เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๑ มี.ค. ๒๕๕๓

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

โลกเรานี้ เวรกรรมของการเกิดมา เห็นไหม พวกเราเกิดมาเป็นผลของวัฏฏะ ผลของวัฏฏะคือเวรกรรมมันพาเกิด เราจะหลีกเลี่ยงสิ่งนี้ไม่ได้ มันมีของมันโดยธรรมชาติของมันอย่างนั้น ดูสิ แม้สิ่งมีชีวิตในทะเลทราย พอฝนตกขึ้นมา มันก็มีชีวิตของมันขึ้นมา เวลาหน้าแล้งขึ้นมา มันก็รักษาตัวมันเองอยู่อย่างนั้น นั่นคือสิ่งที่มีชีวิต แต่ไม่มีวิญญาณครองนะ

แต่ของเรามีวิญญาณ จิตวิญญาณมันพาเกิดพาตาย ดูเด็กนะ เด็กเวลาเกิดมานี้เราดูปฏิภาณไหวพริบของมันสิ เห็นไหม เด็กเวลาเกิดมา ปฏิภาณไหวพริบของเด็กแต่ละคน มันไม่เหมือนกัน นี่บุญพาเกิด ปฏิภาณไหวพริบ จริตนิสัยนี้ เกิดจากการทำดีทำชั่วของจิตดวงนั้น ถ้าจิตดวงนั้นทำดี ทำชั่ว สิ่งต่างๆ ออกมา จิตดวงนั้นมันสะสมของมันมา

พระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย มันต่อเนื่องกันไป แต่ถ้ายังไม่ต่อเนื่อง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่พยากรณ์ ยังลุ่มๆ ดอนๆ พระโพธิสัตว์ก็เปลี่ยนได้ กลับมาเป็นสาวก กลับมาเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติให้พ้นจากกิเลสไปก็ได้

จิตมันมีการรักษาจิต ถ้ารักษาจิตขึ้นมานี้ เรารักษาคุณงามความดีของเรา เราพยายามขวนขวายของเรานะ เราพยายามทำคุณงามความดีของเราแล้วเห็นไหม คุณงามความดีของเรา เราจะตบมือข้างเดียวมันดังที่ไหนล่ะ เราเสียสละทาน เสียสละที่ไหน

ผู้ที่ประพฤติ ผู้ทรงศีลนี้เห็นไหม เขาเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เขาไม่ประกอบสัมมาชีวะ ถ้าเขาไม่ประกอบสัมมาชีวะอย่างทางโลกเขา เขาประกอบอาชีวะ เห็นไหมเรากิน อยู่ ด้วยเกียรติ ด้วยกาม ด้วยศักดิ์ศรี

แต่เวลาพระผู้มีศีล เขาฉันของเขาด้วยการดำรงชีวิตเท่านั้น ดำรงชีวิตไว้เพื่อค้นคว้า ดำรงชีวิตไว้เพื่อแสวงหา ดำรงชีวิตไว้เพื่อให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ แล้วถ้าถึงที่สุดแห่งทุกข์ สิ่งนั้นเป็นผู้ที่ชี้นำเราได้

การชี้นำเราเห็นไหม เวลาที่พระเจ้าพิมพิสารมาเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ออกมาจากพระราชวัง ออกมาประพฤติปฏิบัติ ได้ข่าวมา เพราะแว่นแคว้นเมื่อก่อนมันคับแคบ ข่าวมันถึงกันหมด ให้กองทัพครึ่งหนึ่งไปเอาสมบัตินั้นคืน “ไม่ใช่ เราออกมาแสวงโมกขธรรมจริงๆ ไม่ใช่โดนขับไล่ออกมา ออกมาด้วยความพอใจ ออกมาด้วยการแสวงหาโมกขธรรม”

“ถ้าอย่างนั้น ถ้าประพฤติปฏิบัติได้ถึงผลแล้ว ให้กลับมาสอนด้วย” เห็นไหมให้กลับมาสอนด้วย นี่รอแสวงหาสิ่งนั้น เราทำบุญกุศลของเราก็เพื่อสิ่งนี้ เพื่อให้ผู้ดำรงชีวิตนี้ เพื่อแสวงหา แสวงหาสัจจะความจริง ถ้าสัจจะความจริงขึ้นมา แสวงหาขึ้นมา สัจจะความจริงนั้นเพื่อมาเผื่อแผ่เราด้วย

การเผื่อแผ่เห็นไหม ดูสิ เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี้ ความรู้ความเห็นของเรามัน ร้อยแปดพันประการ มันรู้มันเห็นของมันไปหมด ความรู้ความเห็นอย่างนี้ มันเป็นวัตถุธาตุ ความคิดเป็นวัตถุอันหนึ่ง ความคิดเป็นอารมณ์ความรู้สึกอันหนึ่ง เห็นไหม ถ้าจิตที่มันอยู่ในใจของเรา มันละเอียดกว่านั้น มันจะเข้าไปชี้แนะได้อย่างไร

ความชี้แนะเห็นไหม มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด สิ่งต่างๆ เวลาครูบาอาจารย์ หลวงตาท่านไปแก้หลวงปู่บัว หลวงปู่คำดีนี้ ละเอียดขนาดไหน มันก็ติดละเอียดของมันขนาดนั้น ความละเอียดข้างในนั้น รู้อยู่ หลวงปู่คำดีรู้อยู่ว่ามันติดอยู่ แต่แก้ไม่ได้ นี่ อาราธนาเลย “ขอให้มหามาแก้ให้หน่อย” รู้ๆ อยู่ เห็นไหม แต่มันทำไม่ได้

แต่ของเรานี้ เรารู้ๆ อยู่ เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ เต็มสมองเลย เราก็รู้ๆ อยู่ รู้อยู่แล้วหันรีหันขวางนะ เวลาประพฤติปฏิบัตินี้ หันรีหันขวางเลย อะไรถูกอะไรผิดน่ะ ไปไม่ถูก ไปไม่ถูกเพราะอะไร เพราะมันไม่มีประสบการณ์ของมัน มันทำความจริงของอันนั้นไม่ได้ ถ้าความจริงไม่ได้ เห็นไหม ครูบาอาจารย์มีประโยชน์ตรงนี้

เวลาหลวงปู่มั่นท่านชราภาพขึ้นมานะ “หมู่คณะให้ไปปฏิบัติมานะ เนี่ยการแก้จิตมันแก้ยากนะ ผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ ผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ” เพราะผู้เฒ่ามาอยู่ที่ถ้ำสาริกา ๓ ปีนี่ บิณฑบาตมา แล้วภาวนาอยู่ในถ้ำ พยายามแสวงหาของตัวเอง พยายามรื้อค้นของตัวเอง

ผู้ที่ว่าแก้จิตมันแก้ยากนะ แก้ยากเพราะอะไร เพราะได้แก้ตัวเองมาแล้ว กว่าตัวเองจะแก้ตัวเองได้นั้น มันสุดแสนยาก แล้วอย่างพวกเรานี้ พวกเราจับจดขนาดนี้ เราจะแก้ตัวเอง เอาอะไรมาแก้ ท่านถึงเป็นห่วงไง ครูบาอาจารย์เป็นห่วงพวกเรามาก

“การแก้จิตแก้ยากนะ ผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ”

ผู้เฒ่าคือผู้ที่ผ่านประสบการณ์นั้นมาจะแก้ เห็นไหม หลวงปู่คำดีเวลาท่านติดของท่าน ท่านบอกให้หลวงตามาแก้ให้ที แก้ให้ที ตัวเองก็รู้ว่าติด แล้วมันแก้ไปไม่ได้ มันดิ้นขลุกขลักๆ อยู่ในหัวใจนะ

เวลาความคิดของเรานี้ เราคิดไปนอกโลกเลยนะ คิดไปจักรวาลเลย คิดไปจะสำรวจดวงดาวต่างๆ นี่เวลาหดสั้นเข้ามา ก็คิดถึงโลกของเรา โลกของเรานี้ มันเป็นสภาวะแวดล้อม มาคิดถึงตัวของเรา มาคิดถึงจิตของเรา ถ้าจิตของเรานี้ไปดิ้นขลุกขลัก ๆ อยู่ข้างในนะ เวลาความคิดข้างนอก ความคิดเห็นไหม ดูความคิดมันกระทบออกมา มันกระทบกันระหว่างขันธ์กับจิต

จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้มันเฉพาะตัวมันเอง มันดิ้นขลุกขลักๆ ตัวเองแก้ตัวเองไม่ได้ ตัวเองรักษาตัวเองไม่ได้ แต่ตัวเองรู้เรื่องคนอื่นนะ รู้เลยคนอื่นเป็นอย่างไร ออกไปข้างนอกนี่เก่งหมดเลยนะ แต่ย้อนกลับมาตัวมัน ทำตัวเองไม่ได้ เห็นไหม นี่ไง “การแก้จิตมันแก้ยากนะ ผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ ให้ไปประพฤติปฏิบัติมา ให้ทำกันมานะ ผู้เฒ่าตายแล้วจะหาคนแก้ยากนะ”

แต่ในปัจจุบันนี้ เราคิดว่าเรารู้ เราเก่ง เราทำของเรา เห็นไหม ปฏิภาณไหวพริบ อำนาจวาสนาของคน ดูตั้งแต่จิตพาเกิด เราเป็นผลของวัฏฏะ เป็นฝุ่นละอองของจักรวาล เป็นฝุ่นละอองของโลก เห็นไหมเป็นฝุ่นละอองไง จิตหนึ่งเกิดมาจากชีวิตหนึ่ง ชีวิตหนึ่ง ความสุขความทุกข์มันหมักหมมในใจของเราหนึ่ง แล้วสังคมสภาวะแวดล้อม เขาก็ช่วยเหลือกันนะ อันนั้นมันสักแต่ว่าสังคมหนึ่ง เห็นไหม

แต่ถ้าธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย้อนกลับมา เราถึงมาสร้างบุญกุศลกันนี่ไง มาสร้างบุญกุศลของเรา ให้เรามีปฏิภาณไหวพริบ ให้เรามีปัญญา ให้เราใคร่ครวญของเรา ดูสิ โลกเขาหลอกลวงกัน เขาแสวงหาผลประโยชน์กัน เพราะอะไร เพราะคน นี่ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความโลภของเรานี้ ความอยากได้ ความต้องการของเรา เห็นไหม เวลาเขาเอาสิ่งใดมาล่อลวงเรา เราหลง จะให้ผลตอบแทนมากกว่านั้น เราก็เชื่อเขา

การหลอกลวงจากข้างนอก จะมีผู้หลอกลวง แต่จิตของเรานี้มันไม่เข้มแข็ง จิตของเรามันอ่อนแอ ถ้าจิตของเรามีจุดยืนของเรานะ เราไม่มีความโลภของเรา

“สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นต้องดับเป็นธรรมดา”

“ธรรมะทั้งหลายมาแต่เหตุ”

มันต้องมีเหตุมีผลสิ อยู่ดีๆ เขาจะมาเอาผลประโยชน์มาให้เรามากมายขนาดนั้น มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็นไปได้ทำไมเขาไม่ให้ให้ทั่วประเทศไปล่ะ ทำไมเขาไม่ให้คนอื่นไปล่ะ ในครอบครัวเขา ในเพื่อนฝูงของเขา เขาไม่ดูแลไม่รักษา เขาไม่ช่วยเหลือเจือจานกัน แล้วเราเป็นใคร เรารู้จัก เราเคยเห็นหน้าเขากี่ครั้งกี่หน เขาจะมาเจือจานเรา มันจะเป็นไปได้อย่างไร

ถ้ามีสติสัมปชัญญะ มันคิดได้ขึ้นมาอย่างนี้นะ เราก็จะไม่เป็นเหยื่อของเขา เห็นไหม นี่ ปฏิภาณไหวพริบ สิ่งต่างๆ ปฏิภาณความคิดความเห็นของเรานี้ มันอยู่ที่การสร้างของเราขึ้นมา เราเสียสละทานของเราขึ้นมานี่ เราเสียสละฟังธรรมขึ้นมา เราปลอบตัวเองของเราขึ้นมา เราตั้งสติของตัวเราเองขึ้นมา แล้วเรากำหนดภาวนาของเรา ตั้งสติไว้ ให้สติมันอยู่กับเรา

ถ้าสติอยู่กับเรา จิตมันอิ่มเต็มของมัน สิ่งใดนี่มันเลือกแยกแยะนะ สิ่งนี้ดี สิ่งนี้ไม่ดี สิ่งนี้ควรทำ สิ่งนี้ไม่ควรทำ สิ่งที่เป็นประโยชน์ของเรา มันเลือกแสวงหาเพื่อเป็นประโยชน์กับเรา แต่ถ้าจิตมันไม่มีหลักมีเกณฑ์ของมัน มันหิวกระหายขึ้นมา อะไรมันก็หยิบหมดล่ะ นี่เรามีบุญ เขามาช่วยเหลือเจือจานเรา เขาจะมายกย่องเรา อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

เวลาลมหายใจนี้ เราต้องหายใจของเราเองนะ เวลาเราทานอาหาร เราก็ต้องหยิบใส่ปากของเราเอง แล้วเวลาจิตของเรานี่ ใครจะช่วยเหลือเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “เราเป็นผู้ชี้ทางให้เท่านั้น” ถ้าเราตั้งสติเราขึ้นมา เราทำตัวของเราขึ้นมา มันก็จะเป็นประโยชน์กับเรา ถ้าเป็นประโยชน์กับเรา เห็นไหมอันนี้สำคัญที่สุด

พอสำคัญที่สุด จะแก้จิตว่ะ การแก้จิตมันแก้ยากนะ ผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ เราจะรู้เลยว่ามันเป็นเพราะเหตุใด มันถึงจะไปตะครุบเงา แล้วตัวของมันน่ะ เป็นของสิ่งที่มีคุณค่า ทำไมมันไม่เอา เวลาเงานี่ชอบตะครุบนัก เพราะอะไร เพราะมันตะครุบเงา มันสะดวกสบายไง มันง่ายไง มันไม่ต้องมีเหตุมีผลไง เวลาตัวเองตะครุบเข้าไปนี่ ตะครุบไม่ได้ มันตีกลับตลอดเวลา ความรู้สึกของเรา ความทุกข์มันผลักดันตลอดเวลา ตะครุบไม่ได้ ตะครุบขนาดไหนมันก็ผลักดันตลอดเวลา

อ้าว ทำไมไม่เอาให้ได้ล่ะ ตะครุบเงานี่ เงามันไม่มีชีวิต เงามันไม่มีความโต้แย้ง ตะครุบเงาไปเรื่อย คิดร้อยแปดพันเก้า ส่งออกไปเรื่อย แต่จะย้อนกลับเข้ามาตัวเราเองนี้ ตะครุบไม่ได้ มันผลักมันดันมันขับมันไส เห็นไหม ทำไมเราไม่ตั้งสติของเราขึ้นมาล่ะ ตั้งสติของเราขึ้นมา แล้วทำตัวของเราขึ้นมา สิ่งต่างๆ มันจะเกิดขึ้นมากับเรานะ

สิ่งที่เกิดขึ้นมา เราเกิดขึ้นมาแล้วด้วยบุญกุศล ในปัจจุบันนี้ เราก็ต้องรักษาชีวิตของเราไว้เพื่อประพฤติปฏิบัติ เวลาครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติไปนะ ท่านไปถึงที่สุดแห่งทุกข์ ท่านยังไม่อยากจะเสียชีวิต ยังไม่อยากตาย เพราะตายแล้วต้องเกิดอย่างน้อยอีกชาติหนึ่ง ถ้าเป็นพระอนาคามีก็ไปเกิดเป็นพรหม ก็อีกชาติหนึ่ง อีกชาติหนึ่งก็อายุขัยหนึ่ง มันต้องต่อเนื่องต่อไป แต่อายุขัยของเรานี้ ถ้ามันหมดอายุขัยมันก็ตายไป พอตายไป ถ้ากิเลสมันตายตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่นี้ ก็จบสิ้น!

เราไม่ใช่ส่วนหนึ่งของวัฏฏะ เราไม่ใช่เศษสวะของวัฏฏะที่มันจะพัดวนเราไป ไม่มีสิ่งใดจะพัดวนเราได้ เห็นไหม นี่วัฏฏะวน จิตนี้เวลามันพ่นไป มันครอบโลกธาตุ ครอบวัฏฏะนี้เพราะอะไร เพราะเราหมุนเวียนตายอยู่ในวัฏฏะนี้ แล้วถ้าเราหมุนเวียนอยู่ในวัฏฏะนี้ แล้วจิตมันพ้นออกไป มันครอบหมด เพราะมันมีอำนาจเหนือกว่าวัฏฏะนี้ มันไม่ไปอีกแล้วไง

ถ้ายังมีชีวิตอยู่ เราแก้ไขของเรา เพื่อความจบสิ้นกระบวนการของเรา เราทำของเรา เพื่อชีวิตของเรานะ ฟังธรรม สิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังนี้ เราได้ยินได้ฟัง บางคำ เอ๊ะ คำนี้ทำไมมันสะเทือนใจมาก สิ่งที่ได้ยินได้ฟังแล้ว ได้ตอกย้ำมัน สิ่งที่ความลังเลสงสัย ความที่ตกผลึกในหัวใจ ความขัดแย้งในใจ สิ่งนี้เอาเหตุเอาผลมาเทียบเคียงกัน เอาเหตุเอาผลมาเทียบเคียงกับสัจธรรมกับความรู้สึกของเรา กับความประพฤติปฏิบัติของเรา ที่มันปฏิบัติมา

อานิสงส์ของการฟังธรรม เรามาทำบุญกุศลของเราแล้วได้ฟังธรรม ฟังธรรมนี้เพื่ออะไร ธรรมนี้เพื่อสอนตัวเราเอง สอนจิตใต้สำนึก สอนความคิดลึกๆ ของเรานี้ที่มันต่อต้านน่ะ เรารู้นรก สวรรค์เห็นไหม มรรคผล นิพพานมันมี แต่ความคิดลึกๆ ความคิดจิตใต้สำนึกน่ะ อืม! มันจะจริงหรือ... มันจะจริงหรือ... ศาสนานี้สอนให้เขียนเสือให้วัวกลัว นรก สวรรค์นี่เห็นไหม ลึกๆ มันต่อต้านอยู่ เพราะมันคืออวิชชา มันมีพลังงานของมัน ความรู้สึกของมันเห็นไหม

ถ้าฟังธรรมแล้วมันเข้าไปแก้ไข จิตจะผ่องแผ้ว ความผ่องแผ้วเห็นไหม อุดมการณ์ อุดมคติ โลกทัศน์ ถ้ามันมี มันได้ฟังธรรมให้มันเปลี่ยนแปลงโลกทัศน์เห็นไหม คนจะทำดีทำชั่วเกิดจากหัวใจ เกิดจากความคิด เกิดจากเจตนา เกิดจากความรู้สึก มันถึงมีการทำมาเป็นมโนกรรม กายกรรม วจีกรรม สิ่งที่เกิดขึ้นมาเกิดจากจิตใต้สำนึกนี้ ถ้ามันมีแรงต้าน มันสกปรกของมัน มันก็คิดตามแต่อวิชชา เกิดตัณหาความทะยานอยาก

ฟังธรรม... ฟังธรรมนี้ เตือนมัน แล้วหาเหตุหาผล ถ้าเราไปเปลี่ยนโปรแกรมอันนี้ให้มันถูกต้อง ทั้งๆ ที่ฟังมานี้มันยังไม่เป็นเนื้อหาสาระ มันไม่เป็นความจริง แต่เราฟังมา มันเปลี่ยนโปรแกรม

คำว่าโปรแกรม คือเปลี่ยนความคิดความรู้สึก แต่มันยังเปลี่ยนไม่ได้ถอนรากถอนโคน แต่การประพฤติปฏิบัติเข้าไปนี้ มันจะไปถอนรากถอนโคนอันนั้นไง ถ้ามันถอนรากถอนโคนนี่ มันไม่มีเชื้อไขเห็นไหม มันไม่หมุนไปตามวัฏฏะ มันไม่มีแรงผลัก ไม่มีแรงขับเคลื่อน กระแสแม่เหล็ก กระแสพลังงานมันไม่มี มันเป็นพลังงานสะอาดบริสุทธิ์เห็นไหม

ถ้ามันถอนรากถอนโคนอันนั้น เราจะเห็นการเกิดและการตาย คนเกิด เกิดมาจากไหน อะไรพาเกิด ทุกคนงงหมดล่ะ แล้วเกิดมานี่ นรก สวรรค์ อดีตชาติเป็นอย่างไร ข้อมูลโลกทัศน์อันนี้ มันเก็บสะสมไว้หมดล่ะ การประพฤติปฏิบัติมันจะเข้าไปรื้อค้น มันจะไปรู้ของมัน รู้ของเราเองไม่ต้องให้ใครมาบอก ถ้าคนอื่นมาบอกเห็นไหม มันไม่ใช่ปัจจัตตัง ไม่ใช่สันทิฏฐิโก ไม่ใช่ความรู้เฉพาะตน ไม่ใช่สิ่งที่เข้าไปถอดไปถอน เห็นไหม ถ้าเราไปถอดถอนเราต้องทำของเราเอง ถ้าเราทำของเราเอง เรารู้เข้าใจเอง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้ไม่มีผิดเพี้ยนเลย แล้วรู้เหมือนกัน เห็นเหมือนกัน อันเดียวกัน เข้าใจคำพูดขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้าใจในพระไตรปิฎก เข้าใจพุทธพจน์ เข้าใจเต็มที่เลย เราไม่เข้าใจพุทธพจน์เลย พุทธพจน์นะ... พุทธพจน์นะ... แต่ไอ้คนพูดมันงง พุทธพจน์ว่าอย่างนั้น ไอ้เราก็ไม่เข้าใจนะ แต่กูจำแม่นน่ะ กูพูดได้ก่อน แต่จิตใต้สำนึกมันคัดค้าน การประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันจะทำลายที่นี่ เข้าไปทำลายจิตใต้สำนึก เข้าไปทำลายอวิชชา แล้วเราจะเข้าใจตามความเป็นจริง แบบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

นี่สภาวธรรม ธรรมแท้เกิดมา ทำบุญกุศลเพื่อสิ่งนี้ แต่ในการทำบุญกุศลนี้เราพบกับความผาสุกของชีวิต ความผาสุกของชีวิตก็ความคิดเรานี่แหละ ถ้าความคิดของเรานะมันคิดดีความผาสุกของชีวิตก็จะมีขึ้นมา เราทำบุญกุศลเพื่อความอยู่สุขสบายนี่ อันนี้อยู่สุขอยู่สบาย อยู่ในบ้านอำนวยความสะดวกพร้อม แต่หัวใจมันทุกข์ แต่ถ้าเรามีธรรมของเรา อยู่ในบ้านก็มีความสะดวกความสบาย หัวใจมันก็มีความร่มเย็นเป็นสุข แล้วก็มีสติสัมปชัญญะตามมันทัน แล้วยับยั้งมันไว้ ให้มันอยู่ในอำนาจของเรา เอวัง