เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๘ มี.ค. ๒๕๕๓

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราเป็นชาวพุทธ ใช่ไหม เราเสียสละเพื่อความสุขของเรา แล้วความสุขมันอยู่ไหนล่ะ ทุกคนต้องการบุญ บุญกุศลเห็นไหม บุญกุศลทำให้ชีวิตมีความร่มเย็นเป็นสุข และมันเป็นสุขจริงไหมล่ะ เราไปเห็นแต่ความสุขจากข้างนอก เราไปแข่งกันหาความสุข ทุกคน ใช่ เกิดมาบอกว่านี่ปรารถนามีความสุข อยากมีความสุขมากแต่มันทุกข์จนเข็ญใจไง ความทุกข์จนเข็ญใจนี่มันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย สิ่งต่างๆ จะสุขจะทุกข์จะมีมากมีน้อยก็แล้วแต่มันมาจากไหน มันมาจากใจ

ถ้าใจไม่เกิดปฏิสนธิจิตขึ้นมานี่เราจะไม่มีมนุษย์ เพราะมีเรา ถึงมีสุข มีทุกข์ มีสมบัติพัสถาน ถ้าไม่มีเราสมบัติพัสถานมันจะกองอยู่นั่น แล้วเราก็ไปตามบุญตามกรรมนะ ความดีความชั่วจะติดตามเราไป สมบัติพัสถานจะกองอยู่ที่นี่ แต่สมบัติพัสถานที่เราแสวงหามานี่แสวงหามาเพื่ออะไร แสวงหามาเพื่อดำรงชีวิต ชีวิตเราต้องอาศัยปัจจัยเครื่องอาศัยใช่ไหม ปัจจัยเครื่องอาศัยทำให้ชีวิตนี้มีชีวิตอยู่ตลอดรอดฝั่งใช่ไหม ถ้ามีชีวิตอยู่ตลอดรอดฝั่ง ทุกคนต้องการความมั่นคงของชีวิต ความมั่นคงชีวิตเห็นไหม ดูสิ ดูพระเรามีบริขาร ๘ บาตรนี่เป็นอาหาร

บิณฑบาตไป บิณฑบาตธุดงค์ไปนะ บิณฑบาตไป บิณฑบาตจนกลับมาไม่มีใครเห็นเลย กลับมาบาตรเปล่าๆ ก็มี นี่กินอะไรกินบุญไง กินลมเห็นไหม เวลาบิณฑบาตมาไม่มีสิ่งใดตกบาตรมาเลยนี่ ธุดงค์ไป คนที่เขาผ่านการธุดงค์มาจะเผชิญเหตุการณ์อย่างนั้น นี่ไง ไม่มีก็ไม่มี ไม่มีก็ไม่เดือดร้อน แต่เวลามันมีขึ้นมาเห็นไหม เวลามีขึ้นมาดูสินี่ ถ้ามีความเชื่อถือศรัทธา โยมไปทำบุญกุศลก็ครึ่งหนึ่งเป็นส่วนการขวนขวายเพื่อบุญกุศลของโยม พระ พระเป็นผู้ที่เป็นเนื้อนาบุญของโลก ก็ไม่เสียสละเพื่อพระ พระก็ต้องมีสติปัญญา สิ่งนี้เป็นบุญกุศลของเขา สิ่งนี้สิ่งที่เป็นวัตถุธาตุที่เขาเสียสละออกมาเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย เครื่องอาศัยเพื่ออะไร เพื่อดำรงชีวิตเหมือนกัน

ทางคฤหัสถ์เขากินเพื่อกาม เพื่อเกียรติ เพื่อศักดิ์ศรี ภิกษุเราน่ะฉันเพื่อดำรงชีวิต ดำรงชีวิตนี้ไว้สืบต่อเพื่อแสวงหาสัจธรรม แสวงหาสัจธรรมนี้เพื่ออะไรเพื่อหัวใจ ถ้าหัวใจมีสัจธรรมเป็นเครื่องอาศัย มันมีหลักมีเกณฑ์ของมัน พอมีหลักมีเกณฑ์ของมันน่ะสิ่งใดผ่านเข้ามาในคลองของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันจะเห็นว่าสิ่งนี้เป็นปัจจัยเครื่องอาศัย เครื่องอาศัยไม่ใช่ความจริง

ความจริงคือความรู้สึกของเรา ความรู้สึกที่อาศัยเขานี่มันเป็นความจริง ถ้าความรู้สึกที่อาศัยเขานี่เราพยายามรักษาความรู้สึกนี้ให้มันเป็นหลักเป็นเกณฑ์ เวลาธุดงค์ไปเห็นไหม เขาจะใส่บาตรไม่ใส่บาตรมันเป็นสิทธิของเขามันเป็นบุญกุศลของเรา เราบิณฑบาตไปน่ะถ้ามีอะไรตกบาตรนั่นมันก็สิทธิเห็นไหม สัมมาชีวะเวลาเราอยู่วัดอยู่วาหรือว่าเราอดอาหารผ่อนอาหาร เราก็ไม่บิณฑบาตมันสิทธิของเรา เราจะบิณฑบาตก็ได้ไม่บิณฑบาตก็ได้ จะฉันเราก็ต้องบิณฑบาตมาเพราะเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เห็นไหมสัมมาอาชีวะ

ถ้าเราจะเร่งความเพียรของเราเราจะไม่ฉันอาหารเราก็ไม่ไปบิณฑบาต โยมก็รอใส่บาตร เอ๊ะวันนี้พระไม่มานี่มันเป็นสิทธิของแต่ละฝ่าย บริษัท ๔ เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้กับภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา มารเอยเมื่อใดภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ของเรา ของเราคือขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่เข้มแข็ง ยังไม่กล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆ ได้ เวลาทำบุญกุศลไหม คนนั้นว่าไปวัดมีแต่เสียหาย ไปวัดมีแต่ไม่ได้สิ่งใด คำจาบจ้วงของลัทธิต่าง ๆ นี่ภิกษุ อุบาสก อุบาสิกาน่ะสามารถกล่าวแก้ กล่าวแก้ว่าเรามีพอใจ เราพอใจของเรา เรามีเต็มใจของเรา เราเสียสละของเรา เพื่อความสุขของเรา เพื่อบุญกุศลของเรา สิ่งที่เสียสละไปเป็นวัตถุธาตุ แต่สิ่งที่ได้มาคือบุญกุศลคือความพอใจของเรา ความอิ่มอกอิ่มใจของเรา เราเป็นคนที่มีวุฒิภาวะ เราเป็นคนที่หัวใจรู้จักบุญรู้จักกุศล ไม่ใช่คนหยาบคนหนา เห็นแต่ของวัตถุนั้นเป็นที่พึ่งอาศัยแต่หัวใจเร่าร้อน ไปนอนอยู่บนกองเงินกองทองก็ไปเร่าร้อนอยู่บนกองเงินกองทองเห็นไหม

เพราะว่ากองเงินกองทองมันไม่มีชีวิต เจ้าของมันต่างหากมีชีวิต เจ้าของมันต่างหากมีสุขมีทุกข์ ถ้าเจ้าของมันมีสุขมีทุกข์ เจ้าของมันรักษาใจของตัวเองเห็นไหม มันจะยากจนเข็ญใจมันจะมีความทุกข์ต่างๆ ดูสิเราขับรถมาขึ้นไปทางเหนือเห็นไหม เวลารถขึ้นเขารถลงเขารถขึ้นไต่ไปตามขอบเขาเห็นไหม ชีวิตของเราก็เหมือนกัน ลุ่มๆ ดอนๆ สุขๆ ทุกข์ๆ นี่ มันเป็นธรรมดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดานะ สร้างบุญกุศลมหาศาลเลย พราหมณ์นิมนต์ไว้แล้วลืมใส่บาตร ๓เดือน ๓ เดือนพระพุทธเจ้าไม่ได้ฉันอาหารเลย ไปบิณฑบาตนะไม่มีใครใส่เลย จนกลับมา

มันก็เป็นเรื่องของอำนาจวาสนา พอดีบังเอิญพรรษานั้น มีพ่อค้าโคต่าง เขาต้อนโคต้อนม้าของเขาไปขาย เขาก็มีข้าวกล้องของเขาไปด้วย มีอาหารของม้า เขาใส่บาตรพระ พระก็ได้สิ่งนั้นมาดำรงชีวิต แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังมีคราวที่พราหมณ์นิมนต์ไปจำพรรษา แล้วลืมใส่บาตรทั้งพรรษาเลย แล้วพวกเราทำบุญมานี่ลุ่มๆ ดอนๆ อย่างนี้ แล้วจะให้มันสะดวกจะให้ราบรื่นแบบที่เราปรารถนา สิ่งใดจะเกิดขึ้นมานี่มันเป็นชีวิตของเราใช่ไหม มันเป็นบุญกุศลเราใช่ไหม เราสร้างของเรามาใช่ไหม คนที่เขาสร้างมาดีน่ะดูสิ คนเกิดมาดีเห็นไหม โอ้โฮ พี่เลี้ยง ๕-๖ คนนะ เด็กคนเดียวพี่เลี้ยง ๕-๖ คน เราเกิดมานี่ยังไม่มีใครดูแลนะ

เราเกิดมาเห็นไหม ดูสิยิ่งพระบวชมาเห็นไหม ใครจะดูแลรักษา บุญกุศลของคนมันไม่เหมือนกัน แต่นี่บุญกุศลของคนไม่เหมือนกันมันไม่ใช่อยู่ที่ว่า คนเขาจับผิดเราเขาทำร้ายเรา ไม่ใช่ เป็นบุญกุศลของเรา เป็นการกระทำเห็นไหม เราต้องการบุญกุศล สิ่งที่เรียกว่าบุญกุศล เราปรารถนาความสุข แล้วอะไรเป็นความสุขล่ะ ถ้าไม่มีชีวิตอะไรจะเป็นความสุข แล้วบุญกุศลมันมาเกิดที่ไหนล่ะ บุญกุศลมันเกิดจากจิต เวลาเกิดจากจิตเห็นไหม นี่เสียสละมากขนาดไหน สิ่งที่ได้เสียสละออกไปนี่ ใครจำได้แม่นที่สุด คนให้มันจำได้แม่นที่สุด แล้วความจำอันนั้นเป็นสัญญาอย่างเปลือกๆ นี่ มันย่อยสลายไป

อวิชชา ปัจจยา สังขารา สังขารา ปัจจยา วิญญาณัง มันลงไปในปัจจยาการนะ มันลงไป อิทัปปัจจยตามันลงไปที่จิตน่ะ ลงไปที่จิตเห็นไหม ที่มันสร้างสมมานี่มันตกผลึกมาในหัวใจนั่นน่ะ ถ้ามันไม่ตกผลึกในหัวใจ พระโพธิสัตว์นี่ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย น่ะมันมาจากไหน สิ่งที่พระโพธิสัตว์ สิ่งที่ตกผลึกมานี่ ถ้าชาตินี้ชาติเดียวแล้วจบแล้วนี่ เวลาเราทำบุญชาตินี้แล้วชาติหน้าล่ะ แล้วชาติต่อไปล่ะ แล้วพระโพธิสัตว์เกิดได้ยังไง

ถ้าชาติปัจจุบันชาติเดียวนี่เราเกิดขึ้นมาคนต้องเท่ากันคนต้องเหมือนกัน พ่อแม่เกิดมาพ่อแม่คนหนึ่งลูกของตัวเองต้องให้สมดังปรารถนา ให้ได้ดั่งใจทั้งหมดเลย แล้วมันเป็นอย่างนั้นไหมล่ะ พ่อแม่ก็คือพ่อแม่ ลูกคนหนึ่งก็โลกหนึ่งเห็นไหม โลกทัศน์โลกหนึ่งจิตหนึ่ง จิตหนึ่งก็เกิดอีกชีวิตหนึ่ง ชีวิตหนึ่งก็กรรมของชีวิตนั้น ชีวิตนั้นเกิดลุ่มๆ ดอนๆ สิ่งที่เกิดขึ้นมานี่มันเป็นบุญกุศลของเรา เราแก้ไขของเรา แล้วแก้ยังไงนะ

เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร เราอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรต่างๆ เห็นไหม เดี๋ยวให้พรเห็นไหม อุทิศส่วนกุศลพ่อแม่ปู่ย่าตายายเห็นไหม เจ้ากรรมนายเวร สิ่งที่ทำมาแล้วนี่อโหสิกรรมต่อกัน เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร แต่เจ้าบุญกุศลล่ะ บุญกุศลนี่เห็นไหมพระโพธิสัตว์สร้างมา ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย สร้างมานี่ การสร้างมาตกผลึกลงที่ใจ นี่ไง บุญมันอยู่ที่ใจ บุญมันมาที่ใจ

ดูเราเกิดขึ้นมานี่วุฒิภาวะของใจแตกต่างกันไป แตกต่างกันเพราะสร้างสมแตกต่างกันมา ความสร้างสมแตกต่างกันมาเห็นไหม แล้วจะสร้างสมต่อไปไหม เวลาเราพายเรือทวนกระแสไปนี่เราจะเอาเรือขึ้นถึงฝั่งไหม เราจะเอาเรือขึ้นไปต้นน้ำไหม เราจะเอาเรือขึ้นถึงที่สุดแห่งทุกข์ไหม เราประพฤติปฏิบัติของเราต้องมีหลักมีเกณฑ์ของเรา ถ้ามีหลักมีเกณฑ์ของเราเห็นไหม ปรารถนาบุญกุศล เราปรารถนาบุญกุศลเราต้องรู้จักบุญกุศลไง บุญกุศลเกิดที่ไหน บุญกุศลไม่ได้เกิดที่วัตถุธาตุ บุญกุศลมันเกิดบนหัวใจของสัตว์โลก และสิ่งที่เกิดขึ้นมาน่ะถ้าไม่มีสัตว์โลกเราไม่เกิดมาเป็นเรานี่ สมบัติพัสถาน สิ่งคุณงามความดีความชั่วมันของใคร ใครไปเอามันมา หัวใจนี้รับรู้ทั้งนั้น

ดีเราก็เป็นคนทำเอง ชั่วเราก็เป็นคนทำเอง แล้วใครจะรับรู้กับเรา ใครมารับแทน ดีใครจะรับแทนความดีของเรา ชั่วใครจะรับความชั่วของเรา ก็ใจเราเท่านั้น ใจเราเท่านั้น แต่สิ่งที่ทำมาแล้วนี่มันเป็นใช่ไหม ดูสิ เวลาคนเรานี่เห็นไหม เวลาพระเรานี่ อริยวินัย ผู้ใดทำความผิดแล้ว รู้จักยอมรับว่าผิด ยอมตนว่าผิด แล้วปลงอาบัติเห็นไหม นี่อริยวินัย นี่ก็เหมือนกันสิ่งที่ทำมาแล้วนี่ สิ่งที่ทำมาแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นกับเรานี่ เราทำมาทั้งนั้นน่ะ เราเป็นคนทำมาแต่มันขาดสติ ไม่มีสัมปชัญญะว่าเราเคยทำไว้เมื่อใด แล้วยิ่งอดีตชาติต่างๆ มา กรรมเก่ากรรมใหม่นี่ ไม่มีเลย

ดูสิเวลาพระเทวทัตกับพระพุทธเจ้าเห็นไหม กำทรายเลยนะจะจองล้างไปทุกชาติๆ กำทรายนะ โรยทราย จองเวรจองกรรมน่ะ เทวทัตจองเวรจองกรรม ดูสิ มาชาติสุดท้ายเห็นไหม เกิดเป็นพี่เป็นน้องกัน พ่อขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระเจ้าสุทโธทนะ พ่อของเทวทัต พระเจ้าสุปปพุทธะ เป็นพี่ชายน้องชายกัน เกิดมาเป็นพี่เป็นน้องเป็นญาติเป็นตระกูลมานี่ จองล้างจองผลาญมาตลอดเห็นไหม เมื่อเกิดมา เทวทัตกับพระโพธิสัตว์ ชูชกกับพระเวชสันดร เทวทัตกับพระพุทธเจ้า จองเวรจองกรรมกันมาตลอด องค์หนึ่งก็สร้างบุญกุศลมา นี่ก็เหมือนกัน ถ้าพูดถึงบุญกุศลของเราเห็นไหม เราไม่เห็นน่ะ เราไม่เห็นเราไม่เข้าใจ มีครูบาอาจารย์ไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหูตาสว่างเห็นไหม ที่บอกว่าให้การเสียสละโลกเขาจะติเตียน โลกเขาว่าไงบอกว่า คนไปวัดน่ะคนมีปัญหาทั้งนั้นน่ะ ใช่ คนไปวัดก็คนทุกข์น่ะก็อยากจะพ้นทุกข์น่ะ ก็อยากจะสร้างบารมีของตัว แล้วจะทำไม

เห็นไหม ถ้าเราคิดของเราได้เห็นไหม ใครจะเสียดสีเสียดทานยังไงมันเรื่องของโลกนะ เราอยู่กับโลก โลกเป็นอย่างนี้ เขาโคกับขนโค ขนโคมีมากกว่าอยู่แล้ว สิ่งที่เขาจะไปตามความดำรงชีวิตของเขาเขาว่าเขาสบายนะ อยู่สุขอยู่สบาย แต่ในหัวใจอกตรมนะ อกตรม อกเศร้าหมอง เป็นไปไม่ได้ คนเกิดมามีกิเลสทั้งหมด อย่างน้อยก็เฉาเศร้าหมองในหัวใจ เป็นไปไม่ได้เลย คนเกิดมาทุกคนทุกข์ทั้งหมด เพียงแต่เรารู้ว่าทุกข์แล้วนี่เหมือนกับเราเป็นคนรู้ว่าเรามีกิเลสในหัวใจ เราจะพยายามแก้ไขของเราเห็นไหม พยายามแก้ไขของเรา นี่ต่างหากล่ะเป็นคนหูตาสว่างต่างหากล่ะ เป็นคนดีต่างหากล่ะ

เขาจะเสียดสียังไงมันเรื่องของเขา นี่พูดถึงเรื่องของเขานะ ถ้าเราเข้าใจเรื่องบุญของเรา เราเสียสละของเรา เราทำของเราเห็นไหม อาบเหงื่อต่างน้ำ ได้ความร่มเย็นเป็นสุขของสังคม เราทำอย่างนี้เราทำประโยชน์กับสังคม เราทำประโยชน์กับสาธารณะ ทำเสร็จแล้วใครเป็นคนได้ประโยชน์ล่ะ ทุกคนใช้สอยได้ประโยชน์หมดเห็นไหม เราเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาน่ะเหงื่อไหลไคลย้อยเพื่อใคร ก็เพื่อความร่มเย็นของใจ ถ้าไม่เอาเหงื่อไหลไคลย้อยแลกมาเอาอะไรแลกมา มันจะมาจากไหน ไม่มีการกระทำมาจากไหน มันมาจากการกระทำทั้งหมดเห็นไหม

ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ไม่มีเหตุผลไม่มี มันต้องมีเหตุเราทำเหตุของเราสร้างเหตุของเราขึ้นมา สิ่งใดที่ผิดพลาดมาแล้วเห็นไหม อริยวินัยเห็นไหม อริยวินัยน่ะผู้ที่ทำผิดมาแล้ว ยอมรับผิดแล้วแก้ไขสิ่งนั้นถูกต้อง ถ้ามันผิดแล้วน่ะถ้าผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าเห็นไหม เราจะปฏิเสธนะ เราจะบอกว่าไม่มี ที่เราทำนี่มันไม่มีเวรมีกรรม นั่นเป็นคำพูดของเรา ความจริงมันคือความจริง ทำดีต้องได้ดีทำชั่วต้องได้ชั่ว แต่การทำความดีนะต้องทวนกระแส ฉะนั้นปลาเป็นมันทวนกระแส เราไม่ใช่ปลาตาย ปลาตายมันนอนประคองตัวมันไปตามน้ำเห็นไหม

เราต้องทวนกระแส ทวนความรู้สึก ทวนความตระหนี่ถี่เหนียว ทวนความที่กระแสสังคมบีบคั้น ทวนการถากถางของสังคม เราจะทวนมันไป เราจะทำมันไป ครูบาอาจารย์ท่านพูดประจำ ใครจะเป็นยังไงเรื่องของเขาเราทำคุณงามความดีของเรา แล้วความดีของเรามันคืออะไรล่ะ ทาน ศีล ภาวนา เราเสียสละของเรา มีศีลเป็นความปกติของใจ เราฟังธรรมเพื่อเอามากล่อมใจของเรา แล้วยืนใจของเราให้ได้ โลกธรรม ๘ เสียงลมพัด เสียงสังคม เสียงเสียดสี เสียงโลกธรรม เสียงลม เราเองให้ค่ามัน ถ้าจิตเรามั่นคงขึ้นมา เสียงพัดก็พัดไปสิ พัดไปเลยลมเย็นสบายดีพัดมาเลย เห็นไหมเราก็ไม่เดือดร้อน

แต่ถ้าเราไม่มีหลักมีเกณฑ์นะ ลมพัดเราก็หวั่นไหว ใครพูดอะไรเราก็ทุกข์ร้อน มันรับรู้นะแต่เราไม่ทุกข์ร้อนกับมัน โลกธรรม ๘ ธรรมะเก่าแก่ พระพุทธเจ้าบอกเลยนะ เวลาใครเดือดร้อนนะเอามาเป็นคติธรรม พระพุทธเจ้าเตือนไว้บอกไว้ ถ้าใครโดนโลกธรรมถากถางขนาดไหนนะ อย่าไปมองคนอื่น ให้มองเราตถาคต เพราะเราตถาคตน่ะ โดนโลกธรรมรุนแรงที่สุด เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา เป็นผู้ริเริ่ม เป็นผู้ที่เผยแผ่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลัทธิศาสนาต่างๆ เขามีอยู่ดั้งเดิมอยู่แล้ว เขาทั้งต่อต้าน เขาทั้งจ้างคนมาด่า เขาทำลายทุกๆ อย่างเลย

หัวธนูน่ะ หัวรถจักร รถไฟรถจักรหัวขบวนมันจะทุกข์ยากขนาดไหน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผชิญกับโลกมาขนาดไหน ถึงบอกว่าถ้าใครโดนแรงเสียดสีนี่ องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้ในพระไตรปิฎกนะ ให้พวกเรามีกำลังใจไง ว่าถ้าเราโดนโลกธรรม ๘ โดนนินทากาเลนี่ ให้นึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปดูพระไตรปิฎกสิ เขาใส่ความใส่ไคล้ ใส่เรื่องทุกๆ อย่างเลยกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ เพราะอะไร เขาต้องการทำลาย ทำลายเพราะอะไร เพราะเป็นลัทธิศาสนาตรงข้าม เพราะสมัยอินเดียสมัยนั้นมีศาสนาดั้งเดิมอยู่แล้ว แล้วศาสนาพุทธขึ้นมานี่ใครจะปล่อยให้ขึ้นมาได้ง่ายๆ เห็นไหม แต่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา เป็นผู้ที่ข้ามพ้นจากกิเลสไม่หวั่นไหวทั้งสิ้น แล้ววางธรรมวินัยไว้เป็นเครื่องดำเนินของเรา

เราเป็นชาวพุทธ สิ่งใดแล้วแต่ที่เกิดขึ้นมานี่ บุญกุศลมันเกิดที่หัวใจของเรา สิ่งที่ทำมาไม่มีหัวใจก็ไม่มีผู้รับผลของมัน ฉะนั้นเราไม่มองที่วัตถุ ใช่ แก้วแหวนเงินทองใครก็ปรารถนา แต่ถ้ามันได้มาโดยธรรม ได้มาโดยสุจริต สิ่งนั้นมันไม่ใช่กิเลสหรอก มันเป็นอำนาจวาสนาของคน วาสนาของคนคือโอกาสจังหวะ สิ่งที่ทำแล้วได้ผลประโยชน์ความสำเร็จ ถ้ามันขัดสนเราก็พยายามของเราไป รากหญ้าเห็นไหม กับพืชพันธุ์ธัญญาหารที่เป็นคุณประโยชน์ สิ่งใดมากกว่า สิ่งที่เป็นปกคลุมในใจเรามันก็เป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนั้นเพราะอะไร เพราะสิ่งที่ทำง่าย สิ่งที่ทำยากเห็นไหม

ดูสิ เรานั่งสมาธิภาวนากัน นี่ยากแค้นขนาดไหน แต่ถ้าทำมาแล้วนะมันเป็นสิ่งที่ประเสริฐมาก แต่ต้องลงทุนลงแรง ต้องมีสติมีปัญญา เพื่อประโยชน์กับเราเห็นไหม ชาวพุทธ เตือนตัวเองว่าเราเป็นชาวพุทธ พุทธศาสนาสอนเรื่องอริยสัจ สอนเรื่องสัจจะความจริง แต่ก่อนที่จะเข้าไปหาสัจจะความจริงเราต้องเตรียมความพร้อมของใจของเรา ถึงต้องเสียสละทานเพื่อเปิดกว้าง เพื่อฟังธรรม เพื่อผลประโยชน์นะ แล้วพอวุฒิภาวะมันขึ้นมานะสิ่งที่เห็นว่าเล็กน้อยๆ นะ เราจะสะเทือนใจไปหมดเลย แล้วถ้าจิตมันอยากหยาบนะ เล็กน้อย ไม่มีประโยชน์ ไม่เป็นไร แต่ถ้าพอจิตมันดีขึ้นมานะ สิ่งต่างๆ เป็นประโยชน์หมด แล้วจะรักษาใจของเราเพื่อประโยชน์กับเรานะ หัวใจของคนมันพัฒนาได้ หัวใจของคนจะดีได้ เราต้องดูใจของเรานะ เอวัง