เทศน์พระ

รู้จากใจ

๑๕ ม.ค. ๒๕๕๓

 

รู้จากใจ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๓
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ฟังเทศน์ ซีดีก็มี เทปก็มี หนังสือก็มีเยอะแยะ ทำไมต้องฟังเทศน์ ฟังเทศน์อย่างนั้น เวลาเราเทศน์สอนตัวเอง เราอ่านหนังสือใช่ไหม หนังสือก็เป็นเทศน์ของครูบาอาจารย์ ฟังซีดีก็เหมือนกัน ฟังซีดี ฟังเทป ฟังวิทยุ เห็นไหม การฟังวิทยุ เราฟังโดยที่มันเป็นส่วนตัวของเรา พอส่วนตัวของเรา มันฟังขึ้นมานี่ ถ้าจิตมันดีนะ มันก็มีคติธรรม คติธรรมคือสิ่งนั้นที่กระเทือนใจเรา แต่ถ้าเราฟังโดยส่วนตัวของเราเห็นไหม กิเลสมันมีโอกาส กิเลสมันต่อต้านตลอดเวลา ดูสิ เวลาอ่านธรรมะของพระพุทธเจ้า พระไตรปิฎกที่ว่า นิพพาน นิพพาน สงสัยไหม สงสัยทั้งนั้น สงสัยเพราะอะไร มันเป็นเอกเทศของเรา มันมีสิทธิ กิเลสมันออกช่องนั้นนะ แต่ถ้าเวลาฟังเทศน์ในปัจจุบัน กิเลสมันคิดไม่ทันหรอก เพราะเราไม่ใช่หนังสือ ถ้าเป็นหนังสือ เรารู้ว่าในหนังสือหน้านี้มันเป็นอย่างนี้ บรรทัดต่อไปเห็นหมด พอเห็นหมด กิเลสมันออกช่องได้ตลอดเวลา ซีดีฟังแล้ว ฟังครั้งที่ ๑ ครั้งที่ ๒ ครั้งที่ ๓ ทำไมเวลาฟังครั้งที่ ๑ ครั้งที่ ๒ ครั้งที่ ๓ มันแตกต่างกันล่ะ พอฟังครั้งที่ ๒ ถ้าจิตใจมันดีขึ้น เอ๊ะ ทำไมตรงนี้เราไม่ได้ยิน ครั้งที่แล้วเราไม่ได้ยิน ทั้งๆ ที่มันแผ่นเดียวกัน มันฟังด้วยกัน ทำไมจะไม่ได้ยิน มันได้ยินทั้งนั้น แต่กิเลสมันต่อต้าน มันฟังแล้วมันไม่กินใจ แต่ถ้าเรามีสติ แล้วกิเลสมันไม่ต่อต้าน โอ้โฮ...คำนี้ทำไมมันซึ้งใจล่ะ ทำไมคำนี้มันสะเทือนใจเราล่ะ เห็นไหม นี่ฟังโดยส่วนตัว แต่นี่ฟังเทศน์ ฟังเทศน์ในปัจจุบัน ปัจจุบันนั้นกิเลสมันรู้ทันไม่ได้

พระกรรมฐานเรานี่การประพฤติปฏิบัติอันดับ ๑ คือการฟังเทศน์นี่แหละ เพราะการฟังเทศน์ พระพุทธเจ้าเทศน์ขึ้นมา เทวดา อินทร์ พรหม สำเร็จเป็นแสนๆ เวลาครูบาอาจารย์เทศน์ขึ้นมา เห็นไหม มันเป็นการโน้มน้าว ชักนำหัวใจให้มันมีหลักมีเกณฑ์ ฉะนั้นเราถึงต้องฟังเทศน์ พวกเราเพราะถ้าไม่ฟังเทศน์ พวกเรามาฟังกิเลส กิเลส มันเทศน์ให้ฟังทุกวันนะ อยู่วัดนี่ ประพฤติปฏิบัตินี่ กิเลสมันเทศน์ให้เราฟังนะ กิเลสมันสร้างภาพเลย ดูสิ เห็นไหม มันมองเห็นไปหมดในการจับผิดคนอื่น ในการดูแลความผิดของคนอื่นมันเห็นทั้งนั้น เวลาศึกษาธรรมะมา ธรรมะของพุทธเจ้า เหมือนเป็นหมอ เป็นหมอเห็นไหม ถ้าเป็นหมอ หมอที่เป็นหมอแผนปัจจุบัน เขามีวิชาความรู้ของเขา เขาปฏิบัติของเขา เขาใช้ยาได้ แต่นี่เป็นหมอเถื่อน หมอเถื่อนเห็นไหม ดูสิ ธรรมะของพระพุทธเจ้าคือยา แล้วเอายามาจะเที่ยวรักษาคนอื่น ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นไข้ ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นโรคภัยไข้เจ็บ ตัวเองไม่มีปัญญาเอาตัวเองรอดนะ นี่ฟังเทศน์พระพุทธเจ้าแล้ว เทศน์สอนเขาปากเปียกปากแฉะเลย แต่ไม่สามารถเทศน์สอนตัวเองได้ นี่ก็เหมือนกัน เวลามองเห็นคนอื่นนะ ความผิดของคนอื่นมหาศาลเลย จับผิดใครก็ได้ มองเห็นทุกคนผิดไปหมดแหละ แต่ตัวเองมันไม่เห็นความผิดของตัว ในความผิดของตัวมันจะเห็นความผิดได้อย่างไรล่ะ ถ้าเป็นความผิดของตัว แต่เวลาเทศน์มันทิ่มเข้าไปในหัวใจนั่นล่ะ มันสะเทือนใจนี่ มันสะเทือนถึงกิเลส ถ้าสะเทือนถึงกิเลส มันจะมีโอกาส เห็นไหม นี่การฟังเทศน์ เวลาเราฟังเทศน์ เวลาเราเป็นหมอเถื่อน เราจะใช้ธรรมะของเราเที่ยวไปเจือจานคนอื่นเห็นไหม ก็เราเป็นพระเราก็ต้องเจือจานสังคม เจือจานสังคมแล้ว ตัวเองเจือจานหรือยัง แล้วแผลของเรานี่เห็นไหม เหมือนคนหัวล้านขายยาปลูกผม นี่นะยาปลูกผมชั้น ๑ เลย แต่คนขายหัวล้านนะ หัวนี่ไม่มีผมเลยนะ แต่ยาปลูกผมนี่ชั้นยอด ชั้นยอดเลย ไอ้คนขายยามันไม่รักษาผมมันก่อน

เราในการมองไปสังคมนี่เห็นไหม มองไปข้างนอกมันเห็นทั้งหมด เห็นใครก็ผิดได้ จะบอกว่าพระกรรมฐานเรานี่ต้องชนะตัวเอง เช่น ดูอย่างการก่อสร้างเห็นไหม การก่อสร้างศาสนวัตถุ ในการเห็นสังคม เรามองเห็นความผิดเขาไปทั้งนั้น ทั้งๆ ที่มันเป็นแร่ธาตุ มันไม่มีประโยชน์สิ่งใดเลย เพียงแต่เวลาก่อสร้าง แร่ธาตุมันให้โทษใครไม่ได้หรอก แต่คนที่สร้างเห็นไหม มันก็เรื่องของคนทั้งนั้น เวลาคนก่อสร้างมันมีร้อยสันพันคม มันก็มาจากใจ มาจากความรู้สึก จากกิเลสทั้งนั้น ดูสิ เวลาเราก่อสร้าง เราให้เขาก่อสร้าง เขาก็เป็นคนก่อสร้าง เขาก็มีความเห็นของเขาอันหนึ่ง คนหยาบคนละเอียดมันก็มีความเห็นของเขาอันหนึ่ง แต่ถ้าเราทำของเราเอง แร่ธาตุนี่อยู่ที่เราจะปั้นมันขึ้นมาเลย เราจะทำอย่างไรก็ได้ถ้าเราเป็นช่าง เราทำของเราได้ เราพอใจสิ่งใดก็ทำให้สมความปรารถนาของเรา เราทำได้ทั้งนั้นเลย เพราะอะไร เพราะเราทำด้วยหัวใจของเรา แต่ถ้าในศาสนวัตถุ ในการบริหารจัดการ ในการก่อสร้างโบสถ์ สร้างวิหาร อู๊ย มันลำบากมันลำบนนะ อู๊ย มันสร้างยากนะ นี่การสร้างเห็นไหม การสร้างวัตถุ

แล้วการสร้างหัวใจล่ะ การสร้างหัวใจ การจะเอาชนะตนเองนี่ การจะเอาเพื่อเรานี่ ถ้าจะเอาเพื่อเราเห็นไหม เอาเพื่อเราในทางปฏิบัติ นี่งานของเรามันสำคัญตรงนี้ไง แต่โลกมองไม่เห็น โลกก็บอกว่า พระกรรมฐานนั่งหลับหูหลับตา มันจะมีความรู้อะไร

ดูสิ ศึกษามามหาศาลเลย มีการศึกษา มีปริญญา มีการันตี มีประกาศนียบัตรมหาศาลเลย เป็นเข่งๆๆ เลยล่ะ รถสิบล้อบรรทุกไม่หมดเลย แล้วมีความรู้อะไร เอาตัวเองรอดได้ไหม มันเอาตัวรอดไม่ได้เพราะอะไร เพราะในปริยัติ แล้วมาปฏิบัติ ถ้าการปฏิบัติของเรา มันต้องมีความตั้งใจมีความจงใจ มีความจงใจคือเจตนา ความจงใจมีสติสัมปชัญญะเพื่อจะชนะตนเองให้ได้ ถ้าชนะตัวเองได้นะ มันชนะตนได้ยาก อย่างดีก็แค่เสมอ เสมอคืออุเบกขา อย่างดีก็แค่เสมอ แล้วเสมอก็มีแต่แพ้ เพราะคำว่าเสมอไม่เคยชนะคะคานใคร

ดูสิ ฤๅษีชีไพรทำความสงบของใจก็แค่เสมอ ไปได้แค่นี้ ความสงบของใจมันแค่ทำจิตปกติเท่านั้นแหละ ส่วนใหญ่ก็ไปได้แค่เสมอ ไปแค่ที่สุดของความคิด ไปถึงที่สุดความคิดก็เท่านั้น พอถึงที่สุดความคิดแล้วมันเป็นอย่างไรต่อไปล่ะ เอ้า มันอย่างไรต่อไปล่ะ ว่างๆ ล่ะ จนเข้าใจผิดว่าเป็นนิพพานนะ เป็นที่สุดแห่งการประพฤติปฏิบัติ ยังไม่ได้ประพฤติปฏิบัติอะไรเลย ขอนไม้มันก็เป็นได้ ดูสิ สวะมันลอยไปตามน้ำมันก็เป็นของมันน่ะ ขี้ลอยน้ำไหลลอยไปตามน้ำนี่ แล้วชีวิตเราเป็นอย่างนั้นไหมล่ะ ชีวิตไม่เป็นอย่างนั้น

การประพฤติปฏิบัติในพระพุทธศาสนามีคุณค่ามากกว่านั้น มีคุณค่ามากกว่านั้น เพราะการประพฤติปฏิบัติเริ่มต้นขึ้นมามันต้องมีสติสัมปชัญญะ ถ้ามันสงบขึ้นมาโดยสติสัมปชัญญะ มันจะรู้ตัวของมันเอง มันจะมีคุณค่าในตัวของมันเอง ไม่ใช่สวะนะ มันเป็นปลาเป็น ปลาเป็นมันว่ายทวนน้ำ มันทวนน้ำไป ไม่ไปตามกระแสน้ำ ไอ้นั่นมันปลาตาย ปลาตายมันรอวันแต่จะเน่า เวลามันเน่านี่ นี่ไงเวลาครูบาอาจารย์ท่านบอกเรา การดำรงชีวิตของเรานี่ เหมือนซากศพเดินได้ ไม่มีสติสัปชัญญะเลย มีการอยู่ไปวันๆ หนึ่ง แต่ถ้ามีสติสัมปชัญญะมันจะเตือนเรานะ มีสมบัติพัสถานมากมายขนาดไหนก็แล้วแต่ มีคุณงามความดีมากมายขนาดไหนก็แล้วแต่ พอเวลาจะตายขึ้นมา รู้ว่าจะตายเดี๋ยวนี้ เศร้าโศกเสียใจกันทั้งนั้น มันเอาตัวรอดไม่ได้ ถ้ามันเศร้าโศกเสียใจ ดูสิมรณานุสสติ มาสิลองคิดถึงความตายสิ ว่าเราจะต้องตายภายในวันสองวันนี้ ลองคิดดู มันจะมีความรู้สึกอย่างไร นี่มรณานุสสติกำหนดความตาย

ถ้าคนเรามันจะตาย สมบัติพัสถานมันจะมากขนาดไหน ถ้ามันตาย มันพลัดพราก มันไม่เป็นประโยชน์กับใครเลย แต่สมบัตินั้นถ้าคนมีสติสัมปชัญญะใช้ให้มันเป็นประโยชน์นะ เป็นประโยชน์คืออะไรล่ะ เป็นประโยชน์คือใช้สอยเพื่อประโยชน์กับเรา ไม่ใช่ เป็นประโยชน์กับเรานั้น คือเสียสละเพื่อสังคม เวลาพูดไปพระก็สอนอย่างนี้แหละ เสียสละให้ทาน ให้ทานก็พระมันได้ แล้วเอามาทำไม พระเอามาทำไม เพราะพระพุทธเจ้าบอกว่า มันเป็นอสรพิษนะ มันกัดหัวใจคนนะ ดูคนสิ คนเอาเงินทองมามากมาย มันกัดหัวใจแหลกลานเลย แต่คนที่มันหัวใจไม่เป็นพิษเห็นไหม หัวใจที่มีเป็นประโยชน์นะ เอามาเจือจานสังคม ถ้ามันเจือจานสังคมนั้น มันเป็นคุณเป็นประโยชน์ขึ้นมาเพราะอะไร เพราะสิ่งนั้นได้เสียสละออกไป แล้วพอได้เสียสละออกไป คนก็ได้ใช้ประโยชน์สิ่งนั้นขึ้นมา ไอ้คนใช้ประโยชน์นะ

ดูสิ เวลาทางโลกเห็นไหม เขามีอพาร์ทเม้นท์ให้เช่า เขาเก็บกินไปตลอดชีวิตเลย นี่เหมือนกันนะ คนที่ว่าฉลาดนะถวายบาตรพระ เพราะพระบิณฑบาตทุกวันเลย นี่คนเขาฉลาด เขาเป็นประโยชน์ของเขา เวลาเราสร้างวิหารที่พักของสงฆ์ ภิกษุจตุรทิศ ใครจะไปมาให้พึ่งพาอาศัย เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาได้กุศลของเขา นี่ก็เหมือนกัน เวลาตายไป ในพระไตรปิฎกนะ พูดนี่เขาก็ถามว่า อ้าว ที่พูดนี่รู้จริงหรือ ทำบุญแล้วเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม มันจะเป็นจริงหรือ นี่ก็เหมือนกัน เวลาทำ โบสถ์วิหาร เขาว่าเราเกิดไปนี่ไปเป็นเทวดา จะมีวิหาร มีวิหาร มีวิมานรออยู่บนสวรรค์ แล้วมันจริงหรือ จริงหรือ มันจริงหรือไม่จริงเอาวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์สิ

คนที่สร้างกุฏิวิหารไว้ให้คนพักหลบร้อน หลบหนาว หลบฝน หลบต่างๆ เขาได้พักอาศัย ดูสิ ทางโลกเขาสร้างห้องแถวให้เช่า มีคนมาอาศัยมีความสุข นี่เขาเก็บค่าเช่า ไอ้นี่มันเสียสละให้เป็นประโยชน์ไหม แล้วเป็นประโยชน์กับใคร ประโยชน์กับสมณะ สมณะมีอาชีพไหม สมณะมีเงินไปจ่ายค่าเช่าเขาไหม สมณะมีอะไรเป็นสมบัติของตัวเอง ในเมื่อสมณะไม่มีสมบัติเป็นของตัวเอง สมณะเป็นคนอนาถา สมณะนั้นเป็นคนที่น่าเห็นใจมาก แล้วสมณะนั้นถ้าจิตใจที่เป็นคุณธรรม จิตใจที่มีอริยภูมิในหัวใจ ได้มาพักอาศัยในสิ่งสาธารณประโยชน์ที่เราสร้างไว้ มันจะเป็นบุญไหม พูดทางวิทยาศาสตร์นี่ มันจะเป็นประโยชน์ไหม ถ้ามันเป็นประโยชน์ขึ้นมา แล้วคนเราสร้างประโยชน์เช่นนั้นขึ้นมานี่ ทำไมบุญกุศลจะไม่ส่งเสริมเราไป ถ้าบุญกุศลส่งเสริมเราไป แล้ววิมานจะไปเกิดบนสวรรค์ นี่มันพระหลอกกันอีกแล้ว พระนี่โคตรหลอกเลยนะ แหม นี่สร้างบุญกุศลมาเพื่อไปสวรรค์ เอาวิมานมาหลอกมาล่อกัน มันก็มีไอ้พระหัวโล้นๆ ไปหลอกแดกอย่างนั้นก็มี แต่ถ้าไอ้พระจริงๆ นะเขาไม่ต้องการหรอก มึงยิ่งสร้างให้มากมายขนาดไหน เช็ดถูไม่ไหว ลำบากฉิบหายเลย เขาไม่ต้องการหรอก เขาต้องการกระต๊อบห้องหอพออาศัยชีวิต เพราะชีวิตนี้ ร่างกายนี้นะ มันเป็นรวงรังของโรค มันเป็นสิ่งที่เราต้องขับเคลื่อนไป มันเป็นสิ่งที่ทุกข์ยากมาก ถ้าคนมีสติสัมปชัญญะ แต่ถ้าทางโลกเห็นไหม เขาต้องไปฟิตเนสนะ เดี๋ยวมันจะไม่หล่อ ไม่งาม เดี๋ยวมันจะไม่สวย แล้วมันจะหล่อ จะงามไปอีกกี่ชาติล่ะ นี่กิเลสมันบังตาเห็นไหม มันก็จะไปเอาความสุขจากเนื้อหนังมังสา

แต่เวลาพวกเรา พวกที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เขาไม่ได้เอาความสุขอย่างนั้น ความสุขที่ไม่เจือด้วยอามิส ความสุขที่เกิดจากการประพฤติปฏิบัติ ความสุขที่หัวใจมีหลักมีเกณฑ์ของมัน ถ้ามีหลักมีเกณฑ์ของมัน สิ่งที่พอพึ่งพาอาศัยเห็นไหม ดูสิ สมัยหลวงปู่มั่นท่านออกประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันมีกุฏิวิหารที่ไหนล่ะ มันมีแต่แคร่ ชาวบ้านเขาทำแคร่ทิ้งไว้ตามป่าตามเขา ไปเจอแคร่ที่หนก็นอนที่นั่น ถ้าไม่เจอแคร่ก็เอาใบไม้หนาๆ นั้นปูแล้วก็นอน นี่ออกวิเวกขึ้นไป เราออกไปหาคุณธรรม ออกไปหาสัจจะความจริง เราไม่ได้ออกปิกนิคกัน เราธุดงด์กันนะ เอารถไปข้างหน้าเลย มันจะมีอาหารไปพร้อมเลย ทุกอย่างไปดักเอาไว้เลยนะ มันจะไปเที่ยวป่ากันน่ะ แต่ไปถูดงน่ะ ถูมันผ่านดงนั้นไป

แต่ถ้ามันไปธุดงด์ขึ้นมานี่ เราจะมีอะไรล่ะ บิณฑบาตพรุ่งนี้จะมีกิน ไม่มีกินไม่รู้ ไปตามยถากรรม นี่ไงมันเสี่ยงอำนาจวาสนาของเรา เพื่อประโยชน์กับหัวใจของเรา มันออกไปเผชิญกับสัจจะความจริงอย่างนั้น กิเลสมันจะได้ไม่อหังการไง ถ้ากิเลสไม่อหังการการประพฤติปฏิบัติมันก็ง่ายขึ้นเห็นไหม นี่จะไปไหนกิเลสมันอหังการไปนั่นแหละ จะไปไหนมันเป็นพิธีไปหมดล่ะ แล้วมันจะอะไร นี่กิเลสมันบังเงา เอาธรรมะของพระพุทธเจ้านะ โอ๋ย แบกกลด แบกบาตร แบก โอ้โฮ ไปนี่พระธุดงค์ทั้งนั้นเลยนะ นี่ข้างหน้ามีไว้พร้อมหมดแล้ว มันจะมีความสงบอะไรของมัน

นี่พูดถึงเวลาเอากิเลสออก มันบังเงา เอาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาขายกิน แต่ถ้ามันเป็นการปฏิบัติของเรา ถ้ามันไม่ต้องการแล้วมันก็คือมันไม่ต้องการ ทุกคนต้องตาย ไม่เกินร้อยปี จะพูดคำนี้ทุกคน ไม่เกินร้อยปีทั้งนั้นแหละ ทุกคนก็รู้ว่าตาย แต่ถ้ารู้ว่าตายแล้วไปห่วงหาอะไร มันจะมีอะไรมั่นคงนัก หายใจเข้าและไม่หายใจออกมันก็เป็นเรื่องธรรมดาของมัน ใครจะรู้ว่าชีวิตใครจะสั้นยาวแค่ไหน มีทั้งนั้น ว่าเราจะอยู่ค้ำฟ้า อยู่ค้ำฟ้า คนอื่นจะตายก่อนเรา ตายก่อนเขาทั้งนั้น การเกิดและการตายมันอยู่ที่ลมหายใจเข้าและลมหายใจออกเท่านั้นเอง มันไม่มีอะไรค้ำประกันเลยว่าใครจะอยู่ได้มากน้อยแค่ไหน เดี๋ยวนี้มีประกันชีวิตไง ประกันชีวิตเวลาตายขึ้นมาจะได้เงินไง แล้วเงินเป็นของใครล่ะ ดูสิ ประกันชีวิตเห็นไหม ไอ้พวกฉ้อฉลขึ้นมามันก็ประกันชีวิตให้ แล้วก็พาไปประสบอุบัติเหตุซะ มันได้สตางค์อีก โลกเขาทำกันอย่างนั้น ไปสมรสกันให้มันมีทะเบียนสมรส สุดท้ายแล้วก็สร้างอุบัติเหตุขึ้นมาบังหน้า แล้วก็จะเอาเงินเห็นไหม เขาประกันชีวิตเพื่อความมั่นคง กิเลสมันก็ยังเอาไปหาผลประโยชน์อีกนะ

แล้วชีวิตของเรานี่ทำอะไรได้ไหม ถ้ามีสติสัมปชัญญะอย่างนี้ มันจะย้อนกลับขึ้นมาให้หัวใจมันตื่นตัวขึ้นมา ถ้าหัวใจมันตื่นตัวขึ้นมา หามัน ทรัพย์สมบัติอันนี้หามันให้ได้ นี่เอาชนะตนเองให้ได้ ถ้าชนะตนเองได้ นี่การประพฤติปฏิบัติ เห็นไหมพระป่า พระที่ประพฤติปฏิบัตินี่เอาชนะตัวเองให้ได้ แล้วจิตใจมันมีความร่มเย็นเป็นสุขขึ้นมาอย่างไร มันเป็นสันทิฏฐิโก เห็นไหม ไม่ต้องมาการันตี ไม่ต้องมาแอบอ้าง ไม่ต้องมาให้ใครมาค้ำประกัน การค้ำประกันเพราะเราไม่มีเครดิตถึงต้องค้ำประกันใช่ไหม

ดูสิ เครดิตทางสากลเห็นไหม จะต้องให้สังคมเขายอมรับเพื่อเครดิตใช่ไหม ดอกเบี้ยจะได้จ่ายต่ำๆ ถ้าเครดิตไม่ดีกู้เงินเขาดอกเบี้ยต้องจ่ายสูงขึ้นมา นี่ การค้าเห็นไหม ล่อหลอกกัน ตกแต่งบัญชีกัน มายักย้ายถ่ายเทกัน อู้ย บัญชีสวยงามมาก เวลาตรวจสอบขึ้นมาไม่มีเงินสักสลึงหนึ่ง เจ๊งหมดเลย ทั้งโลกคว่ำไปได้อย่างไร เ เครดิตโลกๆ ก็ เครดิตหลอกๆ ไง เป็นสันทิฏฐิโกไหม ธรรมะของพระพุทธเจ้า อู้ย ธรรมะว่างๆ ว่างๆ นี่ไง มันหลอกกันนะ มันหลอก มันลวงโลก ลวงแม้แต่ตัวเอง ตัวเองเป็นจริงหรือเปล่า ถ้าตัวเองเป็นจริงขึ้นมาทำไมต้องให้ใครมารับรอง ใครจะมารับรองจิตดวงนี้ จิตดวงนี้ประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่ มันตามความเป็นจริงขึ้นมา เราจะรับรองตัวเราเอง เราจะรู้สัจจะในหัวใจของตัวเราเอง เราจะเป็นของเราด้วยสัจธรรม ถ้าสัจธรรมมันเกิดขึ้นมา เราทำของเราได้ ถ้าทำของเราได้ขึ้นมา เวลาเรากราบนะ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราเป็นสมมุติสงฆ์ นี่ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านประพฤติปฏิบัติได้

จะบอกว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นมนุษย์ ครูบาอาจารย์ก็เป็นมนุษย์ ท่านเป็นครูบาอาจารย์ท่านก็ทำได้ ทำไมเราทำไม่ได้ เราไม่มีศักยภาพขนาดนั้นเชียวหรือ เนื้อหนังมังสาก็เหมือนกัน หัวใจก็เหมือนกัน ความรู้สึกก็เหมือนกัน ท่านก็คน เราก็คน ทำไมเราไม่มีความสามารถ ไม่มีการกระทำที่จะทำให้หัวใจเราสัมผัสกับสัจธรรม สัมผัสกับความจริงขึ้นมา นี่ธรรมะที่มันจะรู้ได้ด้วยความรู้สึกนะ

ดูสิ คอมพิวเตอร์ต่างๆ เอกสารต่างๆ มันเป็นหนังสือธรรมะทั้งนั้น เขาเอาไปชั่งกิโลขายหนังสือเก่า เขาเอาไปขายเป็นเงินเป็นทอง เขาไม่เอามาประพฤติปฏิบัตินะ แล้วที่เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา สิ่งที่สัมผัสขึ้นมาคือความรู้สึกของเรา ถ้าความรู้สึกของเรานี่ สติมันก็เกิดขึ้นมาจากเรา สมาธิก็เกิดขึ้นมาจากเรา ถ้าปัญญาเกิดขึ้นมา ปัญญาก็เกิดขึ้นจากเรา ทำไมครูบาอาจารย์ท่านทำได้ ทำไมเราทำไม่ได้ ทำไม่ได้เพราะเหตุใด มันก็ต้องหาเหตุหาผล ถ้าหาเหตุหาผลแล้วมันก็พลิกแพลง มันต้องพลิกแพลง มันต้องหาทางกระทำของมัน ให้ถึงที่สุดในการภาวนาเห็นไหม ได้นั่งสมาธิภาวนาขึ้นมานี่ ถึงจุดหนึ่งขึ้นมา เดี๋ยวจะเป็นหรือจะตาย นี่ มันขู่มาทั้งนั้นแหละ กิเลส มันขู่ฟ่อๆๆ ตาย ยอมจำนนหมดเลย เราปฏิบัติมาก่อน จะเป็นจะตายขึ้นมานี่ อะไรตายขอดูก่อน ขอดูโว้ย อะไรจะตายก่อนตายวะ ใครจะตายก่อนกูวะ กูขอดูหน้าหน่อยสิ พอไล่ไปมันก็ไม่เห็นมีอะไรตาย ไม่มีอะไรตายก็อดอาหารต่อไปได้ นี่มันขู่ฟ่อๆ เลยนะ กิเลสน่ะ จะเป็นอย่างนั้น จะเป็นอย่างนี้ จะเป็นอย่างนั้น ไอ้เราก็หงอ หงอ เลย

เราก็คนเหมือนกัน พระพุทธเจ้าก็คนเหมือนกัน ครูบาอาจารย์ท่านก็คนเหมือนกัน แต่คนมีสติสัมปชัญญะ คนที่มีความรู้สึกที่จะต่อสู้กับกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจ ถ้าคนจะต่อสู้กับกิเลสตัณหาในหัวใจนะ ตั้งสติขึ้นมาและต่อสู้กับมัน ในข้อวัตรปฏิบัติในความเพียร เราเร่งทำความเพียรของเรา นั่งสมาธิสู้กับมัน สู้กับมัน พอมันผ่านหนหนึ่งเห็นไหม พอผ่านหนหนึ่งมันก็มีความภูมิใจ ถ้ามีความภูมิใจแล้วทำไมไม่ต่อเนื่อง ทำให้มันต่อเนื่องขึ้นไป

เวลาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนานี่ ถ้ามันมีปัญญาเกิดขึ้นมา มันเห็นผลของมัน เห็นผลของมันเห็นไหม ดูสิ เขาสร้างเมืองนะ กรุงโรมไม่ได้สร้างด้วยเวลาวันสองวัน เขาสร้างขึ้นมานี่ ต้องกี่ชั่วอายุราชการของเขา กว่ากรุงโรมมันจะเสร็จขึ้นมาเป็นอาณาจักรของเขา นี่ก็เหมือนกัน หัวใจของเรานะเวลาเราสร้างขึ้นมานี่ จะเป็นโสดาบัน สกิทาคา อนาคา อริยภูมิ แต่ละชั้นแต่ละตอนขึ้นมานี่ มันจะสร้างขึ้นมาด้วยความง่ายดายมาจากไหน มันก็ต้องมีกำลังของเรา มีความจริงใจของเรา ต่อสู้กับมันด้วยความรู้สึก เห็นไหมความรู้สึก มันจะต่อสู้ ต่อต้านกับมัน แล้วเอาชนะมันให้ได้ พอชนะขึ้นมาได้ครั้งแล้วครั้งเล่าเห็นไหม มันก็เหมือนเราทำงานเสร็จเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป ถ้าทำงานเสร็จเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไปมันก็มีกำลังใจ คนทำงานมันก็มีผลงาน ผลงานของใจเห็นไหม ความสัมผัสของใจ ใจมันสัมผัสขึ้นมา มันจะเป็นประโยชน์กับเรานะ

สิ่งนี้คืองานของเรา งานของเราแล้ว แล้วหลวงพ่อให้เกลี่ยหินทำไม งานของเรานี่ นี่ แบกหินทำทุกวัน ถ้าไม่ทำนะ เวลาเราไม่ทำข้อวัตร มันก็อั้นตู้ น้ำเวลามันกักขังไว้นะ มันก็จะเน่าเสีย ถ้าน้ำมีการถ่ายเทขึ้นมาน้ำก็สะอาดบริสุทธิ์ อารมณ์ความรู้สึกของคน ถ้ามันไม่มีข้อวัตรปฏิบัติ ไอ้ที่ว่าเกลี่ยหิน ทำหินนี่ มันเป็นขอวัตรใช่ไหม เราทำนี่ พอถึงเวลาเราทำข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมา เราทำของเราเห็นไหม มันเปิดนะ เปิดความอัดอั้นตันใจออกไปได้ แล้วเราก็มาประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา เหนื่อยไหม เหนื่อย เวลาเราเดินจงกรม เห็นไหม เข้าทางจงกรม ขี้เกียจไหม ขี้เกียจเดี๋ยวเราจะไปเกลี่ยหินนะ นี่เกลี่ยหินกับเดินจงกรมจะเอาอะไร กูเข้าทางจงกรมดีกว่า ถ้าไม่เดินจงกรมมึงต้องไปทำงานนะ นี่เราขู่ได้ เราทำได้

เวลางานข้างนอกเห็นไหม งานข้างนอกไปทำแล้วเหนื่อยไหม เหนื่อย แล้วเดินจงกรมเหนื่อยไหม ก็เหนื่อย เดินจงกรมก็เหนื่อยนะ แต่ทำไมขี้เกียจล่ะ แล้วไปยกหินมันหนักกว่าไหม มันหนักกว่าเห็นไหม วัตถุมันเห็นๆ ทำแล้วมันเห็นๆ แต่เวลาเราเดินจงกรม มันทำแล้วเหนื่อย มันเห็นอะไรขึ้นมา เห็นสติสัมปชัญญะขึ้นมาไหม นี่เราเทียบเคียงสิ ไอ้ที่ทำนี่นะ มันเป็นประโยชน์กับผู้ทำนั้น ไอ้ผู้ไม่ทำนะ มันจะไม่ได้อะไรเลย เพราะสิ่งที่ทำขึ้นมาเห็นไหม เราเอาอาหารโยนให้สุนัข โยนให้สัตว์มันได้กินนะ มันยังมองหน้านะ มันยังมีความพอใจ ยังขอบคุณนะ สัตว์มันหิวมันกระหายนะ เราให้อาหารมัน

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เราได้ทำขึ้นมา ทำข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมา เราทำไว้เพื่ออะไร เป็นสาธารณประโยชน์ สิ่งที่เป็นสาธารณประโยชน์นี่ คนใช้ ใครใช้ มันสาธารณประโยชน์นี่ หนึ่ง เราใช้ก่อนเลย เราก็ใช้สาธารณประโยชน์นั้น สอง คนที่เข้ามาวัดวาอาวาสเขาก็ได้ใช้สาธารณประโยชน์นั้น สิ่งที่เราทำนั้นเป็นประโยชน์กับใคร มันเป็นประโยชน์สาธารณะ มันทำมาจากใคร ใครเป็นคนทำประโยชน์สาธารณะ มโนกรรม ไม่มีมโนไม่มีความตั้งใจ ร่างกายนี้เคลื่อนไหวไปไม่ได้ นี่เราจะทำด้วยมือ ก็ทำด้วยมือไง มือนี่ถ้าจิตมันไม่คิด มันไม่สั่งให้มือขยับ มือขยับได้ไหม นี่สิ่งที่ทำนี่ใครเป็นคนทำ มโนกรรม ใจนะ จิตนะ มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา ใจเป็นประธาน ใจเป็นใหญ่ ใจมันทำ พอใจมันทำแล้วผลมันตกที่ใคร มันก็ตกกลับไปอยู่ที่ใจนั้น ถ้าใจนั้นมันได้สิ่งนั้นขึ้นมาเห็นไหม นี่ บุญอันนั้นมันเป็น ทาน ศีล ภาวนา เห็นไหม

เรื่องบุญกุศล ทาน ศีล ภาวนา เรื่องของการทำทานนี่ ในเถรวาทเรา ทาน ศีล ภาวนา มหายานเขาบอกว่าทานไม่มีประโยชน์หรอก ทานไม่มีผล ให้ใช้ปัญญาไปเลย แล้วเวลาสุดท้ายใช้ปัญญาไปเลย เห็นไหม ทาน ศีล ภาวนา เพราะไม่มีระดับของทาน ไม่มีระดับของศีล เวลาพระปฏิบัติก็เป็นอย่างไรก็ได้ มหายานก็พระอะไรก็ได้ เป็นพระทั้งนั้น เป็นแต่รูปแบบ ภาษาเขา นั่นเป็นความเห็นของเขา

แต่นี่เป็นความเห็นของเรา เรามีทานไง ทาน ทานเพื่ออะไร ทานเพื่อให้จิตใจมันเปิดกว้าง จิตใจนี่ ความตระหนี่ถี่เหนียว ความผูกพันของใจ ใจมันผูกพันกันแล้วนะ อีโก้นี่มันยึดไว้ทั้งนั้น กูใหญ่ กูโต กูแน่ทั้งนั้น กูนี่สุดยอดคน กูทำอะไรไม่ได้เลย เวลาถ่ายอุจจาระนี่มึงถ่ายทำไม มึงกินเข้าไปแล้วมึงอย่าถ่าย เพราะถ่ายก็ขี้เหมือนกัน คนจะสูงส่งขนาดไหนขี้ออกมาเหมือนกัน เหม็นเหมือนกัน นี่เวลามันขี้ออกมานั่น นี่สัจธรรม มันเป็นความจริง มันไม่มีใครใหญ่กว่าใครหรอก มันก็กินแล้วก็ขี้ทั้งนั้น ถ้ามึงใหญ่ มึงกินแล้วมึงอย่าขี้ เพราะขี้มันเหม็น คนกินเข้าไปก็ขี้ทุกคน

นี่ก็เหมือนกัน นี่ความยึดมั่นถือมั่นของใจ ถ้ามึงใหญ่กว่าใครมันก็มีค่าเท่ากัน คนที่มันด้อยค่า คนที่ด้อยค่า ถ้าศักยภาพเขาก็กิน ก็ขี้เหมือนกัน มันก็มีเหมือนกัน มีอาหารกินเข้าไปแล้วก็มีถ่ายออกมาเป็นอุจจาระเหมือนกัน อุจจาระออกมามันเหม็นไหม มันก็เหม็นเหมือนกัน แล้วนี่ทิฐิมานะ มันคิดไอ้นั่นต่ำกว่า กูสูงกว่าไง กูสูงกว่าเขา ไอ้นั่นมันต่ำกว่ากู สิ่งนั้น ไอ้นั่นทำได้ ไอ้นี่ทำไม่ได้ ข้อวัตรปฏิบัติก็เลยมองเป็นของต่ำต้อย ของมันจะต่ำต้อยที่ไหน ในเมื่อเอ็งกินได้ เอ็งก็ขี้ได้ เอ็งขี้ได้เอ็งก็ต้องรักษาได้ นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อเอ็งเกิดเป็นคน ในข้อวัตรปฏิบัติเขาทำได้ เราก็ทำได้ มันมีศักยภาพ มันเสมอกันทั้งนั้น ใครมันจะสูงกว่าใคร

โธ่ หลวงตาท่านพูดเอง ท่านอยู่วัดในหนองผือ ท่านบอกว่า เป็นบ๋อยในกลางวัดเลย เพราะเป็นผู้นำ เป็นผู้นำรับผิดชอบไปหมด ต้องพาหมู่คณะทำในความถูกต้องดีงาม แล้วใครมันอยากทำ ทุกคนจะดิ้นออกกันทั้งนั้นนะ ออกนอกธรรมทั้งนั้น ท่านถึงต้องเป็นผู้นำคนก่อน เหมือนบ๋อยกลางวัดเลย แต่เราก็มองเป็นศักยภาพ เป็นครูบาอาจารย์ของเรา ครูบาอาจารย์ของเราท่านรับผิดชอบเรา นี่ครูบาอาจารย์ของเราเห็นไหม แล้วเราเองเราลูกศิษย์ลูกหา เราก็แถกันไปแถกันมา แต่ถ้ามันไม่แถเห็นไหม พอมันไม่แถ ไปไหนมาไหน ถ้ามันซื่อตรงเห็นไหม นี่ อาจริยวัตร อาคันตุกวัตร อาจริยวัตร นี่ ครูบาอาจารย์ของเรา นี่สิ่งต่างๆ นี่ วัตรปฏิบัติ ในข้อวัตรปฏิบัติมันมี แต่ทีนี้ว่ามันมีอย่างนั้นนี่ อันนั้นเราก็วางไว้ เราถือว่าเราเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เราจะลงกันด้วยหัวใจไง สิ่งที่ เราเคารพบูชากัน เคารพบูชากันเพราะอะไร เคารพบูชากันเพราะอะไร ลองประพฤติปฏิบัติสิ

หลวงตาท่านพูดประจำ ปฏิบัติไปเถอะ เป็นสมาธิในพระไตรปิฎก ก็บอกสมาธิเป็นอย่างนั้น ธรรมนะ เวลาเกิดปัญญาขึ้นมา ปัญญากว้างขวางมาก ตั้งแต่กัลยาณปุถุชน โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตมรรค นี่มันมีอยู่แล้ว เวลาทำสิ่งใดเข้าไปแล้ว ไม่มีอะไรเลยที่มันจะออกนอกลู่นอกทางจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยไว้ให้เราก้าวเดิน ว่าเก่งๆๆๆ มันไปไม่รอดหรอก ไม่ว่าปฏิบัติขนาดไหนจิตมันขึ้นมา ปัญญามันเกิดขึ้นมาแล้วนี่ ไปถึงแล้วนี่ ครูบาอาจารย์ท่านผ่านมาหมดแล้วไง มันถึงได้กราบครูบาอาจารย์ด้วยหัวใจไง เพราะทำสิ่งใดไป ท่านทำแล้ว ผ่านมาแล้ว เหมือนไปที่ไหน เหมือนไปธุดงค์เลย จะไปที่ไหนก็ ที่นี่หลวงปู่มั่นมาแล้ว จะไปที่ไหนก็ ที่นั่นหลวงปู่มั่นมาแล้ว ครูบาอาจารย์ท่านไปกินไปขี้ไปถ่ายไว้นะ เราไปดมขี้ท่าน เรายังทำไม่ได้อย่างท่านเลย เพราะอะไร เราไปกินไปขี้ของท่านเพราะอะไร เพราะสิ่งที่ท่านทำไปแล้ว เพราะเราเคยผ่านมาเหมือนกัน เวลาไปทางเชียงใหม่ไปทางเหนือ สิ่งใดที่หลวงปู่มั่นมาแล้ว สิ่งใดมาแล้วนี่ ความเป็นอยู่ของเรานะ ถ้าท่านฝึกเอาไว้แล้วนะ เราจะอยู่อย่างสะดวกสบายมากเลย แต่ถ้าไปที่ไหนที่ครูบาอาจารย์ไม่เคยมานะ เพราะโยมไม่รู้อะไรเลย ดิบๆ จริงๆ ดิบๆ เลย จะบิณฑบาตทีรอกันครึ่งชั่วโมงค่อนชั่วโมง กว่าเขาจะใส่บาตรให้ได้ข้าวก้อนหนึ่ง นี่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

เวลาไปที่ไหน ถ้าหลวงปู่มั่นมาแล้ว หลวงปู่มั่นมาก็เคยฝึกญาติโยมเขาไว้แล้ว เขาจะรู้กิจ รู้การอุปัฏฐากพระไว้แล้ว นี่เราไปไหน นี่มันผ่านมาแล้ว ยิ่งประพฤติปฏิบัติไปนะ เวลาขั้นของสติ ขั้นของสมาธิเกิดขึ้น นี่สมาธิเกิดขึ้นแล้วครูบาอาจารย์ที่ผ่านมาแล้ว เวลาเราประพฤติปฏิบัติไปสมาธิจริงสมาธิปลอม นี่สมาธิจริงหรือสมาธิปลอมล่ะ แล้วสมาธิปลอมเป็นอย่างไร มิจฉาสมาธิ สัมมาสมาธิ เวลาเป็นมิจฉาขึ้นมานะมันปลอมไปเลย เป็นสมาธิเหมือนกันแต่มันปลอมไปเลย แต่ถ้าสัมมาล่ะ ถ้าสัมมาขึ้นมา มันมีสติสัมปชัญญะขึ้นมา มันจะรู้สึกตัวของมันขึ้นมา เหมือนเราเป็นคนที่มีสติสัมปชัญญะ แล้วเรามีวัตถุธาตุ เรามีสิ่งใดที่เป็นประโยชน์กับเรา เราจะใช้เป็นประโยชน์กับเราได้หมดเลย

เหมือนเราถือมีดไว้อันหนึ่ง มีดนี้เอาไว้เพื่อทำประโยชน์เห็นไหม ใช้ทำอาหาร ใช้ทำอะไรต่างๆ เพื่อประโยชน์กับร่างกายของเรา มีดนี่ จับผิดจับถูก มันบาดมือเราเละไปหมดเลย มีดเขาเอาไว้ทำงาน มีดไม่ใช่เอาไว้ทำบาดแผลให้ตัวเอง

นี่ก็เหมือนกัน เวลาจิตมันสงบขึ้นมา มันรู้ของมัน มันรู้ของมัน มันใช้ประโยชน์ของมันได้ขนาดนั้นเห็นไหม นี่สัมมาสมาธิ มิจฉาสมาธิ แล้วเกิดปัญญาขึ้นมา ปัญญาเห็นไหม ปัญญาโดยอย่าให้กิเลสมันพาใช้ ถ้าปัญญาที่กิเลสมันพาใช้ มันบอกเราเลย ธรรมะพระพุทธเจ้า ธรรมะพระพุทธเจ้า ทั้งๆ ที่ธรรมะพระพุทธเจ้ามาหลอกทั้งนั้นแหละ ธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วจิตมันรู้อะไร ธรรมะพระพุทธเจ้า ธรรมะพระพุทธเจ้า จิตมันรู้อะไร แล้วจิตมันรู้อะไร มันปล่อยวางอะไร สิ่งใดที่เป็นประโยชน์กับจิตนี้ สิ่งใดไม่เป็นประโยชน์กับจิตนี้ ถ้าเป็นประโยชน์กับจิตนี้เห็นไหม ดูสิ ดูครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาจิตมันสงบขึ้นมานะ จิตมันดีงามขึ้นมานะ มันพยายามหาทางออก มันจะออก ดูสิ หลวงตาท่านบอกเลย เวลาจิตมันหมุนติ้วๆ นี่ อยู่กับใครไม่ได้ อยู่กับใครไม่ได้ เห็นไหม เวลามันอยู่กับใครไม่ได้ มันอยู่กับใครไม่ได้เลย ถ้ามันอยู่กับใครไม่ได้ แต่ถ้ามันไม่ถึงอยู่กับใครไม่ได้ล่ะ มันทำอย่างไร นี่ก็เหมือนกันถ้าจิตมันดีมันอยู่กับใครไม่ได้ มันจะหลีกเร้น นี่กิริยาที่เราแสดงออกกัน คนที่ปฏิบัติเขาดูออกนะ เขาดูออกเลยว่านี่มันสงบไหม จิตมันดีไหม จิตมันเป็นไปได้ไหม ถ้ามันเป็นไปได้นะ มันจะรักษาหัวใจของเรา ถ้าหัวใจของเราเห็นไหม นี่เราได้ธรรมะโอสถ แล้ว

สิ่งที่ประพฤติปฏิบัตินี่ พระป่าที่ประพฤติปฏิบัติกันน่ะ ปฏิบัติเอาหัวใจ ปฏิบัติเอาความเป็นไปในใจ ถ้าความเป็นไปในใจนะ ใจมันได้สัมผัสมัน ใจมันเป็นไป นี่วุฒิภาวะ จิตมันพัฒนาของมัน มันมีขั้นตอนของมัน มันมีหลักมีเกณฑ์ ถ้าคนมีหลักมีเกณฑ์นี่เห็นไหม เราภาวนากัน ถ้าจิตสงบจะมีความสุขมาก แล้วความสุขอย่างนี้ทางโลกหาไม่มี ทางโลกไม่มีหรอก อย่างที่ว่านี่ สุขจากสาธารณวัตถุ เห็นไหม สาธารณธรรม เวลาเราทำงาน ทำสิ่งก่อสร้างขึ้นมา สิ่งนั้นเสร็จสิ้นแล้ว สิ่งนั้นเป็นผลงานแล้ว ผลงานนี้เป็นผลงานสาธารณะ ผลงานเอาไว้เป็นอาราม เป็นที่อยู่ของอารามิกะ เป็นผู้ไม่มีเรือน พวกเราเป็นพวกเสียสละ เห็นไหม ในพระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยไว้ วางธรรมวินัยไว้เห็นไหม ให้พระอยู่อาราม นี่วัดกับบ้าน ถ้าบ้านนะ บ้านผู้อาศัยของผู้ครองเรือน เขาจะทำบุญกุศลของเขา แล้วเราเป็นพระ เราไม่มีสิทธิทางโลกกับเขา เราเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เราบิณฑบาต พระพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยไว้ สิ่งที่เราทำมาเป็นสมบัติสาธารณะที่ใครที่เป็นธรรมนะ สิ่งที่เป็นธรรมเป็นวินัย สิ่งนี้เข้ามาเจือจานอาศัย อาศัยเพื่ออะไร อาศัยเพื่อปฏิบัติขึ้นมา อาศัยเพื่อพัฒนาจิตของเรา

ถ้าจิตของเราพัฒนาแต่ละชั้นแต่ละตอนขึ้นมา มันจะพัฒนาของมันขึ้นมา พัฒนาของมัน ถ้าจิตไม่ได้พัฒนานะ ดินพอกหางหมู มันจะพอกหมูให้จิตใจให้เศร้าหมอง จิตใจเศร้าหมอง จิตใจมันเฉา จิตใจไม่รื่นเริงอาจหาญ แต่ถ้าเรามีศีลมีธรรมขึ้นมา จิตใจจะรื่นเริงอาจหาญ มันจะไม่พอกหางหมูเห็นไหม มันไม่พอกหางหมู มันจะมีวิวัฒนาการของมัน วิวัฒนาการของมันมาจากไหนล่ะ ถ้าไม่มีสติสัมปชัญญะ วิวัฒนาการมันจะมาจากไหน วิวัฒนาการมันจะมีอย่างไร มันมาจากสติของเรา ตั้งสติของเรา แล้วพัฒนาการของมันขึ้นมา พัฒนาการของมันขึ้นมาเห็นไหม แล้วเวลาเราอยู่ด้วยกันเรารู้ได้อย่างไรว่า พระองค์ไหนเป็นปุถุชน พระองค์ไหนมีอริยภูมิในหัวใจ แต่ละชั้นละตอนที่หยาบละเอียดขึ้นไปเป็นชั้นๆขึ้นไป นี่ มนุษย์เหมือนกันนี่แหละ พระเหมือนกัน ถือศีล ๒๒๗ ข้อเหมือนกัน พระในสมัยพุทธกาลเป็นพระอรหันต์ไม่ต้องกลัวอะไรขึ้นมาเลย เวลาเป็นพระอรหันต์นี่สะอาดบริสุทธิ์แล้ว แล้วเราจะต้องลงอุโบสถไหม พระพุทธเจ้ามาเลย มาโดยฤทธิ์เลยเห็นไหม ถ้าเธอไม่ลงอุโบสถแล้วภิกษุที่ไหนเขาจะเอาอะไรเป็นแบบอย่าง เห็นไหม ในขณะที่ในสังคมสงฆ์ของเรา ผู้ที่มีอริยภูมิในหัวใจก็มี ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขณะก้าวเดินขึ้นไปพยายามต่อสู้กับกิเลสของตัว มันมนุษย์เหมือนกันทั้งนั้น มันก็มีเนื้อหนังมังสาเหมือนกันทั้งนั้น แต่มันจะรู้ได้นี่ รู้ได้ตอนแสดงธรรม เพราะแสดงธรรม ถ้าไม่รู้ จะเอาอะไรมาพูด จะพูดออกมาด้วยความไม่รู้ ไม่รู้มันปล่อยไก่นะ ผู้รู้มี พูดออกไปมันน่าขายขี้หน้า

แต่ถ้าพูดถึงความจริง พูดอย่างไร มันเอาเหตุการณ์ เอาเหตุผลไปเข้ากล้องจุลทรรศน์ หาวิเคราะห์เลย ให้รู้ว่ามันผิดพลาดตรงไหน ถ้าจิตใจมันได้ผ่านกระบวนการของมันมา มันเห็นของมัน มันเข้าใจของมัน มันเข้าใจของมัน มันจะผิดก็อย่างเดียวเท่านั้นแหละ เวลาลิ้นพันกัน พูดผิดโดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะไม่ตั้งใจจะพูด แต่เพราะกลอนมันพาไป นี่ อย่างนี้มี แต่ผิดโดยเจตนา ผิดเพราะมันเห็นๆ น่ะ มันเป็นความเป็นไปของจิต จิตมันเป็นไปอย่างนั้น แล้วการกระทำอย่างนั้น มันจะผิดจากการที่มันเป็นไป มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มันเกิดจากใจทั้งนั้น มโนกรรม แล้วคำพูดที่มันออกจากจิตที่เป็นธรรมแล้ว แล้วธรรมที่ออกมาจากจิตที่เป็นธรรมแล้วมันจะผิดพลาดไปได้อย่างไร มันผิดพลาดก็นี่เส้นประสาทนี่เห็นไหม

หลวงตาบอกว่า รถอาศัยคนขับ คนขับรถดี รถก็ดีด้วย ถ้ารถมันชำรุดเห็นไหม คนเรารถมันชำรุด แต่คนขับดี นี่ไงจิตใจที่ดีแล้ว แต่มันต้องอาศัยรถ นี่ไง เวลามันผิดพลาด มันผิดพลาดตรงนั้น มันผิดพลาดด้วยเป็นกลอนพาไป ไม่ใช่คนขับผิด รถมันไปไม่ได้ ตั้งใจจะให้รถมันไปตามบังคับตามที่เราตั้งใจ แต่รถมันไม่ไป นี่ไงมันผิดพลาดอย่างนั้น นี่น่ะความผิดพลาด ผิดพลาดโดยไม่ได้ตั้งใจ อย่างนี้ฟังออก ฟังได้ ฟังเข้าใจ ถ้าผิดพลาดอย่างนี้ มันถือว่ามันเป็นเรื่องสุดวิสัย แต่ถ้ามันผิดโดยใจ ผิดโดยตั้งใจว่าพูดผิดเลย โดยหลักผิดเลย คนขับมันเข้าใจผิดเลย คนขับรถเข้าใจผิด บังคับรถนี้ไปนอกเส้นทาง ถ้าบังคับรถไปนอกเส้นทาง แต่เวลาพูดนะ นี่กฎจราจร กฎ ตามกฎจราจรถูกต้องเลย แต่รถมันออกนอกเส้นทางไปเลย ความผิดพลาดอย่างนั้น นี่ใจไม่รู้จริง ถ้าใจไม่รู้จริงเห็นไหม ครูบาอาจารย์ที่ไม่รู้จริงทำให้เสียหาย แต่ถ้าครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงมันจะเป็นจริงมาตลอด เพราะฉะนั้น เป็นจริงไม่เป็นจริงมันจะพิสูจน์กันที่ไหน มันพิสูจน์จากใจเรานี่แหละ ให้เราประพฤติปฏิบัติ ถ้าใจมันเป็นจริงขึ้นมาแล้ว มันตรวจสอบเขาได้

อาหารที่เราเคยกินเข้ามาในปากเราแล้ว ลิ้นเราได้สัมผัสแล้ว แล้วเขาบอกว่ารสชาติแตกต่างจากที่เราสัมผัส แสดงว่าของนั้นเสีย ไม่ก็ลิ้นนั้นเสีย มันไม่เป็นความจริงอย่างที่ลิ้นสัมผัส ถ้าลิ้นสัมผัสแล้วนะ เกลือเค็ม น้ำตาลหวาน สิ่งต่างๆ เขาจะพูดกลับกันอย่างไรก็แล้วแต่ เขาเข้าใจผิด ถ้าเขาเข้าใจผิดของเขาแล้ว มันเป็นสิ่งนั้นไม่ได้ ถ้าลิ้นได้สัมผัส แล้วถ้าใจได้สัมผัสล่ะ ใจเราได้สัมผัสธรรม ใจเราเป็นสมาธิ ใจเรามีปัญญาขึ้นมา เวลาใจเรามีปัญญาขึ้นมา เราเห็นผิด ปัญญาที่เราเห็นผิด แต่เราฟังครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ท่านพูดถูก ความเห็นผิดของเรากับท่านขัดกันอยู่แล้ว แล้วทีนี้ใครผิดล่ะ เราผิดหรือครูบาอาจารย์ผิด ถ้าครูบาอาจารย์ผิดนะ ถ้าเราเข้าใจได้ เราก็แก้ไขได้ ถ้าเราเข้าใจผิดโดยกิเลสหนาปัญญาหยาบ เราผิดแต่เราฟังครูบาอาจารย์ ท่านก็พูดอีกอย่างหนึ่ง เราว่าอาจารย์ผิดเห็นไหม เพราะกิเลสเราหนา นี่กิเลสเราหนา ไม่สามารถ ไม่สามารถสัมผัสธรรมอันนั้นได้ เราก็ว่าเราถูกไง แต่มันพิสูจน์ได้ด้วยอะไร พิสูจน์ด้วยอาจารย์องค์อื่นต่อๆ ไป มันไม่มีครูบาอาจารย์องค์เดียว ครูบาอาจารย์ที่เป็นสัจจะความจริงมีอยู่ทั่วๆไปในสังคมเรา สังคมพุทธมันก็มีครูบาอาจารย์เยอะแยะไป มันตรวจสอบได้ ถ้ามันตรวจสอบได้ มันเข้ากันโดยธาตุนะ น้ำเข้ากับน้ำ น้ำมันเข้ากับน้ำมัน นี่ความจริงเข้ากับความจริง ความปลอมเข้ากับความปลอม มันตรวจสอบได้ ความตรวจสอบ โดยสามัญสำนึกนะ

ดูสิคน สัตว์นะ มนุษย์ที่มีเมตตา สัตว์มันรู้ มันมอง สายตามันมองกิริยามันเข้าใจเลยว่ามนุษย์คนนี้จะไม่ทำร้ายมัน แต่ถ้ามนุษย์ที่โหดร้ายนะ สัตว์มันเห็นนะมันวิ่งหนีเลย นี่ก็เหมือนกัน ในความสัมพันธ์ ในความรับรู้ของในสัจธรรม ในครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัตินี่รู้ได้ มันรู้ด้วยสามัญสำนึก มันรู้ได้นะ มันเข้าใจได้ แต่ข้อเท็จจริงเรารู้ด้วยไม่ได้ เพราะเรายังไม่ปฏิบัติ เราจะรู้จากข้อเท็จจริงได้โดยการประพฤติปฏิบัติ โดยความจริงของเรา ถ้าความจริงนี้เป็นความจริงขึ้นมานะ มันจะเป็นสัจธรรมอันเดียวกัน ถึงที่สุดแล้ว มันจะเป็นสัจธรรมอันเดียวกัน มันไม่ต้อง ไม่ต้องคิด ไม่ต้องน้อยเนื้อต่ำใจว่า เราเป็นลูกศิษย์มีครูบาอาจารย์ มันจะเป็นอาวุโส ภันเต ไม่หรอก ครูบาอาจารย์จะตายก่อนเรา เพราะอายุท่านมากกว่าเราไง แล้วเราจะเป็นอาวุโสขึ้นมา เดี๋ยวเราจะได้เป็นอาจารย์ เราจะเป็นอาจารย์ไปข้างหน้ากันถ้าพรรษาเราเยอะขึ้นมาโดยธรรมชาติ โดยธรรมชาติเลยมันจะเป็นอย่างนั้น แล้วเราจะมีวุฒิภาวะอะไรที่เราจะสั่งสอนเขา เราจะมีความจริงอะไรในหัวใจเราบ้าง ที่จะอธิบายสัจธรรมอย่างนี้ออกมา นี่ศาสนามันเจริญที่นี่นะ ศาสนา คือศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศาสนาไม่ได้เจริญที่วัตถุ แต่ที่เราทำวัตถุกัน ทำข้อวัตรปฏิบัติกันนี่ เกลี่ยหินกันอยู่นี่ ก็เพื่อสาธารณประโยชน์ใช่ไหม ก็เพื่อจะให้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม ให้เป็นสถานที่เราจะอยู่อาศัยกัน

ต้นไม้มันต้องมีใบ มีสิ่งต่างๆ เป็นร่มโพธิ์ เป็นที่ร่มเป็นที่อาศัยหลบแดดหลบฝน นี่ก็เหมือนกันเราทำขึ้นมาแล้วก็เพื่อหลบ เพื่ออาศัย ไม่ใช่เพื่อศักยภาพ เพื่อหน้าตา เพื่อใครใหญ่ใครโตเลย ไม่ใช่ ถ้ามันใช่อย่างนั้นนะ สร้างไปมโหฬารแล้ว แต่นี่เราสร้างเพื่อใช้ประโยชน์ ถ้าสร้างเพื่อใช้ประโยชน์ออกไป ทำมาแล้ว ทำสิ่งๆ นั้นมาแล้ว แล้วก็มาเทียบเคียงกับในการปฏิบัติ แล้วใช้ปัญญาพยายามหาเหตุหาผล ให้กิเลสมันอย่ามีอำนาจเหนือจิตใจเรา เพื่อประโยชน์กับเรานะ เอาชนะตนเองสำคัญที่สุด มองหาความผิดคนอื่นนั้นเรามองเห็นได้ แต่ความผิดของกิเลสตัณหาความทะยานอยากที่มันคิดผิดนี่ มันคิดผิด มันคิดผิด ไม่ใช่ความผิด มันคิดผิด เราหาไม่เจอ เราต้องหาให้เจอ เพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง