน เขาอยู่กับเขา เขากอดอย่างนั้น เขาอยู่กันอย่างนั้น แต่เราไปเห็นเข้า มันสะเทือน!!สะเทือนมาก!! นี่เรื่องโลกกับเรื่องธรรม

ปัญญาของคน เราอยู่กับเรา เราเตือนใจของเรา เพื่อประโยชน์กับเรา ศาสนาพุทธ ศาสนธรรมเป็นคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ศาสนวัตถุ ไม่ใช่ศาสนบุคคล ศาสนธรรม คำสั่งสอน แล้วมันสถิตในใจเราได้ เรารื้อค้นของเราได้ เห็นไหม

หลวงตาพูดประจำ “ใจสัมผัสกัน...ใจสัมผัสธรรม...ไม่มีอะไรสัมผัสธรรมได้...นอกจากหัวใจของมนุษย์” เอวัง